ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ
เขา... นายตำรวจหนุ่ม
เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ
ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น
แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ
แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
เขา... นายตำรวจหนุ่ม
เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ
ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น
แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ
แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ
ตอน: บทที่ 2 (ตามรัก... 2)
บทที่ 2
(ตามรัก 2)
สวนสาธารณะขนาดกลาง เนื้อที่ 360 ไร่ ที่ตั้งอยู่ในเขตปทุมวัน บรรยายกาศยามแดดร่มลมตกเช่นนี้ ผู้คนต่างพากันมาเยือนสวนสาธารณะแห่งนี้ บ้างก็ออกกำลังกาย บ้างมานั่งพักผ่อนหย่อนใจ บ้างก็มาพบปะสังสรรค์
ที่หน้าหอนาฬิกา 2 สาวในชุดกีฬาเต็มยศ สาวคนหนึ่งสวนเปรี้ยวในชุดสีเขียวเข้ม อีกคนสวยหวานในชุดน้ำเงิน ยืนบิดไปบิดมาอบอุ่นร่างกาย สายตาของสองสาวกวาดมองไปทั่วบริเวณ เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ทั้งสองต้องหยุดยืดเส้นยืดสาย
“ค่ะ...ได้ค่ะจะไปเดี๋ยวนี้ ขอบคุณค่ะ”
วางสายเสร็จหญิงสาวก็หันมามองคนที่ยืนอยู่ตรงข้าม
“คราวนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด ไม่มีครั้งที่ 3 แล้วนะ อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
เมื่อได้ยินคำคาดโทษจากเพื่อนรักคนฟังได้แต่ยิ้มแหย เริ่มรู้สึกใจฝ่อขึ้นมากะทันหัน ตลอดทางที่เดินทางมายังสวนสาธารณะแห่งนี้ รจนาชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกรอกหูสร้างกำลังใจเธอสารพัด จนเธอเองก็บ้าจี้ฮึดสู้ขึ้นมา และตั้งใจแน่วแน่ว่าคราวนี้จะต้องปฏิบัติการตามรักอย่างที่เพื่อนสาวเรียกให้สำเร็จให้ได้
“ไม่ต้องมายิ้มแหยเลย”
“ก็ฉันอายนี้”
ด้านหนึ่งเธอจะรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่รจนาคะยั้นคะยอให้เธอทำอยู่นี้เป็นเรื่องที่เธอไม่ชอบอย่างมาก เธอไม่ชอบให้ใครมาบังคับ แต่อีกด้านเธอก็อยากจะเห็นหน้าเขา ได้พูดคุยกับเขา ทำความรู้จักเขาให้มากกว่านี้ ถึงได้ยอมรจนามากมายขนาดนี้
“ถึงอายก็ต้องลุย ทำหน้าหนาเข้าไว้ อย่าปล่อยให้เป้าหมายลอยนวล ไป… ลุย!!!”
ว่าแล้วคุณหมอสาวก็ออกตัววิ่งนำไปก่อนด้วยกำลังใจเกินร้อย ทิ้งให้ใดลินายืนไหล่ตก คอตกเดินด้วยกำลังใจเพียง 10 ก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะๆ ตามไป
บริเวณริมสระน้ำใกล้กับเก๋งจีนที่เหล่าจอมยุทธร่ายรำลีลาและท่วงท่า บางกลุ่มก็เล่นโยคะ บางกลุ่มก็รำไทเก๊ก บางกลุ่มก็รำดาบ รำพัด และในกลุ่มรำไทเก๊กนี้เองมีบุรุษอยู่คนหนึ่งที่ตกเป็นเป้าหมายของสองสาวกำลังออกท่วงท่าเคลื่อนไหวแขนขา ลำตัวอย่างช้าๆ ต่อเนื่องอย่างมีสมาธิ
รจนาที่ออกตัววิ่งมาก่อนมาถึงสถานที่ที่สายข่าวของเธอรายงานก็เห็นชายหนุ่มกำลังร่ายรำไทเก๊ก อยู่ในกลุ่มผู้สูงวัย รจนาหันกลับไปมองเพื่อนสาวที่วิ่งตามมาอย่างช้าๆ อย่างเหนื่อยใจ... วิ่งอย่างนี้ก็มืดค่ำพอดี แผนเผินคงไม่ได้ลงมือปฏิบัติการเป็นแน่
รจนายืนเท้าเอวยืนรอแม่เพื่อนที่อยู่ดีๆ ก็ใจฝ่อด้วยความโมโห รจนารีบวิ่งกลับไปแล้วลากแม่ตัวดีให้มายืนใกล้ๆ บริเวณที่จอมยุทธมาดเข้มเคลื่อนไหวร่างกายอย่างตั้งอกตั้งใจ วันนี้เขาสวมเสื้อยึดสีขาวพอดีตัวอวดรูปร่างบึกบึนสมส่วนและมัดกล้าม จนเมื่อดลินาเห็นเขาเต็มตาบอกได้ประโยคเดียวเลยว่า... หัวใจจะวาย
รจนาต้องใช้มือดันคางขึ้นให้หุบปาก ก็ไอ้อาการอ้าปากค้าง ตาโต แก้มแดง ใช้มือสองอังแก้มทั้งสองข้างยืนบิดไปบิดมาแบบนี้ ออกจะเกินหน้าเกินตาไปนิด รจนาเองต้องยอมรับเหมือนกันว่าผู้กองศิวกรคนนี้รูปร่างดี ดวงหน้าคมเข้มบาดใจเหมือนกัน ขนาดเธอไม่ได้ชื่นชอบผู้ชายแบบนี้ยังอดไม่ได้ที่จะจ้องมองเขา และก็คงไม่ได้มีเพียงพวกเธอเท่านั้นที่มองเขาแบบนี้ เพราะดูเหมือนว่าแถวนี้สาวๆ จะเยอะเหลือเกิน แถมยังใช้สายตาแบบดลินาจ้องมองไปยังเขาอีก
เมื่อเห็นเพื่อนสาวทำท่าเหมือนจะละลายอยู่ตรงนั้นรจนาจึงได้ลากเพื่อนสาวไปนั่งยังเก้าอี้ม้าหินตัวที่ใกล้ที่สุดทันที แถมยังนั่งหันหน้าไปยังทิศที่ศิวกรกำลังวาดลวดลายอย่างจงใจ
“แก! ดูร่างกายเขาสิ มัดกล้ามสุดแสนจะบาดใจ”
ดลินาหันมาพูดกับเพื่อนทั้งที่ยังใช้มือทั้งสองข้างแนบแก้มตัวเองอยู่
“แน่นอนสิยะ แกอย่าดูถูกการรำไทเก๊กเชียวนะ เพราะการรำไทเก๊กน่ะ สภาพร่างกาย กล้ามเนื้อจะแข็งแรงมาก ประสาทการได้ยินจะว่องวัย ลูกตาจะมีประกายชีวิตชีวา เสียงจะดังและกังวานไกล การทำงานของระบบหัวใจและการหายใจดี ไม่หอบเหนื่อยหรือเร่งร้อน ฟัน เหงือกและขากรรไกรจะแข็งแรง ไหล่และอกจะแข็งแรงและเรียบ ท้องจะแข็งแต่ยืดหยุ่น ข้อต่อ ไม่ติดขัด ซึ่งรวมกัน แล้วก็คือสุขภาพกายสมบูรณ์ดียิ่งขึ้น ส่วนสุขภาพจิต ก็ได้ในแง่ของ การฝึกให้มีสมาธิ ที่ใช้ในการรำต่อเนื่องกันตลอดเวลา”
รจนาเปิดคอร์ส ร่ายยาวเรื่องประโยชน์ของการฝึกไทเก๊กให้เพื่อนสาวฟัง
“พอไม่ต้องมาเปิดบรรยายให้ฉันฟังเลย ฉันไม่ใช้นักศึกษาแพทย์นะ”
“ถือว่าเป็นความรู้ไปก็แล้วกัน เป็นไงนั่งมองเขาเพลินเลยสิถ้า”
“ก็... ก็ดี”
“ยังจะมาทำเก๊กอีกนะแก กว่าจะตามตัวเขาเจอ กว่าจะวิ่งมาถึงนี้มันเหนื่อยนะยะ แทนที่แกเห็นจอมยุทธมาดเข้มที่กำลังร่ายรำเพลงยุทธ์แล้วจะร้องกรี๊ดกร๊าด มีปฏิกิริยาตื่นเต้นออกนอกหน้า อะไรแบบนั้นบ้างสิ”
“ไม่เอาอ่ะ... เวอร์เกิน”
ถึงปากจะตอบปฏิเสธแต่อากัปกิริยาที่เพื่อนสาวร่ายมาทั้งหมดนั้นดลินาได้ทำทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ... แต่เธอทำในใจ ขืนออกอาการมาหมดภาพพจน์ที่พยายามรักษามาตลอดได้ป่นปี้หมดแน่ นั่งพักได้สักครู่ เหล่าจอมยุทธ์ก็จบการรำไทเก๊ก เมื่อรจนาเห็นเป้าหมายหยุดการเคลื่อนไหวร่างกาย สมองเจ้าปัญญาก็เร่งวางแผนการขั้นต่อไปทันที... จะทำยังไงให้ได้เข้าไปใกล้ๆ นะ
มัวแต่นั่งคิดวางแผนจนไม่รู้สึกถึงแรงสะกิดจากเพื่อนสาว ดลินาเริ่มทำอะไรไม่ถูกได้แต่เขย่าๆแขนเพื่อนโดยเพิ่มแรงขึ้นเรื่อย ตามระยะทางที่ชายหนุ่มเริ่มเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับชายสูงวัยอีกคนหนึ่ง ดูยังไงก็เดินตรงมายังเธอทั้งสองคนชัดๆ
“ยายแยม... แก!”
“อะไรละคนกำลังใช้ความคิดอยู่อย่างเพิ่งกวนสิ”
“ไม่กวนไม่ได้... แกเขาเดินเข้ามาแล้ว”
ดลินาร้องเสียงตื่น สองมือจับแขนเพื่อนสาวแน่นเขย่าแรงๆ อีกครั้ง
“ใคร... อะไรใครเดินมา”
เมื่อหลุดออกจากห้วงความคิดรจนาจึงได้เห็นผู้ชายสองคน ต่างวัยกำลังเดินตรงทางยังพวกเธอตอนนี้รจนาไม่ได้สนใจคนอายุน้อย แต่กำลังสนใจชายที่อายุเยอะมากกว่า... เพราะคุ้นหน้าเธอเหลือเกิน
“สวัสดีครับคุณหมอ จำผมได้หรือเปล่าครับ”
สวัสดีแหบแห้งตามกาลเวลาเอ่ยถามหญิงสาวผู้เป็นหมอ รจนาใช้เวลาไตร่ตรองสักครูก็จะร้องอ๋อออกมาพร้อมกับยืนขึ้นยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่า ดลินาเองก็รีบยกมือไหว้ตามเพื่อนสาวถึงเธอจะไม่รู้จักเขาก็ตามที เธอแอบมองชายหนุ่มที่ยืนข้างๆ คุณตาก็เห็นเขายืนมองเธอก่อนแล้ว ใบหน้าคมเข้มระบายยิ้มน้อยๆ ดลินาพยายามฉีกยิ้มรับเขาก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนกายไปยืนหลังเพื่อนสาวเล็กน้อย เหมือนเด็กที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้
“สวัสดีค่ะคุณตา... โอ้โหแข็งแรงขึ้นเยอะเลยนะคะ ดูหนุ่มขึ้นเป็นกอง”
รจนาเอ่ยทักทายด้วยความสนิทสนิมเพราะชายสูงวัยตรงหน้าเป็นคนไข้ของเธอ ตอนแรกเธอก็จำไม่ได้แต่พอสังเกตไตร่ตรองดีๆ จึงจำได้
“คุณหมอก็ดูสบายดีนะครับ ผมยังไม่ได้ไปขอบคุณคุณหมออย่างเป็นทางการสักที”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ มันเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้วค่ะ”
“ครับผม คนนี้หลานชายผมครับ”
“หือ! หลายชายหรอคะ”
ไม่ใช่แค่รจนาที่แปลกใจดลินาเองก็สงสัยเหมือนกัน ชายหนุ่มเหมือนจะเข้าใจในความคิดของสองสาวจึงเอ่ยอธิบายไขข้อข้องใจ
“ไม่ใช่หลานแท้ๆ หรอกครับ พอดีบ้านเรารั้วติดกัน”
“หรอคะ”
รจนาเอ่ยตอบ พลางใช้ศอกกระทุ้งเพื่อนที่แอบข้างหลังเธอเบาๆ
“คุณหมอมาออกกำลังกายที่นี้บ่อยหรือครับ”
“ถ้าวันไหนไม่เข้าเวร โอกาสประจวบเหมาะก็จะแวะมาบ้างค่ะ ชวนเพื่อนมากันสองคน”
แล้วรจนาก็ฉุดเพื่อนสาวที่แอบอยู่ข้างหลังให้มายืนข้างๆ จงใจออกแรงดึงพอสมควร ผลที่ออกมาดลินาหน้าแทบคว่ำ โชคดีที่ได้ใครบางคนเข้ามาช่วยไว้ได้ทันไม่อย่างนั้นหน้าเธอลงไปจูบพื้นแน่ ดลินาเงยหน้าขึ้นก็ได้เห็นเจ้าของดวงตาสีดำอยู่ตรงหน้า คราวนี้ถึงกับเข่าอ่อนแทบลงจะไปนั่งกับพื้นแทน ศิวกรระวังอยู่แล้วจึงได้ช่วยพยุงหญิงสาวได้ทัน
“ไม่เป็นไรนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ... ยืนเองได้แล้ว”
ถึงเขาจะไม่ค่อยมั่นใจแต่ก็ยอมปล่อยหญิงสาวแต่โดนดี แต่ยังคงเฝ้าระวังอยู่ในที ดลินาตั้งสติอยู่ชั่วครู การทรงตัวก็กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง... ทำไมรู้สึกว่าร้อนๆ ที่หน้าจังเลย ดลินาไม่กล้าเงยหน้าสบตาเขา กลัวว่าหากสบตาเขาอีกครั้งผลก็คงไม่ต่างไปจากเมื่อสักครู่... เข่าอ่อน เพราะเขินจัด
“แยม... เราไปกันเถอะ ฉันไม่ไหวแล้ว”
ดลินาหันไปกระซิบที่ข้างหูเพื่อนสาวที่ยืนยิ้มระรื่นอยู่ข้างๆ
“เรื่องไรล่ะ... เอ่อคุณตาคะเมื่อกี้เห็นคุณตารำไทเก๊กอยู่สอนหมอบ้างสิคะ”
กระซิบตอบกลับเพื่อนสาวทั้งที่ยังยืนยิ้มอยู่ ก่อนจะหันไปกับคนที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มที่ยืนมองเหตุการณ์อย่างสนใจ ดูจากใบหน้าที่มากด้วยประสบการณ์เชื่อว่าคุณตาคนนี้คงพอจะเข้าใจเรื่องราวอะไรบางอย่าง
“ได้สิครับ”
คุณตารับคำอย่างใจดี เดินนำหน้าโดยมีรจนาเดินตามหลังทิ้งให้หนึ่งสาวกับหนึ่งหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้น เมื่ออยู่กันสองต่อสองดลินาตกอยู่ในอาการประหม่า เคร่งเครียด เหงื่อเริ่มซึมตามไรผม ดลินาได้แต่หันซ้ายหันขวา ยังไงเธอก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นเด็ดขาด เธอมั่นใจหน้าของเธอตอนนี้ต้องแดงมากแน่ๆ
“คุณไม่ไปกับเพื่อนคุณหรอครับ”
เสียงทุ้มเอ่ยถาม... เอาไงอ่ะ ถ้าไม่ตอบก็กลัวเขาหาว่าหยิ่ง พอจะตอบก็ไม่กล้า พอเหลือบสายตาไปยังที่ที่เพื่อนสาวอยู่ก็เจอสายตาพิฆาตเข้าอย่างจัง จะหนีแม่เสือสาวอย่างยายแยม หรือจะหนีสุดหล่อคมเข้มส่งผลให้หัวใจสะออน ไม่รู้ว่าจะเลือกหนีใครดี โอ้ย! ดลินาเครียดค๊า...
“คุณครับ... เป็นอะไรหรือเปล่าครับเห็นยืนนิ่งนานแล้ว”
“เอ่อ... คือ ฉันสบายดีค่ะ พอดีมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยก็เลยยืนนิ่งไป”
“คุณไม่ลองฝึกไทเก๊กบ้างหรือครับ ดีต่อสุขภาพนะครับ”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่ค่อยเหมาะกับการออกกำลังกายจำพวกที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายช้าๆ น่ะค่ะ”
ดลินาตอบกับหน้าอกของเขา ยังไม่ยอมเงยหน้าสบตากับเขาอยู่ดี ส่วนคนสูงกว่าก็มองหญิงสาวตรงหน้ากลั้นหัวเราะเต็มที่ เพราะไอ้อาการเขินอายแบบนี้ไม่ใช้ว่าเขาไม่เคยเจอ แต่ที่แสดงออกนอกหน้าชัดแจ้งเช่นนี้ทำให้เขาอดขำไม่ได้ แต่อาการของหญิงสาวตรงหน้าเขาไม่ได้รู้สึกอึกอัด หรือรำคาญแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขารู้สึกดีที่ทำให้หญิงสาวมีอาการเขินอายแบบนี้... น่าเอ็นดู
“เอ่อ... ฉันว่าฉันไปวิ่งออกกำลังกายหน่อยจะดีกว่า ขอตัวก่อนนะคะ”
พอเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองคงลุยต่อไม่รอด หาทางรอดด้วยการหนีดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ว่ล้วก็ซ้ายหันออกตัวเดินอย่างเร็วก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะไม่หันมามองซ้ายมองขวา สองมือกระชับปลายผ้าขนหนูสีฟ้าแน่นเหวี่ยงตามจังหวะการก้าวขา ไม่รู้ว่าวิ่งมาได้ไกลแค่ไหน แต่พอเริ่มรู้สึกว่าการหายใจเริ่มไม่สามารถควบคุมได้จึงเปลี่ยนมาเป็นเดินแทน
“คุณนี้วิ่งเก่งเหมือนกันนะครับ ผมเองแทบแย่เหมือนกันวิ่งตามคุณเนี่ย”
เสียงใคร!? เมื่อดลินาหันไปมองเจ้าของเสียงที่ดังอยู่ใกล้ๆ ดลินาถึงกับตกใจแข้งขาพันกันหงายหลังลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น
“ไปอะไรหรือเปล่าครับ”
ศิวกรรีบคุกเข่าลงหลังจากที่พลาดคว้าตัวหญิงสาวไม่ทัน เขามองเธอเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้บาดเจ็บใดๆ ดลินามองหน้าเขาแววตาเอาเรื่อง เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าออกอาการโกรธเขา ศิวกรก็เริ่มหน้าเสียใจไม่ดีขึ้นมาดื้อๆ
“ขอบโทษนะครับที่ผมทำให้ตกใจ”
“คุณตามฉันมาตอนไหนเนี่ย”
“ก็ตั้งแต่คุณออกวิ่งนั้นแหละครับ”
“คุณเล่นตามมาแบบนี้ฉันตกใจนะคะ นึกว่าเป็นพวกโรคจิตอะไรแบบนั้น คนสมัยนี้ยิ่งน่ากลัวอยู่ด้วย ดีที่ฉันไม่ได้เจ็บอะไรมากไม่อย่างนั้นคุณได้ฟังฉันบ่นหูชาแน่”
พอเริ่มโมโหใจก็เริ่มกล้าขึ้นมาทันที หญิงสาวก็เริ่มต่อว่าเขาชุดใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองไม่ใส่ใจชายหนุ่มที่ช่วยประคองเธอให้ลุกขึ้นก่อนจะปัดตามร่างกายตัวเองเพื่อไล่เศษหิน ดิน ทราย และสำรวจหายบาดแผลตามร่างกาย
“ไม่เป็นแผลตรงไหนนะครับ”
“ไม่ค่ะ แต่เจ็บก้นนิดหน่อยเพราะตอนนั้นตกใจเลยไม่ทันได้ระวังตัว”
“ผมขอโทษไม่คิดว่าคุณจะตกใจขนาดนั้น”
“มันก็ต้องมีตกใจกันบ้างล่ะค่ะ คุณเล่นวิ่งตามฉันมาไมให้สุ่มให้เสียงเลย”
“ผมขอโทษ”
ดลินาต่อว่าเขาอีกหนึ่งชุด คราวนี้ศิวกรหน้าเจือลงไปอีกโข เมื่อเห็นเขารู้สึกผิดจริงๆ อารมณ์โมโหก็จางลงไปเยอะ เมื่อมีสติ ปัญญาเริ่มเกิด และเริ่มคิดได้ว่าเมื่อกี้เธอเล่นต่อว่าเขาไปเยอะ เขาคงคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงปากจัดแน่ๆ... อ๊าย! ยายข้าว ยายบ้า โมโหทีไรลืมตัวทุกทีคุมอารมณ์ไม่อยู่อยู่เรื่อย สงสัยต้องไปหันรำไทเก๊กฝึกสมาธิแบบหมอแยมบ้างแล้ว ความโมโหจะได้มาอยู่เหนือสติ
ศิวกรมองหญิงสาวด้วยความแปลกใจ เมื่อสักครู่เธอยังโมโหเขาอยู่เลยแล้วอยู่ดีๆ หญิงสาวตรงหน้าก็ออกอาการแปลกๆ เหมือนกำลังบ่นพึมพำโทษตัวเอง และเมื่อสบตากับเขาหน้าหญิงสาวก็กลับมาเขินอายอีกครั้ง... ผู้หญิงทำไมเข้าใจยากอย่างนี้ หรือว่าเป็นเขาเองที่ไม่เข้าใจผู้หญิง
“เอ่อ... เอาเป็นว่าฉันยกโทษให้คุณก็แล้วกัน ขอตัวก่อนนะคะ”
“จะไปไหนครับ”
“คือว่าฉันอยากจะเดินกลับไปหาหมอแยมน่ะค่ะ ใกล้มืดแล้วควรจะกลับกันได้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็เดินกลับไปพร้อมกันก็ได้ครับ ผมจะกลับไปหาคุณตาเขาด้วย”
เธออิดออดเล็กน้อย จะปฏิเสธก็ไม่กล้า แต่ถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ไม่รู้ว่า โอกาสครั้งต่อไปจะมาหาเธอเมื่อไหร่ คลินาครุ่นคิดไม่นานก่อนจะพยักหน้าไม่ว่าอะไรก่อนจะเดินก้าวเท้าไปพร้อมกับเขา หญิงสาวดูปลื้มอกปลื้มใจเป็นอย่างมากที่ได้เดินเคียงข้างไปกับเขา คราวนี้อาการเกร็ง ประหม่า เขินอายค่อยๆ ลดลงตามระยะทางที่เดินกลับไปด้วยกัน ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ตลอดทางเขาชวนเธอคุยได้สารพัด ดลินาเองก็เป็นผู้ฟังที่ดี พูดคุยโต้ตอบกับเขาเช่นกัน
ตอนนี้เสาไฟภายในสวนสาธารณะแห่งเปิดให้แสงสว่างแก่ผู้มาเยือนครบทุกดวงแล้ว ศิวกรหยุดเดินตามหญิงสาวที่หยุดเดินกะทันหัน ก่อนจะเคลื่อนร่างมาหลบอยู่หลังเขาจับชายเสื้อเขาไว้แน่น ศิวกรไม่เข้าใจสิ่งที่หญิงสาวกำลังเป็นอยู่ เหมือนเธอกลัวอะไรสักอย่าง แต่เมื่อเขามองไปด้านหน้าก็เห็นสัตว์เลือดเย็นสี่เท้าเดินนวยนาดอยู่บนพื้นถนน
“มันไปยังคะ”
เสียงคนตัวเล็กเอ่ยถามจากด้านหลัง
“ยังเลยครับ ยืนอวดตัวโชว์หุ่นสวยอยู่บนถนนนิ่ง”
หญิงสาวร้องยี้! เบาๆอยู่ด้านหลัง ศิวกรหัวเราะให้กับอาการกลัวเหมือนเด็กๆ ของคนข้างหลัง
“อะ! มันเดินมาทางเราแล้วครับ”
“ไหน! ไหนมันอยู่ไหน อย่าให้มันมาเข้าใกล้ข้าวนะคะ ข้าวกลัวมัน”
ศิวกรอมยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินเสียงหญิงสาวเรียกชื่อแทนตัว อาการเกาะชายเสื้อเขาแน่นแถมเอาหน้าผากมาซบอยู่ตกหลังเขาทำให้รู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก
“ผมอยู่ด้วยไม่ต้องกลัวนะครับ ตามผมมานะ เดี๋ยวผมพาหนีมันเอง”
ไม่มีเสียงตอบแต่รับรู้ได้จากการพยักงานตรงแผ่นหลังของเขา แล้วเขาก็พาหญิงสาวเดินเลี่ยงไปด้านข้างหลีกเจ้าสี่ขาที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดินไม่ได้เดินเข้ามาหาอย่างที่เขาบอก คนที่มัวแต่แอบอยู่ด้านหลังไม่ได้โอกาสได้เห็นรอยยิ้มอย่างสุขใจของเขา ส่วนคนที่ออกปากว่าจะพาหนีก็ดูมีความสุขกับภารกิจครั้งนี้เป็นอย่างมาก... แหม่อยากให้เจออีกสักตัวสองตัว
“ทำไมถึงกลัวมันล่ะครับ”
“ตอนเด็กๆ แม่เคยพาไปเที่ยวบ้านสวน แล้วอยู่ดีๆ มันก็มาจากไหนไม่รู้วิ่งไล่ข้าว ข้าวตกใจวิ่งหนีไม่คิดชีวิตเลยค่ะ ตั้งแต่นั้นเลยกลัวมันมาก”
เมื่อนึกถึงความทรงจำที่น่ากลัวในวัยเด็ก หญิงสาวก็เสียวสันหลังขนลุกชันขึ้นมาทันที
“ผิดกับผมเลยนะครับ ตอนที่ประจำอยู่ชายแดน หรือฝึกภาคสนาม ถ้าไม่ได้ไอ้ตัวพวกนี้ก็คงอดตายอยู่ในป่า”
“อี๋!! ไม่เอาไม่พูดถึงมัน”
“อ้าวผมพูดจริงนะครับ เมื่อถึงเวลานั้นเพื่อความอยู่รอดก็ต้องทำครับ แล้วก็นะ...”
แล้วชายหนุ่มก็ร่ายยาวถึงประสบการณ์การใช้ชีวิตอยู่ในป่า ในอดีตที่ผ่านมา โดยที่ร่างเล็กไม่ได้สนใจฟังเลยสักนิดเพราะมัวแต่กลัวไอ้ตัวที่มันยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง โดยไม่รู้เลยว่าคนที่เดินนำหน้านั้นพาเธอเดินออกห่างจากเจ้าตัวเงินตัวทองนั้นมาไกลมากแล้ว
(ตามรัก 2)
สวนสาธารณะขนาดกลาง เนื้อที่ 360 ไร่ ที่ตั้งอยู่ในเขตปทุมวัน บรรยายกาศยามแดดร่มลมตกเช่นนี้ ผู้คนต่างพากันมาเยือนสวนสาธารณะแห่งนี้ บ้างก็ออกกำลังกาย บ้างมานั่งพักผ่อนหย่อนใจ บ้างก็มาพบปะสังสรรค์
ที่หน้าหอนาฬิกา 2 สาวในชุดกีฬาเต็มยศ สาวคนหนึ่งสวนเปรี้ยวในชุดสีเขียวเข้ม อีกคนสวยหวานในชุดน้ำเงิน ยืนบิดไปบิดมาอบอุ่นร่างกาย สายตาของสองสาวกวาดมองไปทั่วบริเวณ เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ทั้งสองต้องหยุดยืดเส้นยืดสาย
“ค่ะ...ได้ค่ะจะไปเดี๋ยวนี้ ขอบคุณค่ะ”
วางสายเสร็จหญิงสาวก็หันมามองคนที่ยืนอยู่ตรงข้าม
“คราวนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด ไม่มีครั้งที่ 3 แล้วนะ อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
เมื่อได้ยินคำคาดโทษจากเพื่อนรักคนฟังได้แต่ยิ้มแหย เริ่มรู้สึกใจฝ่อขึ้นมากะทันหัน ตลอดทางที่เดินทางมายังสวนสาธารณะแห่งนี้ รจนาชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดกรอกหูสร้างกำลังใจเธอสารพัด จนเธอเองก็บ้าจี้ฮึดสู้ขึ้นมา และตั้งใจแน่วแน่ว่าคราวนี้จะต้องปฏิบัติการตามรักอย่างที่เพื่อนสาวเรียกให้สำเร็จให้ได้
“ไม่ต้องมายิ้มแหยเลย”
“ก็ฉันอายนี้”
ด้านหนึ่งเธอจะรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่รจนาคะยั้นคะยอให้เธอทำอยู่นี้เป็นเรื่องที่เธอไม่ชอบอย่างมาก เธอไม่ชอบให้ใครมาบังคับ แต่อีกด้านเธอก็อยากจะเห็นหน้าเขา ได้พูดคุยกับเขา ทำความรู้จักเขาให้มากกว่านี้ ถึงได้ยอมรจนามากมายขนาดนี้
“ถึงอายก็ต้องลุย ทำหน้าหนาเข้าไว้ อย่าปล่อยให้เป้าหมายลอยนวล ไป… ลุย!!!”
ว่าแล้วคุณหมอสาวก็ออกตัววิ่งนำไปก่อนด้วยกำลังใจเกินร้อย ทิ้งให้ใดลินายืนไหล่ตก คอตกเดินด้วยกำลังใจเพียง 10 ก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะๆ ตามไป
บริเวณริมสระน้ำใกล้กับเก๋งจีนที่เหล่าจอมยุทธร่ายรำลีลาและท่วงท่า บางกลุ่มก็เล่นโยคะ บางกลุ่มก็รำไทเก๊ก บางกลุ่มก็รำดาบ รำพัด และในกลุ่มรำไทเก๊กนี้เองมีบุรุษอยู่คนหนึ่งที่ตกเป็นเป้าหมายของสองสาวกำลังออกท่วงท่าเคลื่อนไหวแขนขา ลำตัวอย่างช้าๆ ต่อเนื่องอย่างมีสมาธิ
รจนาที่ออกตัววิ่งมาก่อนมาถึงสถานที่ที่สายข่าวของเธอรายงานก็เห็นชายหนุ่มกำลังร่ายรำไทเก๊ก อยู่ในกลุ่มผู้สูงวัย รจนาหันกลับไปมองเพื่อนสาวที่วิ่งตามมาอย่างช้าๆ อย่างเหนื่อยใจ... วิ่งอย่างนี้ก็มืดค่ำพอดี แผนเผินคงไม่ได้ลงมือปฏิบัติการเป็นแน่
รจนายืนเท้าเอวยืนรอแม่เพื่อนที่อยู่ดีๆ ก็ใจฝ่อด้วยความโมโห รจนารีบวิ่งกลับไปแล้วลากแม่ตัวดีให้มายืนใกล้ๆ บริเวณที่จอมยุทธมาดเข้มเคลื่อนไหวร่างกายอย่างตั้งอกตั้งใจ วันนี้เขาสวมเสื้อยึดสีขาวพอดีตัวอวดรูปร่างบึกบึนสมส่วนและมัดกล้าม จนเมื่อดลินาเห็นเขาเต็มตาบอกได้ประโยคเดียวเลยว่า... หัวใจจะวาย
รจนาต้องใช้มือดันคางขึ้นให้หุบปาก ก็ไอ้อาการอ้าปากค้าง ตาโต แก้มแดง ใช้มือสองอังแก้มทั้งสองข้างยืนบิดไปบิดมาแบบนี้ ออกจะเกินหน้าเกินตาไปนิด รจนาเองต้องยอมรับเหมือนกันว่าผู้กองศิวกรคนนี้รูปร่างดี ดวงหน้าคมเข้มบาดใจเหมือนกัน ขนาดเธอไม่ได้ชื่นชอบผู้ชายแบบนี้ยังอดไม่ได้ที่จะจ้องมองเขา และก็คงไม่ได้มีเพียงพวกเธอเท่านั้นที่มองเขาแบบนี้ เพราะดูเหมือนว่าแถวนี้สาวๆ จะเยอะเหลือเกิน แถมยังใช้สายตาแบบดลินาจ้องมองไปยังเขาอีก
เมื่อเห็นเพื่อนสาวทำท่าเหมือนจะละลายอยู่ตรงนั้นรจนาจึงได้ลากเพื่อนสาวไปนั่งยังเก้าอี้ม้าหินตัวที่ใกล้ที่สุดทันที แถมยังนั่งหันหน้าไปยังทิศที่ศิวกรกำลังวาดลวดลายอย่างจงใจ
“แก! ดูร่างกายเขาสิ มัดกล้ามสุดแสนจะบาดใจ”
ดลินาหันมาพูดกับเพื่อนทั้งที่ยังใช้มือทั้งสองข้างแนบแก้มตัวเองอยู่
“แน่นอนสิยะ แกอย่าดูถูกการรำไทเก๊กเชียวนะ เพราะการรำไทเก๊กน่ะ สภาพร่างกาย กล้ามเนื้อจะแข็งแรงมาก ประสาทการได้ยินจะว่องวัย ลูกตาจะมีประกายชีวิตชีวา เสียงจะดังและกังวานไกล การทำงานของระบบหัวใจและการหายใจดี ไม่หอบเหนื่อยหรือเร่งร้อน ฟัน เหงือกและขากรรไกรจะแข็งแรง ไหล่และอกจะแข็งแรงและเรียบ ท้องจะแข็งแต่ยืดหยุ่น ข้อต่อ ไม่ติดขัด ซึ่งรวมกัน แล้วก็คือสุขภาพกายสมบูรณ์ดียิ่งขึ้น ส่วนสุขภาพจิต ก็ได้ในแง่ของ การฝึกให้มีสมาธิ ที่ใช้ในการรำต่อเนื่องกันตลอดเวลา”
รจนาเปิดคอร์ส ร่ายยาวเรื่องประโยชน์ของการฝึกไทเก๊กให้เพื่อนสาวฟัง
“พอไม่ต้องมาเปิดบรรยายให้ฉันฟังเลย ฉันไม่ใช้นักศึกษาแพทย์นะ”
“ถือว่าเป็นความรู้ไปก็แล้วกัน เป็นไงนั่งมองเขาเพลินเลยสิถ้า”
“ก็... ก็ดี”
“ยังจะมาทำเก๊กอีกนะแก กว่าจะตามตัวเขาเจอ กว่าจะวิ่งมาถึงนี้มันเหนื่อยนะยะ แทนที่แกเห็นจอมยุทธมาดเข้มที่กำลังร่ายรำเพลงยุทธ์แล้วจะร้องกรี๊ดกร๊าด มีปฏิกิริยาตื่นเต้นออกนอกหน้า อะไรแบบนั้นบ้างสิ”
“ไม่เอาอ่ะ... เวอร์เกิน”
ถึงปากจะตอบปฏิเสธแต่อากัปกิริยาที่เพื่อนสาวร่ายมาทั้งหมดนั้นดลินาได้ทำทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ... แต่เธอทำในใจ ขืนออกอาการมาหมดภาพพจน์ที่พยายามรักษามาตลอดได้ป่นปี้หมดแน่ นั่งพักได้สักครู่ เหล่าจอมยุทธ์ก็จบการรำไทเก๊ก เมื่อรจนาเห็นเป้าหมายหยุดการเคลื่อนไหวร่างกาย สมองเจ้าปัญญาก็เร่งวางแผนการขั้นต่อไปทันที... จะทำยังไงให้ได้เข้าไปใกล้ๆ นะ
มัวแต่นั่งคิดวางแผนจนไม่รู้สึกถึงแรงสะกิดจากเพื่อนสาว ดลินาเริ่มทำอะไรไม่ถูกได้แต่เขย่าๆแขนเพื่อนโดยเพิ่มแรงขึ้นเรื่อย ตามระยะทางที่ชายหนุ่มเริ่มเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับชายสูงวัยอีกคนหนึ่ง ดูยังไงก็เดินตรงมายังเธอทั้งสองคนชัดๆ
“ยายแยม... แก!”
“อะไรละคนกำลังใช้ความคิดอยู่อย่างเพิ่งกวนสิ”
“ไม่กวนไม่ได้... แกเขาเดินเข้ามาแล้ว”
ดลินาร้องเสียงตื่น สองมือจับแขนเพื่อนสาวแน่นเขย่าแรงๆ อีกครั้ง
“ใคร... อะไรใครเดินมา”
เมื่อหลุดออกจากห้วงความคิดรจนาจึงได้เห็นผู้ชายสองคน ต่างวัยกำลังเดินตรงทางยังพวกเธอตอนนี้รจนาไม่ได้สนใจคนอายุน้อย แต่กำลังสนใจชายที่อายุเยอะมากกว่า... เพราะคุ้นหน้าเธอเหลือเกิน
“สวัสดีครับคุณหมอ จำผมได้หรือเปล่าครับ”
สวัสดีแหบแห้งตามกาลเวลาเอ่ยถามหญิงสาวผู้เป็นหมอ รจนาใช้เวลาไตร่ตรองสักครูก็จะร้องอ๋อออกมาพร้อมกับยืนขึ้นยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่า ดลินาเองก็รีบยกมือไหว้ตามเพื่อนสาวถึงเธอจะไม่รู้จักเขาก็ตามที เธอแอบมองชายหนุ่มที่ยืนข้างๆ คุณตาก็เห็นเขายืนมองเธอก่อนแล้ว ใบหน้าคมเข้มระบายยิ้มน้อยๆ ดลินาพยายามฉีกยิ้มรับเขาก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนกายไปยืนหลังเพื่อนสาวเล็กน้อย เหมือนเด็กที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้
“สวัสดีค่ะคุณตา... โอ้โหแข็งแรงขึ้นเยอะเลยนะคะ ดูหนุ่มขึ้นเป็นกอง”
รจนาเอ่ยทักทายด้วยความสนิทสนิมเพราะชายสูงวัยตรงหน้าเป็นคนไข้ของเธอ ตอนแรกเธอก็จำไม่ได้แต่พอสังเกตไตร่ตรองดีๆ จึงจำได้
“คุณหมอก็ดูสบายดีนะครับ ผมยังไม่ได้ไปขอบคุณคุณหมออย่างเป็นทางการสักที”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ มันเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้วค่ะ”
“ครับผม คนนี้หลานชายผมครับ”
“หือ! หลายชายหรอคะ”
ไม่ใช่แค่รจนาที่แปลกใจดลินาเองก็สงสัยเหมือนกัน ชายหนุ่มเหมือนจะเข้าใจในความคิดของสองสาวจึงเอ่ยอธิบายไขข้อข้องใจ
“ไม่ใช่หลานแท้ๆ หรอกครับ พอดีบ้านเรารั้วติดกัน”
“หรอคะ”
รจนาเอ่ยตอบ พลางใช้ศอกกระทุ้งเพื่อนที่แอบข้างหลังเธอเบาๆ
“คุณหมอมาออกกำลังกายที่นี้บ่อยหรือครับ”
“ถ้าวันไหนไม่เข้าเวร โอกาสประจวบเหมาะก็จะแวะมาบ้างค่ะ ชวนเพื่อนมากันสองคน”
แล้วรจนาก็ฉุดเพื่อนสาวที่แอบอยู่ข้างหลังให้มายืนข้างๆ จงใจออกแรงดึงพอสมควร ผลที่ออกมาดลินาหน้าแทบคว่ำ โชคดีที่ได้ใครบางคนเข้ามาช่วยไว้ได้ทันไม่อย่างนั้นหน้าเธอลงไปจูบพื้นแน่ ดลินาเงยหน้าขึ้นก็ได้เห็นเจ้าของดวงตาสีดำอยู่ตรงหน้า คราวนี้ถึงกับเข่าอ่อนแทบลงจะไปนั่งกับพื้นแทน ศิวกรระวังอยู่แล้วจึงได้ช่วยพยุงหญิงสาวได้ทัน
“ไม่เป็นไรนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ... ยืนเองได้แล้ว”
ถึงเขาจะไม่ค่อยมั่นใจแต่ก็ยอมปล่อยหญิงสาวแต่โดนดี แต่ยังคงเฝ้าระวังอยู่ในที ดลินาตั้งสติอยู่ชั่วครู การทรงตัวก็กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง... ทำไมรู้สึกว่าร้อนๆ ที่หน้าจังเลย ดลินาไม่กล้าเงยหน้าสบตาเขา กลัวว่าหากสบตาเขาอีกครั้งผลก็คงไม่ต่างไปจากเมื่อสักครู่... เข่าอ่อน เพราะเขินจัด
“แยม... เราไปกันเถอะ ฉันไม่ไหวแล้ว”
ดลินาหันไปกระซิบที่ข้างหูเพื่อนสาวที่ยืนยิ้มระรื่นอยู่ข้างๆ
“เรื่องไรล่ะ... เอ่อคุณตาคะเมื่อกี้เห็นคุณตารำไทเก๊กอยู่สอนหมอบ้างสิคะ”
กระซิบตอบกลับเพื่อนสาวทั้งที่ยังยืนยิ้มอยู่ ก่อนจะหันไปกับคนที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มที่ยืนมองเหตุการณ์อย่างสนใจ ดูจากใบหน้าที่มากด้วยประสบการณ์เชื่อว่าคุณตาคนนี้คงพอจะเข้าใจเรื่องราวอะไรบางอย่าง
“ได้สิครับ”
คุณตารับคำอย่างใจดี เดินนำหน้าโดยมีรจนาเดินตามหลังทิ้งให้หนึ่งสาวกับหนึ่งหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้น เมื่ออยู่กันสองต่อสองดลินาตกอยู่ในอาการประหม่า เคร่งเครียด เหงื่อเริ่มซึมตามไรผม ดลินาได้แต่หันซ้ายหันขวา ยังไงเธอก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นเด็ดขาด เธอมั่นใจหน้าของเธอตอนนี้ต้องแดงมากแน่ๆ
“คุณไม่ไปกับเพื่อนคุณหรอครับ”
เสียงทุ้มเอ่ยถาม... เอาไงอ่ะ ถ้าไม่ตอบก็กลัวเขาหาว่าหยิ่ง พอจะตอบก็ไม่กล้า พอเหลือบสายตาไปยังที่ที่เพื่อนสาวอยู่ก็เจอสายตาพิฆาตเข้าอย่างจัง จะหนีแม่เสือสาวอย่างยายแยม หรือจะหนีสุดหล่อคมเข้มส่งผลให้หัวใจสะออน ไม่รู้ว่าจะเลือกหนีใครดี โอ้ย! ดลินาเครียดค๊า...
“คุณครับ... เป็นอะไรหรือเปล่าครับเห็นยืนนิ่งนานแล้ว”
“เอ่อ... คือ ฉันสบายดีค่ะ พอดีมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยก็เลยยืนนิ่งไป”
“คุณไม่ลองฝึกไทเก๊กบ้างหรือครับ ดีต่อสุขภาพนะครับ”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่ค่อยเหมาะกับการออกกำลังกายจำพวกที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายช้าๆ น่ะค่ะ”
ดลินาตอบกับหน้าอกของเขา ยังไม่ยอมเงยหน้าสบตากับเขาอยู่ดี ส่วนคนสูงกว่าก็มองหญิงสาวตรงหน้ากลั้นหัวเราะเต็มที่ เพราะไอ้อาการเขินอายแบบนี้ไม่ใช้ว่าเขาไม่เคยเจอ แต่ที่แสดงออกนอกหน้าชัดแจ้งเช่นนี้ทำให้เขาอดขำไม่ได้ แต่อาการของหญิงสาวตรงหน้าเขาไม่ได้รู้สึกอึกอัด หรือรำคาญแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขารู้สึกดีที่ทำให้หญิงสาวมีอาการเขินอายแบบนี้... น่าเอ็นดู
“เอ่อ... ฉันว่าฉันไปวิ่งออกกำลังกายหน่อยจะดีกว่า ขอตัวก่อนนะคะ”
พอเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองคงลุยต่อไม่รอด หาทางรอดด้วยการหนีดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ว่ล้วก็ซ้ายหันออกตัวเดินอย่างเร็วก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะไม่หันมามองซ้ายมองขวา สองมือกระชับปลายผ้าขนหนูสีฟ้าแน่นเหวี่ยงตามจังหวะการก้าวขา ไม่รู้ว่าวิ่งมาได้ไกลแค่ไหน แต่พอเริ่มรู้สึกว่าการหายใจเริ่มไม่สามารถควบคุมได้จึงเปลี่ยนมาเป็นเดินแทน
“คุณนี้วิ่งเก่งเหมือนกันนะครับ ผมเองแทบแย่เหมือนกันวิ่งตามคุณเนี่ย”
เสียงใคร!? เมื่อดลินาหันไปมองเจ้าของเสียงที่ดังอยู่ใกล้ๆ ดลินาถึงกับตกใจแข้งขาพันกันหงายหลังลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น
“ไปอะไรหรือเปล่าครับ”
ศิวกรรีบคุกเข่าลงหลังจากที่พลาดคว้าตัวหญิงสาวไม่ทัน เขามองเธอเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้บาดเจ็บใดๆ ดลินามองหน้าเขาแววตาเอาเรื่อง เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าออกอาการโกรธเขา ศิวกรก็เริ่มหน้าเสียใจไม่ดีขึ้นมาดื้อๆ
“ขอบโทษนะครับที่ผมทำให้ตกใจ”
“คุณตามฉันมาตอนไหนเนี่ย”
“ก็ตั้งแต่คุณออกวิ่งนั้นแหละครับ”
“คุณเล่นตามมาแบบนี้ฉันตกใจนะคะ นึกว่าเป็นพวกโรคจิตอะไรแบบนั้น คนสมัยนี้ยิ่งน่ากลัวอยู่ด้วย ดีที่ฉันไม่ได้เจ็บอะไรมากไม่อย่างนั้นคุณได้ฟังฉันบ่นหูชาแน่”
พอเริ่มโมโหใจก็เริ่มกล้าขึ้นมาทันที หญิงสาวก็เริ่มต่อว่าเขาชุดใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองไม่ใส่ใจชายหนุ่มที่ช่วยประคองเธอให้ลุกขึ้นก่อนจะปัดตามร่างกายตัวเองเพื่อไล่เศษหิน ดิน ทราย และสำรวจหายบาดแผลตามร่างกาย
“ไม่เป็นแผลตรงไหนนะครับ”
“ไม่ค่ะ แต่เจ็บก้นนิดหน่อยเพราะตอนนั้นตกใจเลยไม่ทันได้ระวังตัว”
“ผมขอโทษไม่คิดว่าคุณจะตกใจขนาดนั้น”
“มันก็ต้องมีตกใจกันบ้างล่ะค่ะ คุณเล่นวิ่งตามฉันมาไมให้สุ่มให้เสียงเลย”
“ผมขอโทษ”
ดลินาต่อว่าเขาอีกหนึ่งชุด คราวนี้ศิวกรหน้าเจือลงไปอีกโข เมื่อเห็นเขารู้สึกผิดจริงๆ อารมณ์โมโหก็จางลงไปเยอะ เมื่อมีสติ ปัญญาเริ่มเกิด และเริ่มคิดได้ว่าเมื่อกี้เธอเล่นต่อว่าเขาไปเยอะ เขาคงคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงปากจัดแน่ๆ... อ๊าย! ยายข้าว ยายบ้า โมโหทีไรลืมตัวทุกทีคุมอารมณ์ไม่อยู่อยู่เรื่อย สงสัยต้องไปหันรำไทเก๊กฝึกสมาธิแบบหมอแยมบ้างแล้ว ความโมโหจะได้มาอยู่เหนือสติ
ศิวกรมองหญิงสาวด้วยความแปลกใจ เมื่อสักครู่เธอยังโมโหเขาอยู่เลยแล้วอยู่ดีๆ หญิงสาวตรงหน้าก็ออกอาการแปลกๆ เหมือนกำลังบ่นพึมพำโทษตัวเอง และเมื่อสบตากับเขาหน้าหญิงสาวก็กลับมาเขินอายอีกครั้ง... ผู้หญิงทำไมเข้าใจยากอย่างนี้ หรือว่าเป็นเขาเองที่ไม่เข้าใจผู้หญิง
“เอ่อ... เอาเป็นว่าฉันยกโทษให้คุณก็แล้วกัน ขอตัวก่อนนะคะ”
“จะไปไหนครับ”
“คือว่าฉันอยากจะเดินกลับไปหาหมอแยมน่ะค่ะ ใกล้มืดแล้วควรจะกลับกันได้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็เดินกลับไปพร้อมกันก็ได้ครับ ผมจะกลับไปหาคุณตาเขาด้วย”
เธออิดออดเล็กน้อย จะปฏิเสธก็ไม่กล้า แต่ถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ไม่รู้ว่า โอกาสครั้งต่อไปจะมาหาเธอเมื่อไหร่ คลินาครุ่นคิดไม่นานก่อนจะพยักหน้าไม่ว่าอะไรก่อนจะเดินก้าวเท้าไปพร้อมกับเขา หญิงสาวดูปลื้มอกปลื้มใจเป็นอย่างมากที่ได้เดินเคียงข้างไปกับเขา คราวนี้อาการเกร็ง ประหม่า เขินอายค่อยๆ ลดลงตามระยะทางที่เดินกลับไปด้วยกัน ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ตลอดทางเขาชวนเธอคุยได้สารพัด ดลินาเองก็เป็นผู้ฟังที่ดี พูดคุยโต้ตอบกับเขาเช่นกัน
ตอนนี้เสาไฟภายในสวนสาธารณะแห่งเปิดให้แสงสว่างแก่ผู้มาเยือนครบทุกดวงแล้ว ศิวกรหยุดเดินตามหญิงสาวที่หยุดเดินกะทันหัน ก่อนจะเคลื่อนร่างมาหลบอยู่หลังเขาจับชายเสื้อเขาไว้แน่น ศิวกรไม่เข้าใจสิ่งที่หญิงสาวกำลังเป็นอยู่ เหมือนเธอกลัวอะไรสักอย่าง แต่เมื่อเขามองไปด้านหน้าก็เห็นสัตว์เลือดเย็นสี่เท้าเดินนวยนาดอยู่บนพื้นถนน
“มันไปยังคะ”
เสียงคนตัวเล็กเอ่ยถามจากด้านหลัง
“ยังเลยครับ ยืนอวดตัวโชว์หุ่นสวยอยู่บนถนนนิ่ง”
หญิงสาวร้องยี้! เบาๆอยู่ด้านหลัง ศิวกรหัวเราะให้กับอาการกลัวเหมือนเด็กๆ ของคนข้างหลัง
“อะ! มันเดินมาทางเราแล้วครับ”
“ไหน! ไหนมันอยู่ไหน อย่าให้มันมาเข้าใกล้ข้าวนะคะ ข้าวกลัวมัน”
ศิวกรอมยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินเสียงหญิงสาวเรียกชื่อแทนตัว อาการเกาะชายเสื้อเขาแน่นแถมเอาหน้าผากมาซบอยู่ตกหลังเขาทำให้รู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก
“ผมอยู่ด้วยไม่ต้องกลัวนะครับ ตามผมมานะ เดี๋ยวผมพาหนีมันเอง”
ไม่มีเสียงตอบแต่รับรู้ได้จากการพยักงานตรงแผ่นหลังของเขา แล้วเขาก็พาหญิงสาวเดินเลี่ยงไปด้านข้างหลีกเจ้าสี่ขาที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดินไม่ได้เดินเข้ามาหาอย่างที่เขาบอก คนที่มัวแต่แอบอยู่ด้านหลังไม่ได้โอกาสได้เห็นรอยยิ้มอย่างสุขใจของเขา ส่วนคนที่ออกปากว่าจะพาหนีก็ดูมีความสุขกับภารกิจครั้งนี้เป็นอย่างมาก... แหม่อยากให้เจออีกสักตัวสองตัว
“ทำไมถึงกลัวมันล่ะครับ”
“ตอนเด็กๆ แม่เคยพาไปเที่ยวบ้านสวน แล้วอยู่ดีๆ มันก็มาจากไหนไม่รู้วิ่งไล่ข้าว ข้าวตกใจวิ่งหนีไม่คิดชีวิตเลยค่ะ ตั้งแต่นั้นเลยกลัวมันมาก”
เมื่อนึกถึงความทรงจำที่น่ากลัวในวัยเด็ก หญิงสาวก็เสียวสันหลังขนลุกชันขึ้นมาทันที
“ผิดกับผมเลยนะครับ ตอนที่ประจำอยู่ชายแดน หรือฝึกภาคสนาม ถ้าไม่ได้ไอ้ตัวพวกนี้ก็คงอดตายอยู่ในป่า”
“อี๋!! ไม่เอาไม่พูดถึงมัน”
“อ้าวผมพูดจริงนะครับ เมื่อถึงเวลานั้นเพื่อความอยู่รอดก็ต้องทำครับ แล้วก็นะ...”
แล้วชายหนุ่มก็ร่ายยาวถึงประสบการณ์การใช้ชีวิตอยู่ในป่า ในอดีตที่ผ่านมา โดยที่ร่างเล็กไม่ได้สนใจฟังเลยสักนิดเพราะมัวแต่กลัวไอ้ตัวที่มันยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง โดยไม่รู้เลยว่าคนที่เดินนำหน้านั้นพาเธอเดินออกห่างจากเจ้าตัวเงินตัวทองนั้นมาไกลมากแล้ว
TooMMeng
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ม.ค. 2556, 11:21:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ม.ค. 2556, 11:21:18 น.
จำนวนการเข้าชม : 1247
<< บทที่ 2 (ตามรัก... 1) | บทที่ 2 (ตามรัก... 3) >> |