เรื่องสั้นสีหม่น
เรื่องสั้นสีหม่นๆ จากตลกร้ายของคนรอบข้าง ผ่านการดัดแปลง เสริมแต่ง ของนักหัดเขียน
Tags: เรื่องสั้น อกหัก แอบรัก การรอคอย

ตอน: เรื่องสั้น-สุดทางรัก

“อีก 5 นาที”

“อีก 3 นาท...”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูตามจังหวะเป็นเอกลักษณ์ดังขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงที่สอดแทรกความห่วงใยของแม่ “ไม่นอนอีกเหรอจอย จะเที่ยงคืนแล้วนะลูก”

“เดี๋ยวจ๊ะแม่ ขอจอยเคาท์ดาวน์ก่อน” ฉันตอบไปอย่างนั้น

“เคาท์ดาวน์อะไร พรุ่งนี้จ๊ะปีใหม่ หลงวันรึไงเรา นอนได้แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไปเข้าเวรไม่ทันพอดี” แม่บ่นอีกชุดก่อนจะเดินจากไป

ส่วนฉันยังคงนั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์ต่อ จนล่วงเข้าวันใหม่ไปกว่า 15 นาที จึงวางเจ้าเครื่องมือสื่อสารที่เป็นเหมือนปัจจัยที่ 5 ลง ตามด้วยทิ้งตัวลงแผ่หลากับที่นอนอย่างหมดแรง ราวพึ่งเสร็จจากภารกิจแข่งขันไตรกีฬา

“ทำไมไม่โทรมา” ฉันรำพึงรำพันกับตัวเองอย่างสิ้นหวัง “เพราะมีใครแล้วใช่มั้ย” คำถามของฉันที่ฝากลอยลมไปถึงใครบางคนอย่างไม่มีวันได้คำตอบ พร้อมกับที่น้ำใสๆพากันทิ้งตัวมาทางหางตา


....................................................................


“จอยยยยยยยยยย” ชื่อฉันที่ถูกเรียกด้วยเสียงดังจนสะดุ้งทำให้ฉันต้องรีบละสายตาจากจี้ตัวอักษร TJ ที่สร้อยข้อมือเส้นเก่งหันไปหาต้นเสียง “พี่ผึ้ง”ฉันส่งเสียงเรียกคนที่ทำให้ฉันต้องสะดุ้งเบาๆ “มีอะไรรึเปล่าค่ะ”

“ไม่มีย่ะ ฉันเห็นเธอใจลอย เลยลองเรียกดูว่าใจไปถึงห้องยาในรึยัง” พี่ผึ้งกระเซ้าฉันเบาๆ ซึ่งฉันไม่รู้ว่าควรตอบสนองคำกระเซ้านั้นอย่างไรดี จะให้เขิน ฉันกับใครคนนั้นที่เป็นต้นเหตุของคำกระเซ้าก็ไม่ได้อยู่ในสถานะพิเศษแบบที่พี่ผึ้งคิดไปเอง จะให้ตั้งตาตั้งตาปฏิเสธก็คงไม่วายถูกข้อหาร้อนตัว จะให้รับสมอ้างก็ไม่ใช่นิสัยของฉัน ฉันจึงได้แต่ทำสีหน้าอิหลักอิเหลื่อ ให้พี่ผึ้งขำเล่น

“คนไข้น้อยนะ” อยู่ๆพี่ผึ้งก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสียดื้อๆ ราวกับหมดสนุกที่จะแกล้งแหย่กระเซ้าฉันอีก
“ค่ะ” ฉันก็ยังคงตอบน้อยและเบาดังเดิม

“ฉันนั่งรอจนเป็นผู้หญิงสามหาวไม่รู้กี่รอบแล้ว ไปหากาแฟกินดีกว่า เอา’ไรมั้ยจอย” พี่ผึ้งพูดพร้อมกับลุกจากเคาท์เตอร์จ่ายยา

“ร้านริมรั้วเหรอคะ”ฉันถามในขณะที่ที่พี่ผึ้งส่งเสียงตอบรับ อือ ในลำคอ “งั้นโกโก้หวานน้อยซักแก้วละกันคะ” “สองเลยล่ะกันเพื่อไอ้ทศมัน”พี่ผึ้งสวนขึ้นทันทีที่ฉันพูดจบ ก่อนจะเดินจากไปทันที

ด้วยวันนี้เป็นวันสิ้นปี ผู้คนส่วนใหญ่จึงมักจะอยู่กับครอบครัว หรือเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนกัน ทำให้คนไข้ผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลรัฐอย่างโรงพยาบาลที่ฉันทำงานอยู่น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แต่อย่างไรก็ตามบุคลากรทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นหมอ พยาบาล เภสัชกรอย่างฉัน รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ธุรการ เวรเปล นักโภชนากร ผู้ช่วยพยาบาล และอีกหลายๆคนก็ยังต้อยคอยผลัดเปลี่ยนกันอยู่เวรที่โรงพยาบาล เผื่อมีผู้ป่วยเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาในระหว่างวันหยุดเช่นนี้ โดยที่ห้อยจ่ายยานอกหรือห้องจ่ายยาสำหรับผู้ป่วยนอกที่ฉันอยู่เวรในตอนนี้นั้นเรียกได้ว่าแทบจะร้างผู้คนผิดกับวันปกติที่เภสัชกรต้องจ่ายยากันมือเป็นระวิงจนแทบไม่มีเวลามองหน้าคนไข้จึงจะทันกับจำนวนคนไข้ที่มารับยา ซึ่งแตกต่างจากบนหอผู้ป่วยที่ยังคงทำงานกันปกติไม่ต่างจากวันธรรมดา และแผนกฉุกเฉินที่ค่อนข้างจะมีภาระงานที่หนักกว่าปกติเนื่องจากเป็นช่วงที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยกว่าปกติ เภสัชกรอย่างฉันและพี่ที่อยู่เวรห้องยานอกจึงมีเวลาว่างมากพอที่จะปลีกตัวไปทำธุระสั้นๆได้โดยไม่กระทบกับคนไข้

หลังจากพี่ผึ้งเดินออกไปไม่นานก็กลับมาพร้อมโกโก้เย็นหวานน้อย 2 แก้ว และกาแฟที่พร่องเกือบหมดแก้ว “เอาไปให้ทศมันด้วยสิ ฉันเมื่อยขาแล้วเดี๋ยวเฝ้าเคาท์เตอร์ให้เอง” พี่ผึ้งบอกพร้อมกับยื่นถุงหิ้งสำหรับแก้วเครื่องดื่มมาให้ฉัน ซึ่งคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าต้องเดินเอาโกโก้ไปให้คนที่ถูกเอ่ยถึง

“ทำไมกลับมาเร็วนักอ่ะ” พี่ผึ้งถามทันทีที่ฉันกลับถึงห้องยานอก

“เจอป้าพรข้างหน้านี้ เลยฝากแกขึ้นไป” ฉันเอ่ยถึงเจ้าพนักงานเภสัชคนหนึ่งซึ่งเจอระหว่างทางไปห้องยาใน ซึ่งพี่ผึ้งก็พยักหน้ารับรู้

“แล้วเมื่อวานไปฉลองกันที่ไหน” พี่ผึ้งยังคงสรรหาเรื่องคุยฆ่าเวลาต่อไป คราวนี้หาข้อสนทนาเป็นการถามไถ่ถึงการฉลองวันเกิดของฉันซึ่งผ่านมาเมื่อวาน ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่มีอะไรใกล้เคียงคำว่าฉลองเลย แค่ตักบาตรตอนเช้า กับทานข้าวเย็นกับที่บ้านตามปกติ แต่สำหรับฉันมันเป็นวันที่รอคอย เพราะทุกปีใครบางคนได้ทำให้มันเป็นวันพิเศษด้วยการโทรหากันแล้วคุยกันจนล่วงเข้าวันใหม่ ก่อนจะฝากความหวังลมๆแล้งๆว่าปีใหม่นี้คงได้เจอกัน แต่มันไม่เคยเป็นจริง

“ก็กินข้าวกับที่บ้านปกติค่ะ” ฉันตอบคำถามพี่ผึ้งด้วยโทนเสียงราบเรียบเช่นเคย
“พาไอ้ทศไปเปิดตัวเหรอ” พี่ผึ้งทำเสียงตื่นเต้น

“ทำไมต้องเปิดตัวค่ะ”ฉันแย้ง “พ่อกับแม่ก็รู้จักทศอยู่แล้ว ลูกค้าเกตส์เฮาส์นะคะ ไม่รู้จักจะเก็บเงินถูกเหรอ”

“ย่ะ ฉันหมายถึงในฐานะคนรู้ใจอะไรแบบเนี่ย”พี่ผึ้งค้อนฉันก่อนจะระบุนัยประโยคลงไปชัดๆ

“ม..”ยังไม่ทันที่ฉันจะปฏิเสธ เสียงเพลงประกอบซีรี่ย์เกาหลีที่ถูกตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของฉันก็ดังขึ้น เบอร์ไม่คุ้นตาเนื่องจากไม่ค่อยได้โทรมา แต่คุ้นใจเพราะอย่างไรฉันก็ไม่มีวันลืม ทำให้ลืมบทสนทนาที่ยังค้างอยู่กับพี่ผึ้งเสียสนิท

“ฮ...ฮัลโหล” ฉันตอบรับอย่างไม่ค่อยแน่ใจ รู้สึกเหมือนฝันไป ในที่สุดเค้าก็ไม่ได้ลืมที่จะโทรหาฉัน แม้มันจะสายไปหน่อยก็ตาม

“ฮ...ฮัลโหล เอ่อ... จ...จอย ครับ” เสียงที่ตอบกลับมาฟังดูไม่ค่อยแน่ใจ ฉันจึงเป็นฝ่ายต้องทำให้คู่สนทนาผ่อนคลาย “จ๊ะ จอยเอง”

“ว่างอยู่มั้ย” อีกฝ่ายถามมา “จ๊ะ จอยเข้าเวรอยู่แต่ตอนนี้ยังไม่มีคนไข้ คุยได้” ฉันสำทับลงไป

“เอ่อ ก้อยให้โทรมา ประชุมสายกัน แป๊บนะ” เขาบอกก่อนเสียงเรียกสายจะดังขึ้น หัวใจฉันที่พองโตขึ้นตอนเห็นเบอร์โทรศัพท์เขา เหมือนถูกเอาเข็มจิ้มให้แตก ความรู้สึกฉันตอนนี้รู้สึกไร้ค้าไม่ต่างจากคืนที่ผ่านหลังจากแน่ใจว่าเขาคงไม่โทรมา ‘นี่เขาโทรมาเพราะคนอื่นบอก’ ฉันได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจ

และก่อนที่ฉันจะได้จมในห้วงทุกข์ของตัวเองนานเกินไปเสียงใสๆของใครอีกคนก็ดังมาตามสาย “จอยยยยย”

“ขา พี่ก้อย” ฉันตอบออกไปอย่างร่าเริงไม่แพ้กัน

“แฮป แฮปนะ” ประโยคสั้นๆแทนคำอวยพรวันเกิดจากพี่ก้อยเพื่อนคนเดียวที่ยังคงส่งข้อความอวยพรผ่าน SMS มาทุกปีแม้จะมี social network ที่แทบเป็นช่องทางหลักในการติดต่ออย่างทุกวันนี้

“ค่ะ เจ้บอกหนูแล้ว”ฉันกล่าวออกไป

“เออ พรุ่งนี้มาเจอกันหน่อยสิ ร้านเดิมก็ได้” พี่ก้อยคงหมายถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่พวกเราเคยไปกินสมัยมัธยม

“เจ้มาบ้านเหรอ” ฉันร้องออกไปอย่างตื่นเต้น “อือ”ยังคงเป็นเสียงพี่ก้อยที่ตอบกลับมาโดยเขาคนนั้นยังสมัครใจจะเป็นผู้ฟัง

“จะเอาการ์ดไปให้นะ” หลังจบประโยคนั้นเสียงของเขาก็ร้องออกมาอย่างตกใจ “ก้อย!!!!”

“ทำไม”พี่ก้อยเป็นถามเขาบ้างหลังจากที่ผูกขาดการสนทนาอยู่กับฉันเพียงคนเดียว “จะเร็ว จะช้าจอยก็ต้องรู้ จะให้จอยรู้จากก้อย หรือจะให้จอยรู้จากคนอื่น” พี่ก้อยพูดจบเราทั้งสามคนก็พากันเงียบไป จนกระทั่งฉันอดทนต่อไปไม่ไหว

“มีอะไรที่จอยควรรู้รึเปล่า” ฉันถามลอยๆอย่างไม่เจาะจงว่าจะถามใคร

“เจ้จะแต่งงาน” “ผมจะแต่งงาน”สองเสียงที่ตอบออกมารัวเร็วราวกับกลัวอีกฝ่ายจะชิงพูดก่อนทำให้แทบไม่ต้องเดาว่าเจ้าสาวของเขา และเจ้าบ่าวของพี่ก้อยเป็นใคร ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าสองคนนี้คงรักกันไม่น้อยต่างฝ่ายต่างแย่งชิงกันบอกข่าวที่ต้องทำร้ายจิตใจฉันก่อนเพื่อที่อีกคนจะได้ไม่ต้องถูกฉันเกลียด ภาพกล่องข้อความในเว็บไซต์ social network ของพี่ก้อยที่ฉันเห็นผ่านตาเมื่อเกือบปีที่ผ่านมาเหมือนจะเด่นชัดขึ้นในความทรงจำ

Tey Tok Toy สวย

Little Finger รูป??

Tey Tok Toy คนด้วย

Little Finger พูดงี้มาคบกันเลยดีกว่า

Tey Tok Toy เออนั่นสิ เราเคยเป็นแต่เพื่อนสนิทแฟน แฟนเพื่อนสนิท ลองมาเป็นแฟนกันบ้างดีมั้ย

ไม่มีใครรู้ว่าประโยคนั้นเป็นแค่การหยอกล้อกันปกติ หรือการโยนหินถามทางของใครแต่ชั้นก็กดไลค์ให้กับประโยคที่คล้ายจะเป็นการจีบแบบมึนๆของฝ่ายชายไปแล้ว และเพราะไม่มีการตอบรับจากฝ่ายหญิงเรื่องนี้จึงเลือนหายไปจากความทรงจำของฉันจนกระทั่งตอนนี้

หากใจของฉันที่ถูกจิ้มให้แตกโพละไปก่อนหน้านี้ยังพอมีเศษซากเหลืออยู่ตอนนี้มันคงถูกขยี้จนแหลกละเอียดไม่เหลือซาก มันทำให้ฉันต้องหลั่งน้ำตาอยู่ในอก หวนคิดไปถึงอดีตที่เขาไม่เคยออกหน้าปกป้องฉันไม่ว่าจะในฐานะอะไรแล้วพาลทำให้อิจฉาพี่ก้อย แต่เมื่อมันเป็นความสุขของคนที่ฉันรักทั้งสองคนสิ่งที่ฉันทำได้คงมีเพียงเท่านี้แค่ทำเหมือนเป็นผู้หญิงโง่ๆ ไม่เข้าใจไม่รู้สึกรู้สาอะไร

“เฮ้ย ดีใจด้วยนี่เรื่องน่ายินดีสุดๆเลย วางแผนไล่ๆกันแบบนี้คงไม่ได้แต่งกันเองใช่มั้ย ไม่งั้นจอยเลือกไม่ถูกนะว่าจะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว หรือเพื่อนเจ้าสาวดี” ฉันทำเป็นว่าดีใจแบบสุดๆ ผู้หญิงตีสองหน้าเป็นยังไงฉันได้รู้จักในวินาทีนี้เอง

“คือ ผมกับก้อยจะแต่งงานกันต้นเดือนพฤษภาที่จะถึงนี่แหละ” เป็นเขาลงดาบสุดท้ายบั่นคอเจ้าความรัก ความหวัง หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มันพอมีเป็นรูปเป็นร่างระหว่างฉันกับเขาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

“อ้าว แล้วงี้จอยจะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว หรือเพื่อนเจ้าสาวดี” ฉันยังคงทำเป็นกังวลกับการตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว หรือเพื่อนเจ้าสาว เผื่อว่าหากความรู้สึกข้างในมันอยากจะแสดงตัวออกมา ฉันจะได้มีข้ออ้างสำหรับน้ำเสียงไม่สดใสที่อาจหลุดออกมา

“ก็ต้องเพื่อนเจ้าสาวสิ เราเรียนด้วยกันมาตั้งหลายปีนะ” พี่ก้อยที่คงจะโล่งใจที่ฉันไม่ได้ก่อปัญหาใดๆขึ้นพูดอย่างสดใส

“แค่ 3 ปีเอง ผมกับจอยรู้จักกันมาก่อนก้อยนะ” เขาเป็นฝ่ายเถียงขึ้นมาบ้าง สงครามแย่งฉันที่เกิดขึ้นระหว่างว่าที่บ่าวสาวทำให้บรรยากาศที่เกือบตึงเครียดก่อนหน้ากลับมาสดใสอีกครั้ง ฉันจึงบอกกับตัวเองในใจว่าคิดถูกแล้วที่ทำแบบนี้ ที่ยอมเจ็บปวดคนเดียว

ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วฉันจะต้องเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวหรือเพื่อนเจ้าสาวกันแน่ เพราะสงครามแย่งชิงฉันยังไม่ทันจบ พี่เจ้าพนักงานเภสัชก็เดินนำตะกร้าใส่ซองยาพร้อมใบสั่งยามาส่งให้ ฉันจึงขอตัววางสายก่อนจะมาตรวจสอบความถูกต้องของยาก่อนส่งให้พี่ผึ้งตรวจซ้ำ หรือที่เรียกกันในโรงพยาบาลว่า การดับเบิลเช็คยา ก่อนจะรอจ่ายให้ผู้ป่วยซึ่งยังไม่เสร็จธุระจากฝ่ายการเงิน

หลังจากผู้ป่วยรายสุดท้ายเดินจากไปฉันก็กลับเข้าสู่ภวังค์ความคิดของตัวเองอีกครั้ง จี้ตัวอักษร TJ บนสร้อยข้อมือที่ฉันบอกกับทุกคนว่ามันเป็นของแทนใจจากเพื่อนสมัยเรียน ที่หลายๆคนที่รู้จักทั้งฉันและทศ เข้าใจผิดว่ามันเป็นของแทนใจระหว่าง ทศนทีและจิรกานต์ ในวันที่ยังคงเป็นนักศึกษาเภสัชต่างสถาบัน แต่มีเพียงฉันเท่านั้นที่รู้ว่ามันคือจี้อันเดียวกับที่ เต้ยหรือกรุณพล ว่าที่เจ้าบ่าวของพี่ก้อย มอบให้ฉันในวันแรกที่รู้จักกัน วันเกิดฉันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว

“ผมให้จอย” เขายื่นกล่องที่บอกว่าให้มาข้างหน้า ท่าทางเขินอาย ผิดกับเวลาปกติที่มักเป็นหัวโจกของกลุ่มเพื่อน

“ให้ เรา” ฉันในวันที่กำลังจะเปลี่ยนคำนำหน้ามาเป็นนางสาวถามซ้ำ เขาพยักหน้าตอบกลับมา ฉันจึงส่งยิ้มที่คิดว่าหวานที่สุดออกไปตอบแทน “ขอบใจนะ”

จากนั้นฉันกลับเขาก็ไม่ได้เคยคุยอะไรกันมากไปกว่ารอยยิ้มที่ส่งให้เวลาเดินสวนกัน และจดหมายน้อยที่ส่งผ่านเพื่อนสนิทของทั้งฉันและเขานานๆครั้ง จนกระทั่งวันสุดท้ายของการเป็นนักเรียนมัธยมต้นมาถึง

“ผมไปส่ง” เขาบอกพร้อมกับฉวยเอาถุงใส่บรรดาของที่ระลึกจากงานปัจฉิมนิเทศไปจากมือฉัน ก่อนจะเดินไปส่งฉันกลับบ้าน ซึ่งส่งในที่นี้คงไม่ไกลกว่าป้ายรถประจำทางหน้าโรงเรียน

“จอยจะไปเรียนที่อื่นมั้ย” เขาถามขึ้นขณะรอรถประจำทาง

“ทำไมเหรอ” ฉันถามเขากลับ

“ผมยังไม่มีโอกาสได้ดูแลจอยเลย”คำตอบของเขาทำให้ฉันยิ่งงงหนัก “ทำไมต้องดูแลจอย จอยมีป๊ากับแม่ดูแลอยู่แล้ว”

“ผมอยากได้ดูแลจอย เป็นอีกคนที่จอยจะนึกถึงเวลาไม่สบายใจนอกจากป๊ากับแม่ของจอย” เขาตอบกับมาหน้าแดงกล่ำ ก้มมองแต่มือของตัวเอง

“อ๋อออออ”ฉันพยักหน้างึกงักพร้อมกับลากเสียงเบาๆ กับคำตอบของเขา ความรู้สึกของการมีใครสักคนนอกจากคนที่มีสายเลือดเดียวกันมาคอยอาทร ห่วงใย มันอุ่นซ่านไปทั้งใจแบบนี้นี่เอง

“เต้ยก็... ก็ถามสิค่ะ ถ...ถ้าจอย ม...ไม่สบายใจ จ...จอยจะ บ...บอกค่ะ” ฉันก้มหน้าตอบในขณะที่หน้าเห่อร้อน พอดีกับจังหวะที่รถประจำทางมาถึงพอดี ฉันจึงรีบฉวยถุงใส่ของขึ้นรถ

จากนั้นเป็นต้นมาชีวิตฉันก็มีเขาเป็นส่วนหนึ่งมาโดยตลอด จากสถานะเพื่อนคนพิเศษ คนรู้ใจ คนรักก่อนจะจบจงอย่างคนแปลกหน้าก่อนเดินผ่านเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยเพียงไม่กี่วัน และในท้ายที่สุดกลับมาสู่สถานะที่เราจะรักษามิตรภาพไว้ได้นานที่สุด "เพื่อน" และฉันคงเป็นเพื่อนที่แหกกฎของการเป็นเพื่อนมาตลอด เป็นเพื่อนที่แอบรักเพื่อน เพื่อนที่ยอมเก็บซ่อนน้ำตาไว้แล้วจำแลงกายเป็นศิราณีส่วนตัวแม้ต้องน้ำตาซึมทุกครั้งที่รู้ว่าเขากำลังสนใจใครต่อใครหลายคน แลกกับคำทักทายที่มาพร้อมปัญหาหัวใจทุกครั้งที่ online ผ่านเว็บไซต์ social network


..........................................................................................


ขอบคุณที่คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ฉันจึงใช้เป็นข้ออ้างกับป๊าและแม่ว่าจะมาดูดาวที่ท่าน้ำ ฉันปล่อยให้น้ำตารินไหลช้าๆ ไม่มีเสียงสะอื้น ไม่มีคำรำพึงรำพันอย่างเมื่อครั้งความรักหลุดลอย ฉันให้ความเงียบคอยเป็นเพื่อนปลอมประโลม

เสียงฝีเท้าคุ้นหูเดินมาจากฝั่งที่เป็นเกตส์เฮาท์ก่อนจะหยุดเว้นระยะห่างจากฉันพอประมาณ แล้วทิ้งตัวลงนั่งเงียบๆ เป็นนานฉันจึงเอ่ยคำพูดออกไป “คบกันจริงๆดีมั้ยทศ” คนฟังเงียบหายไปกว่าครู่จึงตอบกลับ “อย่าเลย”ทศตอบอย่างเรื่อยเฉื่อยไม่มีความรู้สึกใดปนมา “เราเหมือนกันเกินไป” เขาเสริม ก่อนที่เราทั้งคู่จะปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง

หลายอึดใจทีเดียวก่อนจะมีประโยคตามมา “งานแต่งเพื่อนจอยเราจะไปด้วย” ฉันหันไปมองหน้าทศทันทีที่เขาพูดจบ เขายิ้มอ่อน “เหมือนที่จอยอยู่เป็นเพื่อนเราตอนงานแต่งเตย” จบประโยคนั้นฉันจึงยิ้มอ่อนส่งกลับไป น้ำตาที่เหือดแห้งจากใบหน้าเริ่มคลอหน่วยอีกครั้ง



นางสาวกระป๋อง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ม.ค. 2556, 01:48:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ม.ค. 2556, 02:22:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1389





คิมหันตุ์ 7 ม.ค. 2556, 10:14:00 น.
ถ้ามีเค้าโครงมาจากเรื่องจริงก็ขอให้ ทำใจได้ไวๆ
ปล. สนุกมากจ้า...อ่านได้ ลื่นไหลดีมากค่ะ ไม่บอกก็ไม่รู้ว่าเป็นมือใหม่ ^^


นางสาวกระป๋อง 7 ม.ค. 2556, 19:44:43 น.
ขอบคุณคุณคิมหันตุ์มากคะ เป็นคอมเมนต์แรกในชีวิตเลยนะคะ ดีใจจัง


ลูกกวาดสีส้ม 7 ม.ค. 2556, 19:55:19 น.
ถึงจะบอกว่าไม่อยากให้อ่าน แต่ก็มาอ่านแล้วนะ

แกเขียนได้ดีนะ สงสัยเพราะออกมาจากความรู้สึกจริงๆล่ะสิ

ขอให้แกแข็งแรงเร็วๆนะ ชีวิตยังอีกไกล

ปล.เขียนเหมือนเราอยู่ไกลกันเลยเนอะ


Auuuu 7 ม.ค. 2556, 20:52:18 น.
สู้ๆนะคะ


คิมหันตุ์ 8 ม.ค. 2556, 01:29:20 น.
ส่วนตัวชอบอ่านเรื่องสั้นค่ะ ก็เลยแวะมาให้กำลังใจ ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account