ซุ่มซ่อนมังกรสันโดษ
การผจญภัยของคู่แฝดจอมหาเรื่องที่ทำให้ชีวิตของคนในยุทธภพวุ่นวาย
Tags: กำลังภายใน แฝด มังกร

ตอน: 10 ปรารถนาอิสระ

ซุ่มซ่อนมังกรสันโดษ บทที่ 10 ปรารถนาอิสระ

เสียงเอะอะดังขึ้นภายในเรือ หลี่เปียวและเฉิงเจียวเจียวต่างขมวดคิ้วไม่เข้าใจ หลายวันที่จากไปเกิดเรื่องราวใดในเรือน้อย เสียงนั้นย่อมจดจำได้เป็นเสียงของฟางสงที่ตะโกนร้องโวยวาย ผิดกับบุคลิกปกติทั่วไปของมัน

“ข้าไม่ยอม เจ้าคิดบังคับข้าอีกหรือ” ฟางสงกำลังเสียสติ มันถูกเหล่ยเอ๋อกลั่นแกล้งมาหลายวัน ยิ่งมองหน้านางให้ยิ่งขัดใจยิ่งกว่าเดิม

“เกิดเรื่องราวใด” เฉิงเจียวเจียวเงยหน้าแล้วต้องตกตะลึง

สหายมันถูกแขวนไว้ด้วยด้ายใสกลางห้อง มีภรรยามันยืนเท้าเอวมองดูอยู่ เหล่ยเอ๋อหันมามองดูด้วยรอยยิ้มสดใส สมแล้วที่นางถูกเรียกหา...รอยยิ้มบูรพา

“ท่านพี่กลับมาแล้วเหรอคะ” เหล่ยเอ๋อเข้ามาเกาะแขนสามี นางเอ่ยวาจาอ่อนหวานออดอ้อนน่ารัก ราวกับทุกอย่างปกติดีอยู่

“น้องหญิงรีบปล่อยสงน้อยลงมาเถอะ” เฉิงเจียวเจียวรีบบอกกับภรรยาให้ละเว้นสหายมัน

“ท่านไม่สนใจข้าแล้ว เอาแต่สนใจสงน้อย ข้าไม่ปล่อย” เหล่ยเอ๋อทำท่ากระเง้ากระงอดไม่ใส่ใจในวาจาของสามี

หลี่เปียวเห็นไม่ได้การ คว้ากระบี่อ่อนตัดด้ายใส มิคาดด้ายใสนี้เหนียวยิ่งนัก ตัดเท่าไรไม่อาจตัดขาด มันจึงเร่งเร้าพลังถึงขีดสุดเกิดเป็นแสงสีเขียวเรืองรองฟาดฟันจนด้ายขาด ทำให้ฟางสงตกลงมายังพื้นห้อง

“เจ้า” ฟางสงไม่คิดคืนกำลัง ขยับเท้าด้วยโทสะเข้าหาเหล่ยเอ๋อ หลายวันที่ผ่านมา มันพยายามเอาชนะเหล่ยเอ๋อ ทว่าถูกนางแตะจุดต่างๆ ตามแขนขาปล่อยให้ลมปราณไหลเวียนอย่างอิสระ ทำให้ซึมซับโดยสัญชาตญาณ เผลอใช้ภูตพรายจำแลงออกมา

เหล่ยเอ๋อคงรอยยิ้มไว้บนดวงหน้า นางพลิ้วกายถอยหลังได้รวดเร็วกว่า เนื่องด้วยเป็นสิ่งที่นางใช้ออกอย่างชำนาญ นางเห็นความสำเร็จในวิถี มิมีเรื่องใดต้องกระทำอีก จึงยุติด้วยวาจา “ในที่สุดก็สำเร็จ เจ้าไม่ต้องเรียนอีกแล้ว”

ฟางสงชะงักกลางอากาศ มันงุนงงในวาจาของเหล่ยเอ๋อ ก่อนหันมาสำรวจลมปราณในกายตน มันเคลื่อนลมปราณตามนึกคิด เกิดเป็นช่องว่างในท้องน้อย จนลมปราณกลายเป็นวงล้อ ทำให้รู้สึกเคลื่อนไหวเรียบง่ายหากชัดเจน

“ที่แท้นอกจากขยับเท้ายังต้องสอดคล้องกับลมหายใจ เคลื่อนไหวลมปราณพร้อมกัน ข้าเข้าใจแล้ว” ฟางสงนั่งลงด้วยรอยยิ้ม สมาธิก่อเกิดจนไม่อาจสนใจผู้คนแล้ว

หลี่เปียวงุนงงหนัก จนเผลอถามออกมา “นี่เป็นเรื่องราวใด”

“เป็นความสำเร็จบางประการ ธุระสำเร็จแล้วหรือไม่” ประกายตาของนางราวสายฟ้าฟาดลงกลางใจผู้คน มองทะลุปรุโปร่งยิ่งนัก

“ย่อมต้องสำเร็จ มิเช่นนั้นยังไม่อาจพบหน้าน้องหญิง” เฉิงเจียวเจียวเข้าไปยืนอยู่ใกล้ประจบ สังเกตโทสะแห่งนางไม่ยากนัก

“ข้าพูดกับพี่เปียวเกี่ยวข้องอันใดกับท่านพี่” เหล่ยเอ๋อยังคงขุ่นเคือง ทำให้เฉิงเจียวเจียวรีบปลอบ ย่อมรู้จักภรรยาดี

“น้องหญิง ข้าหาได้ไม่ใส่ใจเจ้า เพียงร้อนใจเท่านั้น อย่าถือสาได้หรือไม่ เจ้ากำลังมีครรภ์ อย่าได้ขุ่นเคือง” เฉิงเจียวเจียวห่วงใยภรรยายิ่งนัก เมื่อนางกำลังมีครรภ์อ่อน อุปนิสัยร่าเริงจึงรบกวนด้วยขุ่นเคืองง่ายดายนัก

เหล่ยเอ๋อเห็นความห่วงใยของสามีอยู่บ้าง จึงรู้ว่าสามีนางหาได้ไม่ใส่ใจนางไม่ นางจึงยิ้มแย้มแจ่มใสดุจเดิม รอยยิ้มนางเปรียบไปดังตะวันยามเช้าทอแสงเรืองรองงดงามยิ่งแล้ว เป็นเสน่หั้บุรุษใดก็มิอาจไม่มอง

หลี่เปียวมองไปมา มันรู้สึกประหนึ่งผู้สังเกตการต่างๆ เห็นคนโน้นคนนี้มากมาย หากมิได้รู้จักสหายแฝดตระกูลฟาง ชีวิตคงต้องจืดชืดยิ่งนัก ทว่าหากถือสาเป็นเรื่องใหญ่ คาดว่ามันคงต้องปวดหัววุ่นวาย

“พี่เจียว ข้ามาเยี่ยมเยือน” สาวน้อยนางหนึ่งวิ่งเข้ามา ดวงหน้าสตรีนอกด่านจัดว่าคมคายงดงาม จมูกรั้นประหนึ่งอาชาพร้อมพยศ นางย่อมเป็นผู้หนึ่งซึ่งดื้อรั้นยิ่งนัก

“มาได้อย่างไรกัน หนิงจือ” เฉิงเจียวเจียวเรียกหาลูกพี่ลูกน้องด้วยความแปลกใจ

“ข้าเบื่อหน่ายนอกด่าน ใคร่คิดหาเรื่องราวกระทำในดินแดนแห่งนี้ นั่นใครกันรูปโฉมงดงามราวเทพบุตร” เฉิงหนิงจือมองไปยังฟางสงที่นั่งเงียบทบทวนวิชาตัวเบาที่เพิ่งได้รับทราบ…วาจานางที่แสดงออกเปิดเผยยิ่ง

“สหายข้าเอง คุณชายฟางสงและคุณชายหลี่เปียว ส่วนนางคือญาติผู้น้องข้า เฉิงหนิงจือ” เฉิงเจียวเจียวแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก

“ไปคุยกับข้าเถอะ” เฉิงหนิงจือเข้าไปดึงรั้งแขนฟางสงเดินออกไปจากเรือน้อย ปล่อยผู้คนงุนงง ทั้งหมดล้วนไม่อาจห้ามปรามนาง

ไปมารวดเร็วดังสายฟ้า...ท่าทางเปิดเผยดังแสงตะวัน

*****************************************


ฟางสงปล่อยสาวน้อยวัยเดียวกันดึงรั้งมันไปยังบ้านพักนาง ได้ยินนางพูดคุยมากมายถึงเรื่องราวที่มันเองก็ไม่อาจจดจำได้หมดสิ้น เพียงรับทราบว่านางเป็นผู้รักอิสระมากมายนัก ไม่ชมชอบถูกเก็บไว้ในเรือนครัว หากปรารถนาชมดูโลกกว้างให้มากไว้ ทำให้มันฟังอย่างเพลิดเพลินด้วยตัวมันเองขาดอิสระมาแต่เยาว์วัย จำกัดไว้เพียงในเมืองใกล้เคียงเท่านั้น

“ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ข้าได้เคยเดินทางไปยังแคว้นต้าหลี่ที่นั่นเป็นแคว้นเล็กที่งดงามยิ่งนัก” เฉิงหนิงจือรินสุราให้แก่คู่สนทนา

“ข้าอยากเห็นที่แห่งนั้นสักครั้งเช่นกัน” ฟางสงดื่มสุราเพียงไม่กี่ถ้วยกลับรู้สึกเมามาย อาจเป็นเพราะดื่มสุราน้ำชาร้อนนี้ในยามเหนื่อยล้า กระเพาะมันว่างเปล่าจึงรู้สึกมึนเมา

“หากพี่สงว่าง ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่านเอง” เฉิงหนิงจือสีหน้าแดงเช่นกัน ความสามารถเชิงสุราย่อมอ่อนด้อยกว่าฟางสงมากนัก เผลอเพียงใจคิด ถูกมันอุ้มขึ้นนั่งบนตักเสียแล้ว

“ย่อมได้” ฟางสงดื่มสุรามากมายเท่าไรไม่ทราบ รู้เพียงว่ามีผิวกายอ่อนนุ่มหอมฟุ้งยิ่งอิงแอบแนบอกมันในยามสติเลื่อนลอย มันจึงเชยคางสาวน้อยบนตักขึ้นมองดู

“แสงจันทร์ในค่ำคืนนี้ยังยอมแพ้ความงดงามเจ้า” ฟางสงเผลอจูบนางด้วยฤทธิ์สุรา

เฉิงหนิงจือมิอาจเอ่ยคำใด นางมิเคยต้องมือชายย่อมต้องสะท้านในเรือนกาย ทว่าปรารถนาชิดใกล้เทพบุตรรูปงามเช่นฟางสง เมื่อรสชาติที่ลิ้มลองแล้วมิเคยได้สัมผัสมา จึงเกิดความกระหายใคร่รู้

ฟางสงกลับลืมเลือนไป มันมิได้ข้องแวะกับสตรีมานาน ทั้งยังสุราน้ำชาร้อนฤทธิ์รุนแรง สติมันแทบขาดสิ้น มิอาจไตร่ตรองเรื่องราวใดแล้ว จึงเลือนมือดึงผ้าคาดเอวนาง...เป็นเหตุให้เกิดเรื่องราวไร้สติ

*****************************************


แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามายังในห้องหอ ฟางสงศีรษะแทบระเบิด เมื่อคืนมันดื่มไปมากน้อยเพียงใด น่ากลัวจะหนักหนากว่าวันที่ผ่านมามากหลาย จึงตื่นมาในสภาพไร้อาภรณ์ พลันยกมือขึ้นแตะที่ศีรษะ กลับมีผ้าคาดเอวของสตรีในมือมัน

“พี่สงตื่นแล้วหรือ” เสียงเฉิงหนิงจือดังขึ้น

ฟางสงหันไปมองต้นเสียงแทบทันที เห็นนางแต่งกายเพียงคลุมไว้ มันรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องราวอันใดในห้องนี้ ‘สงน้อยเอ่ย เจ้าพบเจอเรื่องยุ่งยากแล้ว’

เฉิงหนิงจือเห็นสีหน้ายุ่งยากใจของอีกฝ่าย นางจึงเดินมานั่งที่ขอบเตียงพร้อมมอบรอยยิ้มอ่อนหวานแฝงความสดใสไร้กังวลใดๆ ปลอบโยนฟางสงมิให้กังวลใจ

“ท่านอย่าได้ลำบากใจ ข้ามิเคยต้องการให้ผู้ใดมารับผิดชอบชีวิตข้า เพียงปรารถนาความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนเท่านั้น พี่สงท่านควรทราบ หนิงจือชมชอบอิสระยิ่ง เรื่องจะให้ตบแต่งเป็นภรรยาผู้ใดย่อมเป็นไปไม่ได้”

ฟางสงมองนางด้วยความแปลกใจ แรกเริ่มมันคิดถึงเรื่องยุ่งยากยิ่งแล้ว แต่กลับเป็นว่านางมิต้องการให้มันรับผิดชอบ ผิดกับคุณหนูนางใดในหล้าที่ต้องการตบแต่งกับมัน “เจ้าหมายความเช่นไร”

“ข้าเพียงปรารถนาที่จะรักท่านเท่านั้น ไม่ต้องการให้มีข้อผูกมัดอันใด เรื่องแค่นี้ท่านกลับไม่เข้าใจหรือ” เฉิงหนิงจือหัวเราะสดใส เสียงหัวเราะของนางเปิดเผยมิเสแสร้งแกล้งทำ

นางกลับเป็นผู้รักอิสระอย่างแท้จริง เป็นสตรีที่มีความคิดแปลกแยกจริงๆ

“ข้า” ฟางสงพูดไม่ออกจริงๆ มิเคยเจอสตรีดีงามที่มีความคิดเช่นนาง ย่อมต้องมึนงง

“ขอท่านอยู่กับข้าอีกสักหลายวันได้หรือไม่ ข้าปรารถนาอยู่กับท่านอีกสักระยะ จากนั้นจะไปจากท่านไม่สร้างความยุ่งยากแก่ท่านอีก” เฉิงหนิงจือเกิดรักแรกพบขึ้นอย่างง่ายดาย นางรู้สึกผูกพันกับคนผู้นี้ หากนางเองยังคงหวาดกลัวที่จะต้องถูกขังไว้ในเรือน...เป็นภรรยาผู้คน

“เรื่องราวต่างๆ แล้วแต่เจ้าเถอะ” ฟางสงพูดได้เพียงเท่านี้ สมองน้อยๆ ไม่อาจคิดเรื่องใดได้อีก เมื่อสิ่งต่างๆ ยุ่งเหยิงเกินทบทวน

“ขอบคุณพี่สง” เฉิงหนิงจือจูบที่แก้มคนรักนาง นางพอใจเพียงได้รัก หากไม่บีบบังคับให้คนที่นางรักตอบรับนาง

ปรารภนาเพียงปีกน้อย ใช้บินออกชื่นชมแผ่นดินทั่วหล้า ด้วยบัดนี้มิต้องแสวงหาผู้รู้ใจ และนางเองมิต้องการเพียงมีรักต้องผูกมัดไว้เพียงเรือนตาย

*****************************************


หลี่เปียวรอคอยสหายมันบนเรือน้อย ส่วนเจ้าของเรือนั้นจากไปแล้วทั้งเฉิงเจียวเจียวสหายใหม่และเหล่ยเอ๋อ เนื่องด้วยเวลานี้เหล่ยเอ๋อกำลังมีครรภ์ ไม่สะดวกอยู่ที่ใดนาน จึงต้องรีบกลับบ้านเพื่อรักษาทารกในครรภ์ให้ปลอดภัย

มันยังได้รับจดหมายทำให้สีหน้าถอดสี มันอ่านใจความในจดหมายจากพี่น้องร่วมสำนัก หวั่นวิตกขึ้นมาทันใด มีการเลือกเจ้าหมู่ตึกใหม่ เกิดเรื่องราวใด มันเองมิอาจทำความเข้าใจได้

“เป็นไรไป พี่เปียว” ฟางสงเห็นสหายหน้าตาซีดเซียวให้ห่วงใยยิ่งนัก

“สงน้อยกลับมาแล้วหรือ เป็นเช่นไรบ้างจากไปนานหลายวัน แม่นางหนิงจือค่อยปล่อยตัวมาหรือไร” หลี่เปียวปรับเปลี่ยนท่าทางให้เข้าที

ฟางสงหน้าแดงวูบ มันจับจ่ายเวลากับนางหลายวันจริง ทว่าวันนี้ตื่นเช้ามานางจากไปแล้วทิ้งไว้เพียงความคิดถึง มันมิได้รักนาง หากผูกพันกับนางยิ่งนัก เมื่อความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ย่อมต้องคิดถึงนางบ้าง

“สงน้อยมีสตรีที่ดีมาพบพานย่อมต้องตบแต่งผู้คนแล้ว” หลี่เปียวทำท่ากุมท้องหัวเราะกลบเกลื่อน

“นางจากไปแล้ว มิต้องการการผูกมัด ข้างงงันยิ่ง แต่ท่านอย่าได้เปลี่ยนเรื่องราว ข้าสังเกตออก มีเรื่องใดเกิดขึ้นท่านจึงกังวลถึงเพียงนี้” ฟางสงมองผู้คนทะลุปรุโปร่ง เข้าใจในสีหน้าของสหายได้ทันที

“ข้าคงต้องกลับหมู่ตึกสายฟ้าแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย สงน้อยเล่าคิดไปเยี่ยมเยือนบ้านข้าบ้างหรือไม่” หลี่เปียวคิดเชิญสหายเยี่ยมเยือนบ้าน แม้ไม่ต้องการให้พบเจอเรื่องราวร้าจกาจแต่คงยากห้ามได้

“ข้าไม่มีสิ่งใดกระทำ ยินดียิ่ง” ฟางสงนึกถึงเฉิงหนิงจือเช่นกัน แม้นางจากไปความรู้สึกนางยังตราตรึงใจมัน

หลี่เปียวเข้าใจสหายอยู่บ้าง ฟางสงแตกต่างจากฝาแฝด มิใช่คนไร้ความรับผิดชอบย่อมต้องสะท้อนในใจอยู่ สตรีนางนี้ทั้งแปลกแยกแตกต่าง ยอมรับว่ารักฟางสงแต่ไม่ยินยอมตบแต่งเป็นภรรยา

*****************************************


หมู่ตึกสายฟ้าอยู่กลางเมือง ผู้คนผ่านไปมาล้วนรู้จัก หาได้ไม่ยากนัก ทั้งวันนี้ผู้คนมากมายมาเพื่อร่วมพิธีเลือกเจ้าหมู่ตึกคนใหม่ ซึ่งอาจมิใช่คนตระกูลโอวหยังอีกแล้ว แต่ยังคงไว้ซึ่งศิษย์ที่สามารถเอาชัย

หลวงจีนไร้โศก...ตัวแทนวัดเส้าหลินเดินทางมาแล้ว ตามมาด้วยนักพรตคิ้วขาวแห่งบู๊ตึง ยังมีขอทานพิสดารประมุขพรรคกระยาจก ยังมีอู๋เจี้ยนผิง เจ้ายุทธ์คนปัจจุบัน และตัวแทนสำนักต่างๆ มากมาย

ในลานกว้างกลางหมู่ตึก มีผู้เข้าชิงชัยยืนอยู่ซ้ายคือ ศิษย์เอกมู่เวิ้นซาน...เจ้าของกระบี่ภูผา ส่วนขวาเป็นโอวหยังปิงปิง บุตรีคนเดียวของโอวหยังเชี่ยน เจ้าของกระบี่สายฟ้า

นี่ย่อมเป็นรอบสุดท้ายแล้ว เหลือเพียงไม่นานเจ้าหมู่ตึกคนใหม่จึงปรากฏ

“เริ่มได้” เสียงโอวหยังเชี่ยนดังขึ้น

ทว่ายังมิมีผู้ใดขยับ พลันเกิดเสียงคล้ายสายฟ้าคำรามมาจากชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งสวมชุดสีขาว กำลังปะทะฟาดฟันกับแส้ยาวสีแดงเพลิง ย่อมเป็นโลหิตคลั่งแห่งนครเหนือฟ้า

“กระบี่สายลมมิได้เก่งกาจดังคำล่ำลือ” โลหิตคลั่งกระหายโลหิตยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นโลหิตตน แม้มิได้หยุดมือทว่าวาจากลับมิอาจยุติได้

“พี่รองหยอกล้อเพียงพอแล้วหรือไม่” เสียงเด็กยักษ์ดังขึ้น มันย่อมมิใช่เด็ก เป็นชายร่างสูงใหญ่อวบอ้วนราวเจดีย์ขนาดย่อม กลับเรียกบุรุษหนุ่มชุดขาวเป็นพี่ชาย 9[,nvcztq glup’fy’ pbh,9kspuwihgfup’lk

“ยังมีผู้ช่วยอีกหรือ เข้ามาพร้อมกันเลยเป็นไร” โลหิตคลั่งราวหมาบ้าไล่กัดผู้คน มือมันโบกไปมา แส้สีแดงตวัดไปใกล้หน้าหยงหมิงคงมากหลายแล้ว ทว่ามันกลับตวัดแส้ทำร้ายผู้ชิงชัย

มู่เวิ้นซานโดนแส้ปะทะเข้าที่ท้องน้อย เมื่อมิทันได้ระวัง กระเด็นถอยไปอีกทาง กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง ส่วนโอวหยังปิงปิงกระโดดหลบได้ทัน นางอาศัยวิชาตัวเบาถอยหลัง เมื่อนางระวังตนเอาไว้ตลอดเวลา

เด็กยักษ์กลับไม่ทันระวังรับแส้เข้าเต็มๆ ทว่าไม่ขยับแม้แต่น้อย ลูบเบาๆ ไม่คล้ายบาดเจ็บสาหัส ราวกับถูกลมสัมผัสเบาๆ เท่านั้น

“ข้าเลิกเล่นแล้ว” หยงหมิงคงสะบัดมือปล่อยคล้ายกุมกระบี่ตัดแส้ขาดวิ่น เร่งพลังวัตรสีขาวเรืองรองจนเห็นเป็นรูปกระบี่ก่อนตัดสินใจเอาชัยโดยง่ายดาย ฟาดสายฟ้าลงกลางกระหม่อมโลหิตคลั่ง พร้อมสร้างภาวะกดดันมิให้ผู้คนหลบหนีไปยังที่ใดได้

โลหิตคลั่งมิอาจกล่าววาจาได้อีกแล้ว มันยืนนิ่งราวรูปปั้นสลัก ใบหน้าซีดเซียว โลหิตที่ไหลหยุดลงไม่ไหลอีก ของเหลวในกายมันแข็งหมดสิ้น มันย่อมหมดลมหายใจแล้ว

“เฮ้อ จบสิ้นแล้ว” หยงหมิงคงเก็บกระบี่สายลมใส่ฝัก ทว่าผู้คนต่างสงสัย มันเก็บสิ่งใดลงให้ฝักว่างเปล่า เมื่อมองมาไม่เห็นสิ่งใด

“พี่รองท่านเก่งยิ่งนัก” เด็กยักษ์ปรบมือมันชื่นชมศิษย์พี่มันยิ่งนัก

“ทารกน้อยเป็นเช่นไรบ้าง” หยงหมิงคงเป็นห่วงศิษย์น้องอายุมากของมัน เข้าไปตรวจสอบดู เห็นไม่เป็นไรก็เบาใจ ก่อนหันไปเผชิญหน้ากับชาวยุทธ์มากมาย

“ขออภัยท่านทั้งหลาย ไม่ทราบว่าข้ามาก่อกวนเรื่องราวใดไม่ มิตั้งใจจริงๆ” หยงหมิงคงมิได้ประสานมือขออภัย มันเพียงกล่าววาจาเท่านั้น สีหน้าท่าทางยืนนิ่งสงบนักยากคาดเดา

“พี่หมิงคง” ยี่เอ๋อเรียกหาอย่างสนิทสนม นางเดินทางมาพร้อมศิษย์พี่นางแทนอาจารย์

“ยี่เอ๋ออยู่ที่นี่ด้วยหรือ ยินดีได้พบอีกครา” หยงหมิงคงค่อยคลายท่าทางลง มีรอยยิ้มอ่อนโยนแก่ยี่เอ๋อ บุรุษรูปงามสวมเสื้อผ้าสะอาดแลดูภูมิฐานยิ่งนัก

“เจ้าเป็นใคร กลับมาทำร้ายผู้คน” อู๋เจี้ยนผิงต้องถามไถ่ชายหนุ่มแปลกหน้าด้วยสงสัย

“ข้านามหยงหมิงคง เพียงต้องการกระทำงานให้อาจารย์กำจัดโลหิตคลั่งเท่านั้น มิได้มีเจตนาก่อกวนเรื่องราว ขออภัยแล้ว” วาจาสุภาพอ่อนน้อม ทว่าแววตามิได้อ่อนน้อมดังวาจา มันเพียงสุภาพชนมิใช่ต้องยอมอ่อนข้อแก่ผู้คน

“อาจารย์” หลี่เปียวเข้ามาหลังมองดูเหตุการณ์ต่างๆ อยู่พร้อมสหาย

ฟางสงมองชายหนุ่มผู้นี้แล้วเห็นฝีมือที่ดีให้สนใจยิ่งนัก ส่วนหยงหมิงคงเองเมื่อเห็นฟางสงกลับนิยมชมชอบในบุคลิกท่าทางของอีกฝ่าย

“ลูกเปียวมาแล้วหรือ” โอวหยังเชี่ยนเห็นศิษย์อันดับแปดผู้ซุกซนกลับมาให้ยินดี ทว่ามิอาจแสดงท่าทีมากมาย ด้วยศิษย์เอกกำลังบาดเจ็บอยู่

“ได้ยินชื่อเสียงคุณชายฟางสงมานาน ได้พบหน้ากลับยิ่งต้องการร่วมดื่มสุรากับท่านยิ่งนัก” หยงหมิงคงคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้า ย่อมมีความพิเศษในรอยยิ้มอยู่บ้าง ทว่ามิมีผู้ใดสังเกตเข้าใจ

“ประสกหยงเดินทางมากำจัดมารร้ายผู้คนย่อมยินดี เพียงแต่ไม่ทราบประสกสังกัดสำนักใด โปรดบ่งบอกแก่อาตมาได้หรือไม่” นักพรตผู้ชราออกปากถามไถ่อย่างสงบ

“ข้าสังกัดสำนักใดย่อมมิอาจเปิดเผย อาจารย์ข้าสั่งการไว้ ข้ามิอาจขัด ขออภัยแล้ว” หยงหมิงคงปกปิดฐานะไว้ หากเปิดเผยออกไปย่อมต้องโทษทัณฑ์

“พี่รองท่านเราไปดื่มสุรากัน เจ้าด้วยไปเถอะ พี่รองชวนแล้ว ข้าจะทำสุราเบญจมาศสีทองมอบแก่เจ้า ข้าทำได้ดียิ่ง” เด็กยักษ์ตบอกแรงๆ ภาคภูมิใจในความสามารถตน ดวงหน้าใสซื่อของมัน ย่อมมิทำให้ผู้ใดรังเกียจ มีแต่เอ็นดูมันเพิ่มพูน

ฟางสงพยักหน้าอย่างไม่ลังเล ย่อมต้องรู้แน่ว่าต้องมีความนัยพิเศษแน่แท้ “พี่เปียวเห็นทีข้าต้องเมามายแล้ว ขอตัวก่อน”

ยี่เอ๋อเห็นฟางสงให้สะท้านในใจ นางกำลังนึกถึงเด็กร้ายกาจที่จากไปนาน ทว่ามิเคยไปไกลจากใจนางเลยแม้แต่น้อย นานวันยิ่งคิดถึงมัน หากมิอาจโทษกับฝาแฝดอีกคนได้

“สงน้อยสบายดี” ยี่เอ๋อออกปากถามไถ่

“สบายดี” ฟางสงทวนคำหันหลังให้ตระเตรียมจากไปพร้อมผู้ชวน

“เดี๋ยวนี้สงน้อยไม่ยอมต้อนรับยี่เอ๋อแล้วหรือ” ยี่เอ๋อเดินเข้ามาใกล้ฟางสง กระซิบแผ่วเบาบังคับกิริยาไว้อย่างยากเย็น

“ยี่เอ๋อยกเลิกคำสั่งแล้วเช่นนั้นหรือ” ฟางสงถามต่อ มันจดจำได้ ยี่เอ๋อสั่งความมิให้มันพบหน้า

“คำสั่งเหลวไหล สงน้อยอย่าได้ถือสา” ยี่เอ๋อพยักหน้าช้า ถอนหายใจออกมา

“ยี่เอ๋อจะไปยังที่ใด” กังเหลียงรีบติดตามมา ด้วยห่วงใย เกรงศิษย์น้องจักมีอันตราย หาได้มีจิตปฏิพัทธ์ต่อนางไม่

“ข้าคิดดื่มสุราร่วมกับสงน้อยและพี่หมิงคง พี่เหลียงอย่าได้เป็นห่วง สงน้อยต้องดูแลข้าอย่างดีแน่นอน” ยี่เอ๋อบอกให้ศิษย์พี่ห้าสบายใจ

สี่เงาร่างเดินจากไป ทิ้งให้ผู้คนสงสัย เมื่อไม่อาจจัดสรรคนติดตามไป ทราบดีว่ามิอาจติดตามได้ หาไม่แล้วอาจมีเรื่องวุ่นวายให้ต้องแก้ไข

“เรื่องคัดเลือกเจ้าหมู่ตึกคนใหม่ให้ยุติเพียงนี้ก่อนเถอะ ลูกซานบาดเจ็บย่ำแย่ เห็นทีต้องเลื่อนออกไปสักระยะหนึ่ง” โอวหยังเชี่ยนประสานมือคารวะให้กับสำนักต่างๆ ที่มาเป็นพยานในวันนี้

“มิเป็นไร เหตุการณ์ไม่คาดคิดย่อมต้องมีบ้าง อาตมาคงต้องขอตัวก่อน” หลวงจีนไร้โศกเพียงพยักหน้า ขยับฝ่าเท้าจากไปโดยไว

ทุกสำนักล้วนจากไป เหลือเพียงอู๋เจี้ยนผิงยังคงอยู่เพื่อสอบถามเรื่องราวบางประการ เมื่อเห็นหลี่เปียวกลับมาพร้อมฟางสง จึงต้องประเมินใหม่ มิตรภาพอาจเปลี่ยนบางสิ่งได้ ทว่าไม่ทราบสร้างสรรค์สิ่งใดให้เกิดขึ้นแก่ยุทธภพ

*****************************************


เมื่อกลับสู้ห้องโถง จึงต้องพูดคุยหารือตามเรื่อง หลี่เปียวรีบถามคำถามที่ต้องการคำตอบ “ท่านอาจารย์เกิดเรื่องอันใด จึงต้องคัดเลือกเจ้าหมู่ตึกใหม่”

“เกิดเรื่องเล็กน้อย ข้าได้รับบัญชาแห่งฟ้า” โอวหยังเชี่ยนบอกเล่าความจริงกับศิษย์แปดให้หนักใจนัก

“เรื่องมิเล็กน้อยแล้ว ศิษย์เคยเห็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รอดจากบัญชาแห่งฟ้า ไฉนท่านไม่บอกศิษย์ เหตุผลใดจึงได้รับมัน” หลี่เปียวสงสัยมากมาย แม้ตอนนี้ศิษย์พี่มันบาดเจ็บผู้คนวุ่นวาย

“น้องแปด ท่านพ่อมิต้องการให้เจ้ากังวล จึงไม่ได้บอกออกไปในจดหมาย เรื่องนี้ผู้ที่รู้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น” โอวหยังปิงปิงบุคลิกสงบนิ่ง นางเป็นสตรีที่สำรวมกิริยา

“หากคราวนี้ข้าต้องกังวลแล้ว เอาเถอะ เชื่อว่าสหายข้าต้องยินยอมช่วยเหลือแน่ ข้าไม่ยอมให้นครบ้านั่นมาทำร้ายเราได้ ท่านอาจารย์อย่าได้เป็นห่วงไป” หลี่เปียวมุ่งมั่นปกป้องหมู่ตึกสายฟ้าอย่างเต็มที่ คิดว่าสหายมันย่อมไม่ปล่อยวาง

“สหายเจ้าใช่ฟางสงหรือไม่ และผู้ใดรอดจากบัญชาแห่งฟ้ากัน” อู๋เจี้ยนผิงถามไถ่ตามต้องการ พักนี้ให้มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น และยากแก่การควบคุมขึ้นมากมาย

“ถูกต้อง เจ้ายุทธ์ เรื่องที่ท่านให้ข้าสืบนั้นคืบหน้าไม่มากมาย แต่เพียงพอให้ข้ารู้เรื่องสหายบ้างแล้ว สำหรับเรื่องผู้รอดคือเสียงน้อย ท่านจดจำได้หรือไม่ มีคดีเกี่ยวกับการตายของหิมะทมิฬ เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับเสียงน้อยจริงๆ เพียงไม่ทราบผู้ใดกระทำ นอกจากมันจะเป็นชนชาวผามังกรฯ ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับเสียงน้อย” หลี่เปียวบอกเล่า เพียงเก็บงำบางอย่างเอาไว้ อย่างน้อยมันก็ไม่ได้บอกเกี่ยวกับสหายชาวผามังกรฯ ทั้งหลายของมัน

“ฟางเสียงมีความเกี่ยวข้องกับผามังกรฯ หรือนี่ แล้วฟางสงเล่า” อู๋เจี้ยนผิงมองลึกลงไปสำรวจความจริง

“สงน้อยไม่รู้เรื่องราวใด ยังตกใจกับข้าเช่นกัน หากท่านไม่เชื่อไปถามท่านอาเป่าเถอะ ท่านอยู่กับข้าตอนที่เราไปตามเบาะแสของหิมะทมิฬ” หลี่เปียวกหันไปมองอาจารย์มันอีกครั้งหนึ่ง มิได้ใส่ใจท่าทีของเจ้ายุทธ์แม้แต่น้อย

“ท่านอาจารย์ข้าต้องขอร้องสหายข้าแล้ว ขอบัญชาแห่งฟ้าแก่ข้าได้หรือไม่” หลี่เปียวมีแผนการ เมื่อไม่อาจหลบเลี่ยง ยังคงต่อสู้กันอย่างกล้าหาญ

“ลูกเปียวเมื่อเจ้ามั่นใจ ข้าก็หมดห่วงแล้ว อย่างมากสู้แค่ตาย ยังต้องกลัวอันใด” โอวหยังเชี่ยนเชื่อมั่นในศิษย์ยิ่งนัก อายุมันมิใช่น้อยแล้ว ความตายจึงมิใช่เรื่องน่ากลัว ห่วงเพียงบุตรีและศิษย์ทั้งหลาย ทว่าล้วนช่วยเหลือดูแลกันและกันได้อย่างแน่นอน

*****************************************


คืนเดือนมืดมาเยือนอีกครา สายลมในคืนนี้สงบนิ่ง ผู้คนในหมู่ตึกล้วนระมัดระวังตน เมื่อได้รับบัญชาแห่งฟ้า ย่อมต้องเพิ่มการป้องกันให้มากขึ้น

เสียงฝีเท้าแผ่วเบาไม่ต่ำกว่าสิบคนดังขึ้นบนหลังคา ยามวิกาลเช่นนี้ผู้ดีย่อมไม่มา ผู้มาย่อมไม่ดี และต้องเป็นผู้คนที่หมู่ตึกสายฟ้ารอคอย ไม่นานนักพบเงาร่างผู้คนยืนอยู่กลางห้องปกปิดใบหน้าไว้ ทว่าเสื้อผ้ายังมีอักษร “เหนือฟ้า ใต้หล้า” อยู่ที่แขนเสื้อ

“เมื่อมาเยี่ยมเยือนไยไม่แสดงตน” เสียงฟางสงถามไถ่ ไฟในห้องจึงสว่างขึ้น มันนั่งอยู่ที่เก้าอี้เจ้าหมู่ตึกพาดขาคล้ายนอนรอเวลาผู้คนมาพบเจอ

‘ผิดท่า’ มันลอบด่าในใจ ไม่รีรอเวลา ลงมือท่าแรกก็ใช้ฝ่ามือทะลวงน้ำแข็งย่อมต้องเป็นผู้คนใต้สังกัดหิมะทมิฬ พุ่งเข้าหาฟางสง บังคับให้ฟางสงกระโดดลงจากเก้าอี้พลิ้วกายยืนบนพื้นคล้ายภูตพราย ทว่าระยะทางห่างไกลดาบยิ่งนัก นับว่าย่ำแย่แล้วจริงหรือ...

โจรร้ายที่เหลือต่างลงมาจากหลังคายืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ ล้อมวงเฝ้ามองทั้งสองคน

“มีอันใดน่าดู อย่าอยู่ว่าง เชิญอยู่เล่นเถอะ” ฟางสงพลิ้วกายสูงขึ้นเหนือคานเสา สะกิดปลายเท้าพุ่งไปยังดาบล่าพยัคฆ์ ก่อนออกไปยังนอกลานกว้างกลางหมู่ตึก ความเร็วระดับนี้ผู้พบเห็นล้วนตะลึงลาน

คนนครเหนือฟ้าต่างติดตามออกไป กลับต้องพบเจอแปดกระบี่แห่งหมู่ตึกสายฟ้า พร้อมทั้งหยงหมิงคงและเด็กยักษ์ยืนอยู่ เรียกว่า ‘ย่ำแย่’ จริงๆ สำหรับพวกมัน แปดกระบี่มิกระไร ทว่าฟางสง หยงหมิงคง และเด็กยักษ์ล้วนสามารถทำลายล้างพวกมันได้ พวกมันใช่ประเมินผิดไป

แปดกระบี่ที่ลือเลื่องมีเพียงนั้นจริงๆ หรือ…

กระบี่ที่หนึ่ง...กระบี่สายฟ้าคำราม

กระบี่ที่สอง...กระบี่ภูผาสะเทือน

กระบี่ที่สาม...กระบี่ศิลาทะลาย

กระบี่ที่สี่...กระบี่ตะวันส่องฟ้า

กระบี่ที่ห้า...กระบี่ดารากระพริบ

กระบี่ที่หก...กระบี่จันทราเคลื่อนคล้อย

กระบี่ที่เจ็ด...กระบี่สายฝนโปรยปราย

กระบี่ที่แปด...กระบี่ไผ่เขียวเรืองรอง

นี่ล้วนเป็นชื่อวิชาสูงสุดของแปดกระบี่ กระบี่พึ่งพาปราณกระบี่ ผู้ใช้จึงสำคัญ สามารถดึงปราณกระบี่ออกมาใช้ได้มากน้อยเพียงไร ชาวยุทธ์ล้วนไม่สามารถประเมินมันให้ต่ำทราม ระวังไว้จึงประเสริฐสุด

แน่นอน วิชาที่ดีต้องอาศัยเวลาขัดเกลา หมู่ตึกสายฟ้าของตระกูลโอวหยังย่อมต้องการประกาศศักดาออกมา คงมิต้องการให้ผู้คนดูหมิ่น ดังนั้นวิชาทั้งแปดย่อมต้องประหลาดพิสดารแน่แท้ เพียงไม่ปรากฏต่อผู้คนแพร่หลาย เก็บไว้เป็นความลับเฉพาะของหมู่ตึก

“ลองมาทดลองดูเถอะ” โอวหยังปิงปิงชักกระบี่ออกจากฝัก เสียงกระบี่ดังแสบแก้วหูทำให้รู้แล้วว่านางฝึกกระบี่สายฟ้าคำรามขั้นที่สองสำเร็จแล้ว จึงคิดเอาชัยเป็นคนแรก พุ่งเข้าสู่เขตการต่อสู้ของเจ้าคนร่างสูงปิดหน้า

เสียงกระบี่ปะทะดาบดังสะท้านไปทั่ว คนร่างสูงสุดเป็นคนของบุรุษเหล็กอาวุธมันย่อมไม่ธรรมดา ดาบสะท้านทั่ว มือของมันสั่นเทาเล็กน้อยค่อยหยุดสั่น ก่อนตวัดดาบสูงล้ำกว่าศีรษะคิดฟาดลงมา

ฟางสงเห็นผู้คนอยู่ว่าง จึงจับดาบล่าพยัคฆ์คิดทดลองวิชาต่อไป จึงมองตรงไปที่คู่ต่อสู้เดิม ก่อนสะกิดปลายเท้ายกดาบยักษ์ของมันคิดลงดาบ เพียงดาบนั้นคล้ายมีทิศทางแน่นอน ทว่าไร้ทิศทาง

ท่าวางกับดักล่อเป็นท่าหลอกล่อผสมท่ารุกใครคิดว่าเพียงหลอกล่อย่อมต้องแพ้พ่าย ท่าร่างแฝงพลังวัตรไร้เมตตาขั้นที่สองไว้ กระแทกลงไปที่แขนสมุนหิมะทมิฬ แขนขาดเลือดกระเด็นไปไกล เหลือไว้เพียงเสียงหัวเราะที่บ้าคลั่งของคนผู้หนึ่งที่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้

ดาบหนักที่กวัดแกว่งรุนแรงมากมาย ผู้คนมิอาจมองข้ามความเทอะทะของมัน

ทางด้านแปดกระบี่กลับมีผลลัพธ์ที่เหลือเชื่อ กระบี่ภูผาแม้ได้รับบาดเจ็บแต่ทรงอณุภาพไว้อย่างยอดเยี่ยม กระบี่นี้ทำผู้บุกรุกสะท้านไปทั่วร่างสั่นไหวไม่หยุดยั้ง มู่เวิ่นซานมองลงที่คู่ต่อสู้อย่างเยือกเย็น ก่อนตวัดกระบี่ปลิดชีพ

กระบี่ทุกเล่มล้วนเปล่งปราณกระบี่ออกมาอย่างเด่นชัด แสดงว่าหมู่ตึกสายฟ้าแอบซ่อนความสามารถเอาไว้ให้ศัตรูประเมินมันต่ำทราม เกิดความประมาทชนิดที่ต้องกลับไปทบทวน

“น้องแปดกลับรุดหน้าไปมาก สามารถใช้กระบี่ไผ่เขียวเรืองรองได้แล้ว เป็นเรื่องน่ายินดี” มู่เวิ่นซานตบบ่าศิษย์น้องคนเล็กด้วยรอยยิ้ม

“ศิษย์พี่ใหญ่ท่านหายดีแล้วหรือไร ไฉนสามารถฆ่าผู้คนได้ถึงเพียงนี้” หลี่เปียวค่อยโล่งใจ อาการศิษย์พี่ใหญ่มันมิใช่เรื่องเล็กน้อย

“เป็นข้ามีผู้ดูแลที่ดี” มู่เวิ่นซานเหลือบไปมองโอวหยังปิงปิง แน่นอนว่าในสายตานั้นย่อมมีความหมายแอบแฝง แม้ไม่ต้องการประลองฝีมือกัน ยังคงถูกบีบบังคับให้ต้องประลอง

“พวกเจ้าพูดเพียงวาจาเหลวไหลเท่านั้นหรือ” โอวหยังปิงปิงเพียงทำเป็นไม่ใส่ใจ หันหลังให้มองภาพคนนครเหนือฟ้าล้วนตกตายไปจนหมดสิ้น ด้วยฤทธิ์แปดกระบี่

ฟางสงเก็บดาบในห่อผ้าสีดำของมัน เดินไปสำรวจดูรอบข้าง จึงพบว่าล้วนเป็นชาวนครเหนือฟ้า หากว่าภัยพิบัตินี้ใช่หมดสิ้นแล้วหรือไม่

*****************************************
สวัสดีค่า ^^
คุณ konhin --- เรื่องทายาทซับซ้อนมากค่า อิอิ
คุณตุ้งแช่ --- แอบเห็นใจคนอ่านค่ะ หงิหงิ
ขอบคุณที่ติดตามนิยายนะคะ



เพลิงวารี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ม.ค. 2556, 21:31:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ม.ค. 2556, 21:31:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1499





<< 09 ร่ำสุรา...คบหาสหาย   
konhin 7 ม.ค. 2556, 22:42:10 น.
โอ้ สงน้อยโดนผู้หญิงชิ่ง ฮ่าๆๆ ถึงขั้นงง


ตุ๊งแช่ 8 ม.ค. 2556, 10:56:50 น.
55 สงน้อย อ่อนหัด ขอคารวะคนเขียน กับ 8 กระบี่ แต่ขาดอะไรรู้ไหม ขาดลมนะนั้น นึกถึงดิน น้ำลม ไฟเลย


จิรารัตน์ 18 ม.ค. 2556, 13:22:56 น.


ปอปู 21 ส.ค. 2556, 22:01:03 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account