ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ

เขา... นายตำรวจหนุ่ม

เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ

ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น

แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ

แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ

ตอน: บทที่ 4 (เริ่มต้น... 1)

บทที่ 4
(เริ่มต้น 1)

“แล้วไงต่อ”

“ก็ไม่แล้วไงหรอกนะ อีตานั้นตื้อชะมัดเลย เช้าถึงเย็นถึง มืออย่างกับตุ๊กแกเหนียวหนึบอย่างกับอะไรดี ฉันนะอยากจะต่อยให้เบ้าตาแตกจริงๆ”

รจนาเล่าเรื่องของชายคนที่เป็นที่ถูกอกถูกใจของคุณแม่เธออย่างเซ็งจิต หลังจากดินเนอร์หรูสุดฝืนใจในวันนั้น เขาก็ตามเธอติดมาเกือบ 1 อาทิตย์แล้ว

“ตายจริง... ร้ายขนาดนั้นเชียว”

“อีกอย่างนะฉันว่าตาก้องภพอะไรนั้นน่ะเจ้าชู้ตัวพ่อเลยนะยายข้าว ขนาดมาตามฉันต้อยๆ พอมีพยาบาลสวยๆ เดินผ่านตางี้มองซะหวานเชียว”

“โห! ร้ายกาจ รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ห่างๆ ตาคนนี้ไว้ดีกว่านะยายแยม”

ดลินาทำสีหน้ารังเกียจ ขนลุกซู่เมื่อได้ยินเรื่องราวจากปากของเพื่อนรัก เท่าที่ฟังนายก้องภพคนนี้ศัตรูของสตรีโดยแท้

“ตอนนี้หนีสุดชีวิต... กว่าจะเอาตัวรอดมาได้แต่ละวัน มันช่างเหนื่อยแท้”

จบประโยคก็ดื่มน้ำเปล่าเย็นเจี๊ยบไปอีกหนึ่งอึก เพื่อให้สามารถนั่งเมาท์กับเพื่อนรักได้ต่อ เมื่อเห็นว่าเรื่องราวของตัวเองไม่มีอะไรจะเล่าต่อรจนาก็รีบวกกลับไปที่เรื่องของดลินาทันที

“ไหนเล่ามาซิ เรื่องของแกกับผู้กองมาดเข้มไปถึงไหนแล้ว”

“ไปถึงไหน หมายความว่าไง”

“ไม่ต้องมาทำเป็นเฉไฉ เล่ามาเร็วๆ เลย”

“จะให้เริ่มจากตรงไหนล่ะ”

“อุว๊ะ!! ลีลาจริงนะแม่คุณ ก็ทั้งหมดนั้นแหละ อย่าท่ามากเดี๋ยวก็ไปสถานีตำรวจไปถามฝ่ายนู้นแทนเลย”

รจนาจ้องหน้าคนท่ามากอย่างเหลืออด ดลินาเห็นแล้วไปทำตัวรีบอยู่ตรงตู้เย็นพยายามหนีให้พ้นวิถีการเหวี่ยงมือของมือสาว

“ก็... แบบประมาณว่าวันไหนเขาว่างก็จะมาที่ร้านอยู่ด้วยจนถึงเวลาร้านปิด พอปิดร้านก็ไปกินข้าวด้วยกัน แค่นี้แหละ”

“แค่นี้! ไม่มีชวนไปทงไปเที่ยวบ้างหรือไง”

“ไม่มีจ้าไม่มี”

ดลินาส่ายหน้ายิกๆ เหงื่อเริ่มซึมตามไรผมเมื่อเห็นคุณหมอนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด ดูเหมือนกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง ดลินากลืนน้ำลายดังเอื๊อก!... งานเข้าแล้ว

“ยายแยม... หยุดเลยฉันรู้นะว่าแกกำลังคิดอะไรอยู่”

“รู้จริงน่ะ ไหนลองบอกมาซิว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ระบายอยู่บนหน้าทำให้ความมั่นใจของดลินาเกินร้อยทันทีว่าแม่เพื่อนตัวดีคงจะวางแผนให้เธอและศิวกรออกไปไหนกันสองต่อสองเป็นแน่ ดลินาเริ่มร้อนใจเมื่อเห็นรจนามองเธอไม่วางตาเหมือนกำลังสนุกอยู่กับของเล่นชิ้นใหม่

“พอเถอะนะ... ฉันขอร้องล่ะ แกไม่ต้องทำอะไรแล้ว”

“ทำอะไร... ฉันยังไม่คิดจะทำอะไรเลย”

“แต่หน้าแกมันบอกว่ากำลังจะวางแผนทำอะไรสักอย่าง”

“ไม่เชื่ออ่ะ”

ดลินาตอบกลับทันควันไม่คิดสักนิด รจนาหัวเราะร่วนเมื่อเห็นท่าทีระวังตัวแจของคนตรงหน้า

“แหม่... พอแล้วไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่ทำไรแล้วเบื่อ ถึงฉันไม่ต้องวางแผนอีกฝ่ายสงสัยจะเป็นคนชิงลงมือแล้วใช่ไหมล่ะ”

“ก็... ก็จะเรียกว่าไงดีล่ะ เขาไม่เคยชวนไปไหนมาไหนกันมาก่อน นอกเสียจากจะชวนไปทานข้าวบ้างเป็นบางครั้ง”

“แล้วแกพอใจกับความสัมพันธ์แบบนี้หรือเปล่าล่ะ”

คำถามนี้ทำให้ดลินานิ่งเงียบ ไม่ตอบกลับไปทันทีหญิงสาวกำลังทบทวนกับความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ สำหรับเขาหน้าที่ความรับผิดชอบมาเป็นอันดับหนึ่งเธอรู้ดี ถึงรู้จักกันมาไม่นานแต่เขาก็เป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ชอบก็บอกว่าชอบ เกลียดก็บอกว่าเกลียด ถึงแม้ดูจากบุคลิกภายนอกเขาเป็นคนที่นิ่งเงียบ แววตาจริงจังดูน่ากลัว เขาไม่ปิดบังในสิ่งที่เป็นเขา มีบ้างบางครั้งที่เธอทำอะไรไม่ถูกต้องเขาก็ดุเธอเหมือนกัน

เขาไม่ได้มาหาเธอทุกวัน บางครั้งหายไปนานเป็นอาทิตย์ เขาไม่ได้พูดคำหวานๆ กับเธอทุกครั้ง แต่ก็มีบ้างที่เอ่ยคำพูดหยอกเย้าชวนให้ใจเต้น ยามเมื่อเขามองมายังเธอเธอดวงตาคมกล้ามักเจือไว้ด้วยแววตาแห่งความห่วงใย เขาไม่เคยทำอะไรเกินเลยให้เธอต้องลำบากใจเป็นสุภาพบุรุษเสมอยามอยู่กับเธอ ดูแลเธอเอาใจใส่ในแบบของเขา

ไม่ของขวัญหรูๆ ทุกครั้งที่เจอหน้า ไม่มีการเรียกร้องขอในสิ่งที่ยากจะหาให้ เคารพในสิ่งที่เธอเป็น และเช่นเดียวกันเธอก็เคารพในสิ่งที่เป็นเขา

ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เขาคิดกับเธอเกินคำว่าเพื่อนไปแล้วหรือยัง แต่สำหรับเธอดลินาตกหลุมรักเขาเข้าอย่างจังจนหาทางขึ้นไปเจอเสียแล้ว ต่อให้เขาจะไม่ได้ชวนเธอไปไหนมาไหน หรือไม่ได้เอ่ยคำว่ารักออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน แต่การกระทำของเขา คำพูดของเขา รอยยิ้มของเขาต่างหากที่เธอรู้สึกว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

“พอใจสิ... เพียงแค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว”

จริง เมื่อได้ยินคำตอบจากเพื่อสาวที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ รจนาระบายยิ้มอย่างมีความสุข แล้วรู้สึกยินดีกับเพื่อนรักคนเธอคนนี้จากใจ

*********************************************

ภายในห้องทำงานของนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรบรรยากาศเต็มไปด้วยความตรึงเครียดทนงศักดิ์เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องเหมือนจะช่วยให้สามารถหาทางออกกับปัญหาที่เผชิญอยู่ตอนนี้ และที่โต๊ะทำงานด้านข้างศิวกรก็นั่งหน้าเครียดอ่านเอกสารในมือ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนกองรวมกันตรงหว่างคิ้วหมดแล้ว

“จะบ้าตาย... ปัญหาบ้าบอคอแตกอะไรวะเนี่ย อะไรมันจะใหญ่โตขนาดนั้น”

ทนงศักดิ์ร้องตะโกนพร้อมกับถูศีรษะตัวเองอย่างเหนื่อยหน่าย การเอาไม่ซีกไปงัดไม้ซุงมันเป็นเรื่องที่หนักเอาการ จะทำอะไรก็ต้องระวังทุกฝีก้าว พอจะลงมือทำก็ถูกห้ามเสียอย่างนั้น อ้างนู้นอ้างนี้สารพัดเขาล่ะหน่ายจริงๆ ศิวกรลดเอกสารลงโยนลงบนโต๊ะหมดอารมณ์อ่าน อันที่จริงเขาทนอ่านมันอีกต่อไป รายละเอียดที่ปรากฏอยู่บนหนังสือฉบับนั้นทำเอาเส้นเลือดตรงขมับเขาเต้นตุบๆ ไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้า โคนต้นกว้างหยั่งรากลึกลงดิน ยังถูกโค่นลงได้ด้วยขวานเดียว แต่ต้องแลกกับเวลา”

“เฮ้อ! มันก็จริงของแก แต่จะทำยังไงดีวะไอ้ศิลา เหยื่อที่วางไว้ปลามันไม่ยอมมางับเสียที”

“คงต้องวางแผนกันใหม่อีกครั้ง แต่คงต้องให้เป็นเรื่องที่ลับสุดยอดเพราะดูเหมือนว่าเกลือจะเป็นหนอนเสียแล้ว”

“ศัตรูภายในนี้น่ากลัวกว่าศัตรูภายนอกเสียอีก”

“ใช่... แต่เราจะยอมแพ้ไม่ได้ จะต้องทำให้มันจนด้วยหลักฐาน และคงต้องใช้สงครามจิตวิทยากันพอสมควร”

“เฮ้อ! เอาวะสู้กันอีกสักตั้ง ไหนๆ ก็เอาให้มันถึงที่สุดไปเลย”

“ถูกต้อง... ถึงเราจะทำอะไรเขาไม่ได้ คงได้เพียงแต่ต้องทำทุกสิ่งอย่างให้รัดกุม ระวังทุกฝีก้าว คงต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่อีกครั้ง ไม่ว่าจะล้มอีกกี่ครั้งเราก็ต้องลุกขึ้นมายืนให้ได้ ฉันเชื่อนะศักดิ์ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรยากเกินมานะคน”

*********************************************

ประตูร้านกาแฟยอดข้าวถูกเปิดออก พร้อมกับร่างหนาเดินผ่านประตูบานนั้นเข้ามาในร้าน เขาแปลกใจเมื่อเห็นหญิงสาวเจ้าของร้าน อยู่ในท่านั่งหันข้างเข้าพนักเก้าอี้แล้วเอามือเท้ากับพนักพิงซุกหน้าลงที่ท่อนแขนนั่งหลับอยู่ท่านั้น เขามองดลินาที่นั่งหลับไม่พอใจ

ศิวกรเดินเข้าไปใกล้แต่ว่าคนที่นอนหลับอยู่นั้นก็ยังไม่รู้สึกตัวเสียที นั้นทำให้ศิวกรไม่พอใจอย่างมาก ขนาดเขาเดินเข้ามาในร้านเสียงกระดิ่งที่หน้าประตูก็ออกจะดังเธอยังไม่รู้สึกตัว ดีนะที่เป็นเขาที่เดินเข้ามา ถ้าเป็นคนอื่นป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง

ศิวกรลดตัวลงนั่งใกล้ๆ เขย่าแขนเธอเบาๆ เพื่อปลุกให้หญิงสาวตื่นจากนิทรารมย์ หญิงสาวปรือตาขึ้นอย่างช้าๆ พยายามปรับภาพคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเธอ เมื่อรู้ว่าเขาคนนั้นเป็นใครเธอก็ยิ้มให้เขาอย่างน่าเอ็นดู

“ผู้กอง”

ได้ผลชะงักศิวกรหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง ความเหนื่อยล้าจากความเครียดที่เผชิญทั้งวันจางหายไปเพียงหนึ่งรอยยิ้มของหญิงสาวตรงหน้า

“มานานหรือยังคะ”

“นานแล้วครับ”

เขาปัดปอยผมที่หล่นลงมาปรกหน้าของหญิงสาวอย่างเบามือ ดลินาไม่ได้หันหน้าแต่เบนตาหนีไม่กล้าสู้สายตากับเขาเพราะความเขินอาย หญิงสาวไม่รู้เลยว่าอาการที่เธอแสดงออกอยู่นี้ทำเอาเขาอดใจแทบไม่ไหวอยากไปดึงเธอเข้ามากอดแล้วลงโทษเธอโทษฐานที่ทำให้เขาจิตใจหวั่นไหว

“มานอนหลับอย่างนี้มันอันตรายนะครับ”

“บรรยากาศมันชวนนอนนี้คะ... ตอนแรกแค่จะพักสายตาเฉยๆ ไปๆ มาๆ หลับเสียอย่างนั้น”

ดลินายันกายลุกขึ้นนั่งหลังตรง ดวงหน้ารูปหัวใจอมชมพูเมื่อกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้ง ดลินาลอบพิจารณาชายหนุ่มตรงหน้าเมื่อเห็นแววตาอ่อนล้าเธอก็เริ่มเป็นกังวล

“ไม่สบายหรือเปล่าคะ สีหน้าดูไม่ดีเลย”

“หน้าผมแย่ขนาดนั้นเลยหรือครับ”

ว่าแล้วก็ลูบหน้าของตัวเองแล้วทำเป็นไม่สนใจในเรื่องที่หญิงสาวเป็นกังวล

“จะปิดร้านหรือยังครับ”

“ทำไมหรือคะ”

ดลินาเหลือบมองนาฬิกาที่ข้างฝาอีกตั้ง 2 ชั่วโมงถึงจะปิดร้าน ถามเขาอย่างสงสัย

“ไปเดินตลาดรถไฟกันดีกว่าครับ”

“ตลาดรถไฟหรอคะ”

ดลินาถามอย่างตื่นเต้น เพราะตลาดรถไฟเธอตั้งใจจะไปเที่ยวหลายครั้งแล้วแต่ยังหาโอกาสประจวบเหมาะไม่ได้เสียที

“ว่าไงครับ อยากไปหรือเปล่า”

“ไปสิคะ อยากไปอยู่เหมือนกัน”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจัดการหน้าร้านเอง ส่วนหลังร้านต้องยกให้เป็นหน้าที่ของคุณนะครับ”

ดลินารับคำก่อนจะกระโดดเต้นไปตลอดทางอย่างดีใจไปจัดการทำความสะอาดหลังร้านโดยทิ้งให้คนตัวโตจัดการหน้าร้านอย่างที่เขาเสนอไว้ ลับร่างของดลินาไปศิวกรยืนยิ้มให้กับอาการดีใจแบบเด็กของหญิงสาว หินก้อนหนักที่ทับอยู่บนไหล่ของเขาถูกกะเทาะออกไปจนเหลือเพียงก้อนเล็กๆ ไร้น้ำหลัน

วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยล้าและท้อใจกับภารกิจที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ เขาต้องการกำลังใจจากใครสักคน มาช่วยเติมพลังให้เขามีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป แล้วใบหน้าของใครบางคนก็ลอยเขามาในห้วงความคิด ไม่รอช้า เขารีบเปิดไฟเลี้ยวเปลี่ยนทิศไปยังทิศตรงข้ามกับบ้านแทน และเมื่อได้เห็นใบหน้าที่ยังงัวเงียเพราะเพิ่งตื่นระบายยิ้มมาให้ ทุกความเหนื่อยยากลำบากใจละลายหายไปเพราะรอยยิ้มนั้น ดูถ้าวันเวลาที่ยากจะผ่านจากนี้ไปมันคงไม่ได้ลำบากอย่างที่คิดเสียแล้ว

*********************************************

อากาศของเดือนเมษายนที่ทุกคนต่างก็รู้กิตติศัพท์ของมันดีว่าร้อนเพียงไหน เพราะเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดในปีก็ว่าได้ แต่บรรยากาศภายในห้องประชุมกลับร้อนแรงยิ่งกว่าอากาศภายนอกเสียอีก เพราะตอนนี้พายุอารมณ์ของศิวกรกำลังโหมกระหน่ำ และดูเหมือนว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นายตำรวจแต่ละนายที่อยู่ใต้การปกครองของเขาต่างนั่งเหงื่อตก กลืนน้ำลายลงคอกันเป็นแถว เพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติงานนั้น ทำให้ศิวกรโกรธเป็นฝืนเป็นไฟตีหน้ายักษ์จนลูกน้องเขาแต่ละคนต้องก้มหน้าไม่กล้าสบตากับเขา

“ไม่ต้องก้มหน้า! เงยหน้าขึ้นมา!!!”

ปัง!!!!!

เสียงตะคอกและเสียงทุบโต๊ะที่ดังสนั่นนั้น ทำให้นายตำรวจหลายนายถึงกับสะดุ้งสุดตัว แล้วก็รีบเงยหน้าขึ้นมาตามคำสั่งของเขา ทุกคนต่างมีสีหน้าซีดเซียว พวกเขารู้ดีว่าศิวกรเป็นคนอย่างไร แต่ก็ยังปฏิบัติงานผิดพลาดเพราะ พวกเขาไม่ปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ จึงทำให้เป้าหมายของเขาไหวตัวแล้วหนีไปเสียก่อน

“ผมต้องการคำตอบว่าทำไมพวกคุณไม่ทำตามแผนที่วางเอาไว้”

ศิวกรพูดเสียงเรียบแต่น้ำเสียงกลับเย็นยะเยือกได้อย่างน่าขนลุก แม้แต่ทนงศักดิ์ที่เป็นถึงเพื่อนสนิทของศิวกรยังไม่กล้าที่จะเข้ามายุ่งกับเขาตอนนี้ ทนงศักดิ์มองลูกน้องของเขาที่นั่งหน้าซีดอย่างเห็นใจที่โดนศิวกรตะคอกเช่นนั้น แต่ในเมื่อพวกเขาผิดจริงทนงศักดิ์จึงไม่สามารถปกป้องอะไรได้ ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด

“ว่าไงจ่าดำรงค์ ผมขอเหตุผล”

“คือ...คือว่า...”

จ่าดำรงค์พูดเสียงอ่อย

“คือว่าอะไร!!!”

“คือว่า ผมคิดว่าเราน่าจะจับกุมพวกมันได้ ก็เลย...”

จ่าดำพูดไม่เต็มเสียง

“ก็เลยเข้าไปจับกุม โดยที่ไม่รอคำสั่งของผมอย่างนั้นหรือ แล้วผลออกมาเป็นยังไง”

“คือ....”

“ผมถามว่าแล้วผลมันออกมาเป็นยังไง!”

น้ำเสียงกดต่ำเล่นเอาผู้ที่อยู่ในห้องเสียวสันหลังกันเป็นแถว

“คนร้ายหนีไปได้ครับ”

จ่าดำรงค์ตอบอย่างลนลาน

“ดี...ดีมาก จ่าดำผมจะสั่งขังคุณ 4 วันฐานขัดคำสั่งของผมจนทำให้คนร้ายหนีไปได้ ส่วนพวกที่เหลือไปเขียนรายงานมาให้ผมอย่างละเอียดก่อน 4 โมงเย็น”

แล้วศิวกรก็เดินออกไปจากห้องประชุมอย่างเร็ว โดยที่ไม่สนใจคนในห้องอีกต่อไป ทุกคนที่อยู่ภายนอกห้องเมื่อเห็นศิวกรเดินหน้ายักษ์ออกมาจากห้องประชุมแล้วถึงกับถอยเป็นแถว แม้แต่ท่าผู้กำกับที่เดินออกมานอกห้องยังเสียวสันหลังเลยทีเดียว เมื่อพายุอารมณ์ของศิวกรได้พัดผ่านไปแล้ว ทุกคนต่างถอนหายใจและมีสีหน้าโล่งอกขึ้นมาเป็นกอง ทนงศักดิ์ที่ยืนเงียบมานานก็เปิดปากขึ้นมาบ้าง

“เป็นไงโดยก้อนศิลาเหวี่ยงใส่เจ็บมั้ย รู้อยู่ว่าถ้าขัดคำสั่งแล้วผลจะออกมาอย่างไร แล้วยังจะทำอีกนะจ่าดำ”

“โธ่... ผู้กองครับไม่ต้องตอกย้ำผมแล้วก็ได้ครับ แค่ผู้กองศิลาคนเดียวผมก็แย่แล้ว”

“ฮึ...ฮึ...ดี คราวหน้าจะได้ไม่ทำอีก”

ทนงศักดิ์หัวเราะในคอ

“จริงสิจ่าเอายากันยุงหน่อยไหม มุ้งสายบัวที่นี้ตามันใหญ่ยุงมันลอดไปได้ สงสัยคืนนี้ยุงจะเยอะ”

ทนงศักดิ์พูดทิ้งท้ายไว้แล้วก็เดินออกจากห้องประชุมแล้วตรงกลับไปที่ห้องทำงานของตน ปล่อยให้คนทำผิดยืนคอตก แห้งเหี่ยวอยู่ในห้องประชุมเพียงลำพัง ส่วนนายตำรวจที่เหลือน่ะหรือ...ไปปั่นรายงานกันหมดแล้ว

“ใจเย็นสิครับผู้กอง สงสารจ่าเขาหน่อย จ่าเขาแก่แล้วนะ”

ทนงศักดิ์พูดกับคนหน้ายักษ์ที่นั่งเขี้ยวงอกอยู่ที่โต๊ะทำงาน อย่างระมัดระวังคำพูด(!?) ทำให้ศิวกรหันมามองทนงศักดิ์อย่างหาเรื่อง

“เย็นแล้ว ไม่อย่างนั้นโดนยิ่งกว่านี้อีก”

“แกนี้นะ ถ้าลดความโหดลงอีกสักนิดเหมือนตอนที่อยู่กับคุณข้าวล่ะก็ แกจะน่ารักมากเลยว่ะ”

ศิวกรเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย

“แกพูดอย่างนี้หมายความว่าไง”

ทนงศักดิ์ไม่ตอบ แต่หยักคิ้วให้กับศิวกรแทน แล้วเขาก็กลับไปนั่งประจำที่ก่อนจะหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาอ่านปล่อยให้คนที่นั่งโต๊ะข้างๆ มองอย่างขุ่นใจ

*********************************************

วันนี้ดลินาไม่ได้เปิดร้านแต่อย่างใด เพราะตอนนี้เธอกำลังนอนโทรมอยู่บนเตียงเพราะพิษไข้ หน้าใสที่แดงระเรื่อยอยู่แล้วกลับแดงแป๊ดไปทั้งหน้า ตัวร้อนอย่างกับไฟ เหงื่อแตกพรากไปทั่วทั้งตัว

คุณหมอคนสวยจึงต้องโดดงานชั่วคราวเพื่อมาดูอาการของเพื่อนรัก รจนาตรวจนู้นจับนี้คนป่วยอยู่สักครู่ก็ได้ผลสรุปออกมาว่า ดลินาป่วยเป็นไข้ฤดูร้อน รจนาถอนหูฟังออกแล้วห้อยมันไว้ที่คอ แล้วหันไปเขียนอะไรขยุกขยิกก่อนจะส่งกระดาษไปให้พยาบาลที่รจนาพาตัวมาด้วย

“คุณดวงพรคะ แยมรบกวนคุณดวงพรช่วยจัดยาให้แยมหน่อยนะคะ แยมเตรียมมาเยอะที่กระเป๋ายาน่ะคะ”

“ได้ค่ะ”

แล้วคุณพยาบาลมากประสบการณ์ก็รีบจัดยาตามที่คุณหมอคนสวยเขียนสั่งไว้ รจนาเหลือบตามองคนป่วยที่นอนหมดสภาพอย่างเหนื่อยใจ…คนอะไรดื้อด้านชะมัด ระหว่างที่คุณดวงพรจัดยา รจนาก็จัดการแม่คนดื้อเช็ดเนื้อเช็ดตัวเพื่อนสาวที่ชื้นไปด้วยเหงื่อก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ใหม่ กว่าจะจัดการเสร็จก็เล่นเอาเหนื่อย

“เป็นไงแก ไหวหรือเปล่า ไปนอนที่โรงพยาบาลไหม”

“ไม่เอาไม่ไป”

คนป่วยพูดเสียงอู้อี้อย่างดื้อดึง

“แล้วกัน แกฉันไม่ใช่หมอส่วนตัวแกนะ ที่จะให้มาเฝ้าไข้แกอยู่อย่างนี้ ฉันมีเคสที่จะต้องผ่าตัดอีกเยอะนะเว้ย”

รจนาพูดสาธยายถึงสิ่งที่เธอต้องเผชิญในวันนี้ให้ดลินาฟัง แต่ดูเหมือนว่าคนป่วยจะทำหน้าที่เป็นผู้ฟังไม่ดีเท่าไหร่ เพราะกำลังสะลึมสะลือจากพิษไข้ คุณดวงพรจัดยาให้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็มายืนอยู่ใกล้ๆ คุณหมอสาวดูอาการของคนบนเตียงด้วยความเป็นห่วง

“นี่ยายข้าวฟังฉันนะ ยานี้กินทุกๆ 4 ชม. ส่วนนี้ก็กินหลังอาหาร ส่วนอันนี้ก่อนอาหาร ส่วนอันนี้กินก่อนนอน แกต้องกินนะ ถ้าแกไม่กินฉันจะเอาเข็มน้ำเกลือมาเสียบแขนแก”

รจนาพูดอันนู้นอันนี้อันนั้นจนทำให้ดลินาเริ่มรู้สึกจะรำคาญใจบ้างแล้ว

“เออ... พอๆ รู้แล้วฉันอ่านหนังสือออก แค่นี้ฉันก็จะแย่แล้ว ปวดหัวก็ปวด แกยังจะให้ฉันมาปวดหูอีกหรอ"

“ใช่...ที่ฉันต้องพูดปากเปียกปากแฉะอยู่นี้ ก็เพราะว่ารู้ดีแกไม่มีทางกินยาแน่นอน ฉันถึงได้พูดจี้อยู่อย่างนี้ไงล่ะ หรือว่าจะเอาสักเข็มเป็นไง จะได้หายเร็วขึ้น”

รจนาพูดขู่ดลินาเพราะรู้ดีว่าเพื่อนสาวของเธอคนนี้กลัวเข็มอย่างกับอะไรดี ส่วนคุณดวงพรก็ยืนอดยิ้มให้กับทั้งสองสาวเพื่อนรักคู่นี้อย่างเอ็นดู

“ไม่เอานะ!! ไม่เอา! แกอยากให้ฉันตายเร็วหรือไง”

“ถ้าไม่อยากโดนฉีดยาเพราะฉะนั้นกินมันซะ และถ้าไม่ไหวจริงๆ โทรมานะเข้าใจหรือเปล่า”

พูดทิ้งท้ายด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะจำใจทิ้งคนป่วยให้นอนรักษาตัวเพียงลำพัง

*********************************************

ลิฟต์ได้เลื่อนขึ้นมาหยุดยังชั้นผู้ป่วยฉุกเฉินซึ่งอยู่ที่ชั้น 4 ของโรงพยาบาล ศิวกรและทนงศักดิ์เดินออกมานอกลิฟต์ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก เขาทั้งคู่รีบเดินตรงไปยังห้อง 403 ที่หน้าห้องมีนายตำรวจนายหนึ่งที่นั่งเฝ้าอยู่ นายตำรวจนายนั้นรีบยืนทำความเคารพทั้งสองคนทันที ศิวกรและทนงศักดิ์พยักหน้ารับเดินเข้าไปในห้องด้วยความร้อนใจ สายระโยงระยาย และอุกปกรณ์ที่ช่วยยื้อชีวิตผู้ป่วยอยู่มากมาย เมื่อพวกเขาเห็นอย่างนั้นแล้วถึงกับเลือดขึ้นหน้าทันที

“บัดซบเอ้ย!!!”

ทนงศักดิ์พูดออกมาอย่างเดือดดาล ส่วนศิวกรกลับยืนนิ่งเฉยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นทำให้ทั้งคู่หันไปมองยังต้นเสียง

“อ้าว!! คุณศิลา สวัสดีค่ะ”

รจนายกมือไหว้ศิวกรเป็นการทักทายส่วนศิวกรก็รีบยกมือรับไหว้รจนาทันที โดยที่ไม่สนใจคนที่มาด้วยกับศิวกรเลยแม้แต่น้อย ...เห็นแล้วล่ะ แต่ไม่อยากจะเสวนาด้วยก็แค่นั้น...

“คุณรจนาเป็นเจ้าของไข้ของดาบหาญชัยหรือครับ”

“ใช่ค่ะ...ดิฉันแน่ใจว่าคุณคงอยากรู้อาการของลูกน้องคุณนะคะ”

“แน่นอนล่ะสิครับ ถ้าไม่อยากรู้คงไม่มาให้เสียเวลาหรอก”

ทนงศักดิ์พูดอย่างกวนๆ เหมือนจะชวนให้คุณหมอมีอารมณ์ฉุดขึ้นมา แต่มันไม่ได้ผลรจนาไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย

“เชิญคุณที่ห้องทำงานของดิฉันดีกว่าค่ะ พูดตรงนี้จะรบกวนคนไข้เสียเปล่าๆ มลภาวะทางเสียงมันเยอะ”

คำพูดสุดท้ายรจนาพูดกระแทกเหมือนให้โดนใครบางคน แล้วรจนาก็เดินนำหน้าเพื่อที่จะพาพวกเขาไปยังห้องทำงานของเธอ

“อาการของดาบยังทรงตัวอยู่ค่ะ ผู้กองไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ ดิฉันจะรักษาอย่างเต็มที่”

เมื่อศิวกรได้ฟังคำยืนยันจากรจนาเขาก็เบาใจลงไปมาก

“คุณพอจะทราบหรือเปล่าครับว่าดาบเขาโดนปืนอะไรยิงเมื่อวินิจฉัยจากรูลูกกระสุนที่เจาะตัวดาบหาญเข้าไป”
ทนงศักดิ์พูดกวนได้อย่างน่าตบเป็นที่สุด ศิวกรได้แต่มองเพื่อนเขาอย่างระอาและละอายแก่อายใจ ส่วนรจนากลับนั่งยิ้มแล้วยิ้มละไมกลับไปให้ทนงศักดิ์แล้วก็ตอบอย่างใจเย็น

“ดิฉันไม่ทราบหรอกค่ะว่าเป็นปืนรุ่นอะไร ดิฉันรู้แต่เพียงว่า ปืนรุ่นนั้นเลือกยิงผิดคนไปหน่อย เสียดายที่มันน่าจะมายิงคนปากสุนัขแถวนี้เสียมากกว่า”

รจนาตอบกลับมาได้อย่างเผ็ดร้อนทำให้ทนงศักดิ์ถึงกับหน้าเหวอไปเลยทีเดียว ทนงศักดิ์กำลังจะอ้าปากที่จะโต้รจนากลับไปแต่ทว่าเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นนั้นช่วยเป็นกรรมการห้ามทัพไว้ทันเสียก่อน ถึงแม้ว่าจะห้ามทัพเพียงชั่วคราวก็ตาม รจนาเห็นชื่อที่หน้าจอก็รีบกดรับสายแทบไม่ทัน

“ว่าไงแกเป็นไงบ้าง ข้าวฉันขอร้องล่ะแกมาโรงพยาบาลเถอะนะ อยู่คนเดียวไม่มีคนดูแลถ้าเกิดอะไรขึ้นแล้วจะทำยังไง… ทำไมแกดื้ออย่างนี้นะ กินยาหรือยัง อาการไม่ทุเลาลงเลยหรอ?”

การสนทนาครั้งนี้เข้าหูของศิวกรทุกคำ เพียงแค่ได้ยินชื่อนี้ต่อให้กระซิบเบาแค่ไหน เขากลับได้ยินอย่างชัดเจน และดูเหมือว่าครั้งนี้เธอคนนั้นดูจะมีปัญหา

“เดี๋ยวฉันจะไปลากตัวแกมานอนโรงพยบาล ห้ามปฏิเสธเด็ดขาดเข้าใจหรือเปล่า ข้าว... ยายข้าว!”

เสียรจนาร้องขึ้นอย่างตกใจเมื่อไม่มีเสียงตอบกลับมาจากปลายสาย สีหน้าเธอดูซีดเผือดลงในพริบตาเดียว และนั้นมันทำให้ศิวกรถึงกับใจเสียทันที รจนารีบโทรไปบอกพยาบาลที่ดูแลแผนกฉุกเฉินให้เตรียมรถพยาบาลและห้องให้อย่าเร่งด่วน ศิวกรร้องถามรจนาอย่างตกใจทันทีที่เธอวางสายโทรศัพท์ ส่วนทนงศักดิ์เองก็ดูเหมือนจะตกใจเช่นเดียวกัน

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ คุณข้าวเป็นอะไรไป”

“ข้าวไม่สบายค่ะ นอนอยู่ทีบ้านคนเดียวไม่มีใครดูแลเลย”

รจนาถอนเสื้อกาวด์ออกแล้วเก็บของเข้าโต๊ะ ก่อนจะต่อสายตรงขึ้นไปหาผู้ที่เป็นหมอใหญ่ และเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้ทันที

“คุณพ่อหรือคะ!? แยมจะออกไปดูข้าวหน่อยนะคะ อาการไม่ค่อยดีเลยค่ะ ค่ะ...ค่ะ... ทราบแล้วค่ะ แยมจะลากตัวข้าวมานอนโรงพยาบาลให้ได้”

รจนากล่าวลาก่อนจะกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกจากห้องทำงานของตน โดยมีนายตำรวจทั้งสองนายเดินตามออกมาติดๆ ทนงศักดิ์ต้องรั้งร่างของเพื่อนไว้สุดชีวิตเมื่อเห็นทีท่าของศิวกรจะเดินตามรจนาไป

“ใจเย็นแก... ลืมไปแล้วหรือว่าจะอยู่ในเวลาราชการ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า คุณหมอเขาไปรับมานอนโรงพยาบาลแล้ว ขนาดดาบหาญชัยโดนเข้าไปตั้ง 5 นัด คุณหมอเขายังยื้อชีวิตมาได้เลย”

ศิวกรได้แต่พยักหน้ารับ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นห่วง เป็นห่วงจนแทบจะวิ่งตามคุณหมอสาวไปดูอาการของคนที่ป่วยนอนซมใจจะขาด แต่เพราะเขายังอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ทำให้เขาทิ้งงานไม่ได้ พอไม่ได้ดั่งใจก็เริ่มโมโหพาโลไปเรื่อย เขาอยากจะจัดการเรื่องยุ่งยากเหล่านี้ให้เสร็จโดยเร็ว เขาสัญญากับตัวเองว่าไม่ว่างานจะหนักแค่ไหนหากทำได้ ขอแค่มีเวลาว่างถึงจะไม่นานเขาก็อยากแบ่งปันเวลาว่างของเขาให้กับเธอ



TooMMeng
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ม.ค. 2556, 22:34:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ม.ค. 2556, 22:34:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1217





<< บทที่ 3 (หวั่นไหว... 2)   บทที่ 4 (เริ่มต้น... 2) >>
TooMMeng 7 ม.ค. 2556, 22:53:14 น.
สวัสดีค่ะ... ขออนุญาตเข้ามาทักทายกับทุกท่านหน่อยนะคะ

อันดับแรกกล่าวขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงที่เอ็นดู คุณตำรวจกับคุณเจ้าของร้านกาแฟ คู่นี้ด้วยนะคะ

ขอบพระคุณจากใจจริงๆค่ะ แล้วก็อยากจะบอกว่า "รักนะจุ๊บๆ" 555+


Auuuu 7 ม.ค. 2556, 23:40:50 น.
หมอแยมน่ารักมาก รักเพื่อนสุดๆเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account