ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ

เขา... นายตำรวจหนุ่ม

เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ

ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น

แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ

แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ

ตอน: บทที่ 6 (หนีตาย... 3)

บทที่ 6
(หนีตาย 3)

คนตัวโตที่ตอนนี้กำลังนั่งหน้ามุ่ยมองอาหารที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้ให้อย่างไม่พอใจ ปรกติแล้วเขาก็ไม่ได้เป็นคนที่เรื่องมากในการกิน อาหารที่โรงพยาบาลนั้นนับว่าหรูหรามากเมื่อเทียบกับอาหารที่ต้องกินในสมัยที่เขายังคงประจำอยู่ที่ชายแดนเป็นกอง

แต่ว่าคนที่กำลังนั่งเฝ้าไข้เขาอยู่ตอนนี้นี่สิให้ให้เขารู้สึกเกเร ทำตัวเป็นเด็กเล็กๆ ที่เอาแต่ใจ เขาไม่ยอมแตะต้องมันเลยแถมยังแกล้งทำเป็นหลับหันหลังให้อีกต่างหาก คนที่นั่งเฝ้าชักจะเริ่มรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา อยากจะทุบผู้ใหญ่ที่ทำตัวเหมือนเด็กเข้าไปสักตุ๊บสองตุ๊บ ...ดูทำหน้าเข้า อยากกับว่าอาหารนี้เป็นยาพิษเสียอย่างนั้น...

“ไม่ต้องมาแกล้งทำเป็นหลับเลยนะคะ ลุกขึ้นมาทานข้าวเดี๋ยวนี้ แล้วจะได้ทานยา”

ร่างบางเอ็ดเขาเสียงเขียว เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน หญิงสาวยืนท้าวเอวมองคนที่นอนอยู่บนเตียงอย่างระอา คนตัวโตๆ อย่างเขามาทำท่าเกเรแบบนี้ เขาจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าไม่ได้เหมาะกับเจ้าตัวเขาเลย ดลินาออกจากโรงพยาบาลมาได้หลายวันแล้ว หลังจากที่เธอออกจากโรงพยาบาลก็ไปพักอยู่กับบ้านของรจนา เพื่อความปลอดภัยของเธอเอง แต่กว่าจะบังคับให้เธอยอมไปพักที่บ้านรจนาได้ก็เล่นหลายคนต้องเหนื่อยเป็นแถว

‘ไม่เอา...ฉันจะกลับบ้านฉัน เรื่องอะไรฉันจะทิ้งร้านไว้อย่างนั้นล่ะ’

‘ไอ้ข้าว! ทำไมแกถึงดื้ออย่างนี้นะ อยู่บ้านคนเดียวมันอันตราย ถ้าไอ้พวกนั้นมันวกกลับมาอีกจะทำยังไงล่ะ’

‘มาฉันก็หนีสิ’

‘ยังจะมาทำเป็นเก่งอีกนะที่รอดมาได้คราวนี้ก็เพราะใครล่ะ ไม่ได้ดูสังขารตัวเองเลยนะ’ พอโดนเพื่อนเอ็ดเอาก็เงียบเถียงไม่ออกเลยเมื่อเจอคำพูดที่บาดลึกเข้าไปในหัวใจ

‘เถอะนะข้าว...แกไปอยู่ที่บ้านฉันก่อน ถ้าทางตำรวจเขายืนยันว่าปลอดภัยแล้วแกจะกลับบ้านของแกก็ได้’

‘งั้นก็ตกลง... แต่ แต่...’

ดลินาพูดต่อรองกับเพื่อนรักทั้งที่รจนาก็เสนอข้อเสนอที่น่าสนใจให้แล้วแท้ๆ จนรจนาเองก็เริ่มจะรำคาญเจ้าเพื่อนคนนี้เสียแล้วสิ

‘แต่อะไรอีกล่ะ รีบบอกมาเร็วๆคนมีการมีงานจะต้องทำนะ’

‘ฉันจะมาเยี่ยมผู้กองเมื่อไหร่ก็ได้เท่าที่ต้องการ... โอเค!’

‘เรื่องแค่นี้เองหรือ ตามใจแกสิ’

พูดจบศัลยแพทย์สาวก็เดินออกนอกห้องไปทิ้งให้เพื่อนจอมเรื่องมากนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในห้องตามลำพัง

“ผู้กองค่ะอย่าดื้อสิคะ ทานข้าวหน่อยเถอะ”

หญิงสาวพูดกับคนที่นอนหันหลังให้เธออย่างอ่อนใจ เสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยร่างท้วมตามวัยของนางอารี ผู้สูงวัยเดินถือถุงพะรุงพะรังเข้ามาในห้อง ดลินาต้องรีบเข้าไปช่วยทันที

“เป็นอะไรไปหนูข้าว พ่อคุณทูนหัวเขาทำไมอีกล่ะ”

นางอารีถามเมื่อเห็นสีหน้าที่เซ็งๆ ของดลินา เธอยิ้มเจือๆ ก่อนจะเอ่ยปากฟ้องมารดาของคนตัวโตที่นอนอยู่บนเตียง

“ไม่ยอมทานข้าวค่ะ ก็เลยทานยาไม่ได้ ข้าวเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี”

เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าจากหญิงสาวที่นางหมายมั่นปั้นมือว่า จะต้องมาดองเป็นทองแผ่นเดียวกันให้ได้ แล้วก็มองไปที่เจ้าลูกชายตัวดีอย่างเอาเรื่อง นางอารีเดินเข้าไปช้าๆ แต่เหมือนคนเจ็บจะไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรเลย ผู้เป็นแม่เมื่อเห็นอาการที่เอาแต่ใจของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว ก็ชักอยากจะจับมาตีก้นเหมือนเมื่อสมัยที่ชายหนุ่มเป็นเด็กน้อย แต่ด้วยวัยที่จะเข้าสู่เลข 3 ของเขาแล้วทำให้นางอารีต้องหาวิธีมาแก้เผ็ดลูกชายตัวดีให้ได้

“ดูท่าว่าคงจะไม่ยอมกินข้าวง่ายๆ แม่ว่าหนูกลับไปเถอะเดี๋ยวแม่จัดการเอง”

นางอารีพูดเสียงดังพอที่จะได้ยินทั่วทั้งห้อง ดลินาดูจะงงงันกับคำพูดของนาง แต่เมื่อเห็นสายตาระริกแล้วรอยยิ้มที่ดูมีเลศนัยนั้น ก็พอจะเข้าแล้วว่านางอารีคิดที่จะทำอะไรอยู่

“ได้ค่ะ งั้นข้าวกลับก่อนนะคะ อยู่ไปก็คงไม่ทำให้ผู้กองทานข้าวได้”

“แม่ต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะ สงสัยเขาคงไม่อยากให้หนูข้าวอยู่ก็ได้เลยประท้วงไม่ยอดกินข้าวเสียอย่างนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นข้าวไปก็ได้ค่ะ”

หญิงสาวพูดเสียงสลดแต่แววตากับสั่นระริกกลั้นหัวเราะเต็มที่ เมื่อคนที่ทำท่าไม่สนใจอะไรหันมามองเธอและผู้เป็นมารดาด้วยสายตางอนๆ

“ก็ได้...ผมกินก็ได้ ทำไมแม่ต้องมาจี้จุดอ่อนผมตลอดเลย”

“อ้าว!! ตื่นอยู่หรอลูก แม่ก็นึกว่าศิลาหลับอยู่เสียอีก”

“แม่ก็รู้อยู่แก่ใจแล้วยังจะมาแกล้งผมอีก”

ดลินายืนยิ้มอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องมองดูการสนทนาที่แสนจะน่ารักของแม่ลูกคู่นี่ ผู้เป็นแม่ยืนอยู่ข้างๆเตียงกำลังยืนส่งสายดุๆไปให้ลูกชายที่ตอนนี้เปลี่ยนมานั่งแล้ว ส่วนลูกชายก็ทำปากยื่นหน้าตูมเหมือนเด็กน้อยที่ถูกขัดใจ

อิจฉา... ความรู้สึกนี้มันแล่นขึ้นมาในห้วนความคิดของหญิงสาวทันที การสูญเสียมารดาไปเมื่อ 2 ปีก่อนมันทำให้ใบหน้าใสเลยสลดลงเรื่อยๆ สายตาสดใสก็หม่นลง แต่เธอจะต้องไม่เศร้าเพื่อไม่ให้ใครต้องมาเป็นห่วงเธออีก

“ตกลงจะกินไม่กิน ข้าวน่ะ”

เสียงเอ็ดจากนางอารีเรียกสติของหญิงสาวให้กลับมา แล้วก็ต้องอมยิ้มอีกครั้งเมื่อเห็นนางอารีดึงหูของศิวกรไปมา ส่วนลูกชายก็ร้องโอดโอยเอนศีรษะไปตามทิศทางที่นางอารีดึง

“โอ้ย!!! ผมเจ็บนะ กินแล้ว ปล่อยหูผมได้แล้ว”

แล้วนางก็ปล่อย ศิวกรเอามือข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บลูบหูตัวเองเบาๆ ก่อนจะพูดเสียงเบาๆให้ได้ยินกันแค่สองคนแม่ลูก

“แม่ทำผมหมดฟอร์มต่อหน้าคุณข้าวได้ไง”

“ดีแล้ว... แกน่ะฟอร์มจัด พออยู่ต่อหน้าแม่ก็ทำมาหงอ อีกหน่อยแกก็คงจะเปลี่ยนจากกลัวแม่ไปเป็นกลัวเมียแทน”

จึก!!!!!

คำพูดเสียดแทงเข้าไปเต็มๆ เสียงหัวเราะจากนางอารีและสีหน้าที่บึ้งตึงของศิวกรทำให้ดลินามองอย่างสงสัย...แม่ลูกคู่นี้กระซิบกระทราบอะไรกัน....

“แม่ก็กลับไปสิครับผมจะได้กินข้าว”

เสียงลูกชายพูดกับผู้เป็นแม่ให้ได้ยินกันสองคน นางอารีเลิกคิ้วขึ้นยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ข้าวไหน หมายถึงคนหรืออาหาร”

“เฮ้ย!!!”

ศิวกรร้องครวญเสียงหลงเมื่อได้ยินคำถามที่คาดไม่ถึงจากผู้เป็นมารดา

“ทำไม...อายแม่หรือไง”

“โธ่แม่ครับ! รู้แล้วยังถามอีก”

ลูกชายพูดเสียงโยเย ทำให้คนเป็นแม่ถึงกับอมยิ้ม เพราะไม่ได้เห็นท่าทีเอาแต่ใจของเขามานานแล้ว ตั้งแต่เสียคู่ร่วมชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน

“ก็ได้ แต่ต้องจีบให้ติดนะ”

“เกือบจะลุกฆาตอยู่แล้ว ถ้าไอ้ศักดิ์มันไม่เข้ามาขวางไว้ก่อน”

เมื่อนึกย้อนไปเมื่อ 3 วันก่อน เขาอยากจะลุกจากเตียงแล้วกระชากคอเสื้อแล้วลากเจ้าเพื่อนตัวดีแล้วโยนออกไปจากห้อง เพราะทนงศักดิ์ดันไปเยี่ยมเขาผิดเวลาไปหน่อย หญิงสาวดูมีท่าทีที่จะอ่อนให้กับเขาอยู่แล้ว แต่มารก็มาขวางจนได้

“โอ้นี่จะว่าแม่มาขวางด้วยหรือไรกัน”

“เปล่าครับ... ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเสียหน่อย”

ลูกชายพูดง้อแม่ แล้วส่งสายตาเป็นทำนองว่า ‘ตกลงแม่จะให้ผมจีบคุณข้าวต่อหรือเปล่าเนี่ย’ ผู้เป็นมารดาหรี่ตามองลูกชาย แล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหยิบกระเป๋าที่วางอยู่บนโต๊ะเตรียมจะเดินออกไปนอกห้อง

“คุณแม่จะกลับแล้วหรือคะ เพิ่งมาเอง!!”

ดลินาถามเสียงสูงแล้วก้มมองนาฬิกาของตน เพราะว่านางอารีเข้ามาในห้องได้ไม่ถึง 20 นาทีด้วยซ้ำ

“ใช่แล้วจ้ะ... แม่มีงานที่จะต้องไปทำที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าน่ะจ้ะ ยังไงแม่ก็ฝากหนูยอดข้าวดูแลตาศิลาด้วยนะจ๊ะ”

นางอารีพูดยิ้มหวานให้กับว่าที่ลูกสะใภ้ (เพราะยังไงก็ต้องเอามาเป็นลูกสะใภ้ให้ได้ไม่งั้นฉันไม่ยอม...นางอารี) ก่อนจะเดินออกจากห้องไปช้าๆ แล้วยังไม่วายหันมาหาเจ้าลูกชายที่นอนอยู่บนเตียงแล้วยักคิ้วให้ทีหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูแล้วพาร่างท้วมๆของตนออกไป

ดลินามองผู้ที่เพิ่งก้าวออกจากห้องไปอย่างงงๆ แล้วหันไปมองคนที่นองบนเตียงอย่างไม่ไว้ใจ เขาดูมีท่าทีผิดกับตอนแรกริบลับเลย ใบหน้าที่ดูระรื่นกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ปรากฏบนหน้านั้นมันทำให้เธอต้องวางแผนตั้งรับให้รัดกุมที่สุด

“คุณยิ้มอะไรคะ”

“ผมยิ้มหรือครับ สงสัยเป็นเพราะแม่ผมแนะนำอะไรบางอย่างมาให้ก็ได้มั้งครับ”

“หรือคะ แล้วตกลงคุณจะทานข้าวหรือเปล่าคะ”

“ถ้าคุณป้อนผมก็ทาน”

ชายหนุ่มพูดลอยหน้าลอยตา แต่คนฟังหน้านี่แดงซ่านเลยทีเดียว

“มือคุณก็มีทานเองสิ”

“คุณป้อนผมหน่อยไม่ได้หรือครับ อยู่ดีๆผมก็เจ็บแผลขึ้นมากะทันหันเลยครับ ดูสิ...โอ้ยๆๆ”

แล้วเขาก็ทำท่าทางว่าเจ็บแผลได้อย่างน่าตบจริงๆ

“คุณนี้แสดงละครไม่ได้เรื่องเลยจริง”

เสียงที่ดุจะเย็นชาของเธอทำให้เขาหยุดร้องทันที ก่อนจะมองหน้าเธองอนๆ เขาเบะปากเล็กน้อยแล้วก็ล้มตัวลงนอนหันหลังให้เธออีกครั้ง

“นี่คุณ งอนฉันหรือคะ”

“เปล่าครับ ผมมีสิทธิ์อะไรที่จะงอนคุณ แล้วอีกอย่างมีผู้ชายที่ไหนเขาชอบงอนบ้างล่ะครับ”

…แล้วที่ทำอยู่นี่เขาเรียกว่าอะไรล่ะ พ่อคุณ!...

เขาพูดไม่ยอมหันหน้ามาคุยกับเธอดีๆ หญิงสาวก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะสาวเท้าไปยืนข้างเตียงก่อนจะเอื้อมมือไปแตะที่ต้นแขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเบาๆ แต่เขาก็ยังไม่ยอมหันมาเสียที

“น้อยใจอะไรคะ”

เธอถามเขาเสียงหวาน แต่ชายหนุ่มพยายามฝืนไม่หันไปหาเธอ แค่ได้ยินเสียงหวานๆ จากคนใกล้ตัวเขาก็อยากจะรวบร่างบางเข้ามากอดใจจะขาด แต่ก็ต้องข่มใจไว้เต็มที่

“ถ้าอย่างนั้นฉันไปก็ได้”

เธอพูดจบก็ทำจริง มือเรียวสวยก็ละจากต้นแขนของเขาเตรียมหันไปหยิบกระเป๋า แต่ก็ถูกมือหนารั้งไว้เสียก่อน สายตาที่ตัดพ้อก็ถูกส่งมาจากคนตัวโตที่นอนอยู่บนเตียง หญิงสาวเกือบจะยิ้มออกมาแล้วแต่ก็ต้องข่มเอาไว้ เพราะเดี๋ยวเขาจะรู้ว่าเธอน่ะแกล้งเขาอยู่

“คุณจะไม่ง้อผมอีกหน่อยหรอ”

“ง้อไปเขาก็ไม่ยอมหายงอน กลับบ้านไปนอนยังจะดีกว่า”

คราวนี้จากคนงอนกลับเป็นต้องง้อ ส่วนคนที่ง้อกลับมาเป็นงอนแทน

“ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะป้อนข้าวให้เสียหน่อย แต่เห็นว่าคนเขากำลังงอนก็เลยไม่อยากจะรบกวนเวลางอน”

หญิงสาวพูดพร้อมกับเมินหน้ามองไปอีกทางหนึ่ง

“ถ้าผมไม่งอนคุณคุณจะป้อนข้าวผมใช่หรือเปล่าครับ ถ้าอย่างนั้นหายงอนแล้วก็ได้”

“แน๊!!!”

หญิงสาวร้องออกมาหน้าแดงแจ๊ดเพราะว่าเขาประทับริมฝีปากลงที่มือของหญิงสาว ก่อนจะยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิง

...จะละลายแล้ว เวลาปรกติเงียบขรึมก็เท่ห์จนเธอแทบจะละลายอยู่แล้ว แล้วยิ่งเมื่ออยู่กันสองต่อสอง แล้วมาออดอ้อนอย่างนี้ละลายแน่เลยฉัน...

“ปล่อยมือก่อนสิคะ ฉันจะได้ป้อนข้าวให้”

เขายอมว่าง่ายแต่โดยดี ลุกขึ้นนั่งอย่างทะมัดทะแมงเตรียมรับการปรนนิบัติจากหญิงสาวหน้าระรื่น เธอมองเขาตาขวางแต่ก็ยอมหยิบชามข้าวต้มที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ที่ตอนนี้เย็นหมดแล้ว เพราะคนป่วยมัวแต่ลีลาไม่ยอมกิน หญิงสาวเดินไปขยับเก้าอี้ให้ใกล้เตียงคนไข้อีกเพื่อที่จะได้ป้อนข้าวต้มเขาได้ถนัดถนี่ เธอค่อยตักข้าวต้มแล้วปาดส่วนที่จะหยดที่ปากชามก่อนค่อยเลื่อนช้อนและชามไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม ปากสวยได้รูปของเขาอ้าปากงับช้อนเข้าไปอย่างอารมณ์ดี แต่คนป้อนนี้อยากจะเอาชามกรอกเข้าปากเขาไปใจจะขาด ก็คนที่นั่งอยู่บนเตียงตอนนี้ทำหน้าตาระรื่นมีความสุขเหมือนกับได้กินข้าวทิพย์จากสวรรค์ก็ไม่ปาน

******************************************************

ศัลยแพทย์สาวเดินออกมาจากห้องตรวจโรค โดยถือหูฟังอยู่ที่มือกำลังจะเดินลงไปชั้นล่างเพื่อที่จะทานอาหารเช้า มือเรียวสวยกดลูกศรที่ชี้ลงตรงหน้าลิฟต์เพื่อแล้วยืนรออย่างใจเย็นพร้อมกับฮัมเพลงไปด้วยอย่างคนอารมณ์ดี

ประตูลิฟต์ที่เปิดออกหญิงสาวก็เดินเข้าไปพอดีสวนเข้ากับชายคนหนึ่ง หญิงสาวเอื้อมมือไปกดที่ชั้น G จังหวะที่ประตูลิฟต์กำลังปิดนั้นเองก็มีมือหนากั้นประตูไม่ให้ปิด หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคนที่เอามือมากั้นประตูสายตาขุ่น แล้วเมื่อรู้ว่าคนนั้นเป็นใคร ก็กดให้ปิดประตู ชายหนุ่มก็เอาขากั้นไม่ให้ประตูปิดก่อนจะแทรกร่างใหญ่ๆเข้ามาในลิฟต์

รจนามองคนที่มายืนข้างๆ ตาขวาง ส่วนคนที่ยืนข้างๆ กลับลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณหมอสาวก็เบี่ยงตัวหลบไปยืนอยู่ชิดกับพนังลิฟต์ เพื่อจะทำให้ช่องว่างระหว่าง 2 คนกว้างขึ้น

“ผมก็ไม่ได้เป็นตัวเชื้อโรคที่ทางการแพทย์ยังระบุไม่ได้เสียหน่อย ไม่ต้องถอยห่างอย่างนั้นก็ได้ครับ”

เงียบ... ไม่มีเสียงตอบรับมาจากศัลยแพทย์สาว เธอยังคงเงียบยืนสงบนิ่งอยู่ตรงที่มั่นของตน ทนงศักดิ์นึกขำในใจ ผู้หญิงต้องเยอะตั้งแยะที่เขามาพูดคุยกับเขาก่อน แต่กับรจนาเขาเองต้องเป็นคนที่เข้าไปตอแยพูดคุยด้วยเป็นคนแรก

“ใจร้ายจังเลยนะครับ พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย แล้วเวลารักษาคนไข้คุณส่งภาษามือกันหรือครับ”

รจนาหันควักมามองค้อนเขาหนึ่งทีอย่างไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่ยอมเอ่ยปากพูดกับเขาสักคำเดียว

...วุ้ย!! หยิ่งเสียจริงคนอะไร อย่างนี้มันน่านัก...

เมื่อถึงชั้นจุดหมายรจนาก็รีบสาวเท้าออกมาจากลิฟต์ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิด ทนงศักดิ์เองก็ไม่ยอมแพ้ยังคงเดินตามหลังรจนาห่างๆด้วยท่าทีที่แสนจะสบาย รจนาจัดการแลกคูปอง แล้วพาตัวเองเดินไปยังร้านข้าวหมูแดงเจ้าประจำก่อนจะเอ่ยสั่งอาหารจานเด็ดที่ตัวเองโปรดปราน ทนงศักดิ์เองก็ไม่วายที่จะเดินตามเธอมาแล้วสั่งอาหารเหมือนเธอทุกอย่าง

“อะไรกันคุณ สั่งข้าวไม่รอผมเลยนะ งอนอะไรผมอีกล่ะ”

ทนงศักดิ์พูดกระซิบที่ข้างหูคุณหมอสาวคนสวย ทำให้หญิงสาวถึงกับเบี่ยงตัวหนีหน้าแดงด้วยความอาย เหมือนปฏิกิริยาตอบโต้ทำงานรจนาก็ตีไปที่ต้นแขนของทนงศักดิ์อย่างแรงก่อนจะตะคอกเขาเบาๆ

“ทำบ้าอะไรของคุณห๊ะ!!”

“กว่าจะยอมเอ่ยปากพูดกับผมได้ กลัวดอกพิกุลจะร่วงหรือยังไงคุณ”

ทนงศักดิ์พูดเหน็บร่างระหงที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วยิ่งเห็นรจนาตัวสั่น ใบหน้ายู่ยี่ด้วยความโกรธ เขาก็ยิ่งสนุก
ทั้งสองต่างไม่รู้เลยว่าการยืนทะเลาะของคนทั้งคู่ แต่ในสายตาของผู้พบเห็นนั้นมัน กลับคิดว่าน่ารักเสียมากกว่า รจนารับจานอาหารมาวางบนถาดของตนก่อนจะรีบเดินหนีเขาไปนั่งยังโต๊ะตัวที่ยังว่างอยู่ ตอนนี้ยังหัวค่ำอยู่ ผู้คนจึงยังค่อนข้างเยอะพอสมควร เพราะบางคนต้องมานอนค้างเป็นเพื่อนกับผู้ป่วยที่โรงพยาบาล
แต่ก็ไม่วายที่ร่างใหญ่ของทนงศักดิ์จะตามมาติดเป็นเงาตามตัว เขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับเธอหน้าตาเฉย

“โต๊ะตัวนั้นก็ว่าง ช่วยไปนั่งหน่อยจะได้ไหม อยากกินข้าวคนเดียวและอย่างสงบด้วย”

รจนากล่าวเสียงแข็ง แล้วส่งสายจิกเข้าไปที่ทนงศักดิ์ จนเขาเองก็ร้อนๆหนาวๆเหมือนกัน ขนาดดลินาที่ว่าแน่ยังเจอสายตาจิกของรจนาเข้าไปยังหงอเลย

“ไม่...ผมจะนั่งตรงนี้ มีไรเปล่า”

เขาพูดกวนๆทำใจดีสู้เสือ อย่างไม่สนใจคำพูดของเธอ ก่อนจะตักข้าวหมูกรอบเข้าปากไปหน้าตาเฉย รจนาจ้องเขาอย่างไม่ลดละแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลย

...ได้! ฉันไม่ยอมแพ้นายหรอก อยากนั่งก็นั่งไป เดี๋ยวเจอฤทธิ์แม่เข้าไปแล้วจะหนาว...

รจนาก็ตัดข้าวหมูกรอบใส่ปากบ้าง ตาก็จ้องตาแบบแค้นกับมา 10 ชาติก็ไม่ปาน ในใจก็นึกสารพัดคำที่จะเอามากล่าวให้เสียหายต่างๆนาๆ

“แหมคุณมองผมตาเยิ้มเชียวนะ จะอ้อนให้ผมป้อนข้าวให้หรือไง”

“ตาบ้า!! คุณนี่กวนประสาทเป็นที่หนึ่งเลยนะ ฉันน่ะอุตส่าห์จะไม่ชวนคุณทะเลาะแล้วแท้ๆ แต่มาตีรวนกันอย่างนี้สงสัยคงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว”

“เดี๋ยวสิคุณ... ใจเย็นๆแหม เห็นหน้าผมแล้วอารมณ์มันขึ้นหรือครับ”

“ใช่”

“โอเค... ถ้าอย่างนั้นผมกวนประสาทคุณให้น้อยลงก็ได้”

รจนามองหน้าคนที่ยิ้มระรื่นอย่างหมั่นไส้ คนอะไรช่างกวนประสาทเธอได้ตลอดเวลาดีแท้

“เดี๋ยวนี้นายก้องภพยังมาหาคุณหรือเปล่าครับ”

อยู่ดีๆทนงศักดิ์ก็เอ่ยเป็นการเป็นงานขึ้นจนรจนาเองก็ปรับอารมณ์ตามเขาแทบไม่ทัน

“ถามทำไม”

รจนาตีรวนเขา

“ก็ใช่อยากจะรู้มากนักหนิ...ด้วยหน้าที่แล้วก็เลยจำเป็นต้องถาม”

พอเจอเขารวนกลับให้บ้าง รจนาถึงกับลมออกหูเลยทีเดียว

“อย่ามาย้อนฉันนะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับงานขอนายไม่ทราบ”

“เกี่ยวสิครับ... เกี่ยวอย่างแรงด้วย”

“แล้วเกี่ยวกันอย่างไรเล่าก็บอกมาสิ มัวแต่อ้อมโลกอยู่นั้นแหละ แล้วใครจะไปรู้ล่ะว่าคุณต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ ฉันหมอผ่าตัดนะไม่ใช่หมอดู”

รจนาพูดอย่างรำคาญใจ ก็ทะนงศักดิ์ไม่ยอมบอกความจริงกับเธอตรงๆ

“ผมขอโทษก็ได้ เลิกตีรวน พักรบกันสักครู่ได้หรือเปล่าครับ

รจนาหน้านิ่งไม่ได้ตอบปฏิเสธแต่อย่างใด

“เรื่องที่คุณแนะนำให้ผมไปถามเกี่ยวกับเรื่องของหุ้นส่วนนายก้องภพ นอกจากคนนั้นแล้ว คุณพอจะรู้จักคนอื่นอีกหรือเปล่าครับ”

“เขาไม่ยอมเล่าเรื่องอะไรให้ฟังหรือคะ”

“เล่าครับ แต่ก็ไม่มากพอที่จะตามหาตัวคนที่ร่วมหุ้นกับนายก้องภพได้”

รจนานิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด พยายามเค้นสมองว่านอกจากคนนั้นแล้ว ยังมีใครอีกบ้างที่สนิทสนมกับนายก้องภพก้องปฐพีอะไรนั้น ในแวดวงไฮโซไฮคลาสถึงแม้รจนาจะไม่ค่อยชอบเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ก็มีโอกาสได้รับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับวงการนี้มาไม่มากก็น้อย ทั้งที่ด้านเปิดเผยและไม่เปิดเผย

“เหมือนจะมีอยู่อีกคนค่ะ ชื่อ... ตอนนี้ไปทำธุรกิจอยู่แถวพัทยา ฉันไม่แน่ใจว่าจะข้องเกี่ยวกันหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรครับขอแค่รู้ชื่อเดี๋ยวค่อยไปตามสืบดู”

รจนามองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ เรื่องราวบางอย่างเปิดเผยให้คนนอกรู้ได้มากมายขนาดนี้เลยหรือ

“คุณทนงศักดิ์ แล้วเรื่องของคนที่ไล่จับเพื่อนฉันครั้งที่แล้วเรื่องไปถึงไหนแล้วคะ”

“นอกจากคนที่ถูกผมสอยร่วงไป อีกสามคนที่เหลือนายของมันให้หนีไปกบดาลที่ประเทศเพื่อนบ้านเรียบร้อยแล้ว”

“ตามไปจับไม่ได้หรือคะ”

ทนงศักดิ์ส่ายหน้าลำบากใจ รจนาส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเบาๆ อย่างขัดใจ ครั้งที่ดลินาต้องเข้าไปเสี่ยงชีวิต ไหนจะศิวกรถูกยิง แค่นึกถึงรจนาก็โกรธปี๊ดขึ้นมา ภาวนาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันให้เวรกรรมตามทันคนชั่วเหล่านั้น

“นายคนนั้น คนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด มีโอกาสที่จะจับเขาได้หรือเปล่าคะ”

“ขอหลักฐานพยานครบ และเด่นชัด คงยากที่จะดิ้นหลุดครับ”

“แต่เส้นเขาใหญ่เหลือเกิน เราจะทำอะไรเขาได้หรือคะ”

“ผมเชื่อนะ... ว่าความยุติธรรม ความถูกต้องมันยังมีอยู่บนโลกนี้”

ทนงศักดิ์บอกอย่างหนักแน่น รจนาเองก็อยากจะเชื่อเช่นนั้นแต่ในยุคที่อำนาจของเงินตราอยู่เหนือความถูกต้อง การเรียกร้องความยุติธรรมมันช่างดูห่างไกลเหลือเกิน เพียงแค่คิดรจนาก็แสนจะท้อใจ เมื่อทนงศักดิ์เห็นคุณหมอคนเก่งนั่งซึมเขาก็ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้จิตใจของหญิงสาวกลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง

“ต้องขอบคุณคุณหมอเหมือนกันครับที่ให้ความร่วมมือ”

“ยินดีค่ะ ถ้ามันทำให้จับตัวไอ้คนที่ทำร้ายเพื่อนฉันได้... จริงสิฉันสงสัยมานานแล้ว ปรกติตำรวจเขาสืบคดีกันเปิดเผยขนาดนี้เลยหรือคะ”

“อ๋อ! ปรกติก็ไม่โจ่งแจ้งหรอกครับ แต่ผมมันพวกผ่าเหล่าผ่ากอ แบบว่าเด็กแนวน่ะครับเป็นตัวของตัวเองสูง!!!”

ทำท่ายกมือเลื่อนขึ้นสูง เบ้หน้าชวนหัวประกอบให้เห็นภาพ รจนาอยากจะหัวเราะแต่ก็ไม่กล้ากลัวเสียฟอร์ม ได้แต่ตีหน้านิ่ง ส่วนคุณตำรวจเห็นคนตรงหน้าไม่ขำไปกับมุขตลกของตนถึงกับหน้าเหี่ยว

“ไม่ขำหรอครับ ผมว่ามุขนี้เลิศนะครับ”

“พอไหวถ้าไปเล่นที่ร้านหมูกระทะ”

พอเป็นการเป็นงานได้ไม่นาน หมดธุระคุณหมอสาวก็มาประกาศศึกกับทนงศักดิ์ต่อทันที คุณตำรวจหนุ่มเกาศีรษะอย่างเซ็งจิต… นอกจากเรื่องงานตกลงว่าชาตินี้เขาสองคนจะคุยกันดีๆ ได้บ้างหรือเปล่าเนี่ย



TooMMeng
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ม.ค. 2556, 23:09:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ม.ค. 2556, 23:09:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 1287





<< บทที่ 6 (หนีตาย... 2)   บทที่ 7 (เดินหน้า... 1) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account