ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ

เขา... นายตำรวจหนุ่ม

เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ

ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น

แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ

แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ

ตอน: บทที่ 7 (เดินหน้า... 1)

บทที่ 7
(เดินหน้า... 1)

ในห้องสีเหลี่ยมที่มีหน้าต่าง 3 บานที่อยู่ทางผนังซ้ายมือของประตู ได้ถูกเปิดกว้างเพื่อรับลมยามบ่ายที่พัดเอื่อยๆ ผ่านเข้ามาเพื่อนเพิ่มความเย็นในวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ ถึงแม้ว่ามันจะเข้าสู่เดือนธันวาคมแล้วก็ตาม ภายในห้องมีตู้เอกสาร 3 ใบที่ภายในอัดแน่นไปด้วยแฟ้มเอกสารสีดำมากมาย แต่มันก็เป็นระเบียบง่ายต่อการค้นหายามเมื่อต้องการเอกสารนั้น ที่ผนังด้านหนึ่งมีบอร์ดที่ติดรูปของผู้ต้องสงสัยไว้ประมาณ 5-6 ราย รวมทั้งมีข้อความเตือนความจำอยู่เล็กน้อย แล้วยังโต๊ะทำงาน 2 ตัวที่บนโต๊ะนั้นก็เต็มไปด้วยกองเอกสารนานาชนิดอีกเช่นกัน

ศิวกรในชุดครึ่งท่อนกำลังนั่งพิงพนักเก้าอี้อ่านเอกสารลับสุดยอดที่อยู่ในมืออย่างเคร่งเครียด อยู่เพียงลำพังในห้องนั้น เพราะทนงศักดิ์เองก็มีงานราชการลับที่จะต้องไปทำเช่นกัน ตอนนี้เขาออกจากโรงพยาบาลได้ 1 อาทิตย์แล้ว แทนที่เขาจะนอนอยู่บ้านเพื่อพักฟื้นร่างกายตามที่คุณหมอสั่ง แต่เจ้าตัวก็ยังดื้อดึงที่จะมาทำงาน แม้แต่ผู้เป็นมารดาก็ยังต้องยอมให้เขามาทำงานเพราะสู้ความดื้อดึงของเขาไม่ได้

เขาอ่านข้อความในเอกสารทวนแล้วทวนอีก ก็ยังไม่เห็นว่ามันจะเป็นไปได้เลยสักนิด ใบหน้าที่เคร่งเครียดเป็นปรกติยามทำงาน ตอนนี้กลับดูเคร่งเครียดเข้าไปอีก ...เบื้องบนเขากำลังคิดอะไรกันอยู่ ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ยังจะสั่งลงมาอีก หรือว่ามีใครกดดันมา... เขานั่งเอามือถูคางตัวเองไปมาเบาๆอย่างใช่ความคิด ก่อนที่จะถูกขัดจังหวะจากเสียงขออนุญาตของจ่าดำรงที่ดังมาจากนอกห้อง

“ขออนุญาตครับผู้กอง”

“เชิญ”

เขาเอ่ยอนุญาตก่อนจะตามมาด้วยร่างผอมแห้งของจ่าดำรงที่แต่งเครื่องแบบเต็มยศเดินเข้ามาในห้อง ก่อนจะยืดตัวทำความเคารพเขาพยักหน้ารับทั้งที่ยังก้มหน้าอ่านเอกสารนั้นอยู่ตามเดิม

“มีคนมาขอพบครับผู้กอง”

“ใคร”

เขาถามเสียงเข้มแต่ก็ไม่ยอมเงยหน้ามาเสียที ก็เลยไม่ได้เห็นรอยยิ้มกรุ่มกริ่มของจ่าดำรงค์เลย
“สุภาพสตรีครับ กำลังยืนรอผู้กองอยู่ที่หน้าโรงพัก”

“ก็บอกมาตรงๆสิว่าใคร พูดจาอ้อมโลกอยู่นั้นแหละ ผมมีงานมีการที่ต้องทำนะ”

เขาพูดเสียงเขียวใส่จ่าดำ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองอย่างหงุดหงิด แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นจ่าดำรงค์ยังคงยิ้มหน้าระรื่นอยู่อย่างนั้น

“คุณดลินามาขอพบครับผม”

“แล้วทำไมเพิ่งบอก”

เขาเบิกตากว้างอย่างแปลกใจก่อนจะรีบยัดเอกสารที่ลับสุดยอดนั้นใส่ซองอย่างลวกๆไม่ใส่ใจ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้ทำให้เก้าอี้เด้งถอยหลังไปกระแทกกับตู้เอกสารที่สู้เท่าเอวด้านหลังอย่างแรง แล้วก็รีบเดินออกจากห้องไปทันที

“อ้าวแล้วกัน ผิดอีกแล้วฉัน”

คนที่เข้ามารายงานเขายืนเกาหัวแกระๆ สงสัยว่าตัวเองไปทำบุญทำกรรมที่ไหน ใครๆก็ไม่รักมีแต่ว่าเขาอย่างเดียวเลย

ที่ทางเข้าสถานีฯ ร่างบางของหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังยืนถือถุงที่ภายในบรรจุเต็มไปด้วยขนมเค้ก แซนวิช และคุกกี้นานาชนิดอยู่เต็มทั้งสองมือ วันนี้เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนพอดีตัว กับกางเกงผ้าพริ้วสีดำ ผมที่มักจะถูกรวบไว้เป็นหางม้าอยู่ด้านหลังกลับปล่อยสะยายสวยน่าสัมผัส ใบหน้าหวานแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเบาบาง ยิ่งส่งให้หน้าหวานดูหวานเข้าไปอีก

ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็มองเธอด้วยความสนใจ ไม่เพราะความน่ารักน่ามองของเธอเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่ทำให้ใครหลายๆ คนสนใจมากขึ้นเมื่อเธอมาแจ้งประสงค์ว่าต้องการพบผู้กองศิวกรผู้น่าเกรงขามประจำโรงพัก ศิวกรเดินลงบันไดจนมาถึงชั้นล่างก็เห็นร่างของหญิงสาวกำลังยืนถือถุงที่ดูเหมือนจะหนักเอาการ แล้วก็ต้องรีบเดินเข้าไปช่วยเธอถือถุงเหล่านั้น

เมื่อดลินารู้สึกถึงใครบางคนที่แย่งถุงจากมือเธอไปถือ ในตอนแรกทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะยิ้มหวานส่งไปให้เขาเมื่อรู้ว่าเป็นใคร ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นโกรธแทนเมื่อรู้ว่าเขาแผลยังไม่หายดีแล้วยังจะมาถือของหนักๆ อย่างนี้อีก

“นี่คุณแผลยังไม่หายดีแล้วมาถือของหนักๆอย่างนี้ได้ไง”

เธอดุเขาเสียงเข้ม แต่คนตัวโตกลับนิ่งเฉยไม่โต้ตอบอะไร

“เชิญที่ห้องผมก่อนดีกว่า ยืนคุยตรงนี้เห็นจะไม่สะดวก”

พูดจบเขาก็ออกนำเธอไปโดยไม่เปิดโอกาสให้ดลินาได้โต้ตอบอะไรกลับไปเลย เธอต้องเดินตามเขาไปอย่างขัดใจ ตลอดทางที่เธอเดินตามเขาไปห่างๆ สายตาหลายคู่จับจ้องมายังเธอและเขา บ้างก็ประหลาดใจ บ้างก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย นายตำรวจบางคนก็ส่งสายตาเป็นสัญญาณบางอย่างที่เข้าใจกัน คละเคล้ากันไป แต่ก็สรุปได้ใจความสั้นๆว่า “คนนี้สินะตัวจริงเสียงจริง”

เขาพาเธอเดินมาถึงห้องทำงานของเขาก่อนจะเปิดประตูเพื่อให้เธอได้เข้าไปข้างในก่อน เธอก้าวเข้าไปในห้อง ศิวกรละสายตาจากหลังของหญิงสาวหันมาจ้องไปยังพวกที่คอยืดคอยาว ที่มองทั้งเขาและดลินาตั้งแต่ก้าวแรกเดินเข้ามา

เขาสังเกตเห็นนานแล้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เมื่อร่างบางของหญิงสาวก้าวพ้นเข้าไปในห้องแล้วเท่านั้นแหละ สายตาพิฆาตก็ถูกส่งออกมาจากตาคมดุนั้นทันที ผลที่ตามมาแต่ละคนเลยเหงื่อตกเพราะว่าสายตาที่ศิวกรใช้มองมานั้น ต่อให้คนที่สีหน้าไร้ความรู้สึกที่สุดในโลกมาเห็นก็ยังต้องแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาเป็นแน่ แล้วประสาอะไรกับพวกเขา

ทุกคนต่างรีบหดหัวกลับไปทำหน้าที่ตามเดิม เขายืนจ้องอยู่สักพักเมื่อเห็นว่าไม่มีสายตาไหนสอดส่องดุเขาอยู่ แล้วก็เดินก้าวเข้าไปในห้องก็จะปิดประตูโดยไม่สนใจคนภายนอกอีก ก็ในเมื่อคนในห้องน่าสนใจกว่าเยอะ
“พี่ดำ พี่ดำ”

เสียงนายตำรวจคนหนึ่งกระซิบถามจ่าดำรงที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่

“อะไร”

“สาวสวยที่อยู่กับผู้กองนั้นใครน่ะ”

“แล้วพวกแกจะรู้ไปทำไม ถ้าอยากรู้ก็เดินไปถามผู้กองเขาเองสิ”

“โห! พี่ หาเรื่องให้ผมโดนสั่งย้ายแล้ว”

“กลัวแล้วจะถามทำไมวะ”

“ก็คนมันอยากรู้หนิ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นผู้กองสนใจผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย ขนาดเดินมาให้ผู้กองแกพิจารณาถึงสถานียังไม่สนเลย”

“พูดอะไรระวังปากไว้บ้าง เดี๋ยวได้โดนย้ายสมใจอยากหรอก ฉันบอกได้แต่เพียงว่าคุณผู้หญิงคนนี้ตัวจริงเสียงจริง ของแท้และแน่นอน”

นายตำรวจที่ได้ยินคำบอกเล่าจากจ่าดำรงค์ถึงอ้าปากค้าด้วยความตกตะลึง เพราะไม่คิดว่าคนที่เคร่งขรึม แล้วเฮี้ยบอย่างศิวกรจากจีบผู้หญิงกับเขาก็เป็นด้วย

**************************************************************

“วันนี้เวลา 15 นาฬิกา 25 นาที เกิดเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้น ณ บ้านเลขที่...”

ดลินานั่งฟังข่าวพ่อค้ายาเสพติดและอาวุธข้ามชาติถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมอย่างเป็นกังวล เธอรู้...รู้ว่าการตายของพ่อค้ารายนี้เป็นคดีที่ศิวกรต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแน่ๆ

“ตายอีกแล้วหรอ เมื่อ 3 วันก่อนก็เหมือนกัน แต่ดูว่ารายนี้แลดูจะอนาถกว่าเสียอีก”

เสียงทันตแพทย์ประจำบ้านดังขึ้นทันทีที่มานั่งลงบนโซฟาตัวใกล้ๆ กับที่ดลินานั่งอยู่

“นั้นสิพี่นพ พี่นพคิดดูนะมันต้องมีอะไรเลย พวกพ่อค้ายากับพ่อค้าอาวุธเนี่ยเล่นตายกันเป็นเบือ”

รจนาพูดกับพี่ชายอย่างออกรส ดลินาได้แต่นั่งฟังเงียบใจนั้นบินไปอยู่กับคนตัวโตที่อยู่ด้วยกันเมื่อบ่ายนั้นอย่างกังวล

“ข้าวเป็นไรไป เมื่อกี้ข้าวก็ทานได้นิดเดียว มีอะไรในใจหรือเปล่า”

อรรณพถามขึ้นเมื่อเห็นน้องสาวอีกคนของตนนั่งหน้าเครียดดูทีวีใจลอย

“ข้าว... นี่แก ยอดข้าว!”

รจนาเดินมาเขย่าตัวเพื่อนเบาๆ ทำให้ดลินาถึงกับสะดุ้งทันที

“อะไร!? เมื่อกี้พี่นพถามอะไรข้าวนะคะ”

ดลินาหันไปถามคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวข้างๆ รจนายืนกอดอกมองหน้าเพื่อนซี้อย่างใช้ความคิด

“แกมีอะไรอยู่ในใจหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรหรอกแก ฉันคิดมากไปเอง”

“มีอะไรบอกมาซะดีๆ อย่าให้ฉันคาดคั้นแกนะเว้ย”

“แยม...พอเลย อย่าไปคาดคั้นข้าวเขาสิ มีอะไรเดี๋ยวเขาก็บอกเองแหละ”

เมื่อโดนพี่ชายดุก็เลยต้องกระแทกก้นลงนั่งข้างดลินาอย่างขัดใจ แล้วตาก็จับจ้องไปยังโทรศัพท์ที่ออกข่าวเรื่องของพ่อค้ายารายนั้น แล้วเมื่อเห็นคนที่กล้องจับเมื่อสักครู่ แค่เพียงแว๊ปเดียวเท่านั้นเธอก็มั่นใจทันทีว่าที่เพื่อนเธอต้องนั่งหน้ามุ่ยใจลอยอยู่อย่างนี้เพราะอะไร

“โอ้โหแหะ... อิตาผู้กองกวนประสาทนั้นได้ออกทีวีด้วย เป็นบุญตาฉันจริงๆ”

รจนาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นภาพของทนงศักดิ์กำลังยืนพูดคุยอยู่กับเจ้าหน้าที่ชันสูตนายหนึ่งอยู่

“แล้วทำไมเราถึงไปเรียกเขาแบบนั้นล่ะ ไม่ดีเลยนะแยมโตป่านนี้แล้ว แถมยังเป็นถึงหมอ กลับมาทำตัวพาลโลเหมือนเด็กอย่างนี้อีก”

“อ้าวก็มันจริงหนิคะพี่นพ พี่นพลองได้คุยกับตานั้นดูสักครั้ง รับรองพี่นพคงอยากจะชกปากของหมอนั้นแน่ๆ คนอะไรก็ไม่รู้ปากเสียเป็นที่หนึ่ง”

เสียงโทรศัพท์มือถือที่มือของดลินาสั่นอย่างแรงจนทำให้คนที่ถืออยู่ถึงกับสะดุ้งเฮือกสุดตัว เธอมองไปที่หน้าจอแล้วก็แล้วใบหน้าหวานที่เคร่งเครียดนั้นกลับยิ้มกว้างทันที แล้วรีบลุกออกจากสงครามน้ำลายระหว่างพี่น้อง เดินเลี่ยงไปโทรศัพท์ที่สวนหน้าบ้านอย่างไม่สนใจคนทั้งสองอีก

หลังจากที่ศิวกรวางสายจากคนที่หัวใจเพรียกหารายงานตัวกับเธอว่าเขาปลอดภัยดีทุกอย่างแล้ว เขาก็มานั่งเครียดอยู่ในห้องประชุมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นมันบอกให้เขารู้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้มันควรจะจบได้แล้ว ขืนยืดเยื้อมากไปกว่านี้ ของต้องมีคนเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกแน่

“ผมคงพูดได้ไม่เต็มปากว่าการที่จะจัดการกับขบวนการค้ายาเสพติดและอาวุธข้ามชาตินี้สามารถทำได้ง่ายๆ แต่เราก็ใกล้เข้าไปทุกทีแล้ว”

เสียงของท่าอธิบดีกรมตำรวจพูดขึ้นในที่ประชุม

“องอาจ ผมให้อำนาจกับคุณเต็มที่ จัดการโค่นพวกมันลงมาให้ได้ เข้าใจหรือเปล่า”

“เข้าใจครับผม”

เสียงรับคำของท่านผู้กำกับประจำสถานีฯที่ศิวกรประจำอยู่รับคำอย่างแข็งขัน และมุ่งมั่น

“ดีอีก 3 เดือน ผมให้เวลาคุณ 3 เดือน หวังว่าคุณจะโค่นบังลังมันลงมา”

พูดจบท่านอธิบดีฯ ก็เดินออกจากห้องไป นายตำรวจชั้นผู้น้อยกว่าอีก 10 กว่านายยืนตรงทำความเคารพ ก่อนจะนั่งลงประชุมกันต่อไป

**************************************************************

บ้านร้างแห่งหนึ่งแถวชานเมืองกรุงเทพฯ ภายในกำลังมีการเจรจาทางการค้าที่ผิดกฎหมายเกิดขึ้นอย่างลับๆ โดยมีก้องภพเป็นผู้เจรจาต่อรองกับผู้ค้าอีกคน ทั้งสองฝ่ายต่างมีผู้ติดตามฝ่ายละ 10 กว่าคน

“ว่าไงคุณก้องภพตกลงคุณจะขายให้ผมหรือเปล่า”

“ใจร้อนจริงนะครับคุณสมเกียรติ์ ผมจะแน่ในได้ว่าคุณไม่ได้เป็นตำรวจปลอมตัวมาหลอกผม”

“แล้วคุณล่ะครับผมจะแน่ใจได้ย่างไรกันว่าคุณก็ไม่ใช่ตำรวจปลอมตัวมาหลอกผมเหมือนกัน ไม่แน่ตอนนี้พวกของคุณอาจจะล้อมบ้านหลังนี้ไว้ก็ได้”

เสียงพูดที่แสนจะเย้ยหยันเอ่ยวาจาอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้ก้องภพหัวเราะอย่างแกนๆ

“คุณมันแน่จริงๆ”

พูดจบก้องภพก็ชักปืนขึ้นมาจ่อที่หน้าฝากของสมเกียรติ์ ทำให้ผู้ติดตามของทั้งสองฝ่ายต่างชักปืนออกมาเล็งไปยังฝ่ายตรงข้ามที่ยืนอยู่ แต่ดูเหมือนว่าคนที่ถูกปืนจ่อหน้าฝากดูจะไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด กลับหัวเยาะเย้ยเขาอีกต่างหาก มันยิ่งทำให้ก้องภพโกรธมากขึ้นเรื่อย

“ผมว่าคุณเอาปืนนี่ออกไปจากหน้าฝากผมจะดีกว่า ถ้าเจ้านายผมรู้ว่าคุณเป็นคนเป่าหัวผม คุณต่างหากที่จะเป็นฝ่ายสูญเสีย”

“แล้วการเจราครั้งต่อไปผมจะเป็นคนกำหนดสถานที่เอง รอการติดต่อกลับไปด้วยนะครับ อีก 1 อาทิตย์ แล้วพบกันครับ”

เขาพูดจบก็เดินหันหลังให้กับก้องภพอย่างไม่กลัวว่าเขาจะยิ่งเขาเข้าที่ศีรษะ เขาเดินขึ้นรถไปอย่างใจเย็น ทันทีที่ประตูของเขาปิดลง เหล่าผู้ติดตามก็รีบวิ่งไปยังรถที่พวกเขานั่งมาแล้วออกตัวตามไปติดๆ ก้องภพเก็บปืนใส่ซองอย่างขัดใจก่อนจะเตะไปสีถังสีใบหนึ่งเพื่อระบายอารมณ์ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้ามาต่อรองกับเขาแบบนี้

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าตอนนี้ดลินาได้กลับมาเปิดร้านอีกครั้ง ทันทีที่ได้ยินจากปากของศิวกรว่าเธอกลับไปทำงานแล้วก็สามารถนอนที่บ้านของตัวเองได้อีก แต่...ใช่มีแต่ แต่ว่าเธอจะต้องให้เขามาพักที่บ้านของเธอเป็นข้อแลกเปลี่ยน ดลินานึกหวนไปยังศาลาหกเหลี่ยมที่ล้อมรอบไปด้วยดอกแก้วในสวนของบ้านรจนาแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ว่าตัวเองจะกล้าขนาดนั้น

‘ไม่ได้เด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดยังไงฉันก็ไม่ยอม’

‘งั้นคุณก็ต้องพักอยู่กับคุณรจนาต่อไป จนกว่าผมจะอนุญาต’

‘คุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉัน’

เงียบ...ไม่มีคำตอบรับใดๆจากศิวกร พอลินารู้สึกว่าตัวเองพูดแรงเกินไปก็เริ่มจะรู้สึกผิดขึ้นมาทันที ศิวกรหันหลังให้กับดลินาเพราะพยายามที่จะข่มอารมณ์ตัวเองไม่ให้โมโหใส่เธอ

‘ฉันขอโทษ’

เสียงใสปนเสียงสะอื้นเอ่ยขอโทษเขา แต่เขาก็ยังไม่อยากจะหันไปมองเธอตอนนี้ เพราะคำพูดเธอเมื่อสักครู่นี้มันทำร้ายจิตใจเขาอย่างมาก ดลินาจะรู้หรือไม่ว่าคำพูดเมื่อสักครู่มันเจ็บยิ่งกว่าถูกกรีดด้วยใบมีดที่หัวใจเสียอีก

‘ผู้กองคะ...ข้าวขอโทษ หันมาพูดกับข้าวก่อนสิคะ’

คราวนี้เขาได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ มาจากคนตัวเล็กด้านหลัง เขารีบหันหลังกลับมาทันทีแล้วก็เห็นคนตัวเล็กนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ที่ขอบรั้วสีขาวของศาลาทรงหกเหลี่ยมนั้น ศิวกรหัวใจหล่นวูบทันที... เขาทำเธอร้องไห้อีกแล้วเขารีบเดินเข้าไปใกล้ๆ หญิงสาวก่อนจะนั่งชันเข่าลงตรงหน้าก่อนจะเช็ดน้ำตาใสๆ นั้นด้วยมือของเขาเอง
‘ผมขอโทษ คุณอย่างร้องเลยนะ’

เขาพูดอย่างอ่อนโยน มันยิ่งทำให้น้ำตามันไหลไม่หยุดเสียอย่างนั้น เพราะเขาไม่โกรธ ไม่ดุด่าว่าเธอ มันเลยยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดยิ่งเข้าไปอีก ศิวกรค่อยๆ ดึงเธอให้ลุกขึ้นยืดแล้วรั้งเข้ามาหาอ้อมกอดของเขา อ้อมกอดที่ไม่ว่ายามใดก็อบอุ่นเสมอนั้นทำให้เธอสงบลงอย่างแปลกประหลาด เขาโยกตัวเบาๆ เหมือนกล่อมเด็กน้อยที่ตกใจกลัว

‘ข้าวขอโทษ ผู้กองอย่าโกรธข้าวนะคะ’

เสียงสะอื้นของคนตัวเล็กกล่าวอย่างขอลุแก่โทษ

‘หอมแก้มผมทีเดียวผมก็หายโกรธแล้ว’

เขาพูดเพราะกับเอียงแก้มข้างขวาให้อีกต่างหาก คนในอ้อมกอดกลับมุดหน้าอยู่กับอกของเขาแทน ศิวกรอยากจะหัวเราะออกมาแต่ก็ต้องข่มเอาไว้อย่างเต็มที่

‘งั้นผมโกรธคุณต่อ’

เขาทำท่าจะขยับตัวหนี หญิงสาวก็กำเสื้อของเขาแน่นไม่ยอมปล่อยแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาก็เห็นคนตัวโตกว่ายื่นแก้มมาให้อีกครั้ง เขายื่นแก้มให้อยู่นานไม่เห็นทีท่าว่าหญิงสาวจะหอมแก้มเขาเสียที เขาก็ขยับตัวหนีอีกทีคราวนี้ร่างบางใช่มือจับที่คอของเขาก่อนจะโน้มตัวเขาลงมาก่อนจะยอมทำตามที่ศิวกรยื่นข้อเสนอให้ ดลินารีบปล่อยมืออกจากคอเขาทันทีก่อนจะเอามือทั้งสองข้างอังแก้มตัวเองก่อนจะหันหลังด้วยความขวยเขิน

...ตายฉัน อ๋ายยยยยยยย...

ศิวกรตอนแรกดูจะงงที่หญิงสาวหอมเขาแต่ว่าจะเรียกว่าฉกถึงจะถูก เพราะว่าหญิงสาวกดจมูกลงที่แก้มเขาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น แต่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา เท่านี้ก็พอแล้วจริงๆ

‘เป็นอันว่า ผมหายโกรธคุณแล้วก็ได้’

เขาพูดอย่างร่าเริงเหมือนเด็กได้ของเล่นที่ถูกใจ

‘ตกลงคุณจะกลับไปเปิดร้านเหมือนเดิมหรือเปล่าครับ’

ดลินาไม่ตอบแต่พยักหน้าให้เป็นคำตอบแทน

‘แล้วข้อเสนอที่ผมยื่นไปล่ะ คุณตกลงหรือเปล่า’

เธอพยักหน้าตอบอีกทีอย่างอัตโนมัติ ไม่รู้ตัวเลยว่าเธอได้ตอบตกลงให้เขามาพักกับเธอได้ แต่พอผ่านไปสักพักเหมือนสมองเธอจะรับรู้อะไรบางอย่าง ก็อ้าปากค้างลืมความอายแล้วรีบหันไปหาคนตัวโตทันที แต่ไม่ไม่เห็นร่างหนานั้นแล้ว เธอได้ยินแต่เสียงหัวเราะที่ดังอยู่ไกลๆ ของเขาเท่านั้น ดลินารีบวิ่งตามเขาไปทันทีเพื่อจะของปฏิเสธเขา แต่ดูเหมือนว่าใจเธอไม่ต้อการปฏิเสธเลยสักนิดแถมมันยังยิ้มรับอีกต่างหาก...นี่หัวใจเธอถูกเขาจับจนอยู่หมัดเสียแล้วหรือนี่

**************************************************************

3 ทุ่มแล้วเขาก็ยังไม่กลับมา โทรทัศน์ที่ตอนแรกคนนั่งดูตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นดูคนเปิดแทนเสียแล้ว ห้องนั่งเล่นของชั้นที่ 2 ที่ปรกติต้องมีคน 2 คนนั่งดูทีวีแล้วก็พูดแลกเปลี่ยนทัศนะคติกันยามเมื่อดูข่าวกัน แต่วันนี้กลับมีเพียงร่างบางเพียงคนเดียวเท่านั้น

…เมื่อก่อนยังอยู่คนเดียวได้ ทำไมตอนนี้จะอยู่ไม่ได้...

เธอเฝ้าบอกตัวเองอยู่อย่างนั้นหลายรอบแล้ว รายการทางโทรศัพท์ต่างหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งรายการโปรดฉายอยู่ตรงหน้า แลดูจะตกอันดับไปทันที เมื่อเทียบกับคนที่เธอกำลังนั่งรออย่างกระวนกระวาย

เธอยังคงนั่งรอเขาต่อไป จากท่านั่งปรกติก็เริ่มที่จะเอนตัวลงเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายมาเป็นนอนอยู่บนโซฟาแทนเสียแล้ว เปลือกตาที่เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่เดินต่อไปไม่หยุด แต่เธอก็พยายามฝืนเบิกเปลือกตาไว้ แต่ว่ามันยิ่งหนักขึ้น หนักขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปิดสนิท

ศิวกรไขกุญแจเปิดประตูด้านหลังร้านเข้ามาอย่างเบาที่สุดกลัวว่าคนตัวเล็กที่ป่านนี้คงจะหลับไปแล้วจะตื่นขึ้นมาเพราะเขา แล้วยิ่งเมื่อเดินขึ้นบันไดหลังร้านที่เชื่อมชั้นล่างกับชั้น 2 เข้าด้วยกันเขาก็แปลกใจเมื่อได้ยินเสียงของโทรทัศน์และไฟที่ยังคงเปิดสว่างอยู่ลอดประตูออกมา

เขาไขกุญแจประตูตรงบันได้อีกครั้งแล้วเมื่อเปิดเข้าไปในห้องก็ต้องประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเห็นโทรทัศน์ยังคงถูกเปิดทิ้งไว้แต่กลับไม่มีคนนั่งดูอยู่ เขาเดินไปหมายจะปิดโทรทัศน์ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างบางในชุดนอนเต็มยศนอนซุกหน้าอยู่กับหมอนอิงอย่างสบาย

เธอรอเขาหรือ...ความคิดนี้พุ่งเข้ามาในความคิดทันที ศิวกรเดินไปปิดโทรทัศน์ก่อนจะเดินกลับมาหาร่างบางที่นอนอยู่บนโซฟาอย่างรักใคร่ เขาทรุดตัวลงนั่งกลับพื้นตรงหน้าเธอพอดี เขาค่อยๆ ปัดเส้นผมที่ลงมาปรกหน้าหวานยามนอนหลับไปทัดที่หูอย่างแผ่วเบา

เหมือนร่างบางจะรับรู้ถึงความอ่อนหวานนั้นทำให้เธอถึงกับยิ้มออกมาจนทำให้คนที่นั่งมองอยู่ต้องยิ้มตาม ใบหน้านี้ไม่ว่าจะยามหลับหรือยามตื่นมักจะตราตรึงอยู่ในดวงใจเขาเสมอ เขาเองก็รู้ตัวดีว่าช่วงนี้เวลาเขาทำงานดูจะระมัดระวังตัวมากขึ้นไม่บุ่มบ่ามเหมือนสมัยก่อน

เขาค่อยใช้นิ้วไร้แก้มใสนั้นอย่างหลงใหล หากว่าวันหนึ่งเธอรับรู้เขาจะต้องไปทำงานที่เสี่ยงอันตรายต่อชีวิตอีกครั้ง เธอจะมีปฏิกิริยาอย่างไรหนอ จะร้องไห้เสียใจพยายามฉุดรั้งไม่ให้เขาไป หรือปล่อยให้เขาไปอย่างไม่ใยดี

แต่ว่าเธอไม่ใช่คนอย่างนั้น...เขารู้ดี เธอคงจะมายืนส่งเขาที่ตรงประตูบ้าน ใบหน้ายิ้มแย้มแต่ดวงตาแฝงแววกังวลเป็นห่วง แล้วก็พูดว่า ‘ระวังตัวนะคะ...ฉันจะรอคุณกลับมา’ เขาอมยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง ถ้ามันเป็นอย่างที่เขาคิดมันก็คงจะดีไม่น้อย และมันจะดีขึ้นไปอีกเมื่อเธอกลายมาเป็นภรรยาของเขา

มันจะดีแค่ไหนถ้าทุกๆ เช้าตื่นขึ้นมาพบกับรอยยิ้มหวานๆ นั้น มีเธอมายืนส่งที่หน้าประตูพร้อมกับคำพูดให้ระวังตัว แล้วเมื่อกลับมาจากทำงานก็ได้รับการปรนนิบัติจากเธอจนความเหนื่อยล้าจากการทำงานหายไปจนหมดสิ้น แล้วในยามต่ำคนมีเธอนอนในอ้อมกอด มันคงจะเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดในชีวิตที่เขาจะได้รับ

“ผมรักคุณนะ”

เขากระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูของเธอก็จะบรรจงจรดริมฝีปากลงบนแก้มเนียนใส กลิ่นของสบู่อ่อนๆจากตัวหญิงยิ่งทำให้เขาหลงใหล แต่เขาก็ต้องห้ามใจไม่ทำอะไรเธอมากกว่าหอมแก้ม เขาจะรอ...รอจนกว่าเธอจะเป็นคนยินยอมเขาเอง

ร่างหนาค่อยบรรจงช้อนตัวคนขี้เซาที่ไม่รู้สึกตัวแม้แต่เขาอุ้มเธอขึ้นมาแล้วอย่างแผ่วเบา ก่อนจะพาร่างนั้นขึ้นไปนอนบนเตียงซึ่งมันดูจะน่าสบายกว่านอนบนโซฟานั้นเยอะ เขาค่อยๆบรรจงวางเธอลงบนที่นอนก่อนจะห่มผ้าให้เธอ

ดลินาพลิกตัวเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ตื่น ซุกหน้าเข้ากับหมอนใบเขื่องของตนเพื่อหามุมที่สบายที่สุด ศิวกรนั่งลงที่ริมเตียงก่อนจะบรรจงจูบที่หน้าผากมนอีกครั้ง

“ราตรีสวัสดิ์ครับนางฟ้าของผม หลับให้สบายนะ”

แล้วศิวกรสาวเท้าเดินออกมาจากห้องของเธอโดยที่ไม่ลืมจะล็อคห้องให้เธอ ทันทีที่ประตูห้องถูกปิดลงคนที่คิดว่าหลับไปนานแล้วลืมตาขึ้นมามนคามมืด ริมฝีปากสวยคลี่ยิ้มอย่างดีใจ

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ หลับให้สบายนะคะผู้กองที่รัก”

แล้วดลินาก็หลับตาลงอีกครั้ง คืนนี้คงจะเป็นคืนที่เธอฝันดีที่สุดในชีวิตเลยก็ได้



TooMMeng
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ม.ค. 2556, 14:56:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ม.ค. 2556, 14:56:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1258





<< บทที่ 6 (หนีตาย... 3)   บทที่ 7 (เดินหน้า... 2) >>
Auuuu 16 ม.ค. 2556, 19:21:56 น.
นางเอกเจ้าเล่ห์ อิอิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account