The song of heart...เพลงหัวใจ
“กิดาหยัน” ช่างภาพสาวประจำนิตยสารเลิฟลี่โฮมเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจได้ไม่นาน ก็ต้องมาพบกับเรื่องราวอันแสนน่าเวียนหัวของพี่สาวฝาแฝด “กิดานันท์” ที่ยังคงตัดใจจากอดีตแฟนเก่าอย่าง"โยธิน" ไม่ได้ แถมเจ้าเพื่อนเวร (กิดาหยันเรียกเขาว่าอย่างนั้น) ยังมีชนักติดหลัง พา “กวินภพ” อดีตว่าที่พี่เขยที่แสนจะคุ้มดีคุ้มร้ายเข้ามาเกี่ยวพันกับคนป่วยอย่างกิดาหยันอีก

งานนี้ช่างภาพสาวจะหลุดพ้นจากมลทินที่กวินภพกล่าวหาว่าหล่อนเป็นภรรยาลับได้หรือไม่

**ข้อมูลทั้งหมดในเรื่องเป็นสิ่งที่ผู้เขียนค้นคว้าไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2553**
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 15

บทที่ 15



กิดาหยันนั่งเท้าคางมองดูความว่างเปล่าบนโต๊ะทำงานสลับกับภาพความวุ่นวายของเพื่อนร่วมงานที่บ้างง่วนตัดต่อภาพอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ บ้างก็เดินเข้า-ออกระหว่างสตูดิโอกับห้องทำงานเป็นว่าเล่น

ย้อนกลับมามองความว่างเปล่าบนโต๊ะตัวเองอีกครั้ง ก่อนหาวหวอดเคาะโต๊ะฆ่าเวลาไปอย่างนั้น หล่อนหาวเป็นรอบที่ล้านของวันนี้ได้แล้วมั้ง

ตั้งแต่กิดาหยันย่างก้าวเข้ามาในบริษัทเลิฟลี่โฮมความน่าเบื่อก็มาเยือน ไม่ว่าหล่อนจะหยิบจับอะไรเป็นอันกลายเป็นของต้องห้ามไปเสียหมด ทั้งงานภายในบริษัท งานนอกสถานที่ หรือว่าจะเป็นงานสัมภาษณ์ง่ายๆ ก็ดูเหมือนเพื่อนร่วมงานทั้งหลายต่างจับจองแล้วทั้งสิ้น

แม้กระทั่งงานนั่งโต๊ะเฉยๆ ไม่ต้องขยับเขยื้อนไปไหนนอกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ยังต้องขอร้องแล้วขอร้องอีกจากเพื่อนร่วมงาน ได้ยินหล่อนยืนยันเสียงแข็งว่าทำได้นั่นแหละถึงยอมปล่อยงานหลุดมือ

“กาแฟจ้ะ”

กิดาหยันเหลือบมองเพื่อนครึ่งหญิงครึ่งชายที่ยืนเหนือศีรษะ ก่อนคว้าแก้วกาแฟมาตั้งไว้หน้าตัวเองอย่างเซ็งๆ

ด้วยความที่โต๊ะทำงานของกฤษณะอยู่ข้างโต๊ะกิดาหยัน เจ้าหล่อนจึงลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ได้สบาย “ดูทำหน้าเข้ายัยหยัน อย่างกับคนเซ็งโลกอย่างนั้นแหละ”

“ก็จะไม่ให้เซ็งได้ไงล่ะ ฉันนั่งเฉยๆ มาแบบนี้ชาตินึงแล้วนะ รู้อย่างนี้ออกไปตระเวนรับงานพิเศษเองยังจะดีซะกว่า”

“ไม่เอาน่า แล้วภาพที่ฉันให้แกตัดต่อเอาลงประกอบคอลัมน์คุณศิลป์ชัยเสร็จรึยัง ไหนขอดูหน่อย” ยังดีที่วันไปบ้านศิลป์ชัย กฤษณะพอจะถ่ายภาพในบ้านมาบ้างระหว่างการสัมภาษณ์ บวกกับภาพที่กิดาหยันถ่ายเก็บไว้ก่อนเกิดเรื่องทำให้งานไม่พังอย่างที่คิด

กิดาหยันส่งแฮนดี้ไดร์ฟให้เพื่อน “ฉันเซฟใส่ไฟล์ของแกแล้ว เอาไปดูเองแล้วกัน”

“แล้วเทปสัมภาษณ์ของคนอื่นๆ ที่ฉันให้แกไว้ถอดบทสัมภาษณ์เสร็จแล้วเหรอ”

“เสร็จแล้ว” ตอบห้วน ก่อนจิบกาแฟแก้เบื่อ แต่ความร้อนของของเหลวที่ไหลเข้าคอไม่ได้ช่วยให้หล่อนเย็นลงสักนิด

รีบขัดพอเห็นกฤษณะจะถามต่อ “ไม่ว่าจะเป็นถอดบทสัมภาษณ์ ตัดต่อภาพลงคอลัมน์ ปรับแต่งภาพ หาสถานที่ที่น่าสนใจ ถ่ายภาพในสตูดิโอ ฉันทำเสร็จไปนานแล้วย่ะ”

ทุกงานที่ว่ามาล้วนแล้วแต่เป็นงานของกฤษณะที่สงเคราะห์ยกให้หล่อนทำเพราะความสงสาร รวมถึงงานตกค้างของกิดาหยันเองที่เพื่อนร่วมงานลงความเห็นกันแล้วว่าไม่หนักเกินไปที่จะปล่อยให้คนป่วยสานต่อด้วยตัวเอง

“อ้อ ยังมีอีกงานนึง นักศึกษาฝึกงานของแกให้ฉันช่วยสอนถ่ายภาพพวกของใช้ในบ้านที่จะเอาลงนิตยสารให้น่ะ จะว่าไปงานเบาๆ ยังเหลืออีกงาน งานเสิร์ฟน้ำไงแกว่าดีมั้ย ไม่แน่นะฉันอาจจะขอลาออกจากตำแหน่งช่างภาพมาเป็นแม่บ้านในบริษัทก็ได้ ไหนๆ ทุกวันนี้ฉันก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรที่เป็นหน้าที่ของช่างภาพนิตยสารอยู่แล้ว”

“ยัยหยัน !” กฤษณะเสียงสูงขึ้นมาทันที “ฉันนี่เบื่อจริงกับนิสัยที่เวลาโกรธแล้วชอบด่าประชดตัวเองเนี่ย เมื่อไหร่แกจะเลิกซะทียะ หัวใจที่เต้นอยู่ในร่างแกดวงนี้มันไม่ได้ช่วยเปลี่ยนนิสัยแกบ้างเลยรึไง” ว่าแล้วก็จิ้มที่อกข้างซ้ายเพื่อน ทำเอาคนป่วยร้องโวย

ปัดมือเพื่อนออก “ยัยคิตตี้”

“ทำไม เจ็บรึไงแม่คุณ ดี เจ็บแล้วจะได้จำ”

กิดาหยันลูบบริเวณแผลเป็นบนอกข้างซ้ายราวกับกลัวอกทะลุเสียเดี๋ยวนั้น รู้สึกเสียวเมื่อนึกถึงรอยนูนของแผลเป็นเปิดออกเพราะความซนของเพื่อน แม้มันไม่มีทางเป็นไปได้ก็เถอะ !

ไม่ทันสังเกตว่าอีกฝ่ายจ้องตาวาวมาที่เครื่องประดับบนคอขาวเนียนของหล่อน “อุ๊ย นั่นสร้อยอะไรน่ะหยัน ทำไมฉันไม่เคยเห็นแกใส่มาก่อนเลย”

กิดาหยันเลือบมองสร้อยคอที่หล่อนเพิ่งหยิบมาสวมใส่เมื่อเช้า เอ่ยพลางลูบไล้ไปบนปลายดอกกุญแจรูปปีกนกสีทองโปร่งที่มองเท่าไหร่ก็สวยจับใจกิดาหยันทุกคราว “ญาติของเจ้าของหัวใจให้ฉันมา”

“ไหนขอฉันดูหน่อย”

กฤษณะเอื้อมมือจะแตะแต่เจ้าของดอกกุญแจคนใหม่ปัดมือเพื่อนออก “ของฉัน ห้ามใครหน้าไหนแตะต้องเด็ดขาด”

“หนอยยัยหยัน ทำมาเป็นหวง ผีเจ้าของหัวใจเข้าสิงห์รึไงยะ แกนี่นะ หัดทำตัวให้มันน่ารักน่าทะนุถนอมเหมือนผู้หญิงทั่วไปหน่อยก็ไม่ได้ นิสัยอวดเก่ง ดื้อรั้นน่ะเลิกได้แล้ว ไม่ใช่เพราะความอวดเก่ง หัวรั้นจนน่าหมั่นไส้ของแกเหรอถึงทำให้ต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาล”

“อย่าเพิ่งมาเทศนาตอนนี้ได้มั้ยยัยคิตตี้ คนยิ่งอารมณ์เสียอยู่”

พอถูกเพื่อนไล่เจ้าหล่อนจึงสะบัดก้นกลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง ก่อนไปอุตส่าห์วางแผ่นกระดาษอะไรบางอย่างลงบนโต๊ะกิดาหยัน

“อะไรเหรอ” ถามพลางหยิบแผ่นกระดาษปริศนานั้นขึ้นมา ชื่องาน วัน เวลา และสถานที่การจัดงานที่ปรากฏบนกระดาษทำให้เพื่อนสาวนิ่วหน้า แต่แล้วริมฝีปากบางคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นชื่อบริษัทผู้จัดงานตรงหัวมุมกระดาษ “นี่มันบัตรเชิญไปร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการประกวดภาพถ่ายของบริษัทโฮม แอนด์ การ์เด้นนี่...ของฉันเหรอคิตตี้”

“ใช่แล้วจ้ะ บก.เพิ่งเอามาให้ฉันเมื่อกี้บอกว่าเคยชวนแกไว้นานแล้ว”

กิดาหยันพยักหน้า จักรชัยเคยชวนตอนที่ไปเยี่ยมหล่อนที่คอนโด ระลึกได้ตั้งแต่เห็นชื่องานแล้ว “ขอบใจนะคิตตี้ที่เอามาให้ฉัน แล้วแกล่ะได้รึเปล่า”

กฤษณะหน้าบูดขึ้นมาทันที “อย่าพูดให้ช้ำใจได้มั้ยยัยหยัน งานนี้มีที่นั่งจำกัดบก.เลยเลือกให้แกไปกับเขาแค่สองคน เบื่อจริงคนสวยเนี่ยมักได้สิทธิ์พิเศษอยู่เรื่อย ไม่เหมือนสาวประเภทสองอย่างฉัน ทำดีแค่ไหนก็ไม่มีใครเห็นค่า”

เสียงกระซิกๆ น่าหมั่นไส้ของเจ้าหล่อนเรียกเสียงหัวเราะจากกิดาหยัน “โอ๋ๆ ไม่ต้องชอกช้ำระกำใจไปนะจ๊ะคุณกฤษณะ เอาไว้ฉันไปแล้วจะมาเล่าให้ฟังละเอียดยิบเลยว่าฉันได้ไปคุยกับคุณ...” กิดาหยันร่ายยาวถึงรายชื่อช่างภาพมีชื่อเสียงทั้งหลายที่หล่อนวาดฝันไว้แล้วว่าจะต้องได้เจอตัวเป็นๆ ในงานแถลงข่าว รวมถึงนักธุรกิจหล่อๆ ที่กฤษณะใฝ่ฝันไว้นักหนาว่าอยากเป็นว่าที่ศรีภรรยาของพวกเขา

ดวงตาหยาดเยิ้มเพ้อฝันของเพื่อนสาวทำให้กฤษณะผลักศีรษะเพื่อนทีอย่างหมั่นไส้ “ฝันไปเถอะยัยหยัน วันนั้นฉันจะไปดักตีหัวแกที่คอนโดนันท์เป็นคนแรกเลย แหม ดูยิ้มเข้า หน้าบานเป็นกระด้งเชียวนะยะ”

ยิ่งเพื่อนหมั่นไส้กิดาหยันก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้างถึงใบหู แลบลิ้นปลิ้นตาอารมณ์ดีผิดกับเมื่อครู่สิ้นเชิง

“อย่าเพิ่งร่าเริงไปย่ะแม่คุณ งานนี้ทุกคนในบริษัทอยากไปกันทั้งนั้น แถมยังรู้กันหมดว่าบก.เลือกแก ระวังไว้เถอะ จะมีแมงเม้าท์ลือกันให้แซดว่าแกกับบก.กิ๊กกั๊กกัน”

“ลือก็ลือไปสิ ฉันไม่เคยสนเสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใดพี่เอยอยู่แล้ว บางทีบก.อาจเห็นว่าฉันเป็นคนเดียวที่ว่างงานก็ได้เลยสงเคราะห์ให้ฉันไปกับเขา เอาน่า...คิตตี้ อีกไม่กี่วันก็ถึงวันงานแล้ว แล้วฉันจะมาเล่าให้ฟังนะจ๊ะ” ไม่พูดเปล่ายังตบแก้มเพื่อนหยอก

คราวนี้เป็นกฤษณะที่ปัดมือเพื่อนออกอย่างรำคาญๆ ขณะที่โทรศัพท์มือถือของกิดาหยันสั่นบนโต๊ะ ได้ทีจึงทำท่าบุ้ยไบ้ไล่ให้ไปรับสาย

กิดาหยันเลิกป่วนหันมาคว้าโทรศัพท์มือถือ แต่แล้วชื่อบนหน้าจอทำให้หุบยิ้มพลัน เพราะโยธินนั่นเองที่โทร.มา

กิดาหยันมองชื่อบนหน้าจอค้างอยู่อย่างนั้น ตั้งหลักได้จึงกดรับสายกรอกเสียงใส่กระด้างอยู่ในที

“ถ้าแกจะโทร.หานันท์เสียใจนี่เบอร์ฉัน”

ต้นสายถึงกับชะงักไปคล้ายไม่รู้จะตั้งรับยังไงเมื่อเจออีกฝ่ายย้อนกลับมาแบบนั้น อึกอักเล็กน้อย “...แกเสร็จงานกี่โมงฉันจะได้ไปรับ”

“ถามผิดคนรึเปล่า คนที่แกอยากไปรับน่าจะเป็นนันท์มากกว่า ไม่ใช่ฉัน”

“โธ่หยัน จะมีสักครั้งมั้ยที่แกจะยอมพูดดีกับฉัน”

“ก็จนกว่าแกเลิกข้องเกี่ยวกับพี่สาวฉันนั่นแหละ” พูดไปแล้วก็กรอกตาขึ้นฟ้าแม้รู้ว่าคนในสายไม่เห็นก็ตาม “ถ้าแกมีเรื่องจะพูดกับฉันแค่นี้ ฉันวางสายล่ะ”

“เดี๋ยวหยัน ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับแก เอ่อ ที่จริงฉันมาถึงหน้าบริษัทแล้วล่ะแกช่วยลงมาหาฉันได้มั้ย”

“หน้าบริษัท ?” ทวนคำอย่างงงๆ “แกหมายถึงบริษัทไหน”

“บริษัทแกสิ ฉันมาจอดรอรับแกนานแล้วนะโว้ย ทีแรกฉันว่าจะรออยู่ในรถ แต่นี่แกเล่นยังไม่ลงมาสักที แถมปกติแกทำงานไม่เป็นเวลาด้วยฉันเลยยิ่งไม่มั่นใจว่าแกยังอยู่ที่บริษัทรึเปล่า เลยโทร.มาตามเนี่ยแหละ”

“แล้วใครใช้ให้แกมารอฉันเล่า มีเรื่องอะไรก็พูดกันในโทรศัพท์นี้แหละ คือฉัน...” เหลือบมองความว่างเปล่าบนโต๊ะแวบหนึ่ง ใจหนึ่งอยากปฏิเสธคนในสายไปตรงๆ แต่คำพูดนั้นกลับติดอยู่ที่คอ

ที่ผ่านมาขนาดหล่อนไม่ยุ่งเกี่ยวกับโยธิน เรื่องเดือดร้อนจากที่เขากับพี่สาวก่อไว้ยังส่งผลร้ายให้หล่อนได้ไม่เว้นแต่ละวัน ที่หล่อนต้องถูกกวินภพดูถูกเหยียดยามก็เพราะไอ้เพื่อนเวรนี้ไม่ใช่เหรอ !

พอหันไปเห็นสายตากฤษณะ รายนั้นอยากรู้อยากเห็นเสียเหลือเกินนะถึงได้มองตาไม่กระพริบ ครั้นโกหกว่ามีงานท่วมหัวต่อหน้าเพื่อนก็ใช่ที่ จะยิ่งมีพิรุธเข้าไปใหญ่ “เออๆ แกรออยู่นั่นแหละ เดี๋ยวฉันลงไป”

กฤษณะยังคงจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเพื่อนสาว หากกิดาหยันแสร้งทำเป็นไม่สนใจเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าสะพาย ไม่ลืมยัดบัตรเชิญใส่กระเป๋าไปด้วย สำรวจว่าไม่มีของสำคัญหลงเหลืออยู่บนโต๊ะทำงานแล้วจึงหันไปลาเพื่อนพอเป็นพิธี ก่อนสะพายกระเป๋าลงไปยังชั้นล่างของบริษัท








****************






สายฝนที่เทกระหน่ำลงมาเป็นสายทำให้ผู้คนบนท้องถนนต่างวิ่งแตกกระเจิงคนละทิศคนละทางเพื่อหาที่หลบฝน ฟุตปาธหน้าบริษัทเลิฟลี่โฮมจึงเป็นที่ลี้ภัยได้ดี อย่างน้อยหลังคาอลูมิเนียมที่ยื่นยาวต่อจากตัวอาคารชั้นล่างก็ช่วยกำบังฝนได้บ้าง

กิดาหยันมองความวุ่นวายบนท้องถนนผ่านบานกระจกใสข้างกาย ภายในโรงอาหารของบริษัทอุดอู้เพราะเวลานี้บานกระจกแทนที่คนด้านในจะได้มองเห็นวิวทิวทัศน์ด้านนอกถนัดตากลับอัดแน่นด้วยคนเดินเท้า

“จะไปที่อื่นรึเปล่า”

“อะไรนะ” ด้วยความที่เสียงสนทนาของคนด้านในเซ็งแซ่แข่งกับเสียงฝนทำให้กิดาหยันต้องเงี่ยหูฟังคนฝั่งตรงข้าม

“ก็ฉันบอกแล้วว่าให้ไปคุยกันที่อื่นก็ไม่เชื่อ ในโรงอาหารนี้เสียงหนวกหูจะตายชัก” ทีแรกโยธินจะชวนกิดาหยันออกไปคุยกันข้างนอก แต่หล่อนไม่ยอมอ้างว่ายังมีงานต้องสะสางอีกมาก อีกฝ่ายเลยยอมตามเจ้าหล่อนมานั่งที่โรงอาหาร

ได้ยินเพื่อนเวรบ่น จากที่อารมณ์เสียอยู่แล้วจึงหนักกว่าเก่า ฟิวส์ขาดดื้อๆ “แกมีเรื่องอะไรก็รีบๆ พูดมา ฉันไม่ได้มีเวลาว่างมานั่งฟังแกพร่ามมากหรอกนะ ไม่งั้นฉันไปล่ะ”

“เฮ้ย ใจร้อนไปได้เจ้าหยัน” เห็นกิดาหยันทำท่าจะลุกขึ้นจริงๆ จึงดึงแขนไว้หมับ “เออๆ คุยก็คุย ไหนๆ แกก็บังคับให้ฉันมานั่งในโรงอาหารนี้แล้วนี่หว่า”

โยธินเบ้หน้ามองผู้คนที่ยืนออกันแน่นหน้าบานกระจก “อีกอย่างตอนนี้ฝนก็ตกหนักด้วย คงไม่สะดวกไปที่อื่นอยู่ดี”

“ก็แค่นี้แหละ” ยอมนั่งลงโดยดี ที่จริงหล่อนแกล้งเรื่องมากไปอย่างนั้น รู้ทันคนตรงหน้าหรอกว่าที่อิดออด อู้ไปโน่นไปนี่เพราะไม่พร้อมจะพูดเรื่องสำคัญเสียมากกว่า ก็ต้องใช้ไม้นี้แหละ !

โยธินนิ่งไปอึดใจหนึ่งก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “แกหิวยัง เดี๋ยวฉันไปซื้อมาให้”

“ตลกแล้วไอ้โย นี่มันเพิ่งบ่ายกว่า จะให้ฉันกินมื้ออะไรมิทราบ”

“งั้น แกมีอะไรแนะนำฉันบ้างล่ะ เผื่อวันหลังฉันแวะมาจะได้...”

“โย !” กิดาหยันมองนิ่งเป็นเชิงกำราบ เท่านั้นอีกฝ่ายก็เงียบกริบ

โยธินเบือนหน้าไปที่บานกระจก ไม่ยอมสบตากับหล่อน มือที่วางบนโต๊ะเปลี่ยนเป็นประสานกันที่หน้าตักแน่น จู่ๆ เสียงสนทนารอบกายที่ว่าเซ็งแซ่กลับกลายเป็นความเงียบที่นำพามาซึ่งความอึดอัด

จะว่าไปไม่ใช่เสียงรอบข้างหรอกที่เงียบ แต่เป็นเสียงสนทนาบนโต๊ะอาหารของหล่อนกับโยธินต่างหากที่เงียบจนน่าอึดอัด

โยธินสบมองหญิงสาวตรงหน้าชั่วครู่ก็กลับไปมองผู้คนด้านนอกเหมือนเคย หากคราวนี้เอ่ยด้วยเสียงเบาหวิวพิกล “นะ...นันท์เล่าให้ฉันฟังเมื่อวานว่าแกบอกว่าพี่ชายของอดีตคู่หมั้นฉันระ...รู้เรื่องฉันกับนันท์แล้ว มันจริงรึเปล่าหยัน”

คำถามของโยธินทำให้หญิงสาวแค่นหัวเราะออกมา มีเรื่องไหนบ้างมั้ยเนี่ยที่พี่สาวของหล่อนไม่ไปเล่าให้โยธินฟัง สงสัยคงแค่เรื่องท้องเรื่องเดียวล่ะมั้ง

“แกถามแบบนี้เหมือนไม่เชื่อใจพี่สาวฉัน แกคิดว่าคนที่รักและเทิดทูนแกเป็นผู้ชายที่แสนดีที่สุดในโลกอย่างนันท์จะกล้าโกหกแกเหรอ แต่ถ้าโกหกจริง แกว่าพี่สาวฉันจะโกหกไปเพื่ออะไร”

“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันเชื่อใจนันท์ทุกเรื่อง เพียงแต่...เรื่องนี้ฉันอยากได้ยินจากปากแกมากกว่า ไม่สิ ฉันอยากรู้ว่าแกรู้จักกับผู้ชายคนนั้นได้ยังไงต่างหาก” หล่อนคิดไปเองรึเปล่าว่าน้ำเสียงเพื่อนเวรมันกระด้างผิดหู “ฉันรู้ว่าคนอย่างแก ถ้าไม่มั่นใจอะไรแล้วไม่มีทางพูดออกมาเด็ดขาด แต่นี่แกพูดเรื่องนี้กับนันท์ แสดงว่าแกต้องมั่นใจว่าผู้ชายคนนั้นเป็นพี่ชายของโร”

“แล้วแกจะอยากรู้ไปทำไม ช่วงนี้แกก็ห่างทางนั้นมาแล้วไม่ใช่เหรอ อีกไม่นานพอแกมาสู่ขอนันท์ งานแต่งงานก็ต้องมีขึ้น คนบ้านนั้นเขาก็ต้องรู้อยู่ดีว่าแกมีผู้หญิงคนใหม่ หรือว่า...แกไม่คิดจริงจังกับพี่สาวฉัน” กิดาหยันลอบสังเกตอาการชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามที่ดูเหมือนจะชะงักไป หล่อนแค่หยั่งเชิงดูเท่านั้นไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะแสดงอาการออกมาให้เห็นชัดเจนขนาดนี้ !

ลุกขึ้นยืนเหนืออีกฝ่าย เสียงแข็งขึ้นตามอารมณ์ “ฉันว่าแกกลับไปทบทวนหัวใจของแกดูดีๆ ว่าแท้ที่จริงแล้วแกยังรักพี่สาวฉันอยู่รึเปล่าแล้วค่อยกลับมาคุยกับฉันใหม่วันหลัง”

“เดี๋ยวก่อนหยัน” โยธินคว้าข้อมือหล่อนไว้เป็นหนที่สอง แต่คราวนี้ไม่ได้เอ่ยอะไรเพื่อเป็นการรั้งกิดาหยันไว้ มีเพียงนัยน์ตาสีดำสนิทที่อ่อนลงอย่างประหลาดคล้ายกำลังอ้อนวอนขอความเห็นใจจากหญิงสาว และนั่นทำให้กิดาหยันยอมนั่งลงดังเดิม

แกะมือเพื่อนออก “นันท์รักแกมากนะโย รู้ทั้งรู้ว่าฉันห้ามไม่ให้คบกับแกแต่นันท์ก็ยังดันทุรังที่จะคบกับแกต่อ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าที่ผ่านมาแกกับนันท์รักกันหวานชื่นแค่ไหน แต่เวลานี้มันไม่เหมือนเดิมแล้วเข้าใจมั้ยไอ้โย แกเคยหมั้นกับผู้หญิงอีกคน และถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่เสียชีวิตไปก่อนป่านนี้แกก็คงได้แต่งงานกับเขาไปแล้ว และการตัดสินใจของแกครั้งนั้น...ก็ทำร้ายพี่สาวฉันมาก ...มากกว่าที่แกคิดหลายเท่า”

พอเห็นโยธินรับฟังโดยไม่ปริปากจึงเอ่ยต่อว่า “โย หัวใจคนนะ ไม่ใช่เครื่องจักรที่เสียแล้วจะซ่อมให้มันกลับมาเหมือนเดิมได้ หัวใจของพี่สาวฉัน...มันร้าวรานมามากพอแล้วสำหรับผู้ชายอย่างแก และฉันไม่อยากเห็นพี่สาวฉันต้องใจสลายเพราะแกอีก”

ไม่มีเสียงตอบจากเพื่อนเวร นอกจากมีน้ำใสๆ คลอคลองที่เบ้าตา โยธินหันหน้าไปทางอื่นไม่ยอมให้กิดาหยันเห็นน้ำตานั้น

“ตกลงแกเคยเจอหรือพูดคุยกับคุณภพรึเปล่า”

จู่ๆ โยธินพาเปลี่ยนเรื่องซะงั้นทำเอากิดาหยันต้องตั้งหลักกะทันหัน ชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าพูดไปตั้งยืดยาวเมื่อกี้มันฟังรึเปล่า !

ครางรับในลำคอ “ก็เคยเจอบ้างที่อพาร์ทเม้นท์ของฉันน่ะ”

“ไม่ต้องมาโกหกฉันเลยหยัน ถ้าเคยเจอบ้างแล้วแกไปรู้มาได้ยังไงว่าเขารู้เรื่องฉันกับนันท์”

“ก็...” จะโกหกแต่กลับหาข้อแก้ตัวไม่ทันเสียนี่ ! อ้ำอึ้งหนักกว่าเดิม “ก็...ฉันได้ยินมาน่ะ อย่าลืมสิว่านอกจากคุณโรของแก นายภพอะไรนั่นก็เป็นลูกตระกูลกมลากรด้วยอีกคน ก็ต้องมีแมงเม้าท์พูดถึงกันบ้างแหละ อีกอย่างฉันอยู่ในวงการสื่อก็ต้องมีบ้างที่ได้ยินคนเขาพูดๆ กัน”

“แต่ส่วนใหญ่คุณภพไม่ค่อยออกสื่อที่ไหน น้อยคนที่จะเคยเห็นหน้าลูกชายคุณทวีนุชเขา และที่สำคัญ...คุณภพใช้นามสกุลหัสดิน ถ้าไม่ใช่คนสนิทของคนบ้านกมลากรไม่มีทางรู้แน่ว่าเขาคือพี่ชายของโร ลูกชายของคุณทวีนุช กมลากร”

“เอ่อ...” ตายๆๆ ลืมไปได้ไงว่าตาภพบ้านั่นเป็นตัวประหลาดของคนบ้านกมลากร

กิดาหยันโกหกไม่เก่งอยู่แล้วด้วย เมื่อถูกต้อนจนจนมุมเจ้าหล่อนจึงถอนใจระบายความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่มีชื่อกวินภพโดดเข้ามาในหัวข้อสนทนาแล้ว ! “โอเค ฉันบอกความจริงกับแกก็ได้ แต่แกต้องสัญญาก่อนนะว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกนันท์ ฉะ...ฉันยังไม่อยากให้นันท์รู้เรื่องนี้ แค่นี้พี่สาวฉันก็ปวดหัวเพราะแกมากพอแล้ว ฉันไม่อยากให้มีอะไรไปกระทบกระเทือนจิตใจนันท์อีก” รวมทั้งลูกในท้องของกิดานันท์ด้วย

โยธินครางรับ เป็นกิดาหยันอีกตามเคยที่เอ่ยต่อว่า

“คือฉัน...กับนายภพนั่น เราเจอกันโดยบังเอิญที่คอนโดนันท์น่ะ ทีแรกฉันก็แค่อยากทำดีกับเขาเพื่อไถ่โทษที่ฉันทำกระถางต้นไม้หล่นใส่หัวเขา แต่ไม่รู้เหมือนกันว่านายนั่นจะมายุ่งกับฉันทำไมนักหนา อ้อ ฉันรู้แต่แรกแล้วว่าเขากำลังจับตาดูว่าที่อดีตน้องเขยของเขา เหมือนกับเขารู้มานานแล้วว่าอดีตน้องเขยพาผู้หญิงมาซ่อนไว้ที่คอนโดนี้”

รีบชี้แจงเมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้านิ่วคิ้วขมวดมากขึ้น “ตะ...แต่ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเขารู้ได้ยังไงเพราะเขาก็บอกฉันแค่นั้น”

“โธ่เจ้าหยัน แค่ฟังฉันก็รู้แล้วว่านายภพนั่นเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาอ้างเพื่อตามจีบแกเห็นๆ” สรรพนามเปลี่ยนตามคนเล่าทันที “ลูกไม้แค่นี้แกดูไม่ออกหรือไง แล้วแกมั่นใจได้ยังไงว่าผู้ชายคนนั้นเป็นลูกชายคุณทวีนุช บางทีว่าที่อดีตน้องเขยที่เขาว่าอาจไม่ใช่ฉันก็ได้ แค่เรื่องมันมาคล้ายกับฉันก็เท่านั้น”

“แล้วที่เขามาตะโกนด่าฉันปาวๆ ที่หน้าห้องนันท์ บอกว่าฉันไปมีอะไรกับว่าที่อดีตน้องเขยของเขาที่ชื่อโยธินยังจะคิดว่าเป็นเรื่องคล้ายกันอีกรึเปล่า” ขึ้นเสียงข่ม ชักหัวเสียเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองเป็นเรื่องธรรมดา

โยธินถึงกับสำลักคำพูดตัวเอง มองกิดาหยันให้แน่ใจว่าฟังไม่ผิด “กะ...แกว่าอะไรนะ”

“ไอ้โย ต่อไปนี้แกช่วยกางหูกว้างๆ แล้วฟังฉันให้ชัดนะ นายภพรู้เรื่องแกกับนันท์หมดแล้ว และกำลังคิดจะจัดการแกกับนันท์อยู่ด้วย ไม่ๆ ต้องบอกว่ากำลังตามจองล้างจองผลาญแกกับฉันถึงจะถูก ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าคนที่แกควงอยู่ไม่ใช่นันท์แต่เป็นฉัน”

“เฮ้ย! เป็นไปได้ไง ฉันกับแกแทบไม่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันมานานแล้วนะโว้ย”

“ใช่ แกไม่เคยไปไหนมาไหนกับฉัน แต่การที่แกไปไหนมาไหนกับนันท์มันก็ไม่ต่างอะไรกับการไปกับฉัน ลืมไปแล้วรึไงว่าฉันกับนันท์เป็นฝาแฝดกัน เขาไม่รู้ว่าฉันมีพี่สาวฝาแฝด”

“นั่นสิ” โยธินเผลอครางออกมาเพราะมองข้ามจุดนี้ไปโดยสิ้นเชิง

ด้วยความที่โยธินสนิทกับสองพี่น้องฝาแฝดมานานทำให้เขามองเห็นความแตกต่างระหว่างกิดานันท์และกิดาหยันชัดเจน ผิดกับคนภายนอกถ้าไม่สนิทกับสองพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ไม่มีทางดูออกอย่างเขาแน่ว่าใครเป็นใคร

“ฉันเข้าใจว่าพี่ชายก็ย่อมรักและเป็นห่วงน้องสาวเป็นธรรมดา เขาคงไม่พอใจเท่าไหร่หรอกที่มารู้ว่าแกนอกใจน้องสาวของเขา และคืนที่เขามาด่าฉันปาวๆ ที่หน้าห้องนันท์ เขายังจะพาฉันไปคุยกับแกที่บ้านของแกให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยด้วยซ้ำ แกจำได้มั้ยวันที่ฉันโทรศัพท์ไปหาแกแล้วบอกว่ามีธุระจะคุยด้วย”

โยธินพยักหน้าหงึก “วันนั้นฉันไปส่งนันท์ที่คอนโดมา พอขับรถออกมาได้ครึ่งทางแกก็โทรศัพท์มาหาฉันพอดี”

“อะไรนะ !” กิดาหยันถามเสียงหลง จำได้ว่าตอนโทรศัพท์ไปหา เพื่อนเวรบอกว่าอยู่บ้านไม่ใช่เหรอ “วันนั้นแกยังไม่ถึงบ้านแล้วบอกฉันว่าอยู่บ้านทำไม”

“ก็ตอนนั้นมันดึกมากแล้วนี่หว่า ฉันคิดแค่ว่าไม่อยากให้แกรู้เรื่องที่ฉันไปส่งนันท์ที่คอนโด ก็เลยบอกไปว่าอยู่บ้าน ที่จริงถ้ารถไม่ติดฉันก็คงถึงบ้านแล้วล่ะ”

“ไอ้โย !” กิดาหยันด่าได้เท่านั้นก็กรอกตาขึ้นฟ้า ทั้งโกรธทั้งโมโหแต่กลับพูดอะไรไม่ออกเลย...เหมือนมันจุกแน่นอยู่ที่คอ

โยธินกับกิดานันท์แอบออกไปพบกันข้างนอกนานกว่าที่หล่อนคิดไว้เยอะ!

ถ้าให้เดาก็คงเริ่มทำแบบนี้ตั้งแต่หล่อนย้ายมาอยู่ด้วย ละ...แล้วตกลงวันที่หล่อนถูกกวินภพบังคับให้โทรศัพท์ไปที่บ้านโยธินแล้วไม่มีคนรับสาย เป็นเพราะมันยังนั่งอยูในรถ

บ้าจริงกิดาหยัน ทำไมคนดีๆ อย่างแกถึงต้องมาซวยซ้ำซวยซ้อนเพราะความไม่รับผิดชอบของไอ้เพื่อนเวรตรงหน้าด้วยนะ เพราะมันตัวเดียวที่ทำให้หล่อนถูกตาภพบ้านั่นไล่ลงจากรถอย่างกับหมูกับหมา

ลุกขึ้นพรวด เล่นเอาอีกฝ่ายเด้งตัวผาง “ฉันขอโทษที่โกหกแกไปวันนั้น แต่มันจำเป็นจริงๆ ถ้าเลือกได้ฉันก็ไม่อยากโกหกแกหรอกนะหยัน”

“ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ แกคงลืมไปมั้งว่าคำขอโทษมันไม่เคยใช้ได้ผลกับฉันสักครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน ชีวิตแกมันก็มีแต่ความหลอกลวงมอบให้ฉันกับนันท์ และฉัน...ไม่มีอะไรจะพูดกับแกอีก !”

เท้าเล็กๆ ก้าวไวไม่ต่างจากวิ่งออกจากโรงอาหาร กิดาหยันไม่สนแม้จะมีเสียงของโยธินตะโกนเรียกไล่หลังมา เวลานี้หล่อนอยากหนีให้ไกลจากเพื่อนเวร ไกล...ไกลที่สุด

“บ้าจริง !” สบถด่าตัวเองเมื่อรู้สึกว่ามีน้ำใสๆ เอ่อล้นขอบตา ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวเพราะถูกบดบังด้วยม่านน้ำตาและไม่มีทีท่าจะหยุดง่ายๆ แม้เจ้าตัวจะพยายามปาดมันทิ้งอยู่หลายรอบ

ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ ว่าโดนกระทำถึงขนาดนี้ทำไมยังไปเสียน้ำตาให้กับคนแบบนั้นอีก ! เกลียดๆๆๆๆๆ เข้าใจมั้ยยัยหยัน แกต้องเกลียดเขา ไม่ใช่มาร้องห่มร้องไห้เสียใจที่ถูกเขาขยี้หัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้

“โอ๊ย” กิดาหยันเกือบเซล้มเมื่อกระแทกเข้ากับร่างของใครบางคนที่ยืนจังกาอยู่ตรงหน้า

ต้องปาดน้ำตาทิ้งเพื่อมองภาพเบื้องหน้าชัดขึ้น แต่แล้วดวงตาชื้นต้องเบิกกว้าง หยุดกึกอยู่หน้าเขา

“กิดาหยัน...” คนตรงหน้าครางชื่อหญิงสาวออกมา เพิ่งได้สติก็ตอนเห็นน้ำตาเจ้าหล่อนหยดแหมะ “คุณร้องไห้ทำไม”

โยธินวิ่งตามกิดาหยันมาติดๆ ชะงักฝีเท้าเมื่อพบว่าคนที่เจ้าหล่อนกำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นคือ...กวินภพ !

กิดาหยันเอามือเช็ดน้ำตาให้แห้ง ปรับสีหน้าให้เป็นปกติกลบเกลื่อนพลางถามทั้งเสียงอู้อี้ว่า “คุณมาทำอะไรที่นี่”

กวินภพยังคงมองดวงหน้าสวยที่ยังมีคราบน้ำตาหลงเหลือให้เห็น สลับกับมองคนที่วิ่งตามออกมา แต่แล้วมุมปากหนากลับปรากฏรอยยิ้มเยาะจนกิดาหยันถอยหลังไปเกือบชนเพื่อนเวร

แววตาห่วงใยเลือนหายไปทันที “ไอ้เราก็เป็นห่วงนึกว่าเรื่องคอขาดบายตายอะไรถึงได้วิ่งร้องไห้ออกมา ที่แท้ก็ดีใจจนร้องไห้ที่ได้เจอสุดที่รักในเวลางานนี่เอง”

“นี่คุณภพ...ฉันไม่เคยมีสุดที่รักที่ไหน ละ...แล้วฉันก็ไม่ได้ร้องไห้ด้วย หลบไป ฉันจะกลับไปทำงาน”

แต่แทนที่ชายหนุ่มตรงหน้าจะหลบกลับยืนขวาง เป็นโยธินที่ถือโอกาสกิดาหยันไม่ทันตั้งตัวโอบร่างบางไว้ราวกับกลัวจะหนีหายไปเสียเดี๋ยวนั้น “ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอคุณที่นี่ ต้องขอโทษด้วยที่ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมคุณแม่เลย”

กิดาหยันพยายามขยับตัวออกห่างจากการเกาะกุมของเพื่อน แต่อีกฝ่ายกลับกระชับร่างบางแน่นขึ้นสร้างความอึดอัดให้หล่อนไม่น้อย ทั้งอึดอัดที่ตกอยู่ในอ้อมแขนของไอ้เพื่อนเวร...อึดอัด...ที่ต้องเผชิญหน้ากับกวินภพในสภาพแบบนี้

ได้แต่ค่อนขอดในใจว่า จะทำอะไรของมันเนี่ย แค่นี้มารผจญตรงหน้าก็เข้าใจหล่อนผิดจะแย่อยู่แล้ว

“ไม่เป็นไรหรอกคุณโย ถึงคุณหายหน้าไปเลยคุณแม่ของผมท่านก็ยังรักว่าที่อดีตน้องเขยอย่างคุณไม่เปลี่ยนแปลง แต่สำหรับผม...คงไม่ใช่อย่างนั้น”

กิดาหยันสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวกวินภพ ประโยคท้ายของเขาทำให้หล่อนรู้สึกขนลุกขนพองอย่างบอกไม่ถูก

ต่างจากโยธินที่ยังยิ้มสู้ แปลกใจไม่น้อยที่คนเอะอะโวยวายอย่างเขายามอยู่ในสถานการณ์คับขันกลับควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าหล่อนมาก “ผมกับหยันกำลังจะออกไปข้างนอกด้วยกัน เชิญคุณทำธุระตามสบาย”

นั่นไงไอ้เพื่อนเวร แกจะช่วยฉันหรือจะถมฉันให้จมดินซ้ำกันแน่เนี่ย

โยธินโอบไหล่เป็นเชิงบังคับให้สาวในอ้อนแขนไปด้วยกันแต่กิดาหยันขืนตัวไว้ ร้อนถึงเขาต้องกระซิบขู่ “เลือกเอาว่าจะไปกับฉัน หรือจะอยู่ให้นายภพนั่นมันโขกสับ”

“ตะ...แต่ฉันไม่อยากไปกับแก แค่นี้เรื่องมันก็หนักมากพอแล้ว ฉันไม่อยากให้เขาเข้าใจฉันผิดมากขึ้นไปอีก”

“โธ่เจ้าหยัน ตอนนี้แกยังมาห่วงกลัวเขาเข้าใจผิดอีกเหรอ ไม่ได้ยินรึไงประโยคแรกที่มันทักเราสองคนน่ะ มันฟันธงไปแล้วว่าแกกับฉันเป็นมากกว่าเพื่อน ขอร้องล่ะหยัน...เชื่อฉัน ถึงยังไงฉันก็ปลอดภัยกว่ามัน บอกตามตรงนะว่าถ้าปล่อยแกไว้กับมัน ฉันไม่สบายใจ”

โยธินส่งสายตาเว้าวอน ขอร้องให้หญิงสาวว่าง่ายสักครั้งแต่กิดาหยันกลับยืนแข็งทื่อ ไม่รับรู้สารที่เขาพยายามบอกแม้แต่น้อย

ถ้าเป็นเมื่อก่อนใจหล่อนคงโลดเต้นพร้อมออกไปกับโยธินแล้ว แต่นี่หล่อนเพิ่งบอบช้ำมาเพราะคำโกหกของเขา ไม่ทันจางจะให้ทำใจออกไปด้วยกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...หล่อนทำไม่ได้

เสียงกระแอมจากคนด้านหลังเรียกความสนใจจากทั้งสองทันควัน “เห็นที ผมคงจะปล่อยให้คุณหยันไปกับคุณด้วยไม่ได้ หวังว่าคุณคงไม่ว่าอะไรนะถ้าผมจะบอกว่าธุระของผมคือ มาหาคุณกิดาหยัน”

กิดาหยันเพียงมองแปลกมาที่ชายหนุ่มตรงหน้าคล้ายกับต้องการอ่านใจเขาผ่านนัยน์ตาวาวคู่นั้น หล่อนไม่มั่นใจว่ากวินภพพูดจริงหรือแค่ต้องการช่วยหล่อนให้พ้นจากโยธิน...หากความรู้สึกลึกๆ กิดาหยันภาวนาให้เป็นอย่างหลัง

โยธินนั้นรับรู้ได้ในความเฉยชาที่เพื่อนสาวมอบให้ แต่ความรู้สึกบางอย่างต่อต้านสิ่งที่เขารับรู้ ไม่สนว่ากิดาหยันจะยอมไปด้วยหรือไม่ รู้แต่เพียงว่าไม่ปลอดภัยแน่ถ้าปล่อยให้เพื่อนสาวอยู่กับกวินภพตามลำพัง “คุณมีธุระอะไรก็ว่ามา เราสองคนมีเวลาไม่มากนัก”

“เผอิญมันเป็นธุระส่วนตัวระหว่างผมกับคุณกิดาหยัน หวังว่าคุณคงมีมารยาทพอไม่ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของคนอื่น และคำว่า ‘ธุ-ระ-ส่วน-ตัว’ น่าจะบอกชัดอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องที่คนอื่นไม่ควรรู้”

กิดาหยันมองหน้าสองหนุ่มสลับกันไปมา น้ำเสียงเย็นชานั้นทำให้หญิงสาวหน้าซีดเผือด ขะ...เขาสองคนกำลังเล่นสงครามประสาทกันอยู่ใช่มั้ย

อยู่ดีๆ โยธินก็ยอมคลายมือออกจากการเกาะกุม กิดาหยันเองพอรู้ตัวว่าเป็นอิสระแทนที่จะดีใจกับรู้สึกหวิวๆ พิกล ไหนว่าเก่งกาจนักไงยัยหยัน ทำอะไรสักอย่างสิยะ

“เอ่อ ถ้าคุณมีธุระกับฉัน เชิญตามฉันมาค่ะ” หลุดปากไปแล้วต้องหน้าซีด กรรมของเวรเวรของกรรม นี่คือวิธีแก้ปัญหาของแกเหรอยัยหยัน !!!!

กวินภพคงรอคำพูดนี้ออกจากปากหญิงสาวนานแล้ว เพราะทันทีที่กิดาหยันหลุดจากพันธนาการของชายหนุ่มข้างกาย เขาก็คว้าตัวสาวเจ้าออกไปจากบริษัททันที



-----------------------------------------

เอ๊ะๆ รู้มั้ยคืออะไร 555555
อัพเดทค่า^_^
วันนี้รันได้เล่มตัวอย่างมาจากโรงพิมพ์แล้วนะคะ ขอกระซิบบอกว่าสวยมากถึงที่สุดค่ะ ขนาดรันเองยังอึ้งเอง ฮา....
(ปกหลังมีตัวโน้ตอยู่ด้านล่างด้วย ของจิงเท่านั้นถึงจะเห็น อิอิ)
แวะไปยลโฉมได้ที่
http://www.facebook.com/#!/photo.php?fbid=150031928484381&set=a.120669788087262.25570.120656234755284&type=1&theater




สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ม.ค. 2556, 19:15:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ม.ค. 2556, 19:15:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1312





<< นอกรอบ2   บทที่ 16 >>
Auuuu 19 ม.ค. 2556, 20:25:33 น.
โยธินนิสัยแย่มากกกกกกกก


lovemuay 19 ม.ค. 2556, 21:01:14 น.
ดีจังเลย ใกล้จะได้หนังสือแล้วใช่มั๊ยคะ เย้ๆ


จิรารัตน์ 19 ม.ค. 2556, 21:03:11 น.
แวะมาจ้า


สรัน 20 ม.ค. 2556, 17:09:28 น.
Auuuu-55555 ถึงกับเมินใส่เจ้าเพื่อนเวรเลย เดี๋ยวหลังๆจะยิ่งอีรุงตุงนังค่ะเพราะนายโยธินเนี่ยแหละ!
Lovemuay-ใช่แล้วค่า^O^ โรงพิมพ์ยืนยันมาแล้วค่ะว่าจะส่งหนังสือมาให้รันไม่เกินศุกร์นี้ ดีใจเหมือนกาน เพิ่งทำครั้งแรกในชีวิต แต่ออกมาสวยถูกใจมากๆ ><
จิรารัตน์-พี่เจี๊ยบเป็นนินจา 555555 จุ๊ฟๆ ค่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account