หทัยรักบรรณาการ{สนพ.เดซี่ตีพิมพ์}

Tags: เจ้าหญิง,เจ้าชาย

ตอน: บทนำ+บทที่ 1


เอาฉบับรีไรต์มาให้อ่านอีกรอบค่ะ
เนื้อเรื่องเปลี่ยนค่อนข้างเยอะค่ะ(ตั้งแต่บทที่ 7 เป็นต้นไปค่ะ)

---------------------------------------------------

รถเทียมม้าคันเล็กคืบคลานผ่านถนนอิฐที่ทอดยาวไปสู่ตัวอาคารไม้ชั้นเดียวใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งแผ่กิ่งก้านคลอบคลุมกว้างขวางอย่างเนิบช้า ชายร่างเล็กผอมเกร็งผู้กุมสายบังเหียนคอยบังคับอาชาสองตัวทางด้านหน้าเหลือบสายตามองผ่านผ้าม่านสีขาวผืนบางที่ปลิวสะบัดไหวทุกครั้งที่ลมพัดผ่านทางเบื้องหลังอยู่บ่อยครั้ง พร้อมกับความกังวลใจที่เห็นวรองค์อวบอิ่มในฉลองพระองค์สีฟ้าครามประดับเลื่อมตรงชายด้านล่างขยับพระวรกายอย่างอึดอัด พระหัตถ์เรียวบางสัมผัสบนพระนาภีอันโป่งนูนแผ่วเบา เต็มไปด้วยความรักและทะนุถนอม ริมพระโอษฐ์แย้มออกเพียงเล็กน้อย หากแววพระเนตรกลับเปี่ยมล้นด้วยความรัก ยามเมื่อหลุบลงต่ำก็ยังคงทอแสงอบอุ่นราวแสงตะวันในช่วงต้นฤดูร้อน ทว่า...หากลองพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ลึกลงไปในพระเนตรสีน้ำตาลนั้นแฝงเร้นความโศกสลดไว้อย่างมิดเม้น
ชายร่างเล็กผู้บังคับม้าหันกลับไปมองทางเดินอิฐตามเดิม ดวงตาทั้งสองอัดแน่นด้วยความสงสาร ยิ่งเมื่อเห็นภาพ ‘บ้าน’ หลังเล็กปรากฏแก่สายตาในชั่วอึดใจถัดมาด้วยแล้ว ชายผู้นั้นยิ่งทั้งโศกสลดและเวทนาในชะตากรรมที่อดีตพระชายาศิริรัตนาจักต้องเผชิญเป็นอย่างยิ่ง
‘บ้าน’ เก่าคร่ำและเล็กดั่งรูหนูเมื่อเทียบกับพระตำหนักอันมโหฬารภายในขอบเขตพระบรมมหาราชวัง ไม่น่าเชื่อว่าพระองค์จะทรง ‘ทน’ ประทับอยู่ในบ้านเก่าซอมซ่อหลังนี้มาเกือบเดือนแล้ว ทั้งที่ที่ประทับแห่งนี้ช่างไม่เหมาะสมคู่ควรกับพระเกียรติของพระองค์เลยสักนิด
อดีตพระชายาศิริรัตนามิเคยพร่ำบ่นหรือแสดงความรังเกียจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามพระองค์กลับทรงดำรงชีวิตตามปกติ ดูทรงมีความสุขด้วยซ้ำไป ผิดกับอีกพระองค์ที่แม้จะก้าวขึ้นมาแทนที่...ครองตำแหน่งพระชายาเอกแทนแล้วหากก็ดูไม่พอพระทัย หนำซ้ำยังทรงทำทุกวิถีทางให้พระชายาศิริรัตนาถูกลงโทษโดยการโดน ‘เนรเทศ’ ด้วยข้อหาคบชู้สู่ชาย...เป็นข้อกล่าวหาที่เขารู้ดีว่าไม่เป็นความจริงเลยแท้สักนิด แต่องค์เจ้าหลวงทิวากาลก็ยังทรงหลงเชื่อในถ้อยดำรัสของพระชายาจัสมินอย่างไม่ทรงยอมไต่สวนให้กระจ่างเสียก่อน แต่กลับ ‘ขับไล่’ ผู้ที่เคยเป็นถึงพระชายาเอกออกจากพระราชวังอย่างเร็วรี่และดูเหมือนจะทรงไม่อาลัยอาวรณ์เลยแม้แต่นิดเดียว
ชายร่างเล็กกระตุกบังเหียนและส่งเสียงสั่งให้อาชาทั้งสองหยุดลงตรงหน้าบ้านไม้ชั้นเดียว พร้อมกันนั้นสตรีร่างท้วมนางหนึ่งก็ก้าวออกมาจากประตู เร่งฝีเท้าเร็วรี่ตรงเข้ามา ยอบตัวถวายบังคมอย่างงดงาม ยืนรีรอจนวรองค์อวบอิ่มทรงเปิดผ้าม่านและชะโงกพระพักตร์ออกมา จึงยื่นแขนให้พระองค์เกาะกอดขณะก้าวลงจากรถม้า
ทันทีที่พระบาทแตะพื้น พระองค์ก็ทรงแย้มโอษฐ์เล็กน้อยส่งไปให้คนขับรถม้าผู้คอยรับใช้มาตั้งแต่พระองค์ทรงอภิเษกกับพระราชาแห่งอาวันตีเมื่อห้าปีก่อน
“ขอบใจมาก”
“มิได้พะยะค่ะ เป็นหน้าที่ของพระหม่อมอยู่แล้ว พะยะค่ะ”
พระองค์ทรงแย้มโอษฐ์ขอบคุณอีกครั้งจึงเกาะกอดเนรา...ผู้ที่คอยดูแลใกล้ชิดนับแต่วันที่พระองค์ถูกส่งตัวถวายแด่ราชาแห่งอาวันตี นางคอยโอบอุ้มดูแล ระแวดระวังภัยอยู่ และถวายความจงรักภักดีต่อพระองค์เสมอมาแม้ในวันที่พระองค์ไม่เหลือใครเลยก็ตาม
“หมอว่าอย่างไรบ้างเพคะ”
“ไม่เป็นอะไรหรอก ลูกของข้าแข็งแรงดี พอดีว่าใกล้คลอดเท่านั้นเลยมีอาการเจ็บบ้างเป็นครั้งคราว” พอได้ยินเช่นนั้นเนราถึงกับผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งอก
“กังวลหรือจ๊ะเนรา”
“เพคะ” นางเกาะกุมพระหัตถ์ของพระองค์ไว้แนบแน่น
“ห้าปีที่ทรงอภิเษก ครรภ์นี้เป็นครรภ์แรกของพระองค์นะเพคะ หม่อมฉันจึงเป็นกังวลสารพัด”
“เนรา” ชายาศิริรัตนาทรงแย้มพระโอษฐ์กว้าง ทอดพระเนตรจับจ้องใบหน้ากลมราวพระจันทร์ของผู้จงรักภักดียิ่งอย่างเนราด้วยความตื้นตันพระทัย
“ขอบใจมากที่เป็นห่วง แต่...ข้าเชื่อว่าลูกของข้าจะปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องเติบโตเป็นคนจิตใจดี ฉลาดเฉลียว มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ รักเพื่อนมนุษย์ และมีหัวใจที่เข้มแข็ง”
พระองค์ทรงลูบไล้พระนาภี ทอดพระเนตรนิ่งนาน พร้อมกับถ่ายทอดความรัก ความอบอุ่นให้ด้วยพระหฤทัยทั้งหมดที่มี...อนาคตในภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร พระองค์ทรงคาดเดาไม่ได้ สิ่งที่ทรงทำได้มีเพียง...ภาวนาให้เลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์มีแต่ความเจริญยิ่งยิ่งขึ้นไป




------------------------------------------------

อาชาสูงใหญ่พุ่งทะยานไปเบื้องหน้าผ่านทางดินขนาดเล็กซึ่งขนาบข้างด้วยผืนป่ารกชัฏตามแรงกระตุกบังเหียนของผู้โน้มกายจนเกือบจะแนบชิดแผงคองดงาม ลมหนาวระลอกแรกในปีนี้พัดโหมกระหน่ำจนชายผ้าโพกศีรษะปลิวสะบัดเปิดเผยให้เห็นใบหน้าเรียวรูปไข่ คิ้วบางโค้งดั่งคันศร จมูกเล็กได้รูป และริมฝีปากเรียวบางเม้มแน่นจนแทบเป็นเส้นตรง ขณะที่ดวงตากลมโตกำลังหรี่มองเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่

ไม่กี่อึดใจ ร่างเล็กภายใต้ชุดดำสนิทบนหลังอาชาก็โผล่พ้นความมืดทึบของผืนป่า ออกสู่ป่าโปร่งซึ่งแสงตะวันเบื้องบนสามารถเล็ดลอดลงมายังผืนดินเบื้องล่างได้แทบทุกหัวระแหง ต้นไม้ที่สูงชะลูดยืนต้นเบียดเสียดแออัดแปรเปลี่ยนเป็นเว้นระยะห่าง และแต่ละต้นเล็กลงเกือบครึ่ง แสงตะวันที่สาดแสงลงมาทำให้ร่างเล็กต้องหยีตาและดึงบังเหียนให้ม้าคู่ใจชะลอฝีเท้า พร้อมกับหยุดหายใจหอบอยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงกระตุกบังเหียน และสั่งให้เจ้าม้าสีดำราวนิลกาฬควบทะยานไปทางซ้าย ตรงสุดปลายทางคือลานโล่งกว้างซึ่งมีธงสีดำและสีน้ำเงินปักเคียงคู่กันอยู่ตรงกลาง

ร่างเล็กใช้ส้นเท้ากระแทกสีข้างของเจ้าดำ ออกคำสั่งให้มันควบตะบึงไปเบื้องหน้าสุดฝีเท้า พร้อมทั้งแนบตัวไปกับแผงคอนุ่ม ก้มหน้าคางชิดอกฝ่ากระแสลมหนาวที่พัดสวนมาจนชาไปทั้งใบหน้า เพียงอึดใจเดียว ร่างนั้นก็โน้มลงต่ำยิ่งขึ้น พลางเอื้อมมือออกไป...ชั่วพริบตาเดียว มือนั้นก็กระชากธงสีดำมาไว้ในมือ ยืดตัวขึ้น และชูมือเหนือศีรษะบ่งบอกความเป็นผู้กำชัยชนะในวันนี้

ร่างในชุดยิ้มกว้าง กวาดตามองไปรอบด้านขณะที่เจ้าดำชะลอฝีเท้าลงเป็นย่างเหยาะไปกับพื้นดินอย่างสบายอารมณ์เมื่อพบว่าเจ้านายของตนเป็นผู้ชนะในที่สุด

ยิ้มกว้างเพียงครู่เดียวก็แว่วเสียงฝีเท้าอาชาพ่วงพีอีกตัวทางด้านหลัง ใกล้เข้าทุกขณะ จวบจนปรากฏในคลองจักษุ...ดวงตาสีฟ้าอมเทาจับจ้องชายร่างสูงในชุดขาวบนหลังอาชาขาวบริสุทธิ์ด้วยแววตาชื่นชม ไม่ได้ดูแคลน เหยียดหยาม หรือดูถูกแม้แต่น้อยที่อีกฝ่ายเป็นผู้พ่ายแพ้

ผู้ที่เพิ่งมาถึงโพกศีรษะด้วยผ้าสีขาวขลิบทอง ตรงชายผ้าสะบัดไหวไปทางด้านหลังตามแรงลม เผยให้เห็นใบหน้าเรียวคมสัน ดวงตาเรียวเล็กเด่นชัดขึ้นด้วยคิ้วเข้มพาดเฉียง จมูกไม่โด่งมากนักหากก็งดงามได้รูป ริมฝีปากบางราวอิสตรีกำลังแย้มเยื้อน...เป็นยิ้มที่แสนอบอุ่นและแสดงความเป็นมิตรเสมอมา

“ในที่สุดก็แพ้อีกจนได้”

ชายผู้นั้นรำพึงรำพันกับตนเอง ขณะเอื้อมมือไปคว้าธงสีน้ำเงินของตนเองมาไว้ในมือ

“เจ้าเก่งเหมือนเดิมเลยนะ ศาศวัตตรา”

ยังไม่ทันที่คนถูกชมจะเอ่ยคำใด ชายสูงวัยที่ยืนอยู่หลังพุ่มไม้ทางด้านซ้ายของทั้งสองคนก็ก้าวพ้นร่มไม้ใบบังออกมา เขาเป็นชายร่างใหญ่ สวมเสื้อแขนยาวสีเขียวเข้มมีเข็มขัดพาดเฉียงทางด้านหน้า กางเกงขายาวสีเข้าชุดกันกับร้องเท้าหนังสีดำมันวับ ส่วนศีรษะมิได้โพกไว้เช่นเดียวกับชายหนุ่มบนหลังอาชา จึงเห็นผมตัดสั้นสีดอกเลารับกับศีรษะทุย

เมื่อเห็นผู้อาวุโส ทั้งสองก็พร้อมใจกันกระโดดลงจากหลังม้า แล้วสาวเท้าปราดเขามานั่งคุกเข่าตรงหน้าชายผู้นั้น

“ข้าแพ้ศาศวัตราจนได้” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยตัดพ้ออย่างไม่จริงจังนัก เรียกเสียงหัวเราะจากชายสูงวัยได้เป็นอย่างดี

“เจ้าศาศวัตมันเติบโตอยู่กับหลังม้า ไยเจ้าจะไม่แพ้เล่า ธาราธร ...นี่ถ้าแข่งเรื่องยิงธนู เจ้าคงชนะอย่างไม่ต้องสงสัย”

“ไม่แน่หรอกกระมัง” ร่างในชุดดำซึ่งตัวเล็กที่สุดคัดค้าน “ยังไม่เคยลองแข่งสักที แล้วท่านจะทราบได้อย่างไรว่าท่านพี่ธรจะชนะ”

“ลองไหมล่ะ”

‘ท่านพี่ธร’ หันมาขยิบตาให้เป็นเชิงท้าทาย คนตัวเล็กอยากจะตอบรับเสียเดี๋ยวนั้น หากอาจารย์ของทั้งสองกลับตัดบทด้วยการคุกเข่าลงตรงหน้าชายร่างสูงในชุดขาว

“ได้เวลากลับแล้วพะยะค่ะ” ถ้อยคำเป็นทางการและยกย่องอีกฝ่ายเต็มเปี่ยม ก่อนจะสำทับอีกด้วยว่า

“เจ้าชายรัชทายาทแห่งอาวันตีมิสมควรมาขลุกอยู่กับกระหม่อมนานจนเกินไปนัก ที่สำคัญตอนนี้ได้เวลาที่จะต้องทรงศึกษาตำราการทหารกับท่านนายพลอักราแล้วมิใช่หรือพะยะค่ะ”

คนที่ถูกทักท้วงเรื่องเวลาถอนพระทัยยาว เมื่อรู้ว่าต้องเปลี่ยนจากชายหนุ่มธรรมดาเป็นเจ้าชายผู้สูงศักดิ์แห่งอาวันตี ผู้มีพระราชกรณียกิจอัดแน่นแทบทั้งวันจนไม่สามารถหลีกองค์ไปไหนได้

ยิ่งตอนนี้คณะทูตจากหฤษคีรีซึ่งเป็นประเทศใหญ่อาณาบริเวณค่อนข้างกว้างขวาง อีกทั้งยังมีชายแดนทางด้านเหนือและตะวันตกติดกับอาวันตีกำลังเดินทางมาเยือนด้วยแล้ว งานของพระองค์ยิ่งอัดแน่นตั้งแต่เช้าตรู่ยันตะวันลับฟ้าเลยทีเดียว หนำซ้ำกว่าจะหนีออกมาพบอาจารย์และศาศวัตราได้ก็ต้องรอหลายวันเลยทีเดียว

“เบื่อ” รับสั่งสั้น แต่บอกชัดถึงความในพระทัยได้เป็นอย่างดี ทั้งสองยังไม่ได้เอ่ยอะไร ทำเพียงลุกขึ้นยืนเมื่อเจ้าชายธาราธรประทับยืนแล้วเท่านั้น

“ทรงเบื่อได้ แต่อย่าทรงละทิ้งหน้าที่” เมื่อยืนเต็มฝ่าเท้าผู้เป็นอาจารย์จึงอาจหาญเอ่ยเตือน

“ถึงแม้กระหม่อมจะไม่ได้รับราชการแล้ว แต่ยังคงห่วงใยอาวันตีอยู่เช่นเดิม”

“มีแต่คนห่วงอาวันตี แต่ไม่มีใครห่วงเรา”

“ห่วงซิพะยะค่ะ พสกนิกรทุกคนในอาวันตีต่างห่วงพระองค์ทั้งนั้น”

เมื่อเอ่ยถึงพสกนิกร เจ้าชายผู้เหนื่อยหน่ายกับหน้าที่อันใหญ่หลวงจึงนิ่งงันไป

“อีกไม่นาน พระองค์ต้องขึ้นเป็นพระราชาแห่งอาวันตีแล้ว หน้าที่นี้ทรงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่กระหม่อมทูลได้คงมีแต่ เข้มแข็ง อดทน และทำหน้าที่ให้ดีที่สุดพะยะค่ะ”

คนถูกตักเตือนและสั่งสอนถอนพระทัยหลายต่อหลายครั้ง จนสุดท้ายก็หันพระพักตร์ไปทางเบื้องพระปฤษฎางค์ ทอดเนตรร่างเล็กในชุดดำที่กำลังแหงนเงยมองรังนกขนาดใหญ่บนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง

“เราไปแล้วนะ ศาศวัตรา” คนตัวเล็กหันขวับกลับมา ฉีกยิ้มกว้างแล้วย่อตัวผลุบ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงหวานใส

“ทูลลาเพคะ”

“ทูลลาพะยะค่ะ”

เมื่อเจ้าชายธาราธรเสด็จจากไป อาจารย์เซติจึงหันไปมองร่างเล็กที่กำลังให้ความสนใจกับรังนกรังนั้นเช่นเดิม ชายสูงวัยทอดสายตามองอย่างสงสาร...ธิดาในเจ้าชายทิวากาลผู้ถูกทอดทิ้ง...ชีวิตช่างน่าอาภัพนัก ทั้งๆที่นางสมควรจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในรั้วในวัง แต่กลับต้องระหกระเหินอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กริมชายป่า

ที่น่าเวทนาพอๆกันคืออดีตพระชายาศิริรัตนาซึ่งถูกใส่ร้ายว่า ‘เล่นชู้’ กับตวัสสา...อดีตผู้บัญชาการทหารแห่งอาวันตี นับจากวันที่เจ้าชายทิวากาลทรงเชื่อหมดพระทัยว่าพระชายาเอกของพระองค์คบชู้ก็ทรงเนรเทศพระชายาศิริรัตนาผู้กำลังตั้งครรภ์ให้มาอยู่ที่บ้านหลังเล็กเก่าคร่ำในทันที

แม้อดีตชายาศิริรัตนาจะต้องตกระกำลำบากและถูกถอดยศศักดิ์กลายเป็นเพียงสามัญชน หากนางก็ไม่เคยปริปากบ่น โอดครวญหรือน้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามนางกลับดูสบายอกสบายใจเสียยิ่งกว่าตอนอยู่ในพระราชวังเสียอีก

ที่น่ายกย่องกว่าอะไรทั้งหมดคือ นางเลี้ยงดูธิดาเพียงคนเดียวได้เป็นอย่างดี ศาศวัตราช่างจิตใจดี อ่อนโยน มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หัวใจของนางช่างบริสุทธิ์ราวน้ำค้างกลางยอดหญ้า...นางกลายเป็นที่รักของชาวบ้านที่อาศัยติดชายแดน รวมถึงเป็นแก้วตาดวงใจของเขาด้วย...เซตินั้นคอยดูแลนางมาตั้งแต่เด็กเพราะในฐานะเป็นน้องชายของตวัสสา เขาได้รับรู้ตลอดมาว่าพี่ชายของเขากับชายาศิริรัตนานั้นไม่เคยมีสิ่งใดเกินเลยต่อกันมากไปกว่าความเป็นเพื่อน ถึงกระนั้น...เขาซึ่งในตอนนั้นดำรงยศร้อยตรีก็ไม่ได้คัดค้านกับเรื่องราวเข้าใจผิดเหล่านั้นแต่อย่างใด ไม่แม้แต่จะก้าวเข้าไปขัดขวางและทักท้วงถึงสิ่งที่พระองค์ทรงตัดสิน ทั้งหมดก็เพราะความรักตัวกลัวตายนั่นเอง อีกทั้งยังตระหนักว่า...ไม่ว่าจะทูลความจริงสักกี่ครั้ง เหตุการณ์ทุกอย่างก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ พระราชาทิวากาลทรงไม่มีทางเชื่อคำพูดของนายทหารตัวเล็กๆอย่างเขาเป็นแน่แท้

ความรู้สึกผิดในครั้งนั้นยังคงเกาะกินหัวใจเขาเนิ่นนานจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่เลือนหาย ชายสูงวัยระบายลมหายใจบางเบา มองร่างเล็กที่เคยเห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจวบจนเธออายุสิบห้าปีบริบูรณ์ในปีนี้ แล้วร้องเรียก

“ศาศวัตรา”

“ขา อาจารย์” ได้ยินเสียงเรียกร่างเล็กก็ปราดเข้ามาหาโดยไว “มีอะไรให้ลูกศิษย์คนนี้รับใช้หรือคะ”

“พรุ่งนี้คณะทูตจากหฤษคิรีจะเดินทางมาถึง อยากให้เจ้าไปสอดส่องดูหน่อยว่ามีทหารที่ร่วมขบวนมาด้วยมากน้อยเพียงใด”

“อาจารย์กลัวว่าคนพวกนั้นจะมาเปิดศึกสู้รบกับเราหรือคะ” เจ้าตัวถามอย่างตรงไปตรงมาตามที่ตนเองสงสัย

“ก็ไม่เชิง แค่...ระวังตัวไว้คงไม่เสียหายอะไร ดีเสียอีกจะได้รู้เขารู้เรา หากพลาดพลั้งเกิดอะไรขึ้นมา เรายังพอเตรียมรับมือได้ทัน”

“ได้ค่ะ ศาจะออกจากบ้านไปดูให้แต่เช้า ถ้าเจออะไรแปลกปลอมจะรีบกลับมารายงานทันทีค่ะ”

“อ้อ...อีกเรื่องหนึ่ง” เสียงนั้นทำให้เท้าที่กำลังจะออกเดินมุ่งหน้ากลับบ้านหยุดชะงัก “ได้ยินข่าวลือว่าเจ้าชายรัชทายาทของหฤษคีรีจะเดินทางมาด้วย พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถ เก่งฉกาจรอบตัว เจ้าต้องระวังตัวให้ดีรู้ไหม”

คนตัวเล็กขมวดคิ้ว มองชายที่เป็นทั้งอาจารย์และนับถือเป็นพ่อบังเกิดเกล้าแล้วพ่นลมออกจากปาก

“โธ่ อาจารย์ ฝีมือระดับนี้แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ”

“อาจารย์เคยสอนเจ้าว่าอย่างไร ศาศวัตรา” พอถูกเรียกเต็มคำด้วยเสียงเน้นหนักเช่นนี้ หญิงสาวก็ก้มหน้าคางชิดอกอย่างรู้ตัวว่าจะต้องโดนดุอีกตามเคย

“อาจารย์สอนว่าอย่าประมาทค่ะ”

“ก็จำได้นี่ แล้วทำไมเจ้าถึงเอาแต่ท่องจำ แต่ไม่นำมาใช้ หืม?”

“ค่ะ อาจารย์” เอ่ยเสียงอุบอิบ เหมือนไม่เต็มอกเต็มใจเชื่อฟังอย่างไรอย่างนั้น สิ่งนี้คงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ทั้งชายาศิริรัตนาและเขาเองเอือมระอาเป็นอย่างมาก

‘ดื้อเสียจนฉันอ่อนใจ...ช่วยแก้ๆนิสัยนี้ให้หน่อยนะคะ เซติ’

เอ่ยกับเขาเมื่อนานมาแล้ว จนป่านนี้ความดื้อดึงยังก็ไม่หายอยู่ดี

“ค่ะอะไร”

“จะไม่ประมาทค่ะ” เอ่ยจบก็กระโดดขึ้นอาชาคู่ใจแล้วกระตุกบังเหียนออกคำสั่งให้มันออกวิ่งทันที ก่อนตะโกนไล่หลังมาตามลมว่า

“ศาไปก่อนนะคะ เย็นแล้วเดี๋ยวโดนแม่ดุ”

“เดี๋ยว ศาศวัตรา!” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่เหลียวหลังมามอง เขาจึงจำใจต้องตะโกนตามหลังไปว่า

“พระองค์มีพระนามว่าเจ้าชายอัคคัญญ์นะ ...อัคคัญญ์!”

หญิงสาวได้ยินเต็มสองรูหู จดจำไว้ในหัวใจขณะก้มตัวแนบกับแผงคอสีน้ำตาลนุ่มสลวยนั้น ไม่ถึงอึดใจ ร่างเล็กก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านชั้นเดียงกลางแมกไม้ร่มครึ้มเสียแล้ว ยามที่กระโดดลงจากหลังอาชาและเหยียบบนผืนดินอาวันตีอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็อดค่อนขอดพระนามของเจ้าชายรัชทายาทแห่งหฤษคีรีไม่ได้ว่า

อัคคัญญ์...ขื่ออะไรช่างแปลกหูนักเชียว!...



พอเหยียบย่างเข้าบ้านหลังเล็กที่เริ่มเก่าคร่ำไปตามกาลเวลา สิ่งแรกที่เห็นคือผู้เป็นมารดากำลังนั่งเอนกายพิงหมอนอิงบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวในห้องรับแขก โดยมีหนังสือเล่มเล็กอยู่ในมือ

...แม่เป็นเช่นนี้เสมอ ถ้าไม่ลุกขึ้นมาทำงานบ้านหรือดูแลสวนพืชผักที่ปลูกไว้สำหรับขาย ก็เป็นต้องจมอยู่กับกองหนังสือแทบทั้งวัน...

ศาศวัตรายังไม่เข้าใจจวบจนกระทั่งบัดนี้ว่าเหตุใดมารดาของตนจึงถูกเนรเทศและถูกถอดยศ ถอดตำแหน่งเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาๆที่ทำสวนทำไร่ไปวันๆ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มารดาของเธอเป็นถึงพระชายาเอกขององค์เจ้าหลวงทิวากาล...ราชาแห่งอาวันตีผู้ยิ่งใหญ่

ยศถาบรรดาศักดิ์ที่เคยได้รับ สลายไปในชั่วพริบตา...ด้วยเหตุผลกลใด หญิงสาวปรารถนาอยากได้คำตอบ ทว่า...เพียงแค่เอ่ยปากถาม ประโยคสั้นๆประโยคเดียวเท่านั้น...

‘ทำไมพ่อถึง...’ แค่นั้น มารดาของเธอก็จะตัดบทด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทรงอำนาจจนเธอนิ่งอึ้งอยู่ร่ำไป

‘แม่บอกแล้วว่าอย่าพูดเรื่องนี้อีก ลูกรู้แค่ว่าพ่อของลูกคือองค์เจ้าหลวงทิวากาลก็พอ ศาศวัตรา’

ดังนั้นตั้งแต่จำความได้จนอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ ความสงสัยในใจเธอจึงไม่เคยลดน้อยถอยลง ตรงกันข้ามกลับยิ่งมากขึ้นเป็นลำดับ และบางครั้งก็ยังโศกเศร้ากับความจริงที่ว่า

...พ่อไม่รัก...

ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก ศาศวัตราไม่เคยพบพระพักตร์ผู้เป็นบิดาแม้สักครั้ง และแม้เธอจะไม่เคยแสดงความโหยหาความรักจากบิดาออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย หากความจริงในหัวใจ...หญิงสาวต้องการความรักจากบิดาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร

...เธอต้องการความรักจากพระองค์เช่นเดียวกับที่ทรงหยิบยื่นให้เจ้าฟ้าธาราธร...มกุฎราชกุมารแห่งอาวันตี

ร่างเล็กทรุดกายลงนั่งบนผืนพรม ขณะที่คนที่นอนอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์ตวัดสายตามามอง ดวงตาที่เริ่มเหี่ยวไปตามกาลเวลายังทอแสงอ่อนโยน เปี่ยมด้วยความรักอย่างไม่ลดน้อยถอยลงไปเลยแม้สักนิด

“แม่...” ความขมปร่าแล่นขึ้นมาจุกแน่นในลำคอ ทำให้ศาศวัตราไม่สามารถเอื้อนเอ่ยอะไรได้อีกต่อไป หญิงสาวสงสารผู้เป็นมารดาอย่างสุดแสน จากพระราชวังใหญ่โตหรูหรา ต้องมาอยู่บ้านหลังเก่าๆจะพังแลห่มพังแหล่ แถมต้องเลี้ยงดูเธอจนเติบโตมาถึงขนาดนี้เพียงลำพังเสียด้วย...

...สำหรับคนที่คุ้นชินกับความสะดวกสบาย คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดำรงชีวิตในลักษณะนี้ได้เลย...

“เรียนเสร็จแล้วหรือ”

“ค่ะแม่”

“วันนี้อาจารย์เซติสอนอะไรบ้างล่ะ”

เจอคำถามนี้เข้า คนเป็นลูกก็รีบหลุบสายตาลงต่ำ แล้วตอบเสียงแผ่วเบาว่า

“ก็เหมือนทุกวันแหละค่ะ การป้องกันตัว ประวัติศาสตร์ และภาษาค่ะ”

ศาศวัตราไม่เคยปริปากบอกมารดาเลยสักครั้งว่าแท้จริงแล้ว นอกจากวิชาเหล่านั้น อาจารย์ของเธอยังสอนวิชาการต่อสู้โดยใช้กริช ดาบยาวโค้งและยิงธนูอีกด้วย

...ไม่ได้เรียนเพื่อไว้ใช้ป้องกันตัวเท่านั้น แต่เรียนเพื่อให้รู้จักสู้เป็น!...

‘จะเรียนไปทำไม เจ้าเป็นหญิงนะ ไม่ใช่ชาย’ อาจารย์เคยปรามเธอไว้ หากพอฟังเหตุผลของเธอแล้ว ท่านก็เปลี่ยนความคิดไปในบัดดล

‘เป็นหญิงแล้วทำไมคะ จะเรียนไม่ได้เลยหรือ...ที่สำคัญในวันข้างหน้า ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรกับอาวันตีบ้าง บางทีผู้หญิงอาจจะต้องจับดาบขึ้นสู้รบร่วมกับชายเพื่อความอยู่รอดก็ได้นะคะ ศาเองก็อยากจะเป็นคนหนึ่งที่ได้ปกป้องอาวันตี เพราะอย่างน้อยศาก็มีสายเลือดขององค์เจ้าหลวงอยู่ในตัวครึ่งหนึ่ง’

เพราะประโยคนั้นเมื่อสามปีก่อน ศาศวัตราจึงได้เรียนรู้การต่อสู้แบบชายชาติทหาร จากเด็กสาวที่เอาแต่วิ่งเล่นไปวันๆ เธอหมายใจจะเติบใหญ่เพื่อเป็นนักรบแห่งอาวันตีให้จงได้!

ศาศวัตราระบายลมหายใจแผ่วเบาก่อนเอ่ย

“แม่อ่านหนังสือต่อเถิดค่ะ ศาไม่กวนแล้ว”

ส่งยิ้มบางๆให้ท่านก่อนสาวเท้าจากมา ก้าวยาวๆตรงไปยังห้องนอนห้องเล็กของตนเอง เมื่อก้าวผ่านประตูหนาหนักเข้าไปด้านในก็ล้มตัวลงนอนเหยียดกายอย่างสบายอารมณ์บนเบาะหนานุ่มซึ่งวางไว้บนพื้นพรม หญิงสาวประสานมือวางบนหน้าท้องแล้วหลับตา แพขนตายาวกะพริบเล็กน้อยเมื่อเปลือกตาบางขยับไหว

สาวน้อยร่างแบบบางไม่ได้ตั้งใจจะงีบแต่อย่างใด หากกำลัง ‘วาดภาพ’ ใครบางคนในใจต่างหาก

...เป็นภาพของใครคนหนึ่งที่มีชื่อแปลกหูและประหลาดจนเจ้าตัวอยากรู้ความหมายเป็นนักหนา...

ภาพในห้วงความคิดคำนึงของสาวน้อยวัยแรกแย้มในยามนี้ เป็นภาพของชายหนุ่มร่างบึกบึน ตัวสูงใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่น โครงหน้าเหลี่ยมชัดเจน คิ้วหนาพาดเฉียงและขมวดมุ่นอยู่เป็นนิจ หากวินาทีถัดมาภาพนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นภาพชายหนุ่มรูปร่างผอมบางจนแทบจะปลิวลม โครงหน้าค่อนข้างยาว ดวงตาเรียวเล็กอบอุ่นอ่อนโยนและมีรอยยิ้มประดับบนริมฝีปากอยู่เสมอ

เมื่อภาพสองภาพท้อนซับกัน คนตัวเล็กก็รีบลืมตาขึ้นมาทันควัน ดวงตากลมโตเปล่งประกายสุกสกาวดั่งดวงดารา ระยิบระยับพราวพร่างงดงาม อีกทั้งยังมีรอยเต้นระริกวูบไหวชัดเจนราวกับผู้เป็นเจ้าของกำลังขบขันในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ก็จะไม่ให้ขันได้อย่างไรในเมื่อเธอเอาแต่วาดภาพในฝันของตนเองอย่างเอาแต่ใจ ทั้งที่ไม่เคยได้พบได้เห็น หรือแม้แต่ได้ยินเรื่องราวของเจ้าชายพระองค์นี้มาก่อนเลยแม้แต่น้อย

...นี่ถ้าเธอเป็นนางข้าหลวงในวังแล้วล่ะก็ รับรองเลยว่า ‘ภาพ’ ในใจเธอยามนี้ต้องชัดเจน แจ่มแจ้ง ไม่เลือนรางสับสนแบบนี้เป็นแน่ ด้วยแน่ใจเหลือเกินว่า ‘การข่าว’ ของพวกนางในนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกฝ่ายหน้าเลยแม้แต่น้อย และเป็นที่แน่นอนว่าคำเล่าลือในเรื่องความงาม ไม่งามของเจ้าชายต่างแคว้นนั้นย่อมได้รับการถกเถียงในวงกว้างและได้ข้อสรุปในที่สุด

บางทีถ้าตอนนี้เธอเป็นหนึ่งในนางข้าหลวงเหล่านั้น เธออาจจะได้ยินใครบางคนพร่ำพูด หรือกระซิบต่อกันและกันว่า เจ้าชายรัชทายาทแห่งหฤษคีรีงดงามหรืออัปลักษณ์เพียงใดก็เป็นได้

เรียวปากงามขยับแย้มเป็นรอยยิ้มสดใส ก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นยืน เดินไปยังโต๊ะไม้ที่ตั้งชิดข้างฝา บนโต๊ะนั้นมีกระจกบานเล็กตั้งอยู่ หญิงสาวเอื้อมมือหยิบมันมาถือไว้ในมือ ก่อนปลดผ้าโพกศีรษะสีดำของตนเองออก ยังผลให้ผมสีดำสนิทเป็นลอนนิดๆตรงปลายยาวสยายเต็มหลัง เงางามชวนมอง และดูนุ่มละมุนน่าสัมผัสยิ่งนัก

เมื่อพิจารณาตัวเองในกระจกยามนี้...หนุ่มน้อยเมื่อครู่ได้แปรเปลี่ยนเป็นสาวน้อยหน้าหวานเสียแล้ว นี่ถ้าหญิงสาวตัดผมสั้นอย่างชายหนุ่มแล้วล่ะก็ คงไม่มีใครแยกออกว่าเธอเป็นชายหรือหญิง

คิดมาถึงตรงนี้...ศาศวัตราก็ระบายยิ้มอีกครั้ง หากครั้งนี้เป็นยิ้มเจ้าเล่ห์ และหมายมาดเต็มเปี่ยม เจ้าตัวก้มลงมองชุดดำของตนเองที่ละม้ายชุดของบุรุษในอาวันตีแล้วพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะกระแอมกระไอสองสามครั้ง ก่อนเปล่งเสียงออกมา

“พรุ่งนี้...เจ้าจะไม่ใช่ศาศวัตรา” ว่าพลางชี้นิ้วไปยังกระจก ส่วนสุ้มเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาก็ยิ่งแหบห้าวกว่าปกติหลายเท่า “แต่เจ้าจะชื่อศวัต ...พลทหารศวัต ทหารฝึกหัดที่เพิ่งเข้าร่วมกองทัพแห่งอาวันตี...เข้าใจไหม”

เมื่อเตือนตัวเองจนจำได้ขึ้นใจแล้ว หญิงสาวก็วางกระจกลงที่เดิม ยกมือกอดอกแล้วหัวเราะน้อยๆในลำคอ แม้แต่ประกายตาของเธอก็ยังเต้นระริกอย่างซุกซน

ก่อนนอนในค่ำคืนนั้นศาศวัตราก็บอกตัวเองว่า...พรุ่งนี้เช้าจะต้องมีเรื่องสนุกๆเกิดขึ้นเป็นแน่แท้...จากนั้นเจ้าตัวก็ผล็อยหลับไปโดยที่ยังมีรอยยิ้มประดับบนริมฝีปาก




ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่า
ผิดพลาดตรงไหน ขออภัยล่วงหน้าค่ะ ^__^




ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ม.ค. 2556, 07:33:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 มี.ค. 2556, 14:35:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 2520





   บทที่ 2 >>
โซดา 20 ม.ค. 2556, 08:44:32 น.
มาแสดงตัวจ้า เนื้อเรื่องชวนติดตาม ^^


คิมหันตุ์ 20 ม.ค. 2556, 10:33:11 น.
โอ๊ว...รออ่านอีกรอบค่า


จิรารัตน์ 20 ม.ค. 2556, 14:15:03 น.
มาอ่านจ้า


BOOKWORMPIG 30 ม.ค. 2556, 01:38:16 น.
ตอนแรก งงๆ นึกว่าอ่านไปแล้ว เลยข้ามไป แต่พอมาอ่านบอกว่ารีไรต์เปลี่ยนใหม่ เลยกลับมาติดตามค่เ ชอบๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account