หทัยรักบรรณาการ{สนพ.เดซี่ตีพิมพ์}

Tags: เจ้าหญิง,เจ้าชาย

ตอน: บทที่ 3+บทที่ 4


มาทีเดียวสองตอนเลย ^^

ขอบคุณทุกคนที่แวะมาอ่่านค่า

-----------------------------------------------

อาชาสีดำห้อเหยียดเต็มฝีเท้าผ่านหมู่แมกไม้สีเขียวครึ้มอยู่พักใหญ่ ก่อนจะผ่อนลงตามคำสั่งของผู้กุมบังเหียน นักรบหนุ่มถอนหายใจเฮือกขณะเหลือบสายตามองไปทางด้านหลังที่ตอนนี้เจ้าตัวเล็กกำลังใช้มือข้างหนึ่งชี้มือชี้ไม้ไปทางนู้นทีทางนี้ทีอย่างสะเปะสะปะ

“เมื่อไหร่เจ้าจะหยุดบอกทางผิดๆให้กับข้าซะที ฮึ...เจ้าตัวเปี๊ยก” สิ้นเสียงนั้นมือเล็กพลันชะงักค้างกลางอากาศ ศาศวัตราเกือบลืมตัวเปล่งเสียงหัวเราะออกมาแล้ว ยังดีที่กลั้นไว้ได้ทัน ร่างเล็กรีบหลุบสายตามองพื้น แล้วรีบสั่นศีรษะเร็วรี่

“เปล่านะท่าน ข้าไม่ได้บอกทางท่านผิดจริงๆ”

...ไม่ได้บอกผิดจริงๆ ก็ทางที่เธอบอกมันตรงไปยังบ้านหลังเล็กของเธอได้จริงๆนี่นะ...หากจะมีสิ่งใดที่ผิดไป ก็คงเป็นที่การแกล้งให้เขาอ้อมไปทางเหนือบ้าง ตะวันตกบ้าง วนไปวนมาสองสามรอบ...เท่านั้นเอง

ศาศวัตราตั้งใจจะ ‘หยอก’ เล็กๆน้อยๆเพื่อกระชับ ‘ไมตรี’ รวมถึงถ่วงเวลาไม่ให้เขาได้พบปะพูดคุยกับมารดาของเธอหรือแม้แต่กับป้าเนรา หญิงสาวคะเนเอาไว้ว่าจะรอให้บุคคลอันเป็นที่รักทั้งสองขนกุหลาบและพืชผักในแปลงหลังบ้านไปขายในตลาดอย่างเรียบร้อยเสียก่อน จึงจะยอมให้เขาไปถึงบ้านหลังเล็กของเธอ...เพราะไม่เช่นนั้น หากอีกฝ่ายรู้ความจริงว่าเธอเป็นหญิงแถมยังปลอมตัวเป็นพลทหารล่ะก็ เรื่องราวอาจจะยิ่งยุ่งยากวุ่นวายเข้าไปใหญ่...คราวนี้จะไม่ใช่เธอเท่านั้นที่เดือดร้อน แต่รวมถึงครอบครัวของเธอ อาจารย์ที่เธอเคารพรักและที่สำคัญ คือ แผ่นดินอาวันตี...อาจต้องลุกเป็นไฟก็เป็นได้

“เอาอย่างนี้เถิด” คนตัวเล็กวางมือลงบนบ่ากว้างแล้วตบเบาๆ “ท่านกลับไปดูแลเจ้าฟ้าชายของท่าน ปล่อยให้ข้ากลับบ้านเองคงดีกว่า”

“ข้าจะไปส่ง”

คนตัวโตราวยักษ์ปักหลั่นยืนกรานเสียงแข็ง...นอกจากตัวโตแล้วยังดื้อดึงจนน่าหงุดหงิดอีกด้วย คนตัวเล็กถอนหายใจเฮือก ก่อนจะพึมพำกับตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์

“ดื้อด้านชะมัด!”

ชายหนุ่มได้ยินหรือไม่อย่างไร ศาศวัตราไม่แน่ใจนัก หากก็คลางแคลงสงสัยเพราะนักรบผู้นั้นรีบกระตุกบังเหียน ออกคำสั่งให้ม้าโจนทะยานไปข้างหน้าแบบที่เธอไม่ทันตั้งตัวจนแทบจะหงายหลังตกลงมากระแทกพื้นเสียแล้ว...ยังดีที่มีมือใหญ่ยึดไว้มั่น แต่ถึงกระนั้น หัวใจดวงน้อยก็แทบจะตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม

“ท่านจงใจแกล้งข้าหรือไร!”

เธอโพล่งคำต่อว่า ขณะที่เขาทำเสียงบางอย่างในลำคอ...ละม้ายขบขัน!

“ท่านร้ายนัก! คอยดูเถิด สักวันข้าจะเอาคืนท่านให้สาสม!”

คำขู่นั้นไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายกลัวเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามนักรบอัคกลับยิ้มกว้าง ตาเป็นประกายรื่นรมย์ละม้ายพึงพอใจที่ได้ ‘หยอก’ และ ‘แกล้ง’ พลทหารอาวันตีร่างเล็กจ้อยอย่างไรอย่างนั้น

บังเกิดความเงียบอยู่เพียงชั่วขณะ เสียงใสๆที่เจ้าตัวคงลืมดัดให้ห้าวต่ำก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“นี่ท่านจะไปไหน! รู้ทางแถวนี้ดีแล้วหรืออย่างไร”

“จะกลัวไปไย ...ก็ข้ามีเจ้าอยู่ข้างๆ ถึงอย่างไรก็ไม่มีวันหลงหรอก...จริงไหม”

ถ้อยคำสุดท้ายจบลงพร้อมกับการผ่อนฝีเท้าของเจ้าดำ ก่อนที่มันจะย่างเหยาะอยู่กับที่วนเป็นวงกลมตรงลานดินแห่งหนึ่ง นายทหารอัคเอียงศีรษะเงี่ยหูฟังอะไรบางอย่างเพียงครู่เดียวก็พยักหน้ากับตัวเอง

“ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด ลำธารคงอยู่แถวๆนี้” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมกับกระโดดลงจากหลังเจ้าดำ และไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไป ‘กระชาก’ เจ้าตัวจ้อยลงมาด้วย

“โอ๊ย!!...เบาๆซี่!”

ศาศวัตราสบถคำอย่างไม่พอใจเท่าไหร่นัก พร้อมทั้งพยายามสะบัดให้มือเล็กๆของตนหลุดจากพันธนาการจากมือใหญ่ให้ได้ แต่ดูเหมือนว่ายิ่งดิ้นแรงเท่าไหร่ มือหยาบกร้านนั้นก็ยิ่งบีบรัดแน่นราวปลอกเหล็กจนความหงุดหงิดในหัวใจดวงน้อยยิ่งเพิ่มทบเท่าทวีคูณ

...บ้าจริง! นี่เธอกำลังจะกลายเป็นเชลยของตายักษ์จอมวางอำนาจคนนี้เสียแล้วหรืออย่างไร!

“ถ้าจะไปลำธาร คงต้องลงเนินตรงหน้านี้ใช่ไหม” อัคถามโดยไม่ต้องการคำตอบ เขาเอ่ยต่อว่า

“ข้าอยากล้างเนื้อล้างตัวสักหน่อย ไม่ได้อาบน้ำหลายวัน...เหนียวตัวจะแย่”

ชายหนุ่มเปรยเบาๆโดยไม่สนใจมือข้างที่เป็นอิสระซึ่งกำลังทุบตีแขนของเขาอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่พุ่งความสนใจไปที่เสียงไหลซู่ซ่าของน้ำจากลำธารใหญ่เสียมากกว่า

“อะไรกัน ท่านจะอาบน้ำในลำธารตอนหนาวๆแบบนี้เนี่ยนะ!” ต่อว่าทั้งที่มือยังทุบเอาๆ แต่ตายักษ์ไม่ได้สะทกสะท้านแม้เพียงน้อย “ท่านเสียสติแล้วหรือ ท่านเป็นทหารของหฤษคีรีแต่กลับเถลไถลมาเล่นน้ำแบบนี้ ไม่เป็นห่วงฟ้าชายของท่านเลยหรืออย่างไร”

คนตัวโตไหวไหล่ แล้วตอบอย่างไม่ยี่หระ

“คนของข้ามีฝีมือพอตัว...ข้าไม่ห่วงหรอก” จากนั้นชายหนุ่มก็จัดการพันบังเหียนม้ากับต้นไม้ใหญ่ แล้วฉุดกระชาก ลากดึงเจ้าตัวเล็กให้เดินตาม...

เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นทั้งสองก็มาหยุดยืนอยู่ริมลำธารใสเย็น

“ถ้าท่านอยากเล่นน้ำนักก็เล่นไปคนเดียวซิ ข้าจะกลับบ้าน” หญิงสาวทำเสียงสะบัดใส่ หน้าใสๆงอง้ำ ริมฝีปากอิ่มเต็มบูดบึ้งดูน่าเกลียด หากคนมองกลับเห็นว่า...น่ารักเสียอย่างนั้น

นักรบทมิฬหนุ่มมองคนที่จ้องแต่จะดึงมือตัวเองออกจากมือของเขาอย่างเอ็นดู ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดจึงถูกชะตากับพลทหารที่ช่างเหมือนสตรีผู้นี้นัก

เจ้าตัวเล็กมันบอกว่ามันเป็นผู้ชาย แต่เขากลับเห็นว่ามันเป็นผู้หญิง!

ไม่รู้ว่าตาของเขาผิดปกติ หรือใจของเขากำลังเบี่ยงเบนกลายเป็นนิยมชมชอบเพศเดียวกันกันแน่!

ชายหนุ่มเม้มปาก ขณะในใจคัดค้านอย่างไม่ลดละว่าถึงอย่างไรเจ้าตัวเล็กมันก็ต้องเป็นผู้หญิง ความรู้สึกของเขาบอกเขาเช่นนั้น

อัคระบายลมหายใจยาว ก่อนเอ่ยเสียงเข้มว่า

“เจ้ายังไปไหนไม่ได้”

ไม่พูดเปล่า อัคยังดึงเถาวัลย์ที่ตกอยู่บนพื้นดินขึ้นมามัดมือทั้งสองข้างของศาศวัตราไว้จนแน่น...มากพอที่จะทำให้เธอสลัดไม่หลุด

“ในเมื่อเจ้าไม่บอกทางกลับบ้านเจ้าที่ถูกต้องให้กับข้า เจ้าก็ต้องผูกติดอยู่กับข้าทั้งวันทั้งคืนแบบนี้นี่ละ”

ศาศวัตราเบิกตากว้าง จ้องหน้าขาวๆของคนตรงหน้าที่ดูหล่อเหลาเอาการไม่หยอก แต่เวลานี้...เธอกลับเห็นว่าเขาหน้าตาราวกับยักษ์ขมูขีก็ไม่ปาน

“คนอะไร...จ้องแต่จะรังแกเด็ก!” หญิงสาวทำทีเป็นบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างมีน้ำโหทั้งที่จริงๆแล้วเธอตั้งใจจะต่อว่าคนตรงหน้า “นี่น่ะหรือ...นักรบทมิฬ...ไม่เห็นมีอะไรดีสักอย่าง!”

พร้อมกับพูด หญิงสาวพยายามบิดมือให้หลุดพ้นจากพันธนาการอย่างสุดความสามารถ หากก็ไม่อาจสู้แรงคนตัวโตได้...ในที่สุดอัคก็สามารถมัดมือของเธอได้สำเร็จ เท่านั้นยังไม่พอเขายังใช้สายตากึ่งสาแก่ใจกึ่งขบขันมองจ้องมาอีกด้วย

“ผู้ใหญ่แบบไหนกันถึงได้รังแกเด็กไม่มีทางสู้อย่างน่าอายเช่นนี้!”

ต่อว่าพลางทำปากยื่นปากยาว ขณะที่คนถูกว่าทำเสียงบางอย่างในลำคอ ละม้ายขบขันระคนอ่อนใจกับถ้อยคำของศาศวัตรายิ่งนัก

“ใช่...ข้ายอมรับว่าข้ามันน่าอับอายนักที่ทำกับเจ้าแบบนี้” มือข้างหนึ่งของเขากำปลายเถาวัลย์ที่พันธนาการมือเล็กทั้งสองไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งเอื้อมมือหมายจะวางลงบนศีรษะทุยสวย แต่หญิงสาวเบี่ยงศีรษะหลบพร้อมกับจ้องเขาเขม็งด้วยความเคืองแค้น อัคจึงเปลี่ยนใจทิ้งมือลงข้างลำตัวแล้วเอ่ยต่อ

“แต่ถ้าข้าไม่ทำแบบนี้ ข้าก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นใคร...เจ้าตัวเปี๊ยก ข้าไม่ได้อยากจะทำร้ายเจ้า ข้าแค่อยากรู้ความจริงเท่านั้น”

“ข้าไม่มีความจริงอะไรปิดบังท่าน ทุกสิ่งที่ท่านอยากรู้ข้าก็บอกไปหมดแล้ว ท่านจำไม่ได้หรือไร...” คนตัวเล็กสูดลมหายใจเข้าปิด ก่อนพ่นออกมาเต็มแรง “ได้...ข้าจะบอกให้ท่านฟังอีกสักครั้ง”

ศาศวัตรายืดตัวตรง เชิดหน้า มองจ้องดวงตาสีนิลกาฬที่แสนลึกลับของคนตรงหน้าอย่างแน่วแน่

“ข้าชื่อศวัต เป็นพลทหารระดับล่างของอาวันตี วันนี้ข้าได้หยุดพักจึงพาเจ้าดำของข้าไปวิ่งเล่นในป่า เดินสำรวจของป่าอยู่ชั่วครู่จึงบังเอิญได้พบกับท่าน”

เจ้าตัวพูดรัวเร็วกระทั่งจบประโยคจึงหายใจหอบโยน รู้สึกเหนื่อยจนเกินพอดี...อาจเป็นเพราะกำลังโมโห หงุดหงิด หรือเพราะต้องสู้กับคนตัวโตบ้าอำนาจหรืออย่างไรไม่ทราบได้

“ข้าตอบท่านไปหมดแล้ว ทุกอย่างข้ายืนยันว่าเป็นความจริง...” ร่างเล็กชูมือทั้งสองขึ้น แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงที่อ่อนลง มิใช่แข็งกระด้างเช่นเมื่อครู่ “ทีนี้ท่านจะปล่อยข้าได้หรือยัง”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่ง ริมฝีปากบางราวอิสตรีเม้มสนิทเข้าหากัน โทสะที่เฝ้าสะกดไว้ก็พวยพุ่งขึ้นมาอีกครา

“ท่านจับข้ามัดไว้แบบนี้ไม่ได้นะ ข้าไม่ใช่นักโทษ ไม่ใช่เชลยของท่าน! ท่านไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้!”

คนตัวโตไม่ได้เอ่ยว่ากระไร แต่เขากลับจับปลายของเถาวัลย์ข้างหนึ่งแล้วดึง หรือจะเรียกว่าลากก็ได้ให้ร่างเล็กเดินตามไปยังริมตลิ่ง สายลมหนาวพัดโชยมาอีกระลอกแทรกผ่านชุดสีดำที่เธอสวมชวนให้ร่างเล็กสั่นสะท้าน ศาศวัตราพยายามจะใช้เท้าทั้งสองที่ยังเป็นอิสระพาตัวเองหนีไปให้พ้นๆจากนายทหารแห่งหฤษคีรี หากก็ติดตรงที่อีกฝ่ายจับปลายเถาวัลย์ไว้มั่น เธอจึงทำอะไรไม่ได้อย่างใจนึก

เสียงใบไม้โบกสะบัดกระทบกันผสมผสานกับเสียงน้ำที่ไหลเชี่ยวกระทบตลิ่งบังเกิดเป็นเสียงอันไพเราะราวเสียงดนตรี...นี่ถ้าเธอไม่ได้อยู่ในสภาพอันน่าอับจนและน่าอับอายเช่นนี้แล้วล่ะก็ หญิงสาวคงเอนกายลงนั่งหรือนอนใต้ต้นไม้ใหญ่แล้วหลับตาอย่างสบายอารมณ์ไปแล้ว

แต่...

ในสถานการณ์เช่นนี้ เธอไม่มีอารมณ์สุนทรีย์เฝ้าชมความงามของธรรมชาติเหมือนอีกฝ่ายที่กำลังแหงนเงยหน้าชมท้องฟ้าสีครามและร่มไม้ใบบังของต้นไม้ได้หรอก

คนตัวเล็กตัดสินใจสะบัดมือเป็นครั้งสุดท้ายโดยแรง เมื่อพบว่าไม่เป็นผล จึงถอนหายใจเฮือก รู้ดีว่าตนเองคงไม่อาจชนะตายักษ์ได้ในวันนี้เป็นแน่แท้ จึงเอ่ยด้วยเสียงละห้อยโหยกึ่งเคืองแค้นเล็กๆ

“ตกลง...ข้ายอมบอกทางที่ถูกต้องให้ท่านแล้ว”

สิ้นเสียงนั้น เจ้ายักษ์บ้าก็ยิ้มกว้างออกมาในบัดดล



ร่างสูงจับจูงมือบอบบางที่บัดนี้ไม่มีเถาวัลย์พันธนาการไว้แล้ว แถมคนถูกจับยังไม่ดิ้นรนขัดขืนใดๆอีก ราวกับเหนื่อยใจจนไม่อาจฝืนทนดื้อด้านหรือแสดงความพยศใดๆได้อีกต่อไป

เจ้าดำยังคงยืนอยู่ที่เดิม มันสะบัดศีรษะแล้วส่งเสียงร้องเบาๆต้อนรับผู้เป็นเจ้าของ แววตาของมันที่ทอดมองมา ศาศวัตราตีความเอาเองว่ามันกำลังสงสารตนเองที่ถูก ‘ผู้ใหญ่’ กลั่นแกล้ง

เมื่อหญิงสาวเดินมาใกล้เจ้าดำ...ก็พลันส่งสายตาเป็นถ้อยคำต่อว่านักรบทมิฬผู้นั้น

...ผู้ใหญ่แกล้งเด็ก! ไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย เนอะ เจ้าดำ...

ขณะที่ชายหนุ่มใจดี ช่วยอุ้มร่างเล็กขึ้นไปนั่งบนหลังม้า ก่อนที่ตัวเองจะกระโดดตามขึ้นไปนั่งซ้อนทางด้านหลัง สองแขนโอบประคองร่างเล็กขณะสองมือกุมบังเหียนไว้มั่น

ศาศวัตราขมวดคิ้ว ขยับตัวอย่างอึดอัด หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำและผิดจังหวะไป เนื่องเพราะนับตั้งแต่เกิดมา เธอยังไม่เคยใกล้ชิดบุรุษคนใดมากเท่ากับตายักษ์ผู้นี้...ทั้งโอบกอด ทั้งจับมือ ทั้งบดเบียดแนบชิด...มากเกินไปเสียจนแก้มของเธอเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง

อัคกระตุกบังเหียนสั่งให้เจ้าดำออกเดิน คราวนี้ไม่ได้ควบขับเร็วรี่แต่อย่างใด หากกลับย่างเหยาะเนิบช้าราวกับต้องการชื่นชมทิวทัศน์สองข้างทางอย่างไรอย่างนั้น

“ให้ข้าไปนั่งข้างหลังเหมือนเดิมดีกว่า” เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พบหน้ากันที่ศาศวัตราเอ่ยด้วยสุ้มเสียงแกว่งไกวและไม่ชัดเจนเอาเสียเลย

“ทำไม”

“ก็...” คนตัวเล็กเงยหน้ามองไปทางด้านหลัง พร้อมกับที่อีกฝ่ายก้มหน้าลงมา ปลายจมูกของเขาจึงแทบจะชนกับหน้าผากของเธออยู่รอมร่อ หญิงสาวรีบเอนตัวออกห่างแล้วหันหน้ากลับไปมองทางเดินเบื้องหน้าตามเดิม

“ว่าอย่างไร เจ้าชอบนั่งข้างหลัง มากกว่านั่งแบบนี้หรือไร”

“ข้าไม่ชอบนี่...ท่านไม่รู้สึกแปลกบ้างหรือที่ผู้ชายกับผู้ชายนั่งบนม้าตัวเดียวกันในลักษณะนี้”

คำตอบที่ได้กลับมามิใช่คำว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่กลับเป็นเสียงหัวเราะขบขันที่เปลี่ยนความขัดเขินในใจเธอให้มลายหายไปจนสิ้น

“ท่านขันอะไร! ที่ข้าพูดมันผิดตรงไหน”

“ไม่หรอก...เจ้าไม่ได้พูดอะไรผิด แต่...ข้าชอบให้เจ้านั่งแบบนี้มากกว่า เพราะข้าต้องคุมความประพฤติของเจ้าให้อยู่ในสายตา ไม่เช่นนั้นเด็กจอมแสบอย่างเจ้าคงหาเรื่องมาประทุษร้ายข้าก็เท่านั้น”

“ฮึ!” ศาศวัตรานิ่งเงียบไปอึดใจก่อนทำเสียงบางอย่างในลำคอที่ชายหนุ่มแปลความหมายไม่ออก หากเขาก็ไม่ได้สนใจจะค้นหา ...ด้วยมีสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามากกว่า...นั่นคือคำตอบของคำถามที่ว่า

...’เจ้าตัวเปี๊ยก’ที่แสนซุกซนผู้นี้ เป็นใคร มาจากไหน และมาสอดแนมคณะทูตจากหฤษคีรีเพื่ออะไรกันแน่...



ลมหนาวพัดมาอีกระลอกแล้วระลอกเล่า หากศาศวัตราไม่รู้สึกหนาวเท่าที่ควร จะเพราะเหตุใดนั้นเธอไม่อาจหาคำตอบให้ตัวเองได้...อาจจะเป็นเพราะอารมณ์กรุ่นโกรธที่ก่อตัวสะสมมาตั้งแต่ได้พบได้เจอหนุ่มร่างใหญ่ราวยักษ์ หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นเพราะแผ่นอกกว้างและลำแขนแข็งแกร่งที่โอบรัดเธออยู่ในเวลานี้ส่งกระแสความอบอุ่นโอบล้อมกายเธอ

จากอุ่นจัด...จนเกือบร้อนเมื่อใกล้ถึงจุดหมายปลายทาง

ร่างเล็กขยับกายอย่างอึดอัด เมื่อรู้สึกถึงอ้อมแขนที่รัดรึงมากขึ้น หญิงสาวชี้บอกทางที่ถูกต้อง ก่อนจะใช้มือเล็กๆของตนเองตีลงบนมือใหญ่อย่างแรง

เผียะ! เผียะ!

“ท่านไม่ต้องกอดข้าแน่นแบบนี้ก็ได้...ก็บอกแล้วว่าข้าไม่ตกๆ ไม่ต้องห่วงไงเล่า!”

แรงตบจากฝ่ามือเล็กถึงสี่ห้าครั้งไม่ได้ทำให้คนตัวโตสะทกสะท้านแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับ ‘หยอก’ เธอกลับด้วยการแสร้งรัดเอวบางมากขึ้นจนคนถูกรัดแทบหายใจไม่ออก

“โอ๊ย! ข้าจะขาดใจตายอยู่แล้ว! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ! ปล่อยๆๆๆๆ!” ศาศวัตราพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะแกะมือของเขาออก แต่อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยง่ายๆ จนร่างเล็กชักหมดแรง

“ปล่อยซี่!”

พอจบประโยคนั้น แขนแข็งแกร่งที่รัดรึงแนบแน่นก็คลายออก...กลายเป็นโอบกอดเธอเพียงหลวมๆ ขณะที่คนตัวเล็กตวัดสายตาโกรธเคืองมามอง

“ท่านแกล้งข้า!”

คนถูกกล่าวหาเลิกคิ้วเล็กน้อย ใบหน้ายังคงเรียบเฉยหากแววตาเต้นระริกอย่างสนุกและขบขัน...ตอนนี้เจ้าดำผ่อนฝีเท้าลงมากแล้วตามคำสั่งของผู้คุมบังเหียนเมื่อบ้านหลังน้อยปรากฏแก่สายตา ชายหนุ่มยังคงปล่อยให้มันเดินทอดน่องต่อไปอย่างสบายอารมณ์

“ข้าไม่ได้แกล้ง ...ก็แค่กลัวเจ้าตกลงไปเท่านั้นเอง”

“ก็ข้าบอกแล้วว่าไม่ตกๆๆๆไงเล่า ท่านไม่รู้รึไงว่าข้าขี่ม้าเก่งขนาดไหน” พูดชมตัวเองเสร็จสรรพก็เชิดหน้าชูคออย่างมั่นใจ

“อย่างนั้นหรือ...ก็ดี เอาไว้เรามาแข่งกันสักวันดีไหม”

พอเจอคำท้าเข้า...คนที่เห็นฝีมือการขี่ม้าของเจ้ายักษ์ขี้เก๊กเป็นอย่างดีถึงกับลังเล

...ก็ถ้าแข่งตอนนี้ เธอคงแพ้น่ะซิ...แต่ว่าไม่ได้แพ้ราบคาบหรอกนะ แค่ฉิวเฉียดเท่านั้นแหละ...จนแล้วจนรอดเจ้าตัวก็ยังไม่วายเข้าข้างตัวเอง

“ว่าไงล่ะ...หรือกลัวจะแพ้ข้า”

“ใครกลัว?” ศาศวัตราขึ้นเสียงสูงทันควัน “...ข้าไม่ได้กลัวสักหน่อย”

หญิงสาวหันไปมองคนข้างหลัง สายตาของเธอมองผ่านแนวกรามแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ก่อนจะแลเลยผ่านจมูกโด่ง มองสบดวงตาสีดำสนิทที่ก้มลงมามองจ้องเธอเฉกกัน

“แค่ช่วงนี้ข้า...ยุ่งๆ”

คนตัวเล็กนิ่งเงียบอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนเอ่ยกับเขาด้วยสุ้มเสียงจริงจัง

“เอาอย่างนี้อีกสักสามปี ท่านค่อยมาแข่งกับข้าแล้วกัน”

“อะไรกัน เจ้ายุ่งอะไรนักหนาถึงต้องรออีกตั้งสามปีเชียว”

...ก็ยุ่งทั้งเรื่องเรียน เรื่องทำงานบ้าน เรื่องเก็บผักกับผลไม้ในสวนหลังบ้านไปขาย แล้วไหนจะเรื่องดอกกุหลาบที่เพิ่งเอามาปลูกในแปลงอีกเล่า...ยุ่งจริงจริ๊ง...ไม่ได้ยื้อเวลาเพื่อจะฝึกให้เก่งกว่านี้เลยสักนิดเดียว!

เจ้าตัวเปี๊ยกพึมพำเพียงในใจ หากที่พูดออกไปคือ

“ถ้าเจ้าไม่กล้าแข่งกับข้า...ก็แล้วไป” แถมยังทำท่ายักไหล่ราวไม่ยี่หระเสียด้วยซิ

“ข้าไม่ได้บอกว่าไม่กล้าแข่งสักหน่อย...” อัคถอนหายใจเฮือกก่อนเอ่ย “เอาเถิด ...อีกสามปีก็อีกสามปี”

ได้ยินแล้วคนฟังถึงกับยิ้มกว้าง หมายมั่นปั้นมือไว้ในใจว่าจะทำให้ยักษ์ขี้เก๊กกลายเป็นยักษ์หน้าจ๋อยเพราะแพ้เธอหลุดลุ่ยให้ได้! คิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องจนเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ

“เจ้าขำอะไร ตัวเปี๊ยก”

ดูเหมือน ‘ตัวเปี๊ยก’ จะกลายเป็นชื่อเรียกที่ติดปากเขาไปเสียแล้ว และชื่อของเธอ ‘ศวัต’ คงไม่ได้สลักฝังแน่นอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของความทรงจำของเขาเป็นแน่แท้...ศาศวัตราเชื่อเช่นนั้น

“ข้าไม่ได้ชื่อตัวเปี๊ยกนะ...เลิกเรียกข้าแบบนั้นซะทีได้ไหม”

หญิงสาวเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม แต่กลับบ่นพึมพำเรื่องแทนตัวเธอด้วยคำที่เธอไม่ชอบ

...ก็เธอไม่ได้ตัวเปี๊ยกเสียหน่อย ถ้าเทียบกับผู้หญิงรุ่นราวคาวเดียวกันในอาวันตีแล้ว เธอสูงกว่าอยู่หน่อยๆด้วยซ้ำไป

“ทำไม...ก็เจ้ามันตัวเปี๊ยกจริงๆนี่” ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมาโวยวาย อัคก็รีบขัดขึ้นมาเสียก่อนด้วยคำถามที่ทำให้เจ้าตัวเล็กขมงดคิ้วมุ่น

“อีกสามปีข้างหน้าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ล่ะ"

“ถามอายุข้าทำไม...เกี่ยวอะไรกับแข่งม้าด้วย”

”ก็แค่อยากรู้ว่าเจ้าจะตัวสูงกว่านี้ไหม หรือจะหยุดอยู่แค่นี้...ข้าเกรงว่าข้าจะได้เรียกเจ้าว่าตัวเปี๊ยกทุกครั้งที่เราได้พบกันเสียแล้ว”

“ฮื่อ!” คนตัวเล็กส่ายหน้าเร็วรี่

“ไม่มีทาง! ....อีกสามปีข้างหน้า ข้าจะสูงเท่าบ่าท่าน”

“แน่ใจหรือ”

“แน่ใจ!” ศาศวัตราหันมาจ้องหน้าคนตัวโตแน่วแน่ “ไม่เชื่อก็คอยดูซิ!”

“ได้...ไว้อีกสามปี ข้าจะมาดูว่าเจ้าจะสูงขึ้นอย่างที่ ‘คุย’ หรือเปล่า”

บทสนทนาหยุดลงแค่นั้น เพราะตอนนี้เจ้าดำพาทั้งสองมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านหลังน้อยที่ดูเก่าคร่ำพร้อมกับใครบางคนเปิดประตูแล้วหอบตะกร้าผลไม้ออกมาด้วย พลันที่หญิงสูงวัยร่างท้วมเงยหน้ามองคนทั้งสอง คิ้วของนางก็ขมวดมุ่น กำลังอ้าปากจะร้องเรียก แต่ถูกคนตัวเล็กวิ่งเข้ามาเกาะแขนไว้เสียก่อน

“ท่านป้าจะขนผลไม้ไปไหน...ให้ ‘ศวัต’ ช่วยเถิด”

หญิงสาวเน้นคำว่าศวัตอย่างเจาะจง พร้อมกับลอบขยิบตาให้พี่เลี้ยงสูงวัยเสียหนึ่งที

“อ้อ...ผลไม้พวกนี้มันเน่าแล้วน่ะ...ป้าเลยจะเอาไปทิ้งไว้หลังบ้านเผื่อกระรอกหรือกระต่ายป่ามันจะมากิน” จากนั้นเจ้าตัวก็วางตะกร้าในมือเลี่ยงหลบไว้ด้านข้างก่อนมองจ้องชายหนุ่มผู้มีลักษณะผึ่งผายตรงหน้าอย่างนึกสงสัย

“เรื่องผลไม้เอาไว้ก่อนก็ได้...ว่าแต่เจ้าพาใครมาด้วยงั้นหรือ”

...ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางไปตามกาลเวลา พยายามเขม้นมองอย่างสุดความสามารถ ด้วยนางรู้สึก ‘คุ้น’ บุรุษผู้นี้เสียเหลือเกิน เพียงแต่นึกไม่ออกเท่านั้นว่าเคยพบเคยเห็นที่ไหน

“ท่านผู้นี้เขา ‘ใจดี’” ร่างเล็กกัดฟันเอ่ยคำว่าใจดีด้วยสุ้มเสียงโมโหนิดๆ “...อาสามาส่งข้าน่ะ ท่านป้า...พอดีเขาเห็นว่าข้าเดินทางคนเดียว เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย”

ศาศวัตราเลือกที่จะไม่บอกความจริง ด้วยไม่อยากให้ผู้เป็นมารดารับรู้ว่าตนเองไปทำอะไรที่สุ่มเสียงต่ออันตรายและอาจทำให้เธอถูกกักบริเวณเป็นอาทิตย์เลยก็เป็นได้

...เธอไม่อยากนั่งกอดเข่าถอนหายใจเฮือกๆอยู่แต่ในห้องนอนนี่นะ...

“แล้วตอนนี้เขาก็กำลังจะกลับ...” ยังพูดไม่ทันจบเมื่อคนตัวโตสอดแทรกขึ้นมาว่า

“ข้าจะกลับได้อย่างไร ข้าไม่ค่อยคุ้นกับทางแถวนี้เลย ไม่ทราบว่าจะเป็นการรบกวนมากเกินไปไหม ถ้าข้าจะขอพักอยู่ที่นี่จนกว่าเพื่อนของข้าจะตามมาถึง"

ได้ยินแล้วคนที่พยายามจะขับไล่ไสส่งเขาให้กลับไปถึงกับอ้าปากค้าง พร้อมกับจ้องเขาด้วยแววตาที่บอกว่า...เขาคือศัตรูหมายเลขหนึ่งที่เธอจะไม่มีวันญาติดีด้วยเป็นอันขาด!

ขณะที่อัคกวาดสายตามองไปโดยรอบก่อนเอ่ยต่อว่า

"ข้านัดเพื่อนไว้แถวๆชายป่าใกล้ประตูเมือง...และถ้าข้าเดาไม่ผิด บ้านหลังนี้คงอยู่ไม่ไกลจากประตูเมือง ใช่ไหมท่านป้า”

"ใช่แล้วจ้ะ ขี้ม้าไปแค่อึดใจก็ถึงประตูเมืองแล้วล่ะ"

อัคพยักหน้ารับรู้ก่อนเอ่ยว่า

"ตอนนี้เพื่อนของข้าพักแรมอยู่ไม่ไกล อีกสักชั่วยามคงจะเดินทางมาถึงแล้วกระมัง" เขาเอื้อนเอ่ยโดยไม่สนใจอากัปกิริยาถลึงตาเข้าใส่ของเจ้าตัวเล็กเลยแม้แต่น้อย

"ข้าขออนุญาตเข้าไปรอเพื่อนข้างในได้ไหม พอถึงเวลาที่ข้าต้องไป ข้าจะรีบออกเดินทางไปยังประตูเมืองในทันที" หญิงสูงวัยยิ้มกว้างผายมือเชิญอย่างเต็มอกเต็มใจ ไม่ได้สนใจเลยว่าตอนนี้ศาศวัตรากำลังเดือดเนื้อร้อนใจมากเพียงใด

“เชิญจ้ะพ่อหนุ่ม เชิญเข้าไปนั่งพักด้านในเสียก่อน”

อัคยิ้มอย่างเป็นมิตรพร้อมกับเดินตามเข้าไป หากพอมาถึงประตูที่เปิดอ้ารอรับอยู่ ชายหนุ่มก็เอี้ยวตัวมามองร่างเล็กที่กำลังยกมือกุมขมับ...ดูท่าทางแสนกลุ้มอกกลุ้มใจเป็นนักหนาอย่างขบขัน

“ข้าหวังว่า...” เสียงนั้นเรียกให้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำหน้าเหยเกกับตนเอง ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วช้อนสายตาขึ้นมามองสบดวงตาสีนิลกาฬคู่นั้น “...ข้าคงไม่ได้ทำให้เจ้าเดือดร้อนมากนัก...หรอกนะ”

คำพูดเสมือนรู้สึกผิดเป็นนักหนา หากแววตากลับเต้นระริกราวกับพออกพอใจที่ได้ ‘กลั่นแกล้ง’ เด็กอย่างเธอ จากนั้นร่างสูงใหญ่ก็รีบหมุนตัวกลับ เร่งฝีเท้าเดินตามป้าเนราไปติดๆ ทิ้งให้หญิงสาวมองตามอย่างแค้นเคือง



เมื่อถูกเชื้อเชิญให้นั่งบนโซฟาเบาะหนังนุ่มในห้องรับแขก อัคก็ทำตามอย่างว่าง่าย ระหว่างนั้นเขาก็กวาดสายตาสำรวจไปโดยรอบ เครื่องเรือนที่เขาเห็นส่วนใหญ่ล้วนทำจากไม้และไม่ได้เป็นสิ่งที่ราคาแพงอะไรเลย...ดูเป็นบ้านของชาวอาวันตีทั่วๆไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยสักนิด ดังนั้นความสงสัยว่าเจ้าตัวเปี๊ยกจะเป็นกองสอดแนมให้กับกองทัพอาวันตีจึงสั่นคลอนเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ปักใจเชื่อในสิ่งที่เห็นจนกว่าจะได้ข้อพิสูจน์อย่างแท้จริง

“ท่านจะพักนานแค่ไหนกัน กลับไปได้แล้ว ...บ้านข้าไม่ต้อนรับท่าน”

ศาศวัตราที่เพิ่งทรุดกายลงนั่งเคียงข้างเขากระซิบเบาๆพอให้ได้ยินเพียงสองคนหลังจากที่หญิงสูงวัยป้าเนราเดินหายลับไปทางด้านหลังของตัวบ้าน

“เจ้ากลัวอะไรหรือ...กลัวว่าข้าจะล่วงรู้ ‘ความลับ’ ของเจ้าหรืออย่างไร”

คนตัวเล็กถอนหายใจเฮือก กำลังจะต่อปากต่อคำอยู่แล้วเชียว ทว่า...ทันทีที่ได้ยินเสียงกังวานใสของผู้เป็นมารดาแว่วๆอยู่ทางหลังบ้าน เจ้าตัวก็รีบเปลี่ยนถ้อยคำจากคำขู่เป็นคำร้องขอ

“ท่านกลับไปเสียเถิด ข้ารู้นะว่าท่านรู้ทางกลับ ท่านเก่งออกจะตายไม่ใช่หรือ”

คนตัวเล็กยอมเสียศักดิ์ศรี...เอ่ยชมคนตัวโตเสียหน่อย ขณะที่อัคอมยิ้มในหน้า

...เรื่องกลับน่ะ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เขาคุ้นเคยกับการเดินป่าเป็นอย่างดี แม้จะเป็นป่าที่ไม่เคยคุ้น หากลองเดินผ่านแค่ครั้งเดียว เขาก็จำทางได้หมดแล้ว ...

...ที่สำคัญ เขามั่นใจว่าคนของเขาอย่างน้อยสองคนคอยตามติดสังเกตการณ์ดูเขาอยู่ห่างๆตั้งแต่ออกมาจากที่พักพร้อมเจ้าเปี๊ยกนั่นล่ะ เพราะฉะนั้นขากลับ เจ้าพวกนั้นคงปรากฏกายและเป็นผู้นำทางเขากลับไปถึงที่พักแรมได้อย่างไม่น่าเป็นห่วง

“เจ้ากลัวอะไร หืม เจ้าตัวเปี๊ยก”

“ข้าไม่อยากให้แม่ของข้ารู้ว่าข้าพาเจ้าดำไปเดินเล่นในป่าลึก”

“อ้อ”

เจ้ายักษ์ทำเสียงรับรู้ในลำคอเพียงแค่นั้น ท่าทางเหมือนจะไม่ยอมช่วย หญิงสาวจึงจำใจ...เอื้อมมือไปกอดแขนเขาไว้ แล้วส่งสายตาอ้อนวอนแบบที่ไม่เคยทำบ่อยครั้งนัก

“ได้โปรดเถิด ท่านอัค...” แถมยังเรียกอีกฝ่ายอย่างยกย่องเสียด้วย

“รีบกลับไปเถิด ถือว่าข้าขอร้อง” แม้จะเอ่ยด้วยเสียงออดอ้อน หากคนตัวโตยังมองจ้องเธอนิ่ง ไม่มีทีว่าว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด สุดท้ายศาศวัตราจึงต้องใช้ไม้ตายสุดท้าย

“ข้าให้ท่านยืมเจ้าดำขี่กลับไปก็ได้...ไว้วันที่ท่านจะกลับหฤษคีรีค่อยเอามาคืน”

ชายหนุ่มระบายยิ้มบางๆบนใบหน้า ก่อนเอ่ย

“แค่นี้มันน้อยไปหรือเปล่า สำหรับเรื่องที่เจ้าจะให้ข้าช่วย” เขายกมือลูบปลายคางของตนเองที่มีไรหนวดเขียวครึ้มขึ้นประปราย

“แล้วท่านยังต้องการอะไรอีก”

“ระหว่างที่ข้าพักอยู่ที่อาวันตีนี้ เจ้าพาข้าเที่ยวได้รึเปล่าล่ะ”

“ได้ซิ!” ศาศวัตราไม่เสียเวลาคิด ตอบรับทันควัน ก่อนจะลุกพรวดพราดขึ้นยืนโดยไม่ลืมดึงให้เขาลุกตามด้วย

“ข้าสัญญา...ข้าจะพาท่านเที่ยวให้ทั่วอาวันตีเลย แต่ตอนนี้ท่านรีบกลับไปก่อนได้ไหม” ว่าพลางรีบรุนหลังคนตัวโตให้เดินออกจากบ้าน ชายหนุ่มทำตามอย่างวาง่าย เขาเดินดุ่มตามแรงผลักกลับมายืนข้างเจ้าดำ

“รีบไปเสียโดยเร็วเถิด”

เจ้าตัวเล็กโบกมือไล่ยิกๆ ขณะเดียวกันก็เอื้อมมือไปลูบแผงคอของเจ้าดำอย่างเป็นห่วง

“ข้ารักเจ้าดำมาก ...ดูแลมันดีๆด้วย ถ้ามันเป็นอะไรไป...”

ศาศวัตราพูดต่อในใจว่า...ข้าจะจองล้างจองผลาญท่านให้ท่านไม่มีวันอยู่สุขเลยคอยดู!

หากเจ้าตัวไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะกลับคำไม่ยอมไปจากบ้านเธอเสียที

“รออะไรอยู่เล่า รีบไปได้แล้ว!”

“ทำสัญญากันก่อน” อัคยื่นกำปั้นออกมาตรงหน้า แล้วออกคำสั่ง “เอากำปั้นของเจ้ามาแตะกับข้าซิ”

ร่างเล็กถอนหายใจเฮือก ก่อนจะทำตามโดยไม่อิดออด ยามที่เธอเอากำปั้นเล็กๆไปแตะอีกฝ่าย เขาก็ยกมืออีกข้างมาจับศีรษะของเธอแล้วเขย่าเบาๆราวกับเอ็นดูเป็นนักหนา

“ถือว่าเจ้าสัญญาแล้วนะ...ถ้าเจ้าผิดสัญญาล่ะก็ ความลับของเจ้าจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป...เข้าใจไหม ตัวเปี๊ยก”

“เข้าใจ” หญิงสาวเบี่ยงศีรษะหลบมือใหญ่นั้นแล้วเอ่ยลอดไรฟัน ก่อนจะโบกมือไล่อีกครั้ง คราวนี้อัคไม่แกล้งรีรอใดๆอีก เขากระโดดขึ้นควบเจ้าดำจากไป เป็นเวลาเดียวกับที่มารดาของเธอเดินออกมาหน้าบ้านอย่างพอดิบพอดี

ศาศวัตราถอนหายใจอย่างโล่งอกที่สามารถเก็บความลับของตนเองไว้ได้จากทั้งผู้เป็นมารดาและจากชายผู้นั้น หญิงสาวมองตามหลังเขาไปจนลับตา...แล้วนึกขอบคุณเจ้ายักษ์ขี้เก๊กขึ้นมาเป็นครั้งแรก

...คงเป็นคำขอบคุณคำแรก และคำสุดท้ายที่เธอจะให้เขา เพราะหลังจากเหตุการณ์นี้ เขาก็ยังถือเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของเธออยู่ดี!


--------------------------------------------------

หลังจากตายักษ์ขี้เก๊กเดินทางจากไปแล้ว ศาศวัตราก็ต้องตอบหลายคำถามที่มารดาของเธอสงสัย ตั้งแต่เรื่องที่ว่าเธอออกไปไหนแต่เช้าตรู่ทั้งที่วันนี้ไม่มีเรียน ไปทำอะไร ก่อความเดือดร้อนให้ใครหรือไม่ แล้วทำไมต้องแต่งตัวเป็นผู้ชาย แถมยังไปรู้จักกับชายแปลกหน้าเสียอีก

...ไอ้เรื่องต้องมานั่งแก้ตัวให้กับตัวเองนั้น เธอเห็นว่าไม่ใช่เรื่องลำบากยากเย็นอะไรเลย แต่เรื่องที่ต้อง ’แต่ง’ ขึ้นมาเพื่อตอบเกี่ยวกับบุรุษผู้ ‘ใจดี’ ผู้นั้นนั้น หญิงสาวรู้สึกว่ามันยากแสนยากเสียจริง

“ตกลงผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แล้วเจ้าไปเจอเขาที่ไหน อย่างไร...บอกแม่มาให้หมด”

ร่างเล็กที่กำลังบีบนวดต้นขาของมารดาทำเสียงอิดออด พยายามชะแง้แลมองหา ‘ตัวช่วย’

“ไม่ต้องมองหาป้าเนราหรอก ป้าเขาออกไปตลาดสักพักแล้ว”

ศาศวัตราหน้าเหี่ยวในบัดดล รู้ได้เลยว่าวันนี้ถ้าเธอไม่ยอมตอบต่อข้อสงสัยของมารดาแล้ว ท่านคงจะไม่หยุดซักเป็นแน่

“ผู้ชายคนนั้นชื่ออัคค่ะ”

สุ้มเสียงของเธอดูเป็นกังวลเพราะไม่อยากจะแต่งเรื่องโกหกมารดาเลยแม้แต่น้อย แต่หากจำเป็นก็คงต้องจำใจทำ

...ก็เธอไม่อยากให้ท่านรู้ว่าตัวเธอเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับคณะทูตจากหฤษคีรีนี่นา...

“เขาไม่ใช่ชาวอาวันตีแต่เป็นชาวหฤษคีรี เขาตั้งใจจะมาเที่ยวพักผ่อนที่อาวันตีสักพัก...ศาบังเอิญไปพบเขาตอนที่กำลังจะกลับบ้านพอดี เขาคงเห็นว่าศาเป็นเด็ก เดินทางคนเดียวคงไม่ปลอดภัย เลยอาสามาส่ง”

ทันทีที่พูดจบคนตัวเล็กก็ถอนหายใจเฮือก แพขนตายาวหลุบต่ำเพราะผู้เป็นเจ้าของเอาแต่จับจ้องมองเพียงกระโปรงผ้าแพรยาวกรอมเท้าของผู้เป็นมารดา

“ดีนะที่เขาเป็นคนดี ถ้า...เป็นโจร หรือเป็นคนไม่ดีขึ้นมาจะทำอย่างไร”

“ไม่ต้องห่วงหรอกท่านแม่... ศาเอาตัวรอดได้”

ศิริรัตนาถอนหายใจบางเบา ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ

“เราเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ถึงจะเรียนศิลปะป้องกันตัวมาบ้าง ก็ใช่ว่าเราจะสู้ผู้ชายที่ตัวโตแถมยังแข็งแรงกว่าได้หรอกนะ”

“คราวหน้า...ศาจะระวังตัวกว่านี้”

เมื่อไม่อยากโต้เถียงกับมารดา หญิงสาวจึงจำใจรับฟัง และเสเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องกุหลาบที่กำลังชูช่อออกดอกในแปลงหลังบ้าน

“ศาว่าเราปลูกเพาะพันธ์กุหลาบขายดีไหมคะ เหมือนว่าดินแถวนี้จะปลูกกุหลาบได้ดี...”

แล้วหลังจากนั้นมารดาของเธอก็หันเหความสนใจไปยังเรื่องกุหลาบหลายหลายพันธ์ชนิด และดูจะไม่ติดใจสงสัยในเรื่องของเธออีก

ศาศวัตรานึกขอบคุณป้าเนราที่นำกุหลาบมาลงในแปลงหลังบ้านนับสิบต้น และดูแลจนมันออกดอกงดงาม รวมถึงเรื่องที่...ช่วยเธอในวันนี้ด้วย

ชั่วขณะหนึ่ง หญิงสาวไพล่นึกไปถึงนักรบทมิฬผู้นั้น...อยากรู้นักว่าชายผู้นั้นจะเดินทางไปถึงที่พักแรมแล้วหรือยัง เธอพอจะรู้ว่าเขามีฝีมือและดูจะเก่งกาจพอตัว ทว่า...ในป่าที่ไม่เคยคุ้นเช่นนั้น จะเก่งแค่ไหนก็หลงได้เหมือนกัน...

คิดมาถึงตรงนี้ ศาศวัตราก็หงุดหงิดขึ้นมาทันควัน เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลัง ‘ห่วง’ คนที่ไม่ควรห่วง ทำให้ตนเองรู้สึกเสียหน้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต...สุดท้ายสาวเจ้าจึงจัดการกับความเสียหน้าด้วยการ ‘แช่ง’ เสียเลย

...ขอให้เจ้าดำสลัดตกลงพื้นจนแข้งขาหักไปเลย!..

แต่ดูเหมือนจะไม่สาแก่ใจพอ เมื่อเจ้าตัวเสริมไปอีกด้วยว่า

...ถ้าจะให้ดีล่ะก็...ช่วยเตะก้นเจ้ายักษ์ให้ปลิวไปนอกโลกเลยนะ...เจ้าดำที่รัก!



หลังจากกระตุกบังเหียนพาเจ้าดำสุดที่รักของเจ้าตัวเปี๊ยกจากมาได้ชั่วครู่ใหญ่ หัวหน้าทหารหน่วยนักรบทมิฬก็จามติดๆกันถึงสามครั้งสามคราจนต้องดึงบังเหียนให้เจ้าดำผ่อนฝีเท้าลง ร่างสูงใหญ่ยกมือขยี้จมูกอย่างรำคาญใจ พร้อมกับไพล่นึกไปถึงใครบางคน และอดคิดไม่ได้ว่า

...หรือเขาจะติดหวัดมาจากเจ้าเปี๊ยก

อัคสันนิษฐานกับตัวเองอย่างขบขัน เพียงนึกถึงเจ้าตัวจ้อยที่ทำท่าทำทางราวกับเป็นผู้ใหญ่เสียเต็มประดา แถมยังไม่เคยคิดว่าตัวเองตัวเล็กเลยนั้น...รอยยิ้มบางๆก็ประดับบนริมฝีปากหยักลึก



เจ้าตัวเล็กแต่ใจไม่เล็กเท่า

เจ้านงเยาว์อาจหาญจนเกินหญิง

เจ้าดื้อรั้นแสนซนแก่นแก้วจริง

เจ้าเป็นหญิงหากเก่งกล้าไม่แพ้ชาย



นายทหารหนุ่มยกมือขึ้นแตะเบาๆบนรอยข่วนบริเวณแก้ม เพียงสัมผัสแผ่วเบาก็ต้องสะดุ้งเพราะความแสบ ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยกับความ ‘ร้าย’ ของเจ้าตัวเปี๊ยก แต่จะร้ายอย่างไรเจ้าตัวก็อดชื่นชมไม่ได้

ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอช่างใจใหญ่และกล้าหาญเหลือเกิน...เธอไม่แสดงความหวาดหวั่น กริ่งเกรง หรือกลัวกับการถูกล้อมอยู่ในวงของทหารของหฤษคีรีเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเธอกลับหยัดยืนมั่นคง แววตามุ่งมั่นพร้อมต่อสู้ต่อปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไม่ยอมถอยหนี

แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังเป็นเด็ก...เด็กที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมอันเลวร้ายของมนุษย์บนโลกใบนี้ได้หรอก

อัคเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามผ่านแมกไม้ใบบังเหนือศีรษะ ก่อนผ่อนลมหายใจยาวแล้วผิวปากเป็นท่วงทำนอง สั้น ยาว หนึ่งครั้ง

เพียงอึดใจชายชุดดำที่หลบซ่อนอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นก็ปรากฏกาย ทั้งสองเข้ามายืนสงบเสงี่ยมก้มหน้าอยู่ตรงหน้าเจ้าดำ...เป็นอย่างที่อัคคิดไว้จริงๆ ‘คนของเขา’ ไม่มีทางปล่อยให้เขาไปไหนมาไหนตามลำพังเป็นแน่แท้

“ขอบใจที่คอยตามดูแลเรา แต่พวกเจ้าก็รู้...ว่าเราดูแลตัวเองได้”

“กระผมไม่อยากประมาทขอรับ” หนึ่งในนั้นตอบด้วยสุ้มเสียงเคารพเป็นอย่างยิ่ง

อัคพยักหน้ารับรู้ แล้วเอ่ยขอบคุณอย่างไม่ถือตัว

“ขอบใจพวกเจ้ามาก” จากนั้นจึงออกคำสั่ง “เดี๋ยวข้าจะกลับไปที่พักแรม ส่วนพวกเจ้า...เข้าไปดูลาดเลาในเมืองให้หน่อยว่ามีอะไรผิดปกติบ้าง ที่สำคัญสืบประวัติเด็กคนนั้นมาให้ข้าด้วย”

“ขอรับ” เมื่อทั้งสองรับคำ ชายหนุ่มก็กระตุกบังเหียนพาเจ้าดำจากไป



ผ่านมาสองวันแล้วที่ศาศวัตราไม่ได้ข่าวคราวจากเจ้ายักษ์ตัวโตเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนเขาจะหายเข้ากลีบเมฆไปตั้งแต่วันที่พบกันวันแรก ...ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าขี้เก๊กพาเจ้าดำของเธอไปตกระกำลำบากที่ไหนบ้าง

มารดาของเธอเองก็เฝ้าถามทุกวันว่าเมื่อไหร่เขาจะเอาเจ้าดำมาคืนเสียที เธอเองก็ได้แต่ตอบว่าไม่รู้ ...อยากจะเข้าไปในเมือง ไปสืบหาเสียให้รู้เรื่องรู้ราว ก็ถูกอาจารย์สั่งห้าม

‘ข้าบอกเจ้าแล้วว่าให้ระวังตัว เกือบถูกจับได้แล้วไหมล่ะ’

อาจารย์ตำหนิเธอเล็กๆ พร้อมกับสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้ไปไหน หนำซ้ำยังบอกให้มารดาของเธอจับตาดูเธอให้ดีๆเสียด้วย

‘ช่วงนี้ข้ามีธุระต้องไปทำในเมือง คงไม่ได้มาสอนสักสองสามวัน ข้าอยากให้ท่านช่วยคุมประพฤติของเจ้าศาให้ด้วย ถ้าให้อยู่บ้านได้ทั้งวันยิ่งดี’

นั่นคือประโยคที่ทำให้เธอหน้างอง้ำเลยทีเดียว หากก็โต้เถียงอะไรไม่ได้ เพราะทั้งมารดาและอาจารย์ผู้เป็นที่รักพร้อมใจกันเห็นด้วยกับการ ‘กักตัว’ ไม่ให้เธอออกไปก่อเรื่องวุ่นวายที่ไหนเสียจริง

สองวันที่ผ่านมา...มารดาของเธออยู่กับบ้านและเอาแต่ถักเสื้อกันหนาวสำหรับหน้าหนาวปีนี้ทั้งวัน ส่วนป้าเนราก็ต้องไปขายผัก ผลไม้ในตลาดเพียงลำพัง ส่วนศาศวัตรานั้นได้แต่เดินวนเวียนไปมาในสวนหลังบ้าน ถ้าไม่รดน้ำผักผลไม้ ก็ทำความสะอาดเจ้าม้าอีกหนึ่งตัวในคอก หรือไม่ก็คอยดูแลกุหลาบที่เพิ่งลงปลูกในแปลง บางทีทำทุกอย่างจนหมดจนไม่รู้จะทำอะไรแล้ว เจ้าตัวก็เข้าห้องอ่านหนังสือ พอเบื่อก็ลุกมาทำความสะอาดห้อง จนล่วงเข้าวันที่สามหญิงสาวก็เบื่ออย่างจริงๆจังๆ

คราวนี้เจ้าตัวไม่คิดจะทำอย่างอื่นอีกแล้ว นอกจากครุ่นคิดหาทาง ‘หนี’ เข้าไปสืบข่าวคราวของคณะทูตของหฤษคีรีในเมืองให้จงได้

ทว่า...เหมือนโชคจะเข้าข้าง เมื่อใครบางคนมาเยือนถึงถิ่น ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาออกไปตามหาให้วุ่นวาย

ศาศวัตรากำลังก้มหน้าเดินไปเดินมาอยู่หน้าบ้านอย่างกลัดกลุ้ม ความคิดที่วิ่งวุ่นอยู่ในหัวทำให้เธอไม่ทันสังเกต...ไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ใครคนหนึ่งกำลังจูงเจ้าดำตรงมายังเธอ มารู้ตัวอีกอีก็ตอนได้ยินเสียงร้องอย่างยินดีของเจ้าม้าสุดที่รักนั่นแหละ

คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองทันควัน พร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง ก่อนรอยยิ้มกว้างขวางจะสว่างไสวบนวงหน้านวล หญิงสาวโผเข้าไปกอดเจ้าดำในทันใด ซุกซบใบหน้าบนแผงคอของมัน ก่อนลูบไล้อย่างรักใคร่

พักใหญ่ทีเดียวกว่าจะรู้ว่าตนเองนั้นอยู่ในสภาพที่เจ้ายักษ์...ไม่ควรเห็น

...ก็จะให้เห็นได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้เธอปล่อยผมยาวสยายถึงกลางหลัง ชุดที่สวมใส่ก็ไม่ใช่เสื้อดำ กางเกงดำแบบวันนั้น แต่เป็นชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีฟ้ายาวกรอมเท้า แขนทั้งสองยาวจรดข้อมือ ส่วนของต้นแขนพองนิดๆ แถมยังมีโบว์ประดับอยู่ตรงเอวด้านหลังของเธอด้วย

มารดาเคยบอกว่าชุดนี้น่ารักเหมาะสมกับเธอมาก แต่ศาศวัตรากลับเห็นว่า...ช่างน่าขันเสียมากกว่า

แล้วตอนนี้ศัตรูหมายเลขหนึ่งของเธอดันมาเห็นสภาพอันน่าอับอายของเธอเข้า

เฮ้อ!!!...ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนจริงๆซิน่า!

เมื่อไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เจ้าตัวจึงตัดสินใจซุกซบใบหน้าอยู่บนแผงคอเจ้าดำนี่แหละ!

“นี่...จะซบเจ้าดำอีกนานไหม ไม่คิดจะหันมาทักทายกันเลยรึไง เจ้าตัวเปี๊ยก”

“ข้าไม่ใช่เจ้าตัวเปี๊ยก” คนตัวเล็กตอบเสียงอู้อี้ ขณะยังกอดรัดเจ้าดำอยู่เช่นนั้น “ท่านจำผิดแล้ว”

“เอ...ข้าจำคนผิดอย่างนั้นหรือ สงสัยว่าคนที่ข้ารู้จักคงเป็นพี่ชายของเจ้ากระมัง”

ได้ยินเช่นนั้นศาศวัตราก็รีบพยักหน้าหงึกหงักในทันใด ...ภาวนาเหลือเกินให้เขาเข้าใจว่าคนที่เขาพบเจอในวันนั้นคือพี่ชายของเธอ แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากอีกฝ่าย เจ้าตัวก็รู้ชัดว่า...เจ้ายักษ์ไม่ยอมหลงกล!

และมันยิ่งทำให้เธออายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ทว่า...คนอย่างศาศวัตราไม่เคยขี้ขลาด หรือหลบลี้หนีหน้าจากสิ่งที่ต้องเผชิญ แม้สิ่งนั้นจะทำให้เธอเสียหน้า เสียศักดิ์ศรีและอับอายเพียงใดก็ตาม

เจ้าตัวเล็กตัดสินใจเงยหน้าจากแผงคอสวยๆของเจ้าดำในที่สุด ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่คนตัวโตด้วยความโมโห

“หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะ!”

“เจ้ามีสิทธิ์สั่งให้คนอื่นหยุดหัวเราะได้ด้วยหรือ” ถ้อยคำนั้นนอกจากจะ ‘กวนประสาท’ แล้วยังทำให้หญิงสาวแค้นหนักเป็นสองเท่าเลยทีเดียว

ตอนนี้อัคไม่ได้หัวเราะอีกต่อไปแล้ว หากเขากำลังมอง ‘สาวน้อย’ ตรงหน้าอย่างประหลาดใจ...ไม่คิดเลยว่าเจ้าตัวเปี๊ยกเวลาแต่งเป็นผู้หญิงแล้วจะ...จะเรียกว่าดูดีก็ไม่ถูกนัก เพราะถึงอย่างไรเธอก็ยังดูแก่นแก้วกะโปโลอยู่ดี

ถ้าจะพูดให้ถูก...น่าจะ ‘พอดูได้’ มากกว่า

ส่วนในสายตาของศาศวัตรานั้น เธอเห็นอัคกำลัง ‘เก๊ก’

ก็ดูเขาตอนนี้ซิ...ร่างสูงใหญ่ในชุดดำที่กำลังยืนกอดอก มองจ้องเขม็งมายังเธอด้วยแววตาที่แสดงความมีอำนาจเหนือกว่า...แทบจะข่มคนตัวเล็กๆอย่างเธอให้ตัวเล็กลงๆจนแทบจะเป็นจมดินอยู่แล้ว!

และคราวนี้คนตัวเล็กไม่วาย ‘ยืมมือ’ เจ้าดำม้าตัวโปรด

...เจ้าดำจ๋า คราวหน้าช่วยเตะก้นตายักษ์ให้กระเด็นไปถึงดวงจันทร์เลยนะ จะได้ไม่ต้องกลับมายืนเก๊กแบบนี้ให้ข้าเห็นอีก!

ก่อนที่สงครามย่อยๆจะเกิดขึ้น เสียงหวานนุ่มก็ดังลอยตามลมมา พร้อมเดียวกันนั้น ร่างโปร่งระหงในชุดกระโปรงสีม่วงก็ปรากฏกายขึ้นตรงประตูบ้านนั่นเอง

“ศา...ลูกทำอะไรอยู่ แม่ได้ยินเสียงใครแว่วๆ มีใครมาอย่างนั้นรึ”

พอจบประโยคนั้น หญิงวัยกลางคนที่ยังงามสง่าไม่แพ้เมื่อสิบปีก่อนก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นชายแปลกหน้ามาเยือน

“ข้าแวะมาคืนเจ้าดำ” ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายถาม อัคก็อธิบายอย่างกระชับ สั้น ได้ใจความ นอกจากนี้ยังเอ่ยถึงเรื่องที่ได้สัญญากันไว้เมื่อวันก่อนอีกด้วย

“แล้วก็...มาทวงสัญญาจาก...ตัวเปี๊ยกด้วยครับ”

ได้ยินเช่นนั้น ‘ตัวเปี๊ยก’ ถึงกับทำปากยื่นปากยาวพร้อมกับทำเสียง ฮึ! ในลำคอที่จนป่านนี้ชายหนุ่มก็ยังไม่รู้ความหมายของมันแม้แต่น้อย



ฤดูหนาวของอาวันตีกำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ ลมหนาวที่เมื่อก่อนจะพัดโชยเพียงยามเช้าตรู่และยามดึกสงัดนั้น บัดนี้แม้ในเวลาเกือบจะเที่ยงวันก็ยังสามารถสัมผัสความเย็นที่พัดผ่านผ้าฝ้ายเข้ามากระทบผิวกายได้ หากศาศวัตรานั้นชื่นชอบอากาศหนาวยิ่งนัก เธอจึงไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อคลุมทับอีกชั้นดังเช่นผู้เป็นมารดา

อดีตชายาศิริรัตนาทรุดกายลงนั่งบนโซฟาเบาะหนานุ่ม โดยไม่ลืมเชื้อเชิญชายหนุ่ม ‘ใจดี’ ให้นั่งเคียงข้าง ก่อนจะสั่งความให้ผู้เป็นลูกสาวนำน้ำมาต้อนรับ ศาศวัตรานั้นไม่อยาก ‘ต้อนรับ’ เขาเลยแม้แต่น้อย แต่คำสั่งของมารดา เธอเพิกเฉยไม่ได้ สุดท้ายจึงทำได้แต่ถอนหายใจเฮือก ก่อนจะเดินหายลับเข้าไปในครัว กลับมาอีกทีพร้อมถาดไม้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าในมือ มีเหยือกบรรจุน้ำใสเย็นอยู่ด้านบนพร้อมกับแก้วทรงเตี้ยสองแก้ว ส่วนอีกแก้วหนึ่งนั้นเป็นแก้วเซรามิคซึ่งบรรจุกาแฟขึ้นชื่อของอาวันตี...

ศาศวัตรา ‘ตั้งใจ’ มอบกาแฟ ‘พิเศษ’ ถ้วยนี้ให้กับชายหนุ่มผู้นั้น...หวังหมดใจว่าเขาจะดื่มด่ำความหอมและรสชาติอันแสนกลมกล่อมจนเก็บความประทับใจนี้ไว้อย่างไม่รู้ลืม

พลันที่ร่างเล็กก้าวพ้นประตูห้องนั่งเล่นเข้าไปด้านใน ภาพที่เห็นมารดากับตายักษ์คุยกันอย่างถูกคอทำให้เท้าทั้งสองของเธอชะงัก...ก็จะมีสักกี่คนเล่าที่ทำให้ท่านยิ้มได้ทั้งปากและตาแบบนี้ ถ้าไม่นับเธอ อาจารย์เซติ และป้าเนราแล้วล่ะก็...ศาศวัตราคิดว่าคงไม่มีใครดึงเอาความสุข ความสดใสที่ซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางความหม่นเศร้าในดวงตาของท่านออกมาได้

ทว่า...ตอนนี้เธอคงต้องเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว

“อ้าว ศา เหม่ออะไรอยู่ละลูก” เสียงของผู้เป็นมารดาทำให้หญิงสาวแทบสะดุ้ง หากก็ยังเก็บอาการของตนเองไว้ได้ทันท่วงที

...ก็เรื่องอะไรที่เธอจะแสดงให้เขาเห็นว่าเธอกำลังชื่นชมเขาอยู่เล่า...แม้จะเพียงเล็กน้อยก็เถอะ!

“ชงกาแฟมาให้อัคเขาด้วยหรือนี่...ดีจริง”

เวลาเพียงชั่วครู่เดียว คนขี้เก๊กกลับสามารถทำให้มารดาของเธอเรียกชื่อเขาอย่างสนิทสนมแบบนี้ได้...ช่างน่าเหลือเชื่อจริงเชียว!

“ศาแค่คิดว่าหนาวๆแบบนี้ ถ้าได้ดื่มกาแฟรสดีของอาวันตีเสียหน่อยคงดี” คนตัวเล็กเหลือบมองชายหนุ่มซึ่งกำลังโน้มตัวเข้ามาใกล้ถ้วยกาแฟที่เธอกำลังยกออกจากถาดด้วยแววตาหมั่นไส้นิดๆไม่ได้

“ไม่รู้เหมือนกันว่ากาแฟที่หฤษคีรีเป็นอย่างไร...แต่กาแฟที่นี่คงไม่น้อยหน้าเป็นแน่”

“กลิ่นหอมไม่แรงเท่าของหฤษคีรีครับ...ทางนู้นก็มักดื่มชา กาแฟตอนหน้าหนาวเหมือนกัน”

“เห็นว่าที่นู่นหนาวกว่าที่อาวันตีมาก ใช่ไหม”

คนถูกถามพยักหน้า แล้วเอ่ย

“มากพอดูครับท่านน้า ถ้าคนไม่ชอบอากาศหนาวไปอยู่ คงอยู่ไม่ได้ เพราะหนาวแทบจะตลอดปี”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ซักถามอะไรต่อ อัคจึงหันไปมองน้ำสีน้ำตาลเข้มในถ้วยเซรามิคลวดลายแปลกตา

“รสชาติน่าจะไม่ต่างกันมากกระมัง...ขอลองชิมสักนิดนะครับท่านน้า”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘ลองชิม’...ผู้ที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเล็กเยื้องไปทางซ้ายของผู้เป็นมารดาก็อมยิ้มน้อยๆ ซ่อนแววตาเต้นระริกของตนด้วยการหลุบสายตาลงต่ำ แพขนตายาวกระเพื่อมไหวนิดๆเหมือนกำลังรอคอยสิ่งที่ตนเองหมายมาดไว้ในใจ

เห็นดังนั้น คนที่กำลังเอื้อมมือหยิบกาแฟถ้วยนั้นพลันชะงักมือชั่วอึดใจ ลอบระบายลมหายใจบางเบา ก่อนตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาถือไว้

...เจ้าเปี๊ยกมันคงไม่ได้ใส่ยาพิษไว้หรอกน่า คงไม่เป็นไร...

เมื่อคิดว่า ‘ไม่เป็นไร’ คนตัวโตก็กระดกกาแฟถ้วยนั้นใส่ปาก แล้วรีบกลืนลงไปอึกหนึ่ง...เพียงเท่านั้น...ก็มากเกินพอแล้ว อัคไม่ปรารถนาจะหยิบมันขึ้นมาดื่มแม้อีกสักครั้งเดียว!

“เป็นอย่างไรบ้าง...ไม่ถูกปากหรือ”

คนถูกถามกระแอมกระไอเบาๆ ก่อนรีบโปรยยิ้ม แล้วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“รสชาติดีเหลือเกิน ท่านน้า” จากนั้นจึงแลเลยไปทางด้านหลัง เพื่อพบว่า ‘ตัวเปี๊ยกจอมแสบ’ กำลังจ้องมองมาอย่างงุนงง ...หนำซ้ำเขายังเห็นร่องรอยความผิดหวังในดวงตาคู่นั้นอีกด้วย

“เป็นรสชาติที่ข้าจะประทับใจไม่รู้ลืมเลยจริงๆ” ชายหนุ่มจงใจเน้นคำว่า ‘ประทับใจ’ อย่างชัดเจน ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยไปเสีย โดยบอกกับศิริรัตนาว่าต้องการทวงสัญญาเรื่องที่ศาศวัตราจะนำเที่ยว

“ท่านน้าคงไม่ว่าอะไรถ้าผมจะให้...” อัคเหลือบมองคนตัวเล็กที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่อึดใจ ก่อยเอ่ยต่อ "...ศาศวัตรานำเที่ยววันนี้“

คนที่ถูกเรียกเต็มยศสะดุ้งเล็กน้อย รู้สึกแปร่งแปลกในหัวใจพิกล

...ทำไมถึงรู้สึกอย่างนั้น...ไม่ต้องรอนานเจ้าตัวก็ตอบตัวเองเสร็จสรรพ

...คงเป็นแค่ความไม่เคยชินที่เจ้ายักษ์เรียกเธออย่างเป็นทางการเช่นนั้นกระมัง...

เมื่อได้คำตอบ เจ้าตัวก็หมดสิ้นความสนใจเพียงเท่านั้น เพราะสิ่งที่เธอกำลังสงสัย และอยากพิสูจน์ให้รู้แน่ชัดคือ ...กาแฟถ้วยนั้นมากกว่า

“ไม่ต้องเรียกน้องเต็มยศแบบนั้นก็ได้จ้ะ”

‘น้อง’ตีหน้าบึ้งทันควัน และอัคก็พอจะมองออกว่าเจ้าเปี๊ยกไม่อยากเป็นน้องของเขาสักเท่าไหร่หรอก

“เรียกว่าศาก็พอเถิด พ่อหนุ่ม”

“ไม่นะคะ ท่านแม่ ศาให้แค่ท่านแม่ ป้าเนรา และอาจารย์เรียกศาว่าศาได้เท่านั้นค่ะ คนอื่นห้ามเรียก!” ประโยคท้ายข่มขู่คนตัวโตเล็กน้อย แต่มีหรือที่อัคจะกลัว ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ไม่โต้เถียง หากยอมรับโดยดุษณี

“ถ้าอย่างนั้นจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไรล่ะ”

คนตัวเล็กอยากตอบว่า...ไม่ต้องเรียกอะไรทั้งนั้นแหละ ข้าไม่อยากเป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้อง หรือสนิทสนมอะไรกับเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว! หากความเกรงใจมารดาของตนจึงจำใจตอบเสียงห้วนไปว่า

“ศวัต”

“ได้...ต่อแต่นี้ไปข้าจะเรียกเจ้าว่าศวัต”

อัคไม่ได้บอกสิ่งที่อยู่ในใจตนเองว่า...เขาไม่อยากเรียกเธอว่าศวัต เพราะมันดูแข็งกระด้างสำหรับเธอมากไปหน่อย ที่เขาชอบคือ...ตัวเปี๊ยกต่างหาก...

“เรื่องไปเที่ยว น้าไม่ว่าหรอก ขอแค่อย่ากลับดึกเป็นพอ แต่น้าว่าไปเที่ยววันพรุ่งนี้ดีกว่า...ขอให้น้าได้บอกกล่าวกับอาจารย์ของยัยศาเสียก่อน ”

“ขอบคุณท่านน้ามากครับ ไว้พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่”

จากนั้นชายหนุ่มก็อยู่คุยเพียงชั่วครู่ ก่อนจะขอตัวลากลับ

“แล้วนี่จะกลับอย่างไรล่ะ” ศิริรัตนาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ด้วยเห็นว่าทางจากที่นี่ไปถึงประตูเมืองนั้นไกลพอสมควร

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ท่านน้า ข้านำม้ามาสองตัว”

อัคเอ่ยลาอีกครั้ง พร้อมกับดุ่มเดินออกมาจากบ้าน โดยมีศาศวัตราเดินตามออกมาด้วยเพราะถูกบังคับให้มาส่ง

“ข้าไปล่ะ ...พรุ่งนี้ค่อยพบกันใหม่” เขาเอ่ยเมื่อทั้งสองมาหยุดยืนอยู่หน้าประตู “ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ผิดสัญญา”

คนที่ถูกสบประมาทเชิดหน้า ตาวาวเลยทีเดียว

“ข้าไม่เคยผิดสัญญากับใคร!”

“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น” คนตัวโตยกมือลูบปลายคาง ก่อนแกล้งมองชุดหวานแหววที่เจ้าตัวสวมแล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

“ท่านหัวเราะข้าอีกแล้วนะ!” คนตัวเล็กชักมีน้ำโหอีกรอบ ...พาลทำให้ชายหนุ่มนึกสงสัยนักว่าวันวันหนึ่งเจ้าตัวเปี๊ยกของเขามีโมโหโทโสสักกี่รอบกัน ...เกินสิบรอบรึเปล่าก็ไม่รู้

“วางแผนเที่ยวดีๆล่ะ อย่าให้ข้าผิดหวัง” ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆพร้อมวางมือลงบนศีรษะทุบสวยที่ตอนนี้ผมดำขลับยาวสยายเต็มหลัง ขับไล้รูปหน้าละมุนให้อ่อนหวานยิ่งขึ้น

...อีกสามปี ‘ตัวเปี๊ยก’ คงกลายเป็น ‘กุหลาบ’ แสนงามเสียแล้ว...

จู่ๆคนตัวโตก็นึกอยากให้เจ้าตัวจ้อยเป็นเพียงสาวน้อยกะโปโลแบบนี้จนกว่าจะถึงวันที่ได้พบกันอีกครั้งเสียอย่างนั้น...จะด้วยเหตุผลกลใด เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

มือใหญ่ที่ขยี้ศีรษะของอีกฝ่ายซึ่งกำลังตีเขาเป็นพัลวันนั้นผ่อนแรงลงกลายเป็นเพียงลูบไล้อย่างแผ่วเบา..เมื่อเป็นเช่นนั้นมือเล็กที่กำลังจะกระชากมือของเขาออกก็ชะงักอยู่กลางอากาศ

...สัมผัสอ่อนโยน ทำให้ใจดวงน้อยเต้นผิดแผกไป...

...แปลกเหลือเกิน โลกทั้งใบเหมือนหยุดนิ่ง เวลาหยุดหมุน แต่ทำไมหัวใจเราถึงได้เต้นเร็วนักก็ไม่รู้...

คำถามนั้น ศาศวัตราหาคำตอบไม่ได้ แม้เมื่ออีกฝ่ายโบกมือลาและควบม้าจากไปแล้ว เธอยังคงยืนนิ่งค้นหาคำตอบอยู่นั่นเอง จวบจนกระทั่งได้ยินเสียงมารดาเรียกนั่นละ เจ้าตัวถึงเรียกสติกลับคืนมาแล้วหมุนตัวหันหลังกลับเข้าไปในบ้าน

“ทำอะไรอยู่ตั้งนานสองนาน แม่ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าวิ่งออกไปตั้งนานแล้ว”

“แค่...คิดอะไรเพลินๆเท่านั้นค่ะ”

เจ้าตัวตอบสั้นๆ สลัดความฟุ้งซ่าน วุ่นวายใจของตนเองออกไป ก่อนจะก้มเก็บกาแฟถ้วยนั้นที่ยังเหลือเกือบครึ่งเพื่อนำไปล้าง ร่างเล็กดุ่มเดินกลับเข้าไปในครัว วางกาแฟเจ้าปัญหาข้างๆอ่างล้างมือ แล้วมองจ้องมันด้วยแววตาคุร่นคิด

ในที่สุดหญิงสาวก็อดใจไม่ไหว ยกมันขึ้นมาจิบเพียงนิด ผลที่ได้คือ...เจ้าตัวหลับตาแน่นสนิท คิ้วขมวดเข้าหากันจนแทบเป็นปม ใบหน้าก็เหยเกราวกับคนกำลังร้องไห้ ร่างกายก็สั่นเทาราวกับอยู่ท่ามกลางหิมะโดยที่ไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่แม้สักชิ้น!

“อี๋!!..เค็มชะมัด!!”

ศาศวัตรารีบล้างปากตัวเองทันควัน พร้อมกับความอาฆาตแค้นที่ก่อตัวขึ้นมาอีกระลอก

ตอนที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาจากอ่างล้างมือในห้องครัว ใบหน้าของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำ ชุดงามที่สวมอยู่ก็เปียกไม่แพ้กัน หากเจ้าตัวหาได้สนใจไม่

สิ่งที่เธอสนใจตอนนี้มีเพียงแค่...ตายักษ์ขี้เก๊ก ขี้แกล้ง ขี้โกหกเท่านั้น!

...พรุ่งนี้เธอจะแก้เผ็ดให้ได้ คอยดูเถอะ!...




ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ม.ค. 2556, 07:05:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ม.ค. 2556, 07:05:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 2669





<< บทที่ 2   บทที่ 5+บทที่ 6 >>
ศศิภา 22 ม.ค. 2556, 07:08:09 น.

แว่นใส : พระเอกรู้แล้วค่ะ

โซดา : ดีใจที่ชอบค่าา

บทที่ 5+6 เจอกันวันพรุ่งนี้ค่า


คิมหันตุ์ 22 ม.ค. 2556, 07:38:58 น.
รอค่ะ


โซดา 22 ม.ค. 2556, 08:50:52 น.
มารายงานตัวแล้วจร้า อ่านไปยิ้มไป อิอิ


angelK 22 ม.ค. 2556, 09:30:59 น.
คู่พระ-นาง น่ารักจังค่ะ รออ่านตอนต่อไป


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account