หทัยรักบรรณาการ{สนพ.เดซี่ตีพิมพ์}

Tags: เจ้าหญิง,เจ้าชาย

ตอน: บทที่ 5+บทที่ 6

มาอัพต่อแล้วค่า ใครรออ่านอยู่บ้างเอ่ย :)
(เนื้อเรื่องต่างจากฉบับเก่าตั้งแต่บทหน้าเป็นต้นไปนะคะ ฉบับรีไรต์นี้ดราม่าเล็กน้อย ^^)

ขอบคุณคุณคิมหันตุ์ , คุณโซดา และคุณ angelK ที่ติดตามค่ะ ^___^

---------------------------------------------------------

รุ่งเช้าวันต่อมา ลมหนาวที่พัดกรูผ่านหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้เล็กน้อย ไม่ได้ทำให้ผู้เป็นเจ้าของห้องอยากจะซุกกายอยู่ใต้ผ้าห่มผืนโตและอยากจะนอนหลับใหลต่อแต่อย่างใด ตรงกันข้าม...ศาศวัตรากลับกระตือรืนร้น กระปรี้กระเปร่า รื่นเริงบันเทิงใจ....หรืออะไรก็แล้วแต่ที่หมายถึงความ ‘เปี่ยมสุข’ ...มันปรากฏอยู่บนรอยยิ้มและในแววตาสุกสกาวของเจ้าตัวอย่างปิดไม่มิด

จริงอยู่...เธออาจจะไม่ชอบขี้หน้าเจ้ายักษ์ขี้เก๊กสักเท่าไหร่ แต่การจะได้ไปเที่ยวหลังจากจับเจ่าอยู่แต่ในบ้านมาตลอดสามวัน ทำให้เธอพอจะทำลืมๆไปได้บ้างว่า ‘เพื่อนเที่ยว’ ในวันนี้เป็นใคร

...ก็คิดซะว่าไปเที่ยวกับเจ้าดำเท่านั้นก็พอ เนอะ!...

ร่างเล็กหันไปพยักเพยิดกับม้าสุดที่รัก ขณะที่ผู้เป็นมารดาซึ่งยืนอยู่เคียงข้าง ค่อยๆคลี่คลุมผ้าคลุมที่ตนเองถักเองกับมือลงบนไหล่บาง

“หนาวๆแบบนี้ไปรอข้างในไม่ดีกว่าหรือ”

คนตัวเล็กสั่นศีรษะดิก

“ศาไม่หนาวเท่าไหร่...ยืนรอตรงนี้ได้ค่ะท่านแม่”

ศิริรัตนารู้ว่าบุตรสาวของตนนั้นดื้อรั้นเพียงใด จึงปล่อยเลยตามเลยไม่เซ้าซี้

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้า” ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ”...ระวังตัวดีๆนะศา อย่าไปเที่ยวเถลไถลไกลนัก”

ได้ยินคำนี้แล้ว ศาศวัตราก็นึกถึงอาจารย์เซติที่แวะมาหาเธอกับมารดาของเธอเมื่อเย็นวาน หลังจากพูดคุยรับฟังเรื่องราวของคำสัญญา ‘บ้าๆ’ ของเธอแล้ว หญิงสาวคิดว่าท่านคงไม่อนุญาตเป็นแน่แท้ หากคำตอบที่ได้รับคือ

‘ไปเถอะ ข้าอนุญาต...พรุ่งนี้จะเป็นเพียงวันเดียวที่เจ้าเถลไถลได้นะ ศาศวัตรา’

ศาศวัตราแทบจะกระโดดกอดผู้เป็นอาจารย์ด้วยความดีใจ ...ก็ครั้งนี้จะเป็นการเที่ยวที่อิสระที่สุดตั้งแต่เกิดมา ไม่ต้องมีป้าเนรามาเป็นเพื่อน ไม่ต้องมีอาจารย์มาคอยคุม หรือแม้แต่ไม่ต้องมี ‘ท่านพี่ธร’ มาคอยห้ามปรามไม่ให้ทำโน่นทำนี่...

ครั้งนี้เธอจะทำทุกอย่างที่ต้องการ และจะไปในทุกที่ที่ถูกห้าม...หากเจ้ายักษ์อยากจะห้ามก็ห้ามไป เธอไม่มีทางทำตามอยู่แล้วนี่นะ

...แต่ถึงอย่างไรหญิงสาวก็มั่นอกมั่นใจเป็นนักหนาว่าการเที่ยวครั้งนี้จะไม่มีคำห้ามนู่นห้ามนี่แม้แต่คำเดียว...ก็เจ้ายักษ์คงอยากรู้อยากเห็นและอยากเปิดหูเปิดตาเหมือนกับเธอนั่นแหละ!

ที่สำคัญอาจารย์เซติย้ำนักย้ำหนาเรื่อง...ความต้องการที่แท้จริงของนักรบทมิฬผู้นั้น

‘เราไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นต้องการหรือหวังสิ่งใดจากเราในภายภาคหน้าหรือไม่ ดังนั้นเจ้าต้องคิดให้มากว่าสถานที่ไหนควรพาเขาไปและสถานที่ไหนที่ไม่ควร’

โธ่...เรื่องแค่นี้ เธอคิดออกอยู่แล้วน่าว่าจะพาตาขี้เก๊กไปที่ไหน

คราวนี้ล่ะ...จากขี้เก๊กอาจจะกลายเป็นตาบ้าลามกไปเสียก็ได้ใครจะรู้!

ศาศวัตราตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงมารดาดังอยู่ข้างหู

“สงสัยจะมาแล้วกระมัง” สิ้นเสียงนั้นก็ปรากฏร่างบุรุษสูงใหญ่ราวยักษ์กำลังควบขับอาชาขาวปลอดมุ่งตรงมาทางเธอ

“มาตรงเวลาดีจริง”

ตรงเวลาที่ว่าคือ...ยามดวงตะวันแตะเส้นขอบฟ้าตามที่ชายหนุ่มส่งคนมาบอกเมื่อค่ำวานนี้นี่เอง

คนตัวโตควบอาชาสูงใหญ่ด้วยท่าทางงามสง่าจนคนที่ไม่ค่อยชื่นชมใครอดชื่นชมในใจไม่ได้...ตั้งแต่จำความได้ ศาศวัตราไม่เคยเห็นใครที่มีสง่าราศี และดูทรงอำนาจยามอยู่บนหลังอาชาสูงใหญ่เช่นนี้มาก่อน

เขาคือคนแรกที่เธอชื่นชม...และชื่นชมอย่างจริงใจเสียด้วย

วันนี้นายทหารหน่วยนักรบทมิฬยังคงสวมชุดสีดำทั้งชุด ราวกับว่าสีนี้เป็นสีโปรด หรือไม่ก็เป็นสีประจำตัวเขาอย่างไรอย่างนั้น ส่วนเธอน่ะหรือ...ไม่ได้สวมชุดกระโปรงน่ารักราวตุ๊กตาแบบในวันนั้นหรอก แต่เป็นเสื้อแขนยาว กางเกงขายาวรัดข้อเท้าสีน้ำตาล ส่วนผมถูกรวบไว้กลางหลังแล้วคลุมทับด้วยผ้าสีเดียวกัน

เธอไม่ใช่สาวน้อยที่ถูกหัวเราะเยาะเมื่อวาน แต่เป็นหนุ่มน้อยที่พร้อมจะต่อกรเขาได้ทุกเมื่อต่างหาก!

“สวัสดีครับ ท่านน้า” ชายหนุ่มกระโดดลงจากหลังม้า กำมือขวาแล้วทุบลงบนอกด้านซ้ายตามแบบฉบับของอาวันตี จากนั้นจึงโปรยยิ้มกว้างหนำซ้ำยังเผื่อแผ่มายังเธอด้วย

“ข้ามารับ...”

เจ้าตัวลังเล...ละม้ายไม่แน่ใจนักว่าจะเรียกเจ้าตัวเล็กเช่นไรดี...จะเรียกตัวเปี๊ยกก็จะเป็นการไม่สุภาพต่อหน้ามารดาของหญิงสาว

หากจะเรียกศา...ก็รู้สึกขัดๆเขินๆอย่างไรพิกล

สุดท้ายจึงเลือกที่จะเรียกคนตรงหน้าตามที่เจ้าตัวต้องการ

“มารับ...ศวัตไปเที่ยวตามสัญญา”

ศาศวัตราเบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนลืมตัวค้อนควั่กกลางอากาศ...พูดราวกับว่าตัวเองเป็นคนสัญญาจะพาเที่ยวอย่างไรอย่างนั้น!

“อย่าพาน้องกลับดึกล่ะ”

มารดาของเธอเอ่ยก่อนที่ทั้งสองจะพากันควบขับม้าจากไป ศาศวัตราอยากหันไปตะโกนบอกท่านเหลือเกินว่าเธอไม่ได้เป็นน้องของตายักษ์...และไม่อยากเป็นด้วย!

ร้อยไม่อยาก พันไม่อยาก ชาตินี้ไม่อยาก ชาติหน้าหรือชาติไหนๆก็ไม่อยากทั้งนั้น!

ศาศวัตราทำเสียงขัดใจในลำคอ พร้อมกับกระตุกบังเหียนและสั่งให้เจ้าดำเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะได้ ‘นำ’ ใครคนนั้น...แม้จะเป็นเพียงก้าวเดียว...เจ้าตัวก็เหมือนจะพอใจจนความหงุดหงิดในหัวใจบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง



ศาศวัตราควบขับม้าทะยานไปเบื้องหน้าโดยไม่รีรอใดๆอีกต่อไป หญิงสาวไม่เอ่ยถามคนตามเลยด้วยซ้ำว่าอยากไปเที่ยวที่ไหนเป็นที่แรก หากกลับนำชายหนุ่มตรงไปยังกำแพงเมืองด้านตะวันตก ณ ที่ซึ่งเป็นที่รวมตัวกันของพ่อค้า แม่ค้าทั้งหลาย ...ตลาดแห่งนี้ไม่ใช่ตลาดกลางเมือง เป็นเพียงตลาดเล็กๆที่ขายของราคาถูกสำหรับชาวบ้านเดินดินธรรมดาๆเท่านั้น

เธอเคยไปตลาดกลางเมืองมาแล้วกับป้าเนรา ที่นั่นราคาของแพงกว่าที่นี่เป็นเท่าตัวเลยทีเดียว ทั้งที่ของแทบทุกอย่างไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว

ร่างเล็กสั่งให้เจ้าดำหยุดก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้า แล้วนำมันไปฝากในคอกที่รับฝากม้านานาชนิด เด็กหนุ่มเฝ้าร้านก้มศีรษะทักทายก่อนเอื้อมมือไปรับบังเหียนจากลูกค้ามาถือไว้อย่างนอบน้อม ก่อนจะทำแบบเดียวกันกับคนที่เพิ่งเดินมาถึง

เมื่อฝากเจ้าดำ เจ้าขาวเรียบร้อยแล้ว ศาศวัตราก็กวักมือให้คนข้างหลังรีบเดินตามตนเอง เมื่ออัคเร่งฝีเท้าจนมายืนเคียงคู่กัน สิ่งแรกที่เขาเอ่ยปากคือ

“ตกลงว่าเจ้าพาข้ามาเที่ยว หรืออยากมาเที่ยวเองกันแน่ ฮึ...ตัวเปี๊ยก”

“ข้าบอกให้เรียกข้าว่าศวัตไง...ศวัตน่ะ ศะ-วัต”

เจ้าตัวยกมือกอดอก และเน้นทีละคำอย่างชัดเจน ขณะที่คนตัวโตทำเพียงเลิกคิ้วน้อยๆ ทำท่าทางเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างหากกลับเปลี่ยนใจหันไปสนใจลูกแอปเปิ้ลเขียวผลโตเท่ากำปั้น แบบที่ไม่ค่อยพบเห็นในหฤษคีรีมากนัก

“ข้ารู้สึกว่าที่อาวันตีปลูกผลไม้ได้ดีนักแถมยังอร่อยกว่าที่หฤษคีรีอีกด้วย”

คนที่กำลังหงุดหงิดกับคำว่าตัวเปี๊ยกยิ่งขมวดคิ้วจนแทบเป็นปม ร่างเล็กปราดเข้ามายืนประชิดติดตัวคนตัวโต ก่อนจะฉวยลูกแอปเปิ้ลในมือเขากลับไปวางไว้ที่เดิม เท่านั้นยังไม่พอ เธอยังถือวิสาสะคว้าหมับเข้าที่มือใหญ่โดยไม่บอกกล่าว แล้วลากเขาออกมาให้พ้นๆร้ายขายผลไม้ร้านนั้นก่อนเอ่ยเร็วรี่

“ที่แม่ค้าเขาเอามาขายก็แค่เป็นผลไม้ที่คัดมาเป็นอย่างดีแล้ว ส่วนใหญ่ผลไม้ของที่นี่ก็ไม่ได้อร่อยหรือเลอเลิศไปกว่าของหฤษคีรีหรอก...ข้าเคยได้ยินมาว่าที่หฤษคีรีน่ะ อะไรๆก็ดีไปเสียหมด ทั้งเรือกสวนไร่นาที่ช่างอุดมสมบูรณ์ เหมืองเพชรนับสิบ แถมพลอยของหฤษคีรีก็มีชื่อเสียงกว่ารัฐไหนๆในแถบนี้อีกด้วย...เทียบกับอาวันตีแล้ว ข้าเห็นว่าที่นี่ไม่มีอะไรดีเทียบหฤษคีรีเลยจริงๆ”

ศาศวัตราพยายามใช้คำพูดชี้ให้อีกฝ่ายเห็นว่าอาวันตี ‘ไม่มีอะไร’ ดีพอให้หฤษคีรีสนใจเลยแม้แต่น้อย

อัคเอง...แม้จะรู้ว่าเธอพยายามยัดเยียดอะไรให้เขา หากเขาไม่ได้ถกเถียงอะไรกลับไป แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เจ้าตัวเล็กเอ่ยนั้นไม่ใช่ความจริงทั้งหมดเสียทีเดียว...เท่าที่เขารู้ พืชผักผลไม้ของอาวันตีเจริญเติบโตงอกงามเร็ว แถมยังกรอบ หอม อร่อย ผิดกับทางหฤษคีรีที่รสชาติไม่ได้โดดเด่นอะไรเลย...ก็ถ้าพูดถึงเรื่องอู่ข้าวอู่น้ำแล้ว อาวันตีมีอย่างเหลือเฟือ ขณะที่หฤษคีรีเรียกได้ว่าค่อนข้างขาดแคลนเลยทีเดียว

มือเล็กบางของศาศวัตราในตอนนี้เลื่อนไปกำรอบนิ้วโป้งของเขาแล้ว อาจเป็นเพราะการทำเช่นนี้สะดวกกว่าการเกาะกุมมือใหญ่ยักษ์ของเขาก็ได้กระมัง ดวงตาสีดำสนิททอดมองนิ้วเรียวเล็กก่อนเลื่อนไปยังแผ่นหลังบาง จนมาหยุดอยู่ตรงท้ายทอยซึ่งมีไรผมตกลงมาประปราย...

ดวงตาสีดำสนิทที่จับจ้องมองมานั้นมีแววชื่นชมอย่างปิดไม่ปิด...เขารู้ดีว่าศาศวัตรายังเด็ก บางครั้งก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้ดีมากพอ หากถึงกระนั้นเขาก็ยกย่องเธอในเรื่องความฉลาด ‘แบบเด็กๆ’ และความรักในแผ่นดินเกิดของตนเอง

เธอทำทุกอย่างได้เพื่อแผ่นดิน แม้ว่าราชาทิวากาล...เจ้าหลวงผู้ปกครองผืนแผ่นดินอาวันตีและเป็นบิดาของเธอจะทอดทิ้งเธอตั้งแต่เธอยังไม่เกิดก็ตาม

...ประวัติที่เขาให้คนสืบมาให้บอกชัด...อดีตชายากับลูกน้อยอยู่อาศัยเพียงลำพังกับคนสนิทอีกหนึ่งคนในบ้านหลังเล็กและเก่าคร่ำ

ศาศวัตราคง ‘โหยหา’ บิดามาก หากเธอกลับเก็บกดมันไว้ในหัวใจอย่างมิดเม้น

ผู้หญิงที่มีหัวใจแข็งแกร่งเช่นนี้ เหมาะที่จะเป็น ‘ชายา’ ‘รานี’ หรือ ‘ราชินี’ ของใครสักคนที่คู่ควร...

อัคไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังเหม่อมองเจ้าตัวเล็กอย่างเผลอตัว ถึงขนาดไม่ทันได้ระวังเมื่ออีกฝ่ายหยุดเดินแล้วหันขวับกลับมาเร็วรี่ ผลก็คือ ร่างเล็กชนเข้ากับแผ่นอกกว้างของคนที่เดินตามเข้าอย่างจัง

ศาศวัตราเกือบกระเด็นหงายหลังแล้วถ้าไม่ใช่เพราะอ้อมแขนแข็งแรงตวัดรัดไว้อย่างทันท่วงที ตอนนี้เธอจึงอิงแอบแนบซบอกกำยำ กรุ่นกลิ่นหอมดอกกุหลาบโชยมาทำให้เธอต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัย

...ก็ทำไมผู้ชายตัวโตอย่างเขาถึงมีกลิ่นกายดังกุหลาบแบบที่สตรีชอบใช้เล่า...

...อย่าบอกนะ...ว่า...

หญิงสาวก็เงยหน้ามองไรเขียวครึ้มตามแนวกราม ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปมองสบดวงตาสีดำสนิทกึ่งดุดันระคนอ่อนโยนคู่นั้น แล้วอ้าปากค้าง

“ท่านรักชอบผู้ชายอย่างนั้นหรือ”

ก่อนที่จะทันห้ามตัวเอง เจ้าตัวก็โพล่งถามออกไปอย่างไม่ทันยั้งคิด บังเกิดความเงียบอยู่ชั่วขณะหนึ่งกว่าคนถูกถามจะโพล่งเสียงหัวเราะออกมาดังก้องอย่างขบขัน

“อยากลองพิสูจน์ดูไหมล่ะ ตัวเปี๊ยก” ใช่เพียงพูด เจ้าตัวยังกอดรัดเธอแน่นขึ้น แถมยังโน้มหน้าลงมาหาอีก ศาศวัตราไม่รู้หรอกว่าเขาคิดจะทำอะไร หากที่แน่ๆคือ...สิ่งนั้นต้องไม่ปลอดภัยกับตัวเธอเป็นแน่แท้

ในวินานั้นเองร่างเล็กก็สะบัดตัวหลุดจากอ้อมกอดของเขา แล้วตะโกนด่าอย่างไม่ไว้หน้า

“ตายักษ์ลามก!”

เสียงของเธอสะท้อนก้องไปทั้งตลาด ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างพร้อมใจหันมามองเธอเป็นตาเดียว ขณะที่คนถูกว่าไม่สะทกสะท้าน หัวเราะลั่นราวกับขำเสียเต็มประดา

“ขำอะไร! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

เมื่อไม่ได้ดั่งใจ เจ้าตัวจึงกระโจนเข้าไปทุบตีร่างใหญ่ยักษ์รัวเร็วอุคยกมือปัดป้องเป็นพัลวัน ก่อนเอ่ยปนเสียงหัวเราะว่า

“เดี๋ยวก่อนตัวเปี๊ยก หยุดทำร้ายข้าเสียที...เจ้าเห็นไหมว่าคนอื่นๆมองเจ้ากับข้าด้วยสายตาประหลาด”

ประโยคนั้นทำให้คนที่กำลังหน้ามืดตามัวเพราะความโกรธหยุดการประทุษร้ายไว้ได้ หญิงสาวกวาดตามองโดยรอบและเห็นจริงตามที่เขาพูด จึงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

“ทำไมล่ะ”

“เขาคงคิดว่าเจ้ากับข้าเป็นพวก...” ชายหนุ่มละไว้เพียงแค่นั้น ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกเมื่อเห็นคนตรงหน้าก้มมองตัวเองอยู่อึกใจ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำด้วยโทสะ

“มองอะไรกัน ฮะ! ไม่เคยเห็นคนรึไง”

แล้วคนตัวเล็กก็ดุ่มเดินต่อไป ทีแรกอัคคิดว่าหญิงสาวจะอับอายจนรีบกลับแทบไม่ทัน แต่เขาคงลืมไปว่าศาศวัตราเป็นประเภทไม่ยอมหลีกลี้หนีหน้า เธอพร้อมเผชิญปัญหาทุกอย่างแม้ปัญหานั้นจะหมายถึงความเสียหน้าหรือเสียศักดิ์ศรีก็ตาม

“เดินช้าๆหน่อย ตัวเปี๊ยก...เดี๋ยวก็สะดุดหกล้มไปเท่านั้น” ยังไม่ทันขาดคำ คนตรงหน้าก็แทบล้มคะมำหน้าคว่ำกับพื้นดินเฉอะแฉะเสียแล้ว และก็อีกตามเคยคนตัวโตรวมเอวเธอไว้ได้ทันการณ์ ศาศวัตราไม่เสียเวลาขอบคุณหรือหันมามองเขาเลยแม้แต่น้อย เธอสะบัดตัวออกจากแขนของเขาแล้วเดินหน้าต่อไป

“เจ้ารีบไปไหนนักหนา”

“จะรีบไปซื้อคันธนูน่ะซิ รีบซื้อจะได้รีบไป...ข้าไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของใครๆ”

ได้ยินแล้ว อัคก็หัวเราะเบาๆในลำคอ ถึงกระนั้นคนที่เดินนำลิ่วๆก็ยังได้ยิน เจ้าตัวหันมาตวาดใส่เขาว่า

“ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาทะเลาะกับท่าน เพราะฉะนั้นหยุดขำข้าเสียที...ไม่อย่างนั้นข้าจะหันไปชกหน้าท่านจนเลือดกบปากเลย คอยดู!”

ไม่ใช่เพราะกลัวคำขู่หรอก...หากกลัวว่าเจ้าตัวเปี๊ยกจะโกรธต่างหาก อัครีบเม้มปากแน่น ไม่ปล่อยให้เสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูเล็ดลอดออกไปแม้แต่น้อย

พร้อมกันนั้นเขาก็นึกสงสัยเป็นนักหนาว่าเหตุใดตนเองจึง...ถูกชะตากับเจ้าตัวเล็กนัก...แถมยังเหมือนจะ ‘ถูกใจ’ เสียด้วยกระมัง

...ก็จะมีผู้หญิงที่ไหนบ้างเล่าที่กล้าข่มขู่เขาว่าจะชกเขาเลือดกบปากน่ะ

แบบนี้นี่ล่ะ...ถึงทำให้เขา ‘ถูกตาต้องใจ’



หลังจากศาศวัตราเลือกคันธนูเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็เร่งฝีเท้ากลับมาทางเดิม ตรงไปยังคอกม้าที่ฝากเจ้าดำ กับเจ้าขาวไว้...คนตัวเล็กเอื้อมมือไปรับบังเหียนม้าจากเด็กหนุ่มก่อนจะหันไปทำปากบุ้ยใบ้กับคนข้างหลังที่เมื่อได้เจ้าขาวแล้วทำท่าว่าจะเดินจากไป

“อะไร”

ชายหนุ่มพอจะรู้ว่าเจ้าตัวเปี๊ยกต้องการสิ่งใด หากเจ้าตัวแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้

“โธ่เอ๊ย!...จ่ายซิ! ข้าอุตส่าห์พาท่านมาเที่ยวนะ...จะต้องให้ข้าเลี้ยงท่านด้วยเรอะ!”

คนตัวโตอยากเถียงกลับไปเหลือเกินว่า...แบบนี้ไม่เรียกว่าพาเที่ยวหรอก น่าจะเรียกว่าถูกลากไปนู่นนี่ตามอำเภอใจของคน ‘อยาก’ เที่ยวมากกว่า!

“อย่าบอกนะว่าไม่ได้พกอัฐติดตัวมาสักแดง” เจ้าตัวเล็กค่อนแคะ “ทหารอย่างท่านคงไม่คิดเอาเปรียบเด็กแบบข้าหรอกกระมัง”

แถมท้ายด้วยถ้อยคำเหน็บแนมเล็กๆ ชวนให้คนฟังได้แต่ส่ายศีรษะ ยอมควักเงินจ่ายค่าดูแลทั้งเจ้าดำและเจ้าขาวแต่โดยดี

“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเช่นไรกัน” เมื่อจ่ายเสร็จสรรพ กำลังจะจูงม้าออกมาจากคอก ชายหนุ่มก็เอ่ยถาม “คิดว่าข้าชอบเอาเปรียบเด็กหรืออย่างไร”

“ใครจะไปรู้” ศาศวัตรายักไหล่ “ข้าไม่ได้รู้จักท่านเป็นการส่วนตัว...ไม่ได้รู้จักไปถึง...”

เจ้าตัวเอี้ยวตัวไปทางเขา แล้วยกนิ้วชี้จิ้มลงไปตรงหน้าอกข้างซ้ายสองครั้งก่อนเอ่ยต่อ

“หัวใจที่แท้จริงของท่านว่าเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น...ข้าย่อมต้องคิดถึงท่านในทางร้ายไว้ก่อนน่ะซิ”

ร่างเล็กลดมือลง ทำท่าว่าจะเร่งฝีเท้านำหน้าคนเดินตามหลัง หากประโยคถัดมาของเขากลับทำให้เท้าทั้งสองของเธอหยุดชะงักทันควัน

“แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะคิดถึงข้าในทางที่ดีบ้างล่ะ ตัวเปี๊ยก”

“ชาติหน้าเถอะ!” หญิงสาวหันขวับมาแลบลิ้นใส่คนข้างหลัง แล้วรีบกระโดดขึ้นควบเจ้าดำ ทำเป็นหูทวนลมไปเสียเมื่อได้ยินอีกฝ่ายตะโกนตามหลังมา

“เอาเถิด...จะคิดถึงในทางที่ดีหรือร้าย...ขอแค่คิดถึงข้าบ้างก็ยังดี”

ไม่รู้ตายักษ์ขี้เก๊กต้องการสื่ออะไร ...ศาศวัตราไม่ค่อยเข้าใจนัก เธอขมวดคิ้วงุนงงขณะกระตุกบังเหียนพาเจ้าดำออกสู่ถนนซึ่งมุ่งสู่ทิศใต้ของตัวเมือง

...น่าแปลกที่แม้จะไม่เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ แต่หัวใจเธอละม้ายเข้าใจเป็นอย่างดี เมื่อมันเต้นรัวเร็วตอบรับถ้อยคำนั้นราวกับยินดีเป็นนักหนา...

...ไอ้หัวใจบ้า!

เมื่อไม่รู้จะจัดการกับความแปร่งแปลกของหัวใจตนเองอย่างไร เจ้าตัวจึงก่นด่าเสียเลย หากนั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก มันยังคงเต้นแรง กระทั่งเธอพาเจ้าดำมาถึงจุดหมายปลายทาง



เสียงโห่ร้องที่ดังกึกก้องทำให้คนที่ควบเจ้าขาวตามมาติดๆมองกำแพงสูงท่วมศีรษะอย่างนึกสงสัย ฝ่ายศาศวัตรานั้นนำเจ้าดำไปฝากที่คอกม้าไม่ห่างจากประตูทางเข้ามากนัก ก่อนจะหันมากวักมือเรียกอัคให้เดินตาม

“เจ้าพาข้ามาที่ไหน”

“เดี๋ยวก็รู้” คนตัวเล็กไม่เสียเวลาอธิบาย หญิงสาวเดินนำเขาผ่านประตูใหญ่เข้าไปด้านใน ทันทีที่โผล่พ้นประตูชายหนุ่มก็มองเห็นผู้คนจำนวนมากนั่งเรียงรายกันอยู่บนอัฒจันทร์ล้อมรอบสนามดินที่ถูกขีดเส้นแบ่งเป็นช่องๆประมาณห้าช่อง

ตอนนี้แต่ละช่องนั้นกำลังมีอาชาร่างสูงใหญ่เตรียมพร้อมจะออกจากคอกเพื่อวิ่งไปถึงจุดหมายปลายทาง เห็นดังนั้นเจ้าตัวก็ถอนหายใจเฮือกอย่างไม่คิดจะปิดบัง

“ทำไมเจ้าพาข้ามาที่นี่ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด”

“ท่านไม่ชอบรึ”

“ถ้าแข่งม้าโดยไม่พนัน...แน่นอนว่าข้าชอบ” ชายหนุ่มชี้มือไปยังด้านซ้ายมือด้านบนสุดของอัฒจันทร์ที่ตอนนี้ถูกกั้นไว้สำหรับการลงอัฐพนันขันต่อ

“ถ้าพนันกันแบบนี้...ข้าไม่ชอบ”

“ท่านไม่ชอบก็เรื่องของท่าน อยากเดินออกจากที่นี่แล้วไปเที่ยวเองก็ได้ ข้าไม่ห้ามท่านไว้หรอก...” คนตัวเล็กไหวไหล่น้อยๆ ก่อนเอ่ยต่อไปว่า

“ท่านรู้ไหมอาจารย์และท่านแม่ของข้าไม่ยอมอนุญาตให้ข้าเข้ามาที่นี่สักครั้ง ข้าเลยแค่อยากมาดูมาเห็นกับตาเท่านั้น”

ได้ยินเช่นนั้น...อัคจะทำเช่นไรได้ นอกเสียจาก ‘ตามใจ’ คนนำเที่ยว หนำซ้ำยังต้องลงอัฐพนันให้อีกเสียด้วย...ช่างเป็นการเที่ยวที่น่าประทับใจจนเหลือจะกล่าว...นี่ถ้าเพื่อนเที่ยวของเขาไม่ใช่เจ้าตัวเปี๊ยกแล้วล่ะก็ เขาคงหนีกลับไปนานแล้ว

...เอาเถิด...รอให้จบการเที่ยวในวันนี้เสียก่อน หลังจากนั้นเขาจะทวงบุญคุณเจ้าเปี๊ยกให้หนำใจเลยเชียว...

คนที่คิดจะทวงบุญคุณชักจะพอ ‘สุขใจ’ ได้บ้างกับการต้องช่วยลุ้นให้เจ้าม้าที่ลงอัฐไว้เข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่ง จากที่นั่งดูอย่างเงียบๆ ตอนนี้เขาผุดลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนเชียร์เฉกเช่นเดียวกับเจ้าตัวเล็กไปเสียแล้ว

...หนึ่งคนตัวโต กับหนึ่งคนตัวเล็ก กอดคอกันเฮลั่นเมื่อเห็นเจ้าม้าตัวนั้นโผเข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่งอย่างฉิวเฉียด!

อัคคิดว่าแค่รอบนั้น ศาศวัตราคงพาเขาออกไปจากที่นี่...แต่ที่ไหนได้ เจ้าตัวกลับหันมามองด้วยแววตาอ้อนวอน

“อีกสักรอบเถิดนะ....ท่านจ่ายไปก่อน เดี๋ยวข้าคืนให้ทีหลัง”

ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปอึกใจก่อนใจอ่อนกับอีกฝ่ายจนได้ เขายอมลงอัฐอีกห้ารอบ ...จนสุดท้ายจากที่ได้กำไรก็กลายเป็นขาดทุนเสียอย่างนั้น คนตัวเล็กถึงกับทำหน้างอง้ำ ส่งเสียงฮึดฮัดในลำคออย่างไม่พอใจ

นี่แหละ..ผลของการพนัน ทำให้คน ‘ติด’ เมื่อได้แล้วก็อยากได้เพิ่มอีกหลายเท่า ทว่าไม่รู้เลยว่าผลสุดท้าย...จะไม่ได้อะไรกลับมาเลย เผลอๆอาจจะสิ้นเนื้อประดาตัวเสียอีกก็เป็นได้

“ได้รู้ ได้ลอง ได้เห็นแล้ว...ก็อย่าเข้ามาที่นี่อีกนะ ตัวเปี๊ยก” คนตัวโตวางมือลงบนศีรษะของคนที่ทำหน้าตาบูดบึ้งก่อนขยี้เบาๆอย่างเอ็นดู

“ที่นี่ไม่มีอะไรดีหรอก”

“ข้าจะไม่มาอีกแล้ว...” ร่างเล็กบอกกับตัวเอง แล้วปัดมือของเขาออก พร้อมกับพรวดพราดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “เสียดายอัฐชะมัด!”

นั่นคือคำสุดท้ายที่เธอทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินดุ่มออกไปเร็วรี่ คนมองตามเบาใจเพราะเชื่อหมดใจว่านับจากนี้หญิงสาวคงไม่คิดจะเหยียบย่างเข้ามาที่นี่เป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน



จากสนามแข่งม้า ศาศวัตราก็แวะซื้อขนมปังเป็นอาหารกลางวัน คราวนี้เธอเป็นคนเลี้ยงเขา โดยให้เหตุผลว่า

“ถือซะว่าขนมปังก้อนนี้เป็นค่าอัฐที่เจ้าเสียไปเมื่อครู่แล้วกัน”

พอ ‘จ่ายหนี้’ เสร็จสรรพเจ้าตัวเล็กก็ควบขับเจ้าดำออกจากตัวเมืองไปเข้าไปในป่า ลัดเลาะไปตามลำธารก่อนจะหยุด ณ ที่แห่งหนึ่ง เป็นเพิงเล็กๆที่ถูกสร้างไว้อย่างลวกๆ ถ้าจะให้เดา อัคเดาว่าสถานที่นี้ศาศวัตราคงสร้างไว้เพื่อมาพักผ่อนหรือหาความสงบเวลาเธอกำลังว้าวุ่นใจกระมัง

ร่างเล็กผูกเจ้าดำไว้กับต้นไม้ใหญ่ แล้วก้าวขึ้นไปนั่งบนเพิงนั้น แถมยังใจดีเหลือที่ไว้ให้เขาด้วย อัคไม่อยากขัดศรัทธา เขาผูกเจ้าขาวไว้กับต้นไม้อีกต้น และดุ่มเดินไปนั่งเคียงข้าง แต่เพราะชายหนุ่มตัวใหญ่ราวยักษ์ เพิงที่หญิงสาวเคยคิดว่าใหญ่พอควรนั้นกลายเป็นอึดอัดคับแคบขึ้นมาทันควัน

“ท่านทำตัวเล็กเป็นไหม”

จู่ๆเจ้าตัวเปี๊ยกก็ถามคำถามที่น่าขัน คนถูกถามพ่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่

“แล้วเจ้าล่ะ...ตัวโตกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือ”

โดนถามกลับเช่นนี้ ศาศวัตราจะโต้เถียงอะไรได้ หญิงสาวสะบัดหน้าหนี ทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ ก่อนจะก้มหน้าก้มตา ‘ยัด’ ขนมปังในมือใส่ปาก

ใช่...อัคนิยามลักษณะการรับประทานของเธอในตอนนี้ว่ายัด เพียงชั่ววินาที...ขนมปังก้อนยาวประมาณหนึ่งคืบก็หมดเกลี้ยงอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาได้แต่จ้องมองอย่างตกตะลึง

...จะว่าประทับใจ...ก็ไม่น่าใช่

...จะว่าไม่ชอบ...เขาก็เฝ้ามองอย่างนึกเอ็นดู

สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า...เขาประหลาดใจ...ในความไม่ห่วง ‘สวย’ ของเธอนั่นเอง

“นี่...ท่านจะไม่กินใช่ไหม มันเป็นแค่อาหารธรรมดาๆที่ไม่คู่ควรกับท่านหรืออย่างไร” คนตัวเล็กเอ่ยด้วยสุ้มเสียงไม่พอใจ และกำลังจะแย่งมันไปจากมือใหญ่ หากเขาชักมือหนีได้ทัน

“ใครว่า...ข้ากำลังจะจับมันใส่ปากอยู่นี่อย่างไรเล่า”

แล้วเขาก็กัดขนมปังก้อนนั้นเสียเกือบครึ่ง ...รสชาติของมันทำให้เขานึกแปลกใจจนไม่อยากจะหยุดรับประทานเลยแม้แต่น้อย เพียงไม่นานขนมปังในมือก็หมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว

“อร่อยใช่ไหม” ศาศวัตราเอ่ยถามยิ้มๆ “อาหารที่ดูหน้าตาไม่น่ากิน บางทีมันอาจอร่อยกว่าอาหารหรูๆก็ได้”

ชายหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะเดินลงไปดื่มน้ำจาลำธารเช่นเดียวกับหญิงสาว จากนั้นทั้งสองก็กลับมานั่งบนเพิงตามเดิม

“ทำไมตัวท่านถึงมีกลิ่นกุหลาบล่ะ” จู่ๆคนตัวเล็กก็ถามขึ้นมาหลังจากนั่งเงียบฟังเสียงกระเซ็นซ่านของน้ำอยู่พักใหญ่

“เมื่อเช้าข้าดื่มชาโรยกลีบกุหลาบมา”

“ชาโรยกลีบกุหลาบงั้นหรือ” ศาศวัตราพึมพำกับตัวเอง “ข้าเพิ่งเคยได้ยิน”

“เป็นการดื่มชาตามแบบฉบับของหฤษคีรี ไม่แปลกหรอกที่เจ้าไม่เคยได้ยิน...ลองดื่มดูซิ แล้วเจ้าจะรู้รู้สึกเหมือนมีกุหลาบอยู่รายล้อมรอบตัว”

เจ้าตัวเล็กตั้งใจไว้มั่นอยู่แล้วว่ากลับบ้านเมื่อไหร่เธอจะลองทำดูบ้าง จากนั้นทั้งสองก็พักผ่อน เดินเล่นอยู่แถวนั้นสักพักใหญ่ๆ เมื่อดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำ ศาศวัตราก็พาเขากลับเข้าไปในเมืองอีกครั้ง

คราวนี้เจ้าตัวเล็กทำให้เขาต้องอ้าปากค้างเลยทีเดียว เมื่อเธอพาเขาเข้าร้านเหล้า แถมไม่ใช่ร้านเหล้าธรรมดาๆเพราะที่นี่ยังมีสาวน้อยใหญ่มากหน้าหลายตาคอยบริการหนุ่มๆที่เข้าร้านเป็น ‘พิเศษ’ อีกด้วย

“เจ้าไม่ควรเข้ามาที่นี่เลย เจ้าเปี๊ยก” เขาเอ่ยถามหลังจากนั่งลงบนโต๊ะด้านในสุดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ท่านไม่ชอบหรืออย่างไร”

“ข้าน่ะชอบแน่...แต่เจ้าเป็นหญิง แถมยังเด็กเสียด้วย เจ้าไม่ควร...” ยังพุดไม่ทันจบ คนตัวเล็กก็ตะโกนสั่ง’น้ำเมา’ ในทันที

“เอามาสิบแก้วเลยนะป้า”

เจ้าของร้านตะโกนรับคำ ก่อนจะให้สาวสวยรูปร่างดีนุ่งชุดกะโปรงแนบเนื้อและค่อนข้างสั้นจนเห็นขาเรียวยาวเป็นฝ่ายนำเหล้าสิบแก้วมาวางลงตรงหน้า ศาศวัตราใจป้ำเป็นฝ่ายเลี้ยง เธอควักอัฐก้อนหนึ่งให้หญิงสาวผู้นั้นซึ่งเอื้อมมือมารับไว้ด้วยรอยยิ้มก่อนขยิบตาให้อัคอย่างเชิญชวนแล้วเดินจากไป ทว่า...ชายหนุ่มไม่ได้สนใจจะมองด้วยซ้ำ เพราะเขากำลังจ้องเขม็งที่เจ้าตัวเล็กเพียงคนเดียว

...ก็จะไม่ให้จ้องได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้เธอกำลัง ‘ซด’ น้ำในแก้วสีชาอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ตัวเปี๊ยก! พอแล้ว! นี่มันเหล้านะ ไม่ใช่น้ำ!”

ว่าพลางกระชากแก้วใบนั้นออกจากมือเล็ก

“เจ้านี่มัน...” พูดแล้วก็ส่ายศีรษะดิกเมื่อเห็นใบหน้าที่แดงก่ำของคนตรงหน้า แถมดวงตากลมโตงดงามก็หยาดเยิ้มอย่างน่ามอง

“ถ้าเจ้าเป็นน้องข้าล่ะก็...ข้าจะจับเจ้ามาตีก้นเสียให้เข็ด!”

“คราย...ครายหน้าหนายจามาตีก้นข้า...ข้าม่ายยอม ม่ายยอมหรอก!” เจ้าตัวเอ่ยด้วยสุ้มเสียงไม่ชัดเจน ศีรษะเล็กเอียงซ้ายทีขวาที พร้อมกับคำบ่น

“ทามไมวันนี้..โลกมานเอียงจัง”

ก็จะไม่เอียงได้อย่างไรเล่า เล่นดื่มเหล้าไปเกือบขวดเต็มๆแบบนี้! คนตัวโตถอนหายใจเฮือก ก่อนรีบเข้าไปประคองเจ้าตัวเล็กให้ลุกขึ้นยืน

“พอแล้ว...วันนี้ไม่ต้องเที่ยวแล้ว”

“อาราย! ข้ายังอยากเที่ยวอยู่นี่นา”

“ไม่เที่ยวแล้ว ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน” ได้ยินแล้วหญิงสาวเหมือนจะไม่พอใจ แล้วพยายามสั่นศีรษะดิก

“ม่ายกลับ...ท่านแม่ไม่ให้ข้าดื่ม กลับปายเดี๋ยวท่านแม่...จาดุข้า”

“ก็นี่ล่ะน้า...ริอ่านดื่มเหล้า เป็นเด็กเป็นเล็กแท้ๆ ...เจ้านี่มันน่านักเชียว!”

“น่าอาราย” คนเมาขี้สงสัยอยากรู้ไปเสียทุกเรื่องแล้วในตอนนี้

“น่าอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้ออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า”

พอจบประโยคนั้น ร่างเล็กก็ลอยหวือสู่อ้อมแขนแข็งแกร่งของคนตัวโต ก่อนเขาจะดุ่มเดินออกจากร้านไป เขาตัดสินใจฝากเจ้าขาวไว้กับคอกรับฝากของร้านนั้น ด้วยเกรงว่ายามที่เจ้าตัวเล็กตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นเจ้าดำจะพาลด่าว่าเขาเสียๆหายๆก็เท่านั้น

ชายหนุ่มวางตัวเธอบนหลังเจ้าดำ ก่อนจะพาตัวเองขึ้นไปนั่งซ้อนทางด้านหลัง ร่างเล็กอิงแอบแนบซบบนอกกว้าง แขนข้างหนึ่งของเขาตระกองกอดเธอไว้ ขณะที่อีกข้างคอยควบคุมบังเหียนให้เจ้าดำเดินตรงทาง

อัคไม่ได้สั่งให้เจ้าดำเผ่นโผนโจนทะยานอย่างเคย แต่กลับเหยาะย่างอย่างเนิบช้า ด้วยไม่อยากรบกวนคนที่เมาจนหลับในอ้อมกอดของตน

เจ้าตัวเปี๊ยกหันหน้ามาซุกซบอกของเขา เหมือนเธอจะพอใจกับกลิ่นกุหลาบที่โชยออกมาจกตัวเขายิ่งนัก ถึงขั้นพึมพำออกมาเบาๆ

“หอมจัง”

เจ้าตัวยิ้มในหน้าอย่างเป็นสุข เมื่อรู้สึกว่า ‘หมอน’ ใบนี้ช่างหอมจับใจ แถมยังมอบความ ‘อุ่น’ ให้กับเธออีกด้วย

...เป็นความอุ่นที่เคยคุ้น...จะคุ้นจากที่ไหนและอย่างไรนั้นศาศวัตราอธิบายไม่ได้ รู้แค่ว่าหัวใจของเธอจดจำ ‘รอยอุ่น’ นั้นได้เป็นอย่างดี

อ้อมอกอุ่น วันนี้ เริ่มเคยคุ้น

กระไออุ่น อิงแอบ แนบอกกว้าง

แม้เวลา ผันผ่าน ไม่จืดจาง

เดือนปีผ่าน สลักไว้ ในรอยจำ


-----------------------------------------------------------

ปวดหัวชะมัด!

นั่นคือสิ่งแรกที่ศาศวัตรารับรู้ในทันทีที่รู้สึกตัว หญิงสาวยกมือขึ้นกุมศีรษะ แล้วบีบนวดให้เบาๆด้วยหวังว่ามันจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง เปลือกตาที่หนักอึ้งทำให้เจ้าตัวไม่สามารถลืมตาได้ในทันที ต้องรออยู่ชั่วอึดใจทีเดียวกว่ามันจะยอมให้ดวงตาของเธอเปิดรับแสงตะวันที่ลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านหนาหนักเข้ามาภายใน

ศาศวัตรามองผ้าม่านสีเหลืองเขียวเข้มไม่คุ้นตาอยู่พักใหญ่ ก่อนเลื่อนสายตามองเพดานสีน้ำตาลสลักลวดลายงดงามหรูหรา แล้วยังจะเตียงสี่เสาที่เธอมานอนอยู่อีกเล่า

เมื่อรวบรวมสติสัมปชัญญะทั้งหมดของตัวเองได้แล้ว เจ้าตัวก็ทะลึ่งตัวพรวดลงจากเตียง สองตาเบิกกว้างกวาดมองรอบห้องที่ไม่คุ้นชิน ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิตเลยด้วยซ้ำ เครื่องเรือนราคาแพง ผืนพรมนุ่มใต้ฝ่าเท้า กลิ่นหอมของดอกไม้ที่วางอยู่ในแจกันนับสิบ

...นี่มันไม่ใช่ที่ของเธอ! ไม่ใช่เลย!

หญิงสาวรีบหลับตาแน่น แล้วตั้งสติอีกครั้ง โดยหวังอยู่ในใจว่าเมื่อลืมตาขึ้นมาเธอจะได้เห็นห้องนอนเล็กๆที่มีเครื่องเรือนเพียงน้อยชิ้น ไม่ได้หรูหราเลอค่า และกว้างขวางแบบนี้

ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นมองอีกครั้ง ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ดวงตากลมโตระริกไหว ทั้งงุนงงสงสัยและตื่นตระหนก

...ที่นี่ที่ไหนกัน!...

คำถามนั้นเธอไม่อาจตอบตัวเองได้ คงต้องถามเอาจากคนอื่น คิดได้ดังนั้นเจ้าตัวก็มองหาประตูห้องทันที เพียงกวาดตาไปทางขวา เธอก็เห็นบานประตูไม้หนาหนักสลัดลวดลายวิจิตรอยู่ห่างไปหลายเมตร ศาศวัตราไม่รอช้ารีบดุ่มเดินตรงไปหา ...กระทั่งอีกเพียงก้าวเดียวจะถึงประตู วางมือลงบนที่จับ ยังไม่จะผลักให้เปิดออกดังใจคิดประตูก็เปิดผลัวะ ส่งให้ร่างของเธอถูกดึงไปตามแรงดึงและชนเข้ากับใครคนหนึ่ง...คนที่มีกลิ่นกายดังกุหลาบที่จมูกของเธอเริ่มคุ้นชินแล้ว

...ตายักษ์!...

“อ้าว ตื่นแล้วหรือ”

อีกครั้งแล้วที่เขารับเธอไว้ในอ้อมกอด เท่านั้นยังไม่พอจะถือวิสาสะโอบอุ้มเธอแนบอกและพากลับเข้าไปด้านในอีกด้วย

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ที่นี่ที่ไหน” เธอไม่ตอบคำถามแต่ตามกลับด้วยคำถามที่ยังอัดแน่นอยู่ในหัวใจ “แล้วก็...ปล่อยข้าด้วย ท่านไม่มีสิทธิ์มาอุ้มข้าแบบนี้”

“อะไรกัน” คนตัวโตหัวเราะในลำคอ “เจ้าเริ่มรู้จัก ‘หวงเนื้อหวงตัว’ แล้วหรือ”

คนถูกล้อหน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมาทันควัน หญิงสาวใช้กำปั้นทุบบนอกเขาโดยแรง ทว่า...อัคกลับรู้สึกเจ็บนิดๆราวมดกัดเพียงเท่านั้น

“ปล่อยข้า!”

สุ้มเสียงจริงจังและเริ่มจะกรุ่นโกรธทำให้ชายหนุ่มไม่คิดแกล้งอีกต่อไป ประจวบเหมาะกับที่เท้าทั้งสองเดินมาถึงเตียงอย่างพอดิบพอดี เขาจึงวางเธอลงบนเตียงนุ่มอย่างไม่อิดออด

“ท่านพาข้ามานอนที่ไหนกันนี่...รู้บ้างไหมว่าแม่ข้าจะเป็นห่วงแค่ไหน ที่สำคัญถ้าข้ากลับไปตอนนี้ ข้าตองโดน...” ยังพูดไม่ทันจบ เสียงห้าวก็ขัดขึ้นเสียก่อน

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ข้าส่งคนไปบอกแม่เจ้าแล้ว”

ที่ว่าส่งคนไปนั้น ไม่ได้แค่ให้ไปบอกปากเปล่าอย่างเดียว แต่อัคยังเขียนจดหมายฝากไปด้วย ใจความในจดหมายไม่ได้บอกรายละเอียดมากนัก เขาไม่เอ่ยเรื่องที่เธอดื่มเหล้าจนเมามายเพราะเกรงว่าเจ้าเปี๊ยกจะโดนทำโทษ จึงบอกไปแค่ว่า



ข้าขออนุญาตพาศาศวัตรากลับบ้านในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากข้ายังอยากไปเที่ยวหลายที่ จึงไม่อยากเดินทางไปกลับหลายเที่ยว ข้าสัญญาว่าจะดูแลศาศวัตราเป็นอย่างดี ได้โปรดอย่าห่วง หวังว่าท่านน้าคงไม่โกรธ หรือถ้าจะโกรธ ได้โปรดโกรธข้า ถ้าอยากลงโทษก็จงลงโทษข้าเถิด

หากลูกสาวของท่านเป็นอะไรไป ท่านนำจดหมายฉบับนี้ไปให้ทหาร เพื่อให้พวกเขาจับข้าไปรับโทษทัณฑ์ได้เลย



เขาถึงขั้นเอาชีวิตตัวเองเป็นประกัน ด้วยต้องการให้มารดาของหญิงสาวมั่นใจว่าตัวเขาไม่ได้คิดร้ายต่อศาศวัตราเลยแม้แต่น้อย

“ก็หวังว่าแม่ข้าจะไม่โกรธแล้วกัน...ว่าแต่เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

“อะไรกัน เจ้าลืมเรื่องเมื่อวานหมดแล้วหรือ”

“ไม่ได้ลืมสักหน่อย!” คนตัวเล็กเถียงกลับ “ข้าจำได้ว่าข้าพาท่านเที่ยว...”

เจ้าตัวเล่าให้ฟังได้หมดเป็นฉากๆ หากเรื่องราวหลังจากดื่ม ‘น้ำเมา’ ขวดนั้นไปแล้วออกจะลางเลือน

“ข้าดื่มเหล้าไปเกือบห้าแก้ว..แล้ว...แล้ว...” คนที่ไม่เคยพูดตะกุกตะกักมาก่อนชักพูดไม่ออก

“แล้วอะไร จำไม่ได้ใช่ไหม”

“ฮื่อ” คนตัวเล็กยังไม่ยอมแพ้ ส่ายหน้าเร็วรี่

“จำได้ซี่!” แถมยังดื้อดึงดันปากแข็งเสียด้วย ฝ่ายคนที่ยืนกอดอกรอฟังอยู่ไม่ห่าง เห็นถ้อยคำและท่าทางดื้อรั้นเช่นนั้น จึงปิดปากเงียบเฝ้ารอว่าอีกฝ่ายจะ ‘แต่ง’ เรื่องสนุกๆอะไรให้เขาฟังบ้าง

“ข้า...ข้าก็ขี่ม้ามาที่นี่กับท่านทอย่างไรเล่า” คนตัวเล็กโพล่งออกไปแบบ ‘โมเม’ เอาเองตามใจชอบ

...เอาน่า ถูกหรือผิดไม่รู้ล่ะ แค่ตอบๆไปไม่ให้เสียหน้าเป็นพอ ก็ดันบอกเขาไปแล้วว่าจำได้นี่!...

“จำไม่ได้แล้วยังไม่ยอมรับอีก...เด็กหนอเด็ก”

“ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ!” เมื่อเห็นคนตรงหน้าทำท่าจะก่อสงครามย่อยๆ อัคจึงรีบยกมือห้ามปราม

“พอแล้ว ข้าไม่อยากทะเลาะกับเจ้า...รู้ไหมว่าเจ้าน่ะทำข้าเดือดร้อน”

“ข้าไปทำท่านเดือนร้อนได้อย่างไร อย่ามามั่วน่า”

“มั่วอย่างนั้นหรือ...” คนตัวโตส่ายหน้าอย่างนึกระอา “เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าอาเจียนใส่เสื้อผ้าของข้าจนเปรอะเปื้อนไปหมด”

ได้ยินวีรกรรมของตนเองแล้วถึงกับอ้าปากค้าง ศาศวัตรากะพริบตาปริบๆ

“ข้าน่ะหรือ”

“ก็เจ้านั่นแหละ” ชายหนุ่มจัดการเขกศีรษะของอีกฝ่ายเบาๆเป็นการลงโทษ

...ก็จะให้เขาลงโทษอะไรได้มากกว่านี้ แค่เขามองสบดวงตากลมโตของเธอ ใจก็อ่อนยวบอยู่ร่ำไปน่ะซิ!

“ข้า...ข้าขอโทษ” คนตัวเล็กเสียงอ่อยอย่างรู้สึกผิด “ก็...นั่นไม่ใช่ตัวข้านี่...ข้าเมา!”

“ทีนี้รู้หรือยังว่า ‘น้ำเมา’ น่ะ...ไม่ดียังไง”

ศาศวัตรารีบพยักหน้าหงึกหงัก ...ไม่รู้หรอกว่าเจ้าตัวเข้าใจถ่องแท้ถึงคำว่า ‘ไม่ดี’ หรือเปล่า แต่ก็เอาเถิดอย่างน้อยคนดื้อรั้นอย่างเธอก็ยังรับฟัง

“ทีหน้าทีหลังอย่าริอ่านดื่มอีกล่ะ” เจ้าตัวเล็กยกนิ้วโป้งแตะนิ้วก้อยของตนเองขึ้นมา แล้วเอ่ยด้วยเสียงอุบอิบ

“แค่นิดหน่อยก็ไม่ได้หรือ”

“ไม่ได้! จะมากจะน้อย หรือจะแค่จิบเดียวก็ห้ามดื่ม...เข้าใจไหม”

“อื้อ” หญิงสาวรับคำแข็งขัน “จะไม่ดื่มแล้ว”

“แน่นะ”

“แน่ซี่” ตอบออกไปด้วยสุ้มเสียงมั่นใจ ทว่าในใจคิดว่า

...เฮอะ คิดว่าข้าจะเชื่อรึไง ท่านไม่ใช่คนสำคัญในชีวิตข้า ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้าด้วยซ้ำ แล้วเรื่องอะไรข้าจะยอมทำตาม! ที่ข้าบอกว่าจะไม่ดื่มแล้วก็เพราะข้าได้พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นสิ่งไม่ดีตะหาก!

“ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ดื่มอีกแล้ว” เมื่อเห็นแววตาหนักแน่น อัคก็เบาใจ เขาระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ขณะที่หญิงสาวเอ่ยถามประโยคเดิม

“เมื่อไหร่เจ้าจะบอกข้าว่าที่นี่ที่ไหน” พร้อมกับกวาดสายตามองโดยรอบอีกครั้ง

“ข้าไม่เคยเห็นห้องนอนที่ไหนหรูหราขนาดนี้มาก่อน”

ดวงตาสีดำสนิทของคนฟังทอแสงอ่อนโยนขึ้นมาทันควัน

“ที่นี่คือตำหนักเหนือ...ที่ประทับของเจ้าฟ้าชายอัคคัญญ์...” ได้ยินแล้วศาศวัตราถึงกับนิ่งอึ้งไปทีเดียว “พระองค์ทรงพระทัยดีขอร้องให้เจ้าหลวงทิวากาลเปิดห้องนี้สำหรับเจ้าเป็นการพิเศษ”

“หมายความว่า...ข้ากำลังอยู่ในเขตพระราชวังอย่างนั้นหรือ”

คนถูกถามพยักหน้าอย่างเนิบช้า เพียงเท่านั้นร่างเล็กก็พรวดพราดวิ่งออกจากห้องไปในบัดดล

“ตัวเปี๊ยก! นั่นเจ้าจะไปไหน”

“ข้าจะกลับบ้าน ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว!”

อัคถอนหายใจเฮือก...พอจะเดาได้ว่าศาศวัตรากำลังเจ็บปวดเพียงใด

...การได้เข้ามาอยู่ใกล้ผู้เป็นบิดาเพียงแค่เอื้อมคงทำให้หญิงสาวสับสันมากพอดู ใจหนึ่งคงอยากพบเจอพุดคุย หากอีกใจหนึ่งคงอยากหลีกลี้หนีหน้าไปให้ไกลแสนไกล...

“เจ้าเปี๊ยก หยุดก่อน!”

ร่างสูงตะโกนเรียกขณะวิ่งตามเจ้าตัวเล็กซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาวิ่งโดยไม่สนใจเลยว่าหนทางที่มุ่งตรงไปนั้นคือตำหนักหน้า...ที่ประทับขององค์เจ้าหลวงกับพระชายาของพระองค์นั่นเอง



ร่างเล็กวิ่งผ่านทางเดินเล็กๆที่เชื่อมต่อกับตึกหน้า คงหมายใจไว้ว่าจะวิ่งออกไปทางประตูที่เห็นอยู่ไกลลิบๆ ทว่าการจะไปถึงประตูนั้นได้จะต้องผ่านตำหนักหน้าอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง อัคไม่รู้หรอกว่าเจ้าหลวงทิวากาลทรงทราบหรือไม่ว่าหน้าตาของธิดาองค์เองนั้นเป็นเช่นไร ถ้าเกิดเข้าใจผิดว่าศาศวัตราเป็นคนร้ายที่ลอบเข้าวังมาแล้วล่ะก็...จะทำเช่นไร

เพียงแค่คิดเช่นนั้น หัวใจของเขาก็ร้อนรุ่มกระวนกระวายด้วยความเป็นห่วง ชายหนุ่มพยายามไล่ฝีเท้าตามเจ้าตัวเปี๊ยก แต่...

บ้าชะมัด! เขาเพิ่งรู้ว่าเธอวิ่งเร็วชะมัดยาดก็วันนี้เอง!

“เจ้าเปี๊ยก! หยุดวิ่งก่อน!” เขาตะโกนตามหลัง ขณะซอยเท้าวิ่งตามเจ้าตัวเล็กที่วิ่งออกจากถนน ข้ามสนามหญ้าซึ่งเป็นส่วนของวนอุทยานทางด้านหลังของตำหนักหน้า เพื่อที่จะลัดเลาะไปยังประตูใหญ่ ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มได้ยินเสียงพูดคุยดังแว่วมาจากด้านข้างตำหนัก

อัครีบเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะตะครุบเรือนร่างบอบบางของเจ้าตัวจ้อยไว้ เมื่อใกล้พอจึงเอื้อมแขนดึงรั้งร่างเธอไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะล่วงล้ำเข้าไปในเขตของศาลาหลังนั้น สิ่งที่เขาทำต่อมาคือใช้ฝ่ามือตะปบริมฝีปากที่กำลังจะเปล่งเสียงร้องของหญิงสาวไว้ได้ มือข้างหนึ่งกอดรัดเอวเล็กไว้ พร้อมกับกดตัวเธอให้ก้มต่ำและพาไปหลบซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ซึ่งทางด้านหลังยังมีต้นไม้ใหญ่คอยบดบังไม่ให้ใครอื่นมองเห็นได้

ศาศวัตราดิ้นขลุกขลักรุนแรง พยายามจะหาทางหนีให้หลุดพ้นจากพันธนาการของคนตัวโตให้ได้ หากเรี่ยวแรงที่น้อยกว่าหลายเท่าทำให้เธอไม่สามารถหนีได้ดังใจคิด ส่วนอัคนั้นได้แต่นึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้วันนี้ไม่มีทหารองครักษ์อยู่เฝ้าโดยรอบตำหนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะองค์เจ้าหลวงต้องการมีเวลาส่วนพระองค์กับครอบครัวก็เป็นได้

ชั่วขณะหนึ่งที่เขานึกถึงสภาพความเป็นอยู่ของศาศวัตราและอดีตพระชายา ...องค์เจ้าหลวงทิวากาลจะทรงทราบบ้างไหมว่าทั้งสองคนมีชีวิตที่ยากลำบากแค่ไหน

“ทูลหม่อมพ่อเพคะ พรุ่งนี้หญิงขออนุญาตไปตกปลากับเพื่อนได้ไหมเพคะ”

เสียงหวานใสของใครคนนั้นทำให้ศาศวัตราหยุดดิ้นรนในทันใด หญิงสาวเลื่อนสายตาจากใบหน้าที่เคร่งเครียดของชายหนุ่ม มองผ่านใบเล็กๆของพุ่มไม้ตรงหน้าไปยังศาลาขนาดใหญ่ที่บัดนี้มีชายหญิงสูงวัยพร้อมกับเด็กสาวอายุอานามน่าจะน้อยกว่าเธอเพียงหนึ่งหรือสองปีกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

คราแรก...เธอไม่รู้หรอกว่าพวกเขาเป็นใคร แต่เมื่อฟังประโยคถัดไป หญิงสาวก็เข้าใจแจ่มแจ้ง

“ได้ซิหญิงแพร...ชวนพี่ธรไปเป็นเพื่อนก็ดีนะ”

‘พี่ธร’ที่ว่านั้น เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘ท่านพี่ธร’ ของเธอนั่นเอง

“ไม่เอาหรอกเพคะ พี่ธรชอบห้ามนู่นห้ามนี่ไปหมด หญิงของไปเที่ยวกับวันนาสองคนดีกว่า...ทูลหม่อมแม่คงไม่เรียกใช้วันนาวันพรุ่งนี้หรอกนะเพคะ”

“ก็ถ้าหญิงอยากไปเที่ยวกับวันนาแม่เรียกใช้คนอื่นก็ได้จ้ะ...ไม่มีปัญหา”

“ขอบพระทัยเพคะ”

จากนั้นศาศวัตราก็ได้ยินเสียงหัวเราะของทั้งสามประสานกันอย่างมีความสุข...เป็นความสุขของครอบครัวที่ ‘อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา’...ผิดกับเธอ

...จริงอยู่ ศาศวัตรามีความสุขและพอใจกับชีวิตของเธอในวันนี้...วันที่มีเพียงมารดาผู้สง่างาม ป้าเนราผู้แสนใจดี ละอาจารย์เซติที่เคารพรัก...เพียงเท่านี้เธอก็ไม่อิจฉาชีวิตสวยหรูของใครอีกแล้ว

แต่เอาเข้าจริง...วันนี้เธอเพิ่งได้ตระหนักว่าหัวใจของตนเองกำลัง ‘โหยหา’ ผู้เป็นบิดามากเพียงใด

ศาศวัตราพยายามเพ่งมองพระพักตร์ขององค์เจ้าหลวงทิวากาลอย่างสุดความสามารถ แต่ ‘น้ำในตา’ กลับบดบังสิ่งที่เธอควรเห็นไปเสียสิ้น

หญิงสาวบอกตัวเองว่านั่นเป็นเพียง...น้ำในตา...มิใช่...น้ำตาที่หลังออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเลยสักนิด!

“หญิงจ๊ะ...ลูกว่าเจ้าฟ้าชายอัคคัญญ์ทรงเป็นอย่างไรบ้าง”

คนตัวเล็กนั่งอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวโตในสภาพหมดเรี่ยวแรงขณะยังคงต้อง ‘ทน’ มองภาพครอบครัวแสนสุขด้วยความรู้สึกรวดร้าวใจ

“เจ้าชายอัคคัญญ์หรือเพคะ...อืม...ดูอ่อนแอแล้วก็ขี้โรคค่ะ...ไม่มีสง่าราศีด้วย”

“แพรพิไล” สุรเสียงทุ้มต่ำขององค์เจ้าหลวงดังขึ้นเพื่อปรามถ้อยคำที่ไม่สมควรของธิดา “ระวังคำพูดตัวเองด้วย จะพูดอะไรออกมาเจ้าต้องคิดเสียก่อนว่ามันจะส่งผลดีผลร้ายต่อตัวเจ้าอย่างไร...ที่สำคัญอย่าพูดแบบนี้ให้คนอื่นได้ยิน แม้แต่พี่ธรของเจ้าก็ห้ามพูด เจ้าใจไหม”

“เพคะ” เมื่อถูกตำหนิเจ้าหญิงผู้ทรงอยู่ในชุดกระโปรงสีฟ้าสดใสก็รับคำเสียงเบา ตอนนั้นศาศวัตราไม่อาจทนมองภาพนั้นได้อีกแล้ว หญิงสาวหลุบสายตาลงต่ำมองเพียงผืนดินใต้พุ่มไม้ตรงหน้าเท่านั้น และด้วยเหตุนั้นเองหยดน้ำหยดหนึ่งก็ตกต้องมือใหญ่ที่กำลังโอบกอดร่างเล็กแนบแน่น

...เป็นหยดน้ำที่พุ่งปราดเข้าใส่หัวใจของนักรบทมิฬ และทำให้หัวใจของเขาเย็นเยียบอย่างประหลาด

อ้อมแขนแข็งแกร่งคลายออกเล็กน้อย จากการควบคุมให้เธออยู่นิ่ง ตอนนี้กลับกลายเป็นการกอด ‘อย่างแท้จริง’ ...เขากำลังส่ง ‘หัวใจ’ อันเข้มแข็งของตนเองแทบทั้งหมดไปให้เธอ

กอด...เพื่อให้กำลังใจ

กอด...เพื่อปลอบประโลมหัวใจดวงน้อย

และกอด...เพื่อให้รู้ว่าเธอไม่ได้ตัวคนเดียว...ณ เวลานี้ เธอมีเขาเคียงข้าง...คอยปลอบประโลม ดูแลจนกว่าหัวใจที่สดใสของเธอจะกลับมาเป็นเหมือนศาศวัตราคนเดิม



ไม่รู้ว่าทั้งสองทนอยู่ด้านหลังพุ่มไม้นานเท่าไหร่ แต่ในความรู้สึกของศาศวัตรามันช่างยาวนานชั่วกัปกัลป์ทีเดียว หญิงสาวยังคงนั่งเหม่อลอยแม้เมื่อกระทั้ง ‘ภาพ’ ของครอบครัวแสนสุขจากไปแล้วก็ตาม อัคไม่ได้ร้องเรียก ไม่ได้กระตุ้นเตือนให้เธอรีบลุกขึ้นและเดินออกไปจากที่นี่ซะ หากเขากลับนั่งนิ่งรอคอยให้เธอเป็นฝ่ายขยับเขยื้อนตัวก่อนเป็นอันดับแรก

เจ้าตัวเปี๊ยกของเขาเจ็บสักเท่าใดเขาพอจะเดาออก...และมันทำให้คนที่ไม่เคยแสดงความห่วงใยให้ใครหายใจไม่ออกเอาเสียเลย

“ไปจากที่นี่ได้ไหม” นานเท่านานกว่าเจ้าตัวจ้อยจะยอมเอื้อนเอ่ยคำ หญิงสาวขยับตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะออกวิ่งกลับไปทางเดิมด้วยความเร็วแบบที่เธอวิ่งจากมานั่นละ

อัคต้องรีบวิ่งตามด้วยเกรงว่าใจที่บอบช้ำอาจทำให้เด็กสาวอย่างเธอคิดสั้นก็เป็นได้...จริงอยู่ที่ศาศวัตราฉลาดและรู้จักคิด หากอารมณ์ชั่ววูบก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรปล่อยปละละเลย

ร่างสูงวิ่งมาทันพอดีตอนที่เธอวิ่งเข้าห้องเดิมที่เธอตื่นมาอย่างุนงงนั่นละ เจ้าเปี๊ยกกำลังจะปิดประตูห้องละม้ายว่าไม่อยากให้ใครเห็นเวลาเธอเศร้า...โดยเฉพาะกับเขา...คนที่เธอดูเหมือนจะไม่ชอบขี้หน้าสักเท่าไหร่

“อย่าเพิ่งปิดนะ ตัวเปี๊ยก” คนตัวโตร้องห้ามพร้อมกับใช้มือดึงประตูไว้ ตอนนี้เจ้าตัวเล็กเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมเงยมามองสบตาเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว และเมื่อรู้ว่าตัวเองสู้แรงเขาไม่ได้เธอจึงหยุดยื้อประตูบานนั้น แล้วหมุนตัววิ่งไปที่เตียง ก่อนจะโถมกายคว่ำหน้าลงบนนั้น ซุกหน้าเกลือกกลิ้งกับหมอนอย่างน่าสงสาร

อัคได้แต่ยืนมองตรงปลายเตียงอย่างเงียบๆ เขาอดทนยืนรออยู่นานเท่าไหร่ไม่ทราบได้กว่าศาศวัตราจะยอมเงยหน้าขึ้นจากหมอน ตอนนี้ผ้าโพกศีรษะของเธอร่วงหล่นลงมาปล่อยให้ผมดำขลับยาวสยายเต็มหลัง หญิงสาวลุกขึ้นนั่งก่อนจะยกมือทำอะไรบางอย่างกับใบหน้าของตัวเองเพียงลวกๆ จนท้ายที่สุดเธอก็หันมามองสบตาเขา

ชั่วขณะที่เห็นความเศร้าในแววตาคู่นั้น อัคบอกตัวเองว่า...เขาไม่อยากเห็นมันอีกเป็นครั้งที่สองเลยจริงๆ

“ข้ายังไม่อยากกลับบ้าน...ไม่อยากให้...” เสียงของเธอสั่นน้อยๆ ชายหนุ่มรู้ดีว่าเธอพยายามกลั้นน้ำตาและเสียงสะอื้นของตัวเองไว้มากเพียงใด “ไม่อยากให้ท่านแม่เห็นข้าตอนนี้”

ศาศวัตรานิ่งไปอึดใจก่อนอธิบาย “ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย”

นั่นเป็นคำแก้ตัว...เพื่อไม่ให้เขาได้รู้ว่าเธอกำลังเสียใจในเรื่องใด

อัคทอดถอนใจก่อนเดินเข้าไปยืนตรงหน้าร่างเล็กบอบบาง แล้วทรุดกายลงนั่งคุกเข่า มือข้างหนึ่งยกขึ้นเสยผมที่มีสภาพยุ่งเหยิงราวกับเด็กน้อยเพิ่งตื่นนอนอย่างอ่อนโยน

“ได้ซิ...เราไปนั่งที่เพิงริมธารดีไหม แล้วค่ำๆข้าจะพาเจ้าไปส่งบ้าน”

คนตัวเล็กพยักหน้า ก่อนพยายามฉีกยิ้ม ...เป็นยิ้มที่จืดชืดไม่สดใสเอาเสียเลย

“จะไปเลยหรือเปล่า” ชายหนุ่มเลื่อนมือจากเรือนผมของเธอมาสัมผัสพวงแก้มเย็นชืด ตอนนี้คราบน้ำตายังแห้งเกรอะกรังและเขาช่วยบรรจงเช็ดออกอย่างนุ่มนวล

“ไปเลยก็ดี”

เมื่อหญิงสาวพร้อมที่จะไป เขาก็รีบลุกขึ้นยืนโดยไม่ลืมยื่นมือออกมาตรงหน้า ด้วยคิดว่า...ยามที่เธออ้างว้าง เธอคงต้องการใครสักคนที่ยืนเคียงข้างให้อุ่นใจกระมัง

เจ้าตัวเล็กชั่วใจอยู่นานกว่าจะยอมซุกมือเล็กบนมือใหญ่

...นี่ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ล่ะก็ เจ้าตัวเปี๊ยกคงปัดมือเขาออกอย่างแรงไปแล้ว

“เราขี่เจ้าดำไปด้วยกันดีไหม”

“แล้วตอนเจ้ากลับ เจ้าจะกลับอย่างไร” คนตัวโตใจชื้นขึ้นมานิดๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นห่วง

...อย่างน้อยๆเธอก็ไม่ได้เกลียดอะไรเขามากมายนี่นะ

“ข้าจะสั่งให้คนไปรับข้าที่บ้านของเจ้า ไม่ต้องห่วงข้าหรอกน่า”

คนถูกตีขลุมว่าเป็นห่วงเป็นใยหน้าง้ำขึ้นมาทันควัน

“ข้าไม่ได้ห่วง อย่าพูดเองเออเองซิ!”

ได้ยินถ้อยคำและสุ้มเสียงเช่นนั้น อัคจึงค่อยเบาใจลงไปได้บ้าง เพราะนั่นแสดงว่าสาวน้อยแสนดื้อรั้นคนเดิมกลับคืนมาแล้ว...แม้จะไม่เต็มตัวก็เถอะ

“ไปกันเถิด ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่!” อัคทอดถอนใจ พร้อมกับสาวเท้านำไปยังคอกม้าในทันใด



ไม่นานนักทั้งสองก็มานั่งอยู่ในเพิงเล็กๆที่เป็นสถานที่รับประทานอาหารกลาวันเมื่อวานนี้ เสียงน้ำที่ไหลกระทบฝั่งทำให้ศาศวัตรารู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย หญิงสาวนั่งเหม่อมองสายน้ำที่ไหลเอื่อยอย่างใจลอย ขณะที่อัคเอาแต่เฝ้ามองอย่างเป็นห่วง

อยากจะเอื้อนเอ่ยคำปลอบใจหากก็ทำไม่ได้อย่างใจคิด เพราะเขาไม่อยากให้เธอรู้ว่าตัวเขานั้นรู้ประวัติของเธอหมดแล้ว

“เจ้าเงียบไปนะ ตัวเปี๊ยก” อีกครั้งแล้วที่เขาทรุดกายลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าเธอ “มีอะไรอยากเล่าให้ข้าฟังก็เล่ามาเถิด...ข้ายินดีรับฟัง”

คนตัวเล็กสั่นศีรษะดิก “ไม่มี”

“แล้วนี่อะไร” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังเอื้อมไปสัมผัสคราบน้ำตาที่ยังหลงเหลืออยู่บนแก้มของเธออีกด้วย

“ไม่รุ” ศาศวัตราตอบเสียงสะบัด ก่อนเบี่ยงหน้าหลบโดยพลัน ตอนนั้นเองอัคเห็นว่าดวงตาของเธอวาววามด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ และจวนเจียนจะหยด

“ถ้ามีเรื่องอะไรกวนใจเจ้าล่ะก็...ระบายออกมาเถอะ ข้ายินดีเป็นที่ระบายให้เจ้า” ชายหนุ่มจับปลายคางมนแล้วบังคับให้เธอหันมามองเขา "...เฉพาะเจ้าเพียงคนเดียวเลยนะที่ได้สิทธิพิเศษแบบนี้“

ถ้อยคำนั้นทำให้เจ้าเปี๊ยกยิ้มออกมาได้ในที่สุด แม้จะไม่ได้สดใสเหมือนเดิมแต่ก็ยังดีล่ะน่า

“ว่าอย่างไรเล่า มีอะไรจะเล่าให้ข้าฟังหรือเปล่า”

“ไม่มีหรอก”

พลันที่เอ่ยออกไป เจ้าตัวก็หลุบสายตาลงต่ำ นั่นทำให้หยดน้ำตาตกต้องบนมือของเขาอีกครา ...หัวใจของเขาแข็งยะเยือกอีกจนได้

“อย่าร้องไห้”

“ข้าไม่ได้ร้อง!”

“แล้วนี่อะไร”

“น้ำ” เจ้าตัวตอบสั้นแสนสั้น

“น้ำอะไร”

“น้ำในร่างกายข้านี่แหละ!...แล้วท่านจะมาเซ้าซี้ข้าทำไมกัน!” เสียงของเธอเริ่มกลับมาเป็นเจ้าตัวเปี๊ยกคนเดิมของเขาแล้ว อัคยิ้มกว้างอย่างยินดี ก่อนเอ่ยด้วยสุ้มเสียงจริงจังกว่าครั้งใด

“เจ้ารู้ไหม...ข้าไม่อยากเห็นเจ้าร้องไห้เลย ไม่อยากเห็นแววตาเศร้าๆของเจ้าด้วย”

ชายหนุ่มใช้หลังนิ้วชี้ไล้สันจมูกของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนเอ่ยต่อ

“อย่าร้องไห้อีก...มันไม่เหมาะกับเจ้าเลยสักนิด”

“เอ๊ะ! ก็บอกว่าไม่ได้ร้องไง! ไม่ได้ร้อง! ไม่ได้ร้อง!” เจ้าตัวยื่นหน้าเข้ามาใกล้หูของเขาและตะโกนสองสามรอบ “ได้ยินชัดไหม ฮะ!”

จากนั้นร่างเล็กก็โผไปที่ลำธาร คุกเข่าลงแล้วเริ่มวักน้ำล้างหน้าล้างตาของตนเอง ส่วนอัคก็ลุกขึ้นยืน แล้วใช้มืออีกข้างสัมผัสตรงตำแหน่งที่น้ำตาของเธอหยาดหยด

รอยน้ำตาเหือดแห้งบนพวงแก้ม

ดั่งเดือนแรมมืดมิดบนฟากฟ้า

นานเท่าใดความมืดจักโรยลา

ดวงจันทราพลันเปล่งแสงเช่นวันวาน

ดวงตาที่แสนหวานราวแสงจันทร์นวลผ่อง ช่างงดงามอย่างหาที่ติไม่ได้ เวลานี้ดวงตาคู่นั้นกลับกลายเป็นดวงตาแสนเศร้าโศกดั่งคืนเดือนมืดก็ไม่ปาน...เขาปรารถนาเหลือเกินที่จะได้ดวงตาคู่เดิมของเธอกลับคืนมา

ร่างสูงก้าวเข้าไปนั่งเคียงข้างคนตัวเล็กที่ตอนนี้นั่งแปะลงบนพื้นดินเฉอะแฉะราวกับคนหมดเรี่ยวหมดแรง

“เจ้าอยากไปเที่ยวหฤษคีรีบ้างไหม”

พอพูดเรื่องเที่ยวแล้ว ดวงตาที่มีรอยโศกพลันเปล่งประกายขึ้นทันใด...แววตาแบบนี้ล่ะที่เขาต้องการ อัคมองดวงตาที่สานสบเขาด้วยหัวใจที่ไม่เย็นเยียบอีกต่อไปแล้ว

“อยากซิ! ข้าอยากไปเห็นว่าที่นั่นต่างจากอาวันตีของข้าอย่างไรบ้าง”

“แล้วสักวันเจ้าจะได้ไป”

“ท่านจะมารับข้าหรือ” เจ้าเปี๊ยกถามเล่นๆ หากคนถูกถามกลับตอบด้วยสุ้มเสียงจริงจัง...ละม้ายเป็นคำมั่นสัญญา

“ข้าต้องมารับเจ้าแน่นอน...ศาศวัตรา”






ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ม.ค. 2556, 00:10:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ม.ค. 2556, 00:08:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1978





<< บทที่ 3+บทที่ 4   บทที่ 7 >>
phugan 23 ม.ค. 2556, 07:26:08 น.
สุข..เศร้า..เคล้ากันไป...แต่คนอ่านอดยิ้มในความน่ารัีกไม่ได้ค่ะ...^^


โซดา 23 ม.ค. 2556, 08:46:38 น.
มารายงานตัวจร้า^^


angelK 23 ม.ค. 2556, 09:52:20 น.
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ

(ไม่ได้จะจับผิดนะคะ แต่แอบเห็นคำว่าเถลไถลที่บรรทัด13พิมพ์ผิดด้วยค่ะ แล้วคำว่า 'ริอาจ' นี่ไม่แน่ใจว่ามีหรือเปล่านะคะ เคยเห็นแต่ 'ริอ่าน' ค่ะ ยังไงลองเช็คในพจนานุกรมดูอีกทีนะคะ)


จิรารัตน์ 23 ม.ค. 2556, 11:38:27 น.
มาแิอบอ่านค่ะ


คิมหันตุ์ 23 ม.ค. 2556, 14:14:26 น.
ดราม่า กว่า ฉบับก่อนอีกหรือคะเนี่ยยยยยย?


แว่นใส 23 ม.ค. 2556, 18:03:27 น.
น่าสงสารนางเอกเราจริง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account