ร่ายรัก ลำนำเสน่หา
อดีตอันพลั้งพลาดได้ติดแน่นฝังตรึงจนกลายเป็นตราบาปที่ต่อให้ทั้งชาติไม่อาจไถ่ถอน มีเพียงประกายแห่งความหวังที่ผุดขึ้นที่กลางใจ สัมผัสลึกซึ้งของหัวใจดวงน้อยๆ ถึงสองดวงที่กำลังเต้นถี่ๆ อยู่ในกายเธอ

ภูวิช – มัณฑนากรหนุ่มหล่อ เลือดใหม่ ไฟแรง เจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างและออกแบบตกแต่งภายใน เป็นที่หมายปองของบรรดาหญิงสาวแทบจะทุกคนที่เฉียดเข้าใกล้ ทว่าหนุ่มโสดเนื้อหอมเช่นเขากลับครองตนเป็นโสด จนผู้คนรอบข้างเริ่มจะกังขาว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาคือพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว ภาพเงาของเหตุการณ์ในอดีตนั่นต่างหากเล่า ที่ติดค้างฝังลึกอยู่ในจิตใจ ความไม่แน่ใจในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดถูกซุกซ่อนเก็บไว้เนิ่นนาน คอยเป็นหอกทิ่มแทง จนไม่อาจเปิดรับใครใหม่เข้ามาในชีวิตอย่างสมบูรณ์ จวบจนวันเวลาผ่าน อาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตชักนำให้เขามีโอกาสที่จะกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตนั้นได้อีกครั้ง

ณิชญาฎา – สถาปนิกสาวสวย มาดมั่น เสน่ห์แรง ผู้มีสถานภาพคุณแม่ยังโสด ทว่าก็หาได้ลดทอนความสนใจของบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบกายเธอลงไปแม้แต่น้อย ผลพวงของความพลั้งพลาดในอดีตกลายกลับมาเป็นเงาดำทาบทับไม่อาจล้างจากกลางใจเธอ เพียงสิ่งเดียวที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว คอยฉุดรั้งเป็นกำลังใจให้ก้าวต่อ นั่นก็คือสองเด็กน้อยผู้เป็นยอดดวงใจแห่งเธอผู้เป็นมารดา นับแต่วันแรกที่ได้รู้ว่าชีวิตน้อย ๆ ได้ก่อกำเนิดขึ้นในกาย การตัดสินใจอันแน่วแน่ ของเธอได้ส่งผลให้วิถีชีวิตอันเป็นปกติต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

ตัวไหม + ใบหม่อน เด็กคู่แฝด ชาย - หญิง วัยสี่ขวบครึ่ง ผู้เป็นห่วงโซ่คล้องชีวิตของมารดา ไม่ให้ต้องแตกหักพิณพัง ลงไปนับแต่วันแห่งความสูญเสีย ความน่ารักบริสุทธิ์สดใสของเด็กน้อย สัมผัสแห่งความรักแตะแต้มชีวิต เสมือนหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมใจ เป็นที่หมายหลักและที่พึ่งสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่เพื่อใครซักคน ก่อเกิดกำลังใจให้ลุกขึ้นและหันหน้ามาเผชิญกับความจริงอันปวดร้าว ผลลัพธ์สุดท้าย ที่สุดแห่งความอดทน นั้นคือความอิ่มเอม เปรมปรีอันหาที่สุดมิได้

พฤทธิ์ – บุรุษหนุ่มทายาทตระกูลดัง มหาเศรษฐีชื่อก้อง ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มักจะมีบรรดาหญิงสาวมาคอยห้อมล้อม คอยตามหว่านเสน่ห์ หวังพิชิตใจหนุ่มผู้มั่งคั่ง ทว่าชั่วชีวิตของเขา กลับเทใจวางไว้แทบเท้าเพียงหญิงสาวนางเดียว นับตั้งแต่วันแรกเจอ จวบจนเหตุการณ์พลิกผัน แม้หญิงสาวผู้เป็นที่รักจะไม่บริสุทธิ์ดุจดั่งน้ำค้างยามรุ่งอรุณอีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงมั่นรัก เฝ้าติดตามดูแลเอาใจใส่ และหวังให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป ขอเพียงแค่สักวัน “เธอ” ผู้นั้น จะหันมามอง และรับ “เขา” ไว้ในใจเธอบ้างก็พอ

รินรตี – เลขาสาว ผู้มีอดีตอันขมขื่นจากครอบครัวที่แตกแยกไม่มีชิ้นดีกับการทอดทิ้งของบุพการี กลับกลายเป็นหล่อหลอมให้เธอมีความเข้มแข็ง และแกร่งเกินที่ใครจะคาดคิด กับทางที่เธอเลือกเดิน บางครั้งหลายคนอาจมองว่ามันไม่ถูกไม่ควร แต่สำหรับชีวิตที่มีทางเลือกไม่มานัก เธอจึงจำเป็นต้องทำ เพื่อความอยู่รอดของตัวเธอเอง

ฤา ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยจะมีอำนาจเหนือความเจ็บช้ำของรอยแผลในอดีต

ฤา ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ของผู้เป็นสายเลือด จะสามารถเป็นกาวใจ เอาชนะแรงทิฐิ ของผู้เป็นบิดา-มารดาลงได้

เรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร ก็คง สุดแท้แต่การนำพาของโชคชะตาใน “ร่ายรัก ลำนำเสน่หา”

Tags: ซึ้งกินใจ

ตอน: ตอนที่ 5 : เสน่หากับราคะ

หลังเวลาคลับเลิกไม่นาน ภายในลานจอดรถโล่งกว้างยังคงมีรถจอดอยู่ประปลาย หนึ่งในนั้นเป็นรถเก๋งคันใหญ่สีดำปลอดซึ่งจอดสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้แต่กลับไม่ยอมขับเคลื่อนไปไหน ข้างในห้องโดยสารของตัวรถ ชายวัยกลางคนกำลังจ้องมองไปยังประตูทางออกด้านหลัง ซึ่งเป็นทางออกของพนักงานประหนึ่งหนึ่งว่ากำลังรอใครสักคน ที่กำลังจะก้าวออกมาจากสถานที่แห่งนั้นอย่างใจจดใจจ่อ จนเมื่อสายตาของเขาไปกระทบเข้ากับร่างของหญิงสาวในชุดเสื้อยืดขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดที่เขาได้เห็นจนเจนตาในช่วงเวลากลางวันเมื่อเธอก้าวผ่านพ้นประตูบานนั้นออกมาพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีดำ ท่าทีที่ที่ปฏิบัติต่อกันดูสนิทสนมราวกับกำลังโอบประคอง และเมื่อได้เห็นใบหน้าของเธอแบบชัดๆ ก็ยิ่งแน่ใจว่าเป็นคนๆ เดียวกับที่เขากำลังสงสัยอย่างแน่นอน

“ใช่เธอจริงๆ นั่นแหละ รินรตี”

ดวงตารีดั่งเหยี่ยวหรี่ปรือลงอย่างใช้ความคิด แววเจ้าเล่ห์ปรากฏชัดบนใบหน้าอวบอูมทว่าซึ่งเริ่มจะย่นยับตามวัยที่ล่วงเลยมาจนถึงกลางคน ของนักธุรกิจชาวไทยเชื้อสายจีนผู้ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น นายพัฒนา กฤษณะโสภณ หรือในอีกมุมหนึ่ง เขาคือบิดาแท้ๆ ของพฤทธิ์หนุ่มหล่อไฮโซเลือดใหม่ที่สาวๆ ต่างพากันคลั่งไคล้เกือบจะทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ ณ เวลานี้

“จะให้ผมขับตามเธอไปหรือเปล่าครับท่าน” สารถีประจำรถเอ่ยถามเจ้านาย เมื่อเห็นว่าบุคคลเป้าหมายเดินออกมาจากคลับดังที่คาดการณ์เอาไว้ และกำลังจะไปขึ้นรถอีกคัน

“ไปสิ ไหนๆ ก็ตามมาจนถึงตอนนี้แล้วนี่ ไปดูต่อให้เห็นอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า สภาพบ้านช่องห้องหอของหล่อนเป็นอย่างไร ไม่แน่นะ! อาจเจออะไรดีๆ ที่ทำให้เรื่องระหว่างฉันกับแม่นั่นง่ายขึ้นก็เป็นได้” นายพัฒนามองตามร่างสมส่วนที่ก้าวตรงไปยังรถคันหน้าไม่วางตา ริมฝีปากหนาตามแบบของผู้มีอำนาจ ขยับเอ่ยอย่างความมุ่งมาดปรารถนา

และหลังจากนั้นที่รถยนต์เป้าหมายเคลื่อนตัวออกไป สารถีคู่ใจของนายพัฒนาก็จัดการเคลื่อนรถของตนขับตามไปช้าๆ โดยรักษาระยะห่างพอควร เพราะเป็นเวลากลางดึก สภาพท้องถนนทั่วไปจึงโล่งจนแทบจะไม่มีรถผ่านไปมา รถคันหน้ายังคงขับนำไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าจะรู้ว่ามีคนกำลังติดตาม จนวิ่งมาถึงย่านๆ หนึ่งในแถบชานเมือง จู่ๆ คนขับรถคันหน้าก็หักเลี้ยวบนทางแยกด้านขวามือโดยมิได้ส่งสัญญาณ และตรงเข้าซอยซึ่งสองข้างทางเป็นตึกแถวสภาพกลางใหม่ค่อนไปทางเก่า ที่มีลักษณะคล้ายกันจนเกือบจะทุกห้อง ที่สำคัญคือแต่ละช่วงตึกจะมีซอยแยกย่อยไปจนตลอดทาง

คนขับรถของนายพัฒนาพยายามเร่งความเร็วขึ้นติดตาม แต่เพราะความที่เสียจังหวะในช่วงที่หักเลี้ยวตามอย่างกะทันหัน ทำให้คลาดสายตาจากรถคันหน้าไปแบบไม่มีทางเลี่ยง ยิ่งในสภาพแวดล้อมที่เป็นซอกซอยแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งยากจะเดาว่ารถยนต์เป้าหมายของการติดตามนั้น เลี้ยวหายไปในซอกซอยไหน จนเมื่อมาถึงลานกว้างรกร้าง ซึ่งมีพงหญ้าขึ้นอยู่ประปรายบริเวณรอบๆ ทุกทิศโล่งเปลี่ยวปราศจากผู้คน สารถีคนเดิมจึงหันมาถามเป็นเชิงปรึกษากับเจ้านายตน

“เอาอย่างไรต่อครับท่าน?”

“มันคงรู้ตัวว่าถูกตาม ถึงได้เลี้ยวหนีหายไปเงียบๆ แบบนี้ ช่างเถอะ ตามต่อไปก็ใช่ว่าจะได้อะไรมากมาย หาที่อยู่แม่นั่นมันก็ไม่ได้ยากอะไรสักหน่อย อีกอย่าง นี่มันก็ดึกมากแล้วด้วย เรากลับกันเถอะ” นายพัฒนาตอบแล้วอิงศีรษะกับเบาะหลัง หลับตาลงอย่างต้องการจะพักผ่อน

“ถ้าอย่างนั้น คืนนี้ท่านจะกลับบ้านไหนดีครับ?”

“ไปคอนโดฯ ... ก็แล้วกัน กลับบ้านตอนนี้ ฉันก็คงต้องนอนเหงาคนเดียวอยู่ดี น่าเบื่อจะตาย” นายพัฒนาเอ่ยชื่อคอนโดฯ แห่งหนึ่งซึ่งก็นับว่าไกลจากบริเวณนั้นอยู่พอควร

“ครับท่าน แล้วจะให้โทรไปบอกเธอก่อนหรือเปล่าครับ” คนขับรถรับคำอย่างรู้ใจนายของตนดี และสิ่งที่เขาถามนั้น ก็เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เขาจะทำต่อไปนั้น ตรงตามประสงค์ของเจ้านายของตนแล้วเท่านั้น

“อื้ม...โทรไปก่อนก็ดี ฉันก็ไม่ได้อยากเจออะไรที่มันระคายลูกตาตัวเองนักหรอก” นายพัฒนาพูดเสียงเรียบคล้ายไม่ใส่ใจ เพราะรู้อยู่ตลอดเวลาว่าโลกที่เขาสร้างไว้เติมเต็มส่วนที่ขาดหายในชีวิตนั้น ล้วนแล้วแต่เกิดจากอำนาจเงินหาใช่ความรัก จะถามหาความซื่อสัตย์ ภักดีนั้นคงยากเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร

ว่าไปตามจริงแล้วนายพัฒนาก็ไม่ต่างอะไรไปจากบรรดาเศรษฐีทั่วๆ ไปสักเท่าไหร่นัก เขามีเงินมีทองมากมายที่หามาได้จากการน้ำพักน้ำแรงของการทำงานหนักมาตลอดชีวิต บุกบั่นสร้างฐานะขึ้นมาจนเป็นปึกแผ่นมั่นคงมาได้ถึงระดับนี้ ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาอยู่เอง ที่เขาจะสามารถมีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้ข้างนอกบ้าน ชดเชยให้กับเวลาที่เสียไปกับการทำงานหนัก ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา และเพราะเหตุนี้ภรรยาของเขาจึงปฏิเสธการใช้ชีวิตฉันท์สามีภรรยากับเขาอย่างสิ้นเชิง เหลือไว้แต่เพียงชื่อในทะเบียนสมรส และภาพที่จงใจปั้นแต่งมันขึ้นเพื่อหลอกตาสังคมภายนอกว่าเธอยังคงเป็นภรรยาและเขาคือสามีผู้คงมั่นต่อสถาบันครอบครัว ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ
---------------------------------------------
จิระจอดรถตรงบริเวณหน้าบ้านไม้ชั้นเดียวขนาดเล็กกระทัดรัด ซึ่งปลูกสร้างอยู่บนเนื้อที่ที่ใหญ่กว่าตัวบ้านเพียงเล็กน้อย ดูจากสภาพภายนอกแล้วก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่า ฐานะของเจ้าของหรือผู้อยู่อาศัยเป็นแค่คนระดับกลาง หรืออาจล่างกว่านั้นก็เป็นได้ ชายหนุ่มเปิดประตูรถลงมายืนอยู่ริมรั้ว ทำท่าเหมือนว่าเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูด สุดท้ายรินรตีจึงเป็นฝ่ายพูดออกมาแทน

“รตีรู้ว่าพี่จิระอยากจะพูดอะไร แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รตีเป็นคนผูก เพราะฉะนั้นรตีก็ควรจะแก้ด้วยตัวเอง พี่จิระอย่าห่วงไปเลย”

“รตีก็เห็นอยู่ ว่านับวันมันยิ่งอันตรายขึ้นทุกที มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคืนนี้พี่ไม่ได้มาส่ง” ไม่เฉพาะน้ำเสียง แม้แต่สายตาของจิระ ก็แสดงถึงความห่วงใยในสวัสดิภาพของเธอออกมาอย่างเด่นชัด

“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกค่ะ ถึงมีรตีก็เอาตัวรอดได้ พี่จิระทำอย่างกับว่ารตีไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้อย่างนั้นแหละ” รินรตีตอบพลางยิ้ม รับรู้ถึงความหวังดีที่ชายหนุ่มมอบให้อย่างจริงใจ

“แต่นายพัฒนาไม่เหมือนกันเศรษฐีหน้าโง่คนอื่นๆ นะรตี ไอ้หมอนั่นมันทั้งเจ้าเล่ห์ มิหนำซ้ำยังกัดไม่ปล่อย ขืนชะล่าใจ มีหวังได้พลาดท่าเสียทีมันเข้าสักวัน” หนุ่มรุ่นพี่ยังไม่คลายความวิตกกังวล

“พี่พูดเหมือนไม่เชื่อมือรตี พี่ไม่ไว้ใจตีแล้วหรือคะ” เธอทำหน้างอ ส่งเสียงถามงอนๆ

“ไม่ใช่ไม่ไว้ใจรตี แต่พี่ไม่ไว้ใจมันต่างหาก เกิดมันไม่หยุดแค่ตาม รตีจะเป็นผู้หญิง จะไปสู้รบปรบมืออะไรได้” จิระโคลงศีรษะ ให้เหตุผลด้วยสีหน้าหนักใจ

“ที่วันนี้รตีตรงกลับมาบ้านเลย ก็เพราะว่ารตีมีพี่จิระตามมาส่ง ไม่อย่างนั้น รตีก็คงจะแวะโรงพักแจ้งความไปแล้วล่ะ” รินรตีไม่เพียงทำท่าไม่สนใจในกิริยาของเขา มิหนำซ้ำยังค้านข้างๆ คูๆ ราวกับเป็นเรื่องขำขันไม่จริงจัง

“ไม่ต้องมาตลกเลยรตี นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ ยิ่งตอนนี้ด้วยแล้ว พี่ว่าเจ้าแก่นั่นมันต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่ารุ่งรวีกับรินรตีเป็นคนเดียวกัน เพราะฉะนั้นถ้ามันจะหาทางเข้าใกล้รตีก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ ไม่รู้ล่ะ พี่ไม่ไว้ใจ พรุ่งนี้รตีไปลาออกจากงานเสียให้เรียบร้อย ระหว่างนี้ถ้าติดขัดอะไรพี่จะช่วยเอง หรือจะให้ไปขอคุณพีจ่ายให้ค่าตัวรตีเพิ่มก็ยังไหว”

จิระหงุดหงิดใจกับความดื้อรั้นของรินรตี พยายามรวบรัดหาทางออก และยื่นข้อเสนอใหม่ให้กับหญิงสาว

“จะบ้าเหรอพี่จิระ ทำแบบนั้นคุณพีได้หาว่ารตีงกกันพอดี บอกแล้วไงคะว่าไม่ต้องห่วง เรื่องนี้รตีจัดการเองได้ รับรองว่าเอาอยู่” ดูจากหน้าตาและท่าทางของชายหนุ่มแล้ว ดูท่าว่าชายหนุ่มคงจะไม่ยอมคลายความวิตกกังวลลงไปง่ายๆ สาวเจ้าเลยแสร้งทำหน้าทะเล้นตาโต ตอบเสียงสูง หวังจะให้เขายิ้มออกมาบ้าง

“แต่พี่กังวล” จิระหนักใจจนแทบจะยอมแพ้ยอมรับออกมาเสียดื้อๆ

“อย่ากังวลไปเลยค่ะ บอกแล้วไงคะว่ารตีเอาอยู่”

รินรตีเข้าใจในความเป็นห่วงของจิระดี และรู้ดียิ่งว่าเหตุใดเขาจึงเป็นห่วงเป็นใยเธอมากมายขนาดนี้ แต่ความเข้าใจกับความรักย่อมเป็นคนละเรื่อง จะให้เธอตอบรับความหวังดีของเขาด้วยการรักเขาตอบนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยามที่หัวใจของเธอมีใครบางคนเข้าครองครองอยู่จนเต็มพื้นที่ดั่งเช่นเวลานี้

“รตี....” จิระขานชื่อเธออย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“รตีขอบคุณที่พี่เป็นห่วง แล้วก็ทำเพื่อรตีตั้งหลายอย่าง แต่รตีโตแล้ว ไม่ใช่เด็กอายุสิบหกอีกต่อไป เพราะฉะนั้นพี่ต้องเชื่อ ว่ารตีดูแลตัวเองได้” รินรตีบอกกับเขาอย่างมั่นใจ

“เฮ้อ! โตแล้วแต่ก็ยังดื้อเหมือนเดิม” คนฟังให้อดไม่ไหวจริงๆ ค่อนเข้าให้ในฐานที่รู้จักนิสัยใจคอกันดีมาเป็นเวลานาน

“ดื้อ แต่ก็น่ารักใช่ไหมล่ะคะ? เถอะค่ะ รับรองได้ ว่ารตีหาทางออกสำหรับเรื่องนี้ได้แน่” หญิงสาวส่งยิ้มหวาน เบาใจกว่าเมื่อแรกเป็นกอง เมื่อสัญญาณของชัยชนะเริ่มจะเด่นชัด

“ทางออก? ทางออกอะไร อย่าบอกนะว่า....” คำตอบของรินรตีกลับสะดุดหูจิระเข้าอย่างจัง จัดแจงรัวคำถามใส่ รินรตีเกรงว่าจะต้องถกกันยาวรีบเอ่ยตัดบท

“แน่ะ! คิดอะไรไปไกลอีกแล้ว รตีไม่ทำแบบนั้นหรอกค่ะ ยังไงๆ คุณพีก็เป็นผู้มีพระคุณของรตี รตีจะลาออกจากคลับได้ยังไง”

“ก็แล้วทางออกที่ว่ามันคืออะไรล่ะ ถ้ารตีไม่บอกแล้วพี่จะวางใจได้อย่างไร?”

“ความลับค่ะ ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ เอาไว้รตีพร้อม รตีสัญญาว่าจะบอกพี่จิระเป็นคนแรก”

จิระอ้าปากเถียงต่อ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ยกมือขยี้เรือนผมยาวสลวยอย่างเอ็นดูผสมอ่อนใจ เปิดโอกาสให้เจ้าตัวได้ได้พูดต่อ

“ดึกแล้ว พี่จิระก็กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะค่ะ รตีเองก็ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าเหมือนกัน เอาไว้เราค่อยเจอกันที่คลับตอนค่ำนะคะ บายค่ะ” รินรตีผละจากเขาและก้าวผ่านเข้าประตูรั้วไป ไม่วายหันมาโบกไม้โบกมือเป็นการบอกลา

จิระมองตามร่างสมส่วนลับหายเข้าไปภายในรั้วบ้าน ได้แต่สายหน้ายอมแพ้กับความเจ้าเล่ห์ของหญิงสาว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี รินรตีก็ยังคงเป็นรินรตีคนเดิม คนที่ไม่เคยยอมเปิดโอกาสให้เขาได้เผยความในใจที่มีต่อเธอออกไปแบบตรงๆ แม้สักครั้ง ไม่ว่าเขาจะพยายามสักกี่ครั้ง เธอก็ทำเป็นตีขลุมแบบเดิมได้ทุกครั้ง ชายอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่า ยิ่งนับวันเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ารินรตีกำลังห่างไกลออกไปจากเขาทุกที
--------------------------------------------
คอนโดมิเนียมที่ว่า เป็นอาคารชุดสุดหรูขนาดใหญ่ ซึ่งเปรียบเสมือนรังเล็กๆ ที่นายพัฒนาสร้างเอาไว้เป็นสถานพักผ่อนหย่อนคลายชั่วคราว รังที่มีไว้สำหรับเขากับหญิงสาวที่ได้แอบเลี้ยงดูปูเสื่อ เพื่อการแสวงหาความสุขทางกาย โดยความสมัครใจของบรรดาสาวๆ เหล่านั้น ที่ยอมแลกร่างกายอันสดสวยด้วยวัยสาวกับเงินตรา และสิ่งของมีค่าราคาแพงทั้งหลาย ที่เขาหยิบยื่นมาให้ด้วยความยินดี แลกกับความชูใจที่เขาจะได้รับจากพวกเธอ อย่างที่ตัวเขาเองก็คิดว่าสุดจะคุ้ม

ทันทีที่วางสายจากคนขับรถของนายพัฒนาลง ความโกลาหลภายในห้องพักขนาดเจ็ดสิบกว่าตารางเมตรพลันบังเกิด เมื่อหญิงสาวเจ้าของห้องกับหนุ่มหน้ามนคนที่เพิ่งจะลืมตาตื่น เพราะเสียงปลุกอันร้อนรนของคู่นอนสาวที่กำลังวิ่งวุ่นราวหนูติดจั่น เก็บข้าวของส่วนที่เป็นของเธอ โยนลวกๆ เข้าไปในตู้อย่างไม่รีรอ

“เอ้า! ยืนงงอยู่ทำไมล่ะกิต เก็บข้าวเก็บของเข้าสิ ตาแก่นั่นใกล้จะมาถึงเต็มทีแล้วนะ”

ยามที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าบุรุษผู้แก่คราวพ่อ ซึ่งให้การสนับสนุนต่อชีวิตอันฟุ้งเฟ้อสะดวกสบายแก่เธอจนเต็มล้น สรรพนามที่อิงฟ้ามักจะใช้เรียกขนาพร้อมกับสีหน้าเบื่อหน่ายอยู่เสมอก็คือ ‘ตาแก่’ แต่ครั้นเมื่ออยู่ต่อหน้า กิริยาท่าทางของหญิงสาวกลับเปลี่ยนไปราวกับคนละคน เธอจะว่าง่าย เอาอกเอาใจสารพัด โดยเฉพาะเรื่องบนเตียง ผิดกับที่เธอที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้โดยสิ้นเชิง คำที่ใช้เรียกขานก็จะปรับเปลี่ยนไปตามแต่สถานการณ์ว่าในช่วงเวลานั้นๆ เธอกำลังอยากได้อะไรจากเขา แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเธอจะบังคับตัวเองให้เรียกเขาจนติดปากว่า ‘คุณอา’

“โธ่โว้ย! อะไรกันวะ นึกจะมาก็มา แล้วนี่พี่อิงค์ จะให้ผมไปนอนที่ไหนกัน นี่มันดึกมากแล้วนะครับ” ชายหนุ่มรุ่นน้องผู้มีอายุอ่อนกว่าอิงฟ้าถึงสี่ปี เริ่มบ่นเสียงขรมเพราะความที่นึกฉุน ดูจากหน้าตาของเขาแล้ว ก็พอจะเดาออกว่าเขากำลังไม่พอใจอย่างเหลือที่

“จะที่ไหนก็รีบๆ ไปเถอะน่ะ เร็วๆ ด้วยป่านนี้คงใกล้จะมาถึงแล้วมั้ง เผลอๆ อาจจะอยู่หน้าลิฟต์แล้วก็ได้” อิงฟ้าหาได้ใส่ใจ พูดออกคำสั่งแบบรวกๆ ออกจะหวั่นใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังปลอบใจตัวเองว่ามันต้องผ่านไปได้เหมือนทุกที ในเวลาแบบนี้ให้อย่างไรเธอก็ไม่มีเวลามานั่งอธิบาย แจกแจงอะไรให้ใครฟังอยู่ดี

“พี่อิงค์นะพี่อิงค์ กิตบอกให้เลิกๆ กับมันเสียก็ไม่เชื่อ พี่คิดว่ากิตยากจนข้นแค้นนักหรือไง ถึงจะเลี้ยงพี่อิงค์ให้อยู่สบายอย่างที่คนอื่นๆ เขาทำไม่ได้น่ะ” กิตติคุณ ลุกขึ้นเก็บข้าวของๆ ตนใส่กระเป๋าเดินทางใบเล็กใบเดียวกับที่เขาหิ้วเมื่อตอนขามา ปากยังไม่วายพร่ำรำพันตัดพ้อต่อว่า

อิงฟ้าได้ฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะหันมาค่อนขอดด้วยคำพูดดูถูกที่ทำให้ชายหนุ่มนึกเคืองแค้นใจในตนเองอย่างถึงที่สุด “เลิกกับคุณพัฒน์ น่ะนะ! เลิกแล้วยังไง คิดจริงๆ หรือว่ากิตจะมีปัญญาหาที่อยู่สบายๆ แบบนี้ให้พี่อยู่ได้ ไหนจะยังค่าใช้จ่ายรายเดือนอีก ลำพังเงินเดือนของกิต แค่กระเป๋าใบเล็กๆ ใบหนึ่งของพี่ยังซื้อไม่ได้เลย”

หญิงสาวกวาดตาไปรอบๆ ห้องเพื่อสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะเป่าปากออกมาอย่างโล่งอก หันไปมองนิ่งที่ดวงหน้าของชายหนุ่มที่เธอคิดและบอกตัวเองอยู่เสมอมาว่าเธอรักเขา โดยไม่เคยคิดที่จะสำรวจใจตนเองอย่างถ่องแท้ว่าความรักที่เธอมีให้กับเขานั้น มันมากพอที่เธอจะละทิ้งความสะดวกสบายทั้งหมดที่เธอได้รับอยู่ในเวลานี้เพื่อไปใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่กับเขาได้หรือไม่ อิงฟ้าอดสงสารชายหนุ่มขึ้นมาไม่ได้ เมื่อเห็นเขาเริ่มจะทำหน้าจ๋อยๆ นึกอยากปลอบใจเขาขึ้นมาทันที

“ไม่เอาน่า อย่าคิดมากสิ กิตก็รู้นี่นาว่าพี่อิงค์จำเป็น และที่ทำลงไปทั้งหมดนี่ ก็เพื่ออนาคตของเราไงจ๊ะ ยิ้มหน่อยเถอะนะคนดี” อิงฟ้าเดินเข้ามาใกล้ คล้องคอเขาเอาไว้ด้วยสองแขนเรียวเสลา โน้มศีรษะคนตัวสูงลงมา แนบจุมพิตอุ่นเนิบหวานชิดริมฝีปากหยักรูปกระจับแดงระเรื่อ พาให้เคลิบเคลิ้ม ก่อนจะถอนออกช้าๆ พาให้คนที่กำลังเคลิบเคลิ้มแทบจะผวาตาม

“แล้วมันจะอีกนานสักแค่ไหนกันล่ะครับพี่อิงค์” กิตติคุณออดถามเสียงอ้อนอย่างคนที่เฝ้าแต่รอเวลามานานเต็มที

“เอาเถอะน่ะ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นล่ะ ทำไมจ๊ะ หรือว่ากิตจะไม่รอพี่อิงค์แล้ว” คนถูกถามตอบออกมาในแบบที่คนฟังฟังแล้วก็ยังไม่ใช่คำตอบอยู่ดี อ้อนออดถามเบี่ยงประเด็นที่หนุ่มรุ่นน้องถึงกับเบิกตากว้างรีบตอบปฏิเสธ ไปในเกือบจะทันทีทันใด

“เปล่านะครับพี่อิงค์ กิตไม่เคยคิดแบบนั้นเลย เพียงแต่....กิตเริ่มจะไม่แน่ใจ ว่าพี่อิงค์จะยังรักกิตเหมือนเดิม เหมือนกับที่พี่เคยบอกไว้หรือเปล่า แค่นั้นเอง”

“โธ่.... รักสิจ๊ะ รักเหมือนเดิมทุกอย่างนั่นล่ะ กิตเชื่อพี่อิงค์นะ ว่าพี่ไม่มีวันเปลี่ยนใจไปจากกิตแน่นอน แต่ว่าตอนนี้ พี่อิงค์คงไม่มีเวลาจะพิสูจน์อะไรให้กิตเชื่อหรอกนะจ๊ะ เพราะฉะนั้นตอนนี้กิตเข้าใจพี่หน่อยนะจ๊ะ นะจ๊ะคนดี” อิงฟ้าพูดกลั้วหัวเราะ เสียงหวานใสยืนยันไปตามเรื่องตามราว พยายามปลอบเด็กหนุ่มไปพร้อมๆ กับบอกให้รู้ว่าเขาเองก็ต้องรีบออกไปเพราะเวลาเหลือน้อยเต็มที

“ก็ได้ครับ ผมจะพยายามเข้าใจ จะพยายามเชื่อพี่อิงค์ทุกอย่าง และไม่ทำให้พี่อิงค์ต้องลำบากใจ” กิตติคุณรับคำอย่างว่าง่าย ส่งยิ้มหวาน เท่ห์บาดใจ เป็นยิ้มที่ทำให้โลกทั้งโลกของอิงฟ้าแทบจะหยุดหมุน ลืมแม้กระทั่งลมหายใจเข้าออกของตัวเอง แต่ก็จำต้องตัด ทั้งที่ใจนึกอยากให้เขาอยู่ค้างคืนเสียกับเธอที่นี่เต็มประดา

“ดีมากจ้ะ ยอดรักของพี่ ถ้าเข้าใจแล้ว ตอนนี้กิตรีบออกไปก่อนเถอะนะ เอาไว้พรุ่งนี้ตอนสายๆ ค่อยโทรหาพี่อีกที” หญิงสาวผละเดินไปที่ปลายเตียงหยิบกระเป๋าของเขามาส่งให้ ชายหนุ่มรับไว้แบบไม่เต็มใจ ส่งสายตาอ้อยอิ่ง แต่ก็ยอมลุกขึ้นอย่างพยายามตัดใจ

“โอ.เค ครับ งั้นกิตไปเลยละกัน”

“จ้ะ... เอ้อ! เดี๋ยวก่อน กิตมีสตางค์ค่ารถหรือเปล่า” อิงฟ้าเรียกเขาเอาไว้ และถามอย่างเพิ่งนึกขึ้นมาได้ หนุ่มวัยอ่อนหันมามองแล้วถามกลับ ทำหน้าฉงน

“มีสิครับ พี่อิงค์ถามทำไม”

“ก็... พี่แค่เป็นห่วง” หญิงสาวอ้ำอึ้งตอบคำที่ชายหนุ่มนึกฉิวขึ้นมาอีกระลอก

“พิ่อิงค์! กิตไม่ใช่แมงดานะครับ กะอีแค่ค่าแท็กซี่ กิตพอมีหรอกน่ะ” กิตติคุณ ประชดตอบนัยน์ตาขุ่น

“เปล่านะจ๊ะ พี่อิงค์ไม่เคยคิดแบบนั้น เฮ้อ! กิตไปเถอะแล้วพรุ่งนี้อย่าลืมโทรหาพี่อิงค์ด้วยนะ” ถอนหายใจ บอกไม่ถูกกเหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้รู้สึกทั้งหวงทั้งห่วงเด็กหนุ่มขึ้นมา

“รู้แล้วละครับ กิตไปล่ะ” ชายหนุ่มรับคำแล้วรีบหันหลังเดินออกจากห้องไปทันที

เด็กหนุ่มเดินตรงไปกดเรียกลิฟต์แล้วยืนรอ เมื่อประตูลิฟต์เลื่อนเปิดออก ใบหน้าของบุรุษสูงวัยที่เดินสวนออกมา ทำเอาเขาสะดุดลมหายใจตนเองไปครู่หนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ ครั้นก้าวเข้าไปในตัวลิฟต์แล้วกิตติคุณกลับยังไม่ยอมกดปิดประตู ยืนรออยู่ชั่วครู่แล้วชะโงกหน้าออกไปดู ทันได้เห็นร่างของบุรุษผู้นั้นหายลับไปภายในห้องที่ตนเพิ่งจะพ้นออกมาไม่นาน และสิ่งที่ได้เห็นกับตาก็พาให้อกใจของเขาร้อนลุ่ม ใจเต้นเร็วไม่เป็นส่ำ ร้องบอกกับตนเองอย่างหมายมั่นและคุมแค้น

‘มันนี่เอง มารหัวใจระหว่างฉันกับพี่อิงค์ สักวัน ฉันจะเหยียบย่ำแกให้จมดิน ฉันจะเอาพี่อิงค์กลับคืนมาเป็นของฉันให้ได้ คอยดูไปก็แล้วกัน’
-----------------------------------------------
แม้จะดึกแสนดึก แต่สำหรับชายผู้ผ่านพ้นวัยกลางคนไปแล้วอย่างนายพัฒนากลับยังไม่มีทีท่าว่าจะง่วงลงไปเลยแม้แต่น้อย ในหัวของเขาเฝ้าวนเวียนคิดถึงวงหน้างดงาม ดวงตามีแววตาหวานปานจะหยด รวมทั้งเรื่องราวอันเป็นความลับของหญิงสาวที่เขาเพิ่งจะได้ล่วงรู้มา เมื่อช่วงค่อนดึกของค่ำคืนที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี่เอง

รินรตี ในยามกลางวันนั้น ดูช่างเรียบร้อย น่ารัก ไว้เนื้อไว้ตัวหนักหนา และที่สำคัญก็คือเธอเป็นคนสวย สวยจนเขารู้สึกสะดุดตา นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ฝ่ายบุคคลนำเธอเข้ามาแนะนำ ถึงในห้องทำงานของเขา ว่าเธอคือเลขานุการคนใหม่ ที่เขาสั่งให้จัดหาเตรียมไว้รอรับพ่อลูกชายหัวดื้อซึ่งกำลังจะกลับจากอเมริกา มาเริ่มงานในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้บริหารของอาณาจักรธุรกิจที่เขาได้ก่อร่างสร้างมันขึ้นมากับมือ เขาหมายหมั้นปั้นมือเอาไว้ว่า เขาจะสามารถวางมือจากธุรกิจทั้งหมดฝากไว้ให้บุตรชายได้ดูแลต่อ เมื่อถึงวันที่เขาคิดว่าจะเกษียณตัวเองออกไปพักผ่อนอย่าง สบายๆ เป็นการถาวรเสียที

นายพัฒนาแอบมองดวงหน้าคมขำปนหวานซึ้งของรินรตีอยู่เงียบๆ อดไม่ได้ที่จะคิดหวังอยู่ในใจ ความสวยอย่างมีระดับของหญิงสาวผู้นี้ หากเขาได้ครอบครองเป็นเจ้าของ ต่อให้ต้องละทิ้งบรรดาสาวๆ ทั้งหมดที่เขาครอบครองอยู่ในเวลานี้ เขาก็ยอม หรือแม้แต่ทะเบียนสมรสที่ยังคงค้างคาอยู่กับภรรยาของเขา หากว่าหญิงสาวต้องการ เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถเอามันมากองแทบเท้าให้เธอได้โดยลังเลแม้แต่น้อย

“คุณอา... ยังไม่นอนหรือคะ นี่มันก็เกือบจะเช้าอยู่แล้ว ทำไมยังไม่ยอมพักผ่อนอีก” อาการตกอยู่ในห้วงคิดคำนึงของเขา หาได้รอดพ้นไปจากสายตาของหญิงสาวที่นอนแนบขนาบอยู่ข้างกายเขาไปได้แม้แต่น้อย

“อ้าว! แล้วอิงค์ล่ะ ทำไมถึงยังไม่ยอมนอน” นายพัฒนาถามพลางหันกลับมามองร่างบางนวลผ่องลออตา ที่เขายังคงกกกอดเอาไว้แนบอก ทั้งที่ได้เสร็จกิจแห่งกามาลงไปนานพอควรแล้ว

“แหม! ก็แล้วจะให้อิงค์ข่มตาหลับลงไปได้อย่างไรเล่าคะ คุณอาเอาแต่ถอนใจเฮือกๆ อยู่แบบนี้ จะให้อิงค์นอนหลับได้อย่างไร มัวแต่คิดถึงใครอยู่ก็ไม่รู้” อิงฟ้าแสร้งทำหน้าเง้างอน ปากตัดพ้อ แต่มือกลับซุกซน ลูบไล้เวียนวน จนคนที่ถูกอิงแอบแทบจะทนนิ่งอยู่ไม่ไหว

“หึ...อย่าบอกนะว่าเธอกำลังหึง แล้วไอ้ที่ข่มตาไม่หลับน่ะ เป็นเพราะฉันมากวนเวลานอนตอนดึกของเธอมากกว่าละมั้ง สาวน้อย” เขาหันมาเผชิญหน้า มองปราดไปบนร่างงามภายใต้ผ้าห่มหนา ซึ่งรู้ดีว่าปราศจากอาภรณ์ห่อคลุม ดวงตาเรียวฉายชัดไปด้วยรอยพิศวาสอย่างเต็มเปี่ยมและเปิดเผย มือไม้เริ่มจะไม่อยู่นิ่ง ทำเอาคนเริ่มเปิดเกมออกอาการแดงเห่อไปทั่วเนื้อนวล ที่โผล่พ้นออกมานอกผ้าอย่างปิดไม่มิด

“โธ่! คุณอาละก็ พูดอะไรแบบนั้นกันละคะ อิงค์หรือเป็นห่วงคุณอาจะแย่ กลับมากล่าวหากันเสียดื้อๆ แบบนี้อิงค์ก็น้อยใจแย่สิคะ” หญิงสาวเดินหน้าใส่จริต ออดอ้อนในแบบที่รู้ดีว่าจับใจบุรุษที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยชราผู้นี้เป็นหนักหนา ทั้งดวงหน้าตลอดจนทั่วทั้งตัวเธอออกจะร้อนรุ่ม ไปกับสัมผัสที่รุกเร้าเอาแต่ใจของพัฒนาขึ้นมาจนสุดที่จะระงับ

“แน่ะ! เดี๋ยวนี้รู้จักน้อยใจ เอาเถอะ! ฉันจะยอมนอนก็ได้ แต่คงจะต้องต้องหลังจากที่เธอทำให้ฉันพอใจเสียก่อน แล้วเราค่อยนอนหลับพร้อมกัน” เสียงพูดติดจะกระเส่า เผยเป็นนัยออกมาจากปากของบุรุษผู้มีบารมี มากพอกับระดับตัณหาราคะที่ยังคงมีอยู่เต็มปรี่ แทบจะล้นทะลักออกมานอกกาย เขาพลิกร่างโถมเข้าใส่ฟอนเฟ้นควานหาความหวานฉ่ำชื่นระรื่นใจ จากเรือนกายหอมกรุ่นของร่างอรชร ที่ตนเพียรเก็บเกี่ยวความหอมหวานมิสร่างซามาเนิ่นนานนับเกือบปี

“คุณอา! นี่มันจะเช้าแล้วนะคะ” อิงฟ้าเกี่ยงพร้อมกับแสดงสีหน้างอน ทว่ากายอ่อนละมุนของเธอกลับยินยอมพร้อมใจ จะติดตามเขาไปยังดินแดนหรรษา หาได้มีทีท่าว่าจะปฏิเสธดังคำที่ตนพร่ำพูดแม้แต่น้อย

“หึ... ก็รีบๆ เข้าสิ เดี๋ยวเราจะได้นอนพักผ่อนอย่างที่เธอว่าเสียที”

และแล้วบทแพลงแห่งราคะจึงได้เริ่มบรรเลงขึ้นอีกครั้ง เป็นบทเพลงที่อัดแน่นไปด้วยความรุ่มร้อนของท่วงทำนองแห่งเสน่หาอันบีบคั้นขมวดแน่น บิดเป็นเกลียวราวกับแกนของพายุที่กำลังคลั่งโถมเข้าใส่เรือลำน้อยที่อาจหาญท้าทายเกลียวคลื่น ก่อนที่แรงลมร้ายนั้นจะสงบนิ่ง ทิ้งท้ายไว้แต่เพียงรอยริ้วบนผิวน้ำ อันเกิดจากกระแสลมอ่อน โบกโบยเอาความงงงันเข้ามาสู่เรือน้อยที่จอดนิ่งไปพร้อมกับเสียงเรียกชื่อจากริมฝีปากหยักหนาของคนที่แทบจะไม่รู้เลยว่าตนพร่ำเรียกชื่อหญิงสาวคนใดออกมา

‘ฉันชักอยากจะรู้แล้วสิ ว่าเธอเป็นใคร’ ‘รินรตี’
----------------------------------------
ร่างแบบบางของหญิงสาวนั่งแปะลงอยู่กับพื้นห้อง สองมือกำลังสาละวนวุ่นวายอยู่กับการแยกสิ่งของที่กองรวมอยู่บนพื้น เมื่อเสียงเรียกที่ดังขึ้นจากกริ่งสัญญาณร้องบอกถึงการมาของใครบางคน ทั้งที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยจะมีใครแวะเวียนมาหา ด้วยตัวเจ้าของบ้านไม่เคยอนุญาต เว้นไว้เสียแต่บางคน ที่ตระหนักได้เป็นอย่างดีแล้วว่าคือ ‘มิตรแท้’

“เอ๊ะ! ใครกันนะมากดกริ่ง หรือว่าจะเป็นพีท แจ่มจ๊ะ แจ่ม ออกไปดูหน่อยสิจ๊ะว่าใครมา” เสียงใสของหญิงสาวเจ้าของบ้านเปรยขึ้นกับตัวเอง แล้วจึงส่งเสียงที่ค่อนข้างดังร้องบอกกับเด็กรับใช้ ขณะที่ตนเองยังคงสาระวนกับการแยกข้าวแยกของที่เพิ่งขนกลับจากโรงพยาบาลมาหมาดๆ ตามมาด้วยเสียงของแม่สาวใช้คนใหม่ ที่เพิ่งจะอยู่ประจำการมาได้เพียงสามวัน ขานรับออกมาจากทางหลังบ้าน ก่อนจะวิ่งอ้อมไปเปิดประตูรับแขกตามคำสั่งของเจ้านายสาวคนงาม

“คุณแพรคะ คุณคนนี้เธอบอกว่าจะมาขอเรียนพบคุณค่ะ” สาวใช้วัยกำดัด ยอบตัวเข้ามาแจ้งณิชญาที่ยังคงก้มหน้าก้มตาจัดของง่วนอยู่ จนไม่ทันสังเกตเห็นว่าใครคนหนึ่งเข้ามาหยุดยืนอยู่ในห้องรับแขกของเธอเป็นที่เรียบร้อยโดยไม่ต้องรอให้ใครเชิญ

ณิชญาฎาหันไปมองตามคำบอกแล้วถึงกับหน้าเจื่อน เอ่ยกับสาวใช้ ให้กลับไปทำงานของตนที่ค้างยังด้านหลังทันที

“พี่ภู...มาที่นี่ได้อย่างไรมิทราบ”

น้ำเสียงดุปนขุ่น เอ่ยทักไปยังแขกที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาอย่างสดๆ ร้อนๆ นึกเคืองตัวเองอยู่รำไร ที่ไม่ได้กำชับกับแม่สาวใช้คนใหม่เอาไว้ให้ดี ว่าห้ามเปิดรับว่าคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านนี้เป็นอันขาด

“ทำไมแพรถึงไม่อยู่รอพี่ก่อน”

ภูวิชไม่ได้ตอบคำถาม แต่ถามเธอกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งอันเนื่องมาจากอารมณ์ขุ่นเคือง ที่เจ้าตัวพยายามจะเก็บเอาไว้อย่างเต็มที่

“รอทำไม แพรก็แค่พาลูกกลับบ้าน ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรที่ตรงไหน” เจ้าบ้านสาวเชิดหน้าตอบ วางมือจากกองสัมภาระ แล้วลุกขึ้นยืนเสมอชายผู้เป็นแขก โดยไม่คิดจะเชื้อเชิญให้เขาเข้ามายังด้านใน

“พี่คิดว่าเมื่อวานเราคุยกันรู้เรื่องแล้วเสียอีกนะแพร” ภูวิชเอ่ยเท้าความถึงสิ่งที่ได้ตกลงกันไว้

“ก็...แพรจะไปรู้ได้อย่างไร ว่าวันนี้จะมีธุระด่วน ต้องรีบรับลูกกลับมาก่อน”

ณิชญาฎาแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ ทั้งที่เธอเองไม่ได้มีธุระปังที่ไหน อีกทั้งยังจำได้ดี ถึงสิ่งที่ภูวิชกำชับนักกำชับหนาว่าให้เธอรอ เขาจะขอติดตามมาส่งพ่อหนูน้อยถึงที่บ้าน แต่ณิชญาฎากลับไม่ทำตามสัญญา แอบพาลูกหนีเขากลับมาก่อน ปล่อยเขางุ่นง่านตามหาที่อยู่ของเธอให้ควั่ก

“ธุระอะไรไม่ทราบ แพรรู้ไหมว่าพี่เสียเวลาตามหาที่อยู่ของแพรนานขนาดไหน”

“ก็แล้วใครใช้ให้ตามหาล่ะ แพรไม่เคยร้องขอให้พี่ภูตามมาส่งตาหม่อนสักครั้งเลยนะ”

“พูดแบบนี้ แปลว่าอยากให้ทบทวน” ภูวิชย่างสามขุมเข้าหา น่ากลัวเสียจนณิชญาฎาถอยกรูด

“นี่...หยุดนะ คุณจะทำอะไร ที่นี่มันในบ้านของฉันนะ” ร่างแบบบางถอยไปเรื่อย จนกระทั่งหลังชิดกำแพง

“กลัวด้วยหรือแพร อย่างพี่นี่นะ มีอะไรน่ากลัวนักหนา ทีเมื่อก่อน ไม่เคยเห็นว่าแพรจะเคยกลัว”

ร่างสูงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เอ่ยวาจาข่มขู่ไม่ลดละ สองแขนยันกำแพง กักกันร่างบางของเธอไว้ ไร้ซึ่งหนทางจะหนีรอดไปจากเขาได้พ้น

“พี่...พี่ภูจะบ้าหรือ ถอยไปนะ พี่ภูจะทำอะไร”

ณิชญาฎาใช้เสียงเข้าข่ม เบียดกายลีบเสียจนชิดแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับกำแพง

“พี่ไม่ทำอะไรแพรหรอก ก็แค่อยากจะถาม ว่าแพรทำแบบนี้ทำไม จงใจจะยั่วโมโหพี่อย่างนั้นหรือ”

ภูวิชยื่นหน้าเข้าไปจนเกือบชิด กระซิบถามจนลมหายใจแผ่วสัมผัสตรงริมหูของณิชญาฎาที่เอียงหน้าหลบ ขนกายลุกกันเกรียวกราว

“ทำไม แพรทำอะไร แพรยังไม่ได้ทำอะไรเลยสักหน่อย กับอีแค่..แพรพาลูกของแพรกลับบ้านเนี่ยนะ” เจ้าของบ้านสาวเถียงฉอดๆ เบือนหน้าถอยหนีผู้บุกรุกทั้งที่ไม่มีทางจะถอย

“นั่นสิ แค่พาลูกหนีกลับมาบ้าน ไม่ยอมรอพี่ ทั้งที่แพรรับปากกับพี่แล้วอย่างดิบดี หรือว่ายังมีอะไรจะเถียง”

เขาพูดพลางจับคางของหญิงสาวบิดให้หันกลับมาเผชิญหน้า ลืมนึกไปเสียสนิทว่าคางเธอออกจะเล็กบอบบางขนาดนั้น จะต้านทานน้ำหนักมือของบุรุษเพศเยี่ยงเขาได้อย่างไร

“พี่ภูปล่อย แพรเจ็บ”

หญิงสาวร้องออกมาเพราะความเจ็บ เจ็บจริงๆ หาใช่มารยาหญิงอย่างที่ใครบางคนกำลังคิดเข้าใจไปเองไม่

“อ้อ! เจ็บเป็นกับเขาด้วยหรือ ทีตัวเองยังรู้จักเจ็บ แล้วพี่ล่ะแพร พี่มันคนไม่มีหัวใจใช่ไหม แพรถึงได้ตัดสินใจทำอะไรลงไปแบบนั้น โดยที่ไม่คิดถึงใจพี่เลย” ภูวิชค่อนว่า ยังคงไม่ยอมปล่อยมือจากคางสวยบอบบางของหญิงสาว

“พี่ภูจะบ้าเหรอ พี่พูดอะไร แพรไม่เห็นจะเข้าใจสักอย่าง ปล่อยนะ บอกว่าแพรเจ็บไง ได้ยินรึเปล่าว่าแพรเจ็บ”

ณิชญาฎาดิ้นรนเบี่ยงดวงหน้าออกจากการเกาะกุม ทว่ากลับกลายเป็นตัวเธอที่กำลังติดกับ ตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง โอบล้อมกายเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา

“ดิ้นหรือ ดีสิ ดิ้นเข้าไปเลยแพร พี่จะบอกอะไรให้นะ ว่าเจ็บแค่นี้น่ะมันยังน้อยไป ถ้าเทียบกับหัวใจพี่ที่มันเจ็บเสียจนร้องไม่ออกอยู่ตอนนี้”

ภูวิชเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด สกัดแรงดิ้นรนของร่างบอบบางในอ้อมแขนด้วยการกดเธอเอาไว้กับผนัง บดเบียดกายเข้าหาจนณิชญาฎาอึดอัด หายใจแทบจะไม่ออก

“พี่ภู ปล่อยแพรก่อน แพรหายใจจะไม่ออก” หญิงสาวเริ่มจะใจเสีย รำพันบอกน้ำตาริน

“หึ กลัวตายขึ้นมาหรือไงแพร ทีอีตอนอุ้มท้องหอบลูกหนี ยังไม่เห็นจะกลัวอะไรเลยนี่นา”

ดูเหมือนว่าน้ำตาของณิชญาฎาจะช่วยเตือนสติของเขา ภูวิชคลายความแน่นของวงแขน แต่ยังคงไม่ยอมปล่อยร่างบอบบางจากอกตน เปรยถึงต้นเหตุแห่งความขึ้งเครียดที่อัดแน่นอยู่จนเต็มอกของเขายามนี้

“พี่ภูพูดอะไร ใครหอบลูกหนี พี่อย่ามากล่าวหากันชุ่ยๆ แบบนี้นะ” ณิชญาฎาใจต้มๆ ต่ำๆ กลัวเหลือเกินว่าเขาจะตามมาถูกทาง เดาเรื่องทั้งหมดได้ทั้งที่ยังไม่เคยมีใครบอก

“พี่น่ะหรือพูดชุ่ย แพรต่างหากเล่าที่ทำอะไรชุ่ยๆ ชุ่ยจนไม่คิดว่าลูกเองก็ต้องการพ่อของเขาเหมือนกัน” ภูวิชสวนกลับไม่ยั้ง ความน้อยใจประดัง เสียแรงที่เคยนึกชื่นชม ไม่นึกเลยว่าหญิงสาวจะใจร้ายใจดำถึงเพียงนี้

“พ่อที่ไหน พ่อใคร แพรบอกพี่ไปแล้วไง ว่าพ่อของพวกแกตายไปตั้งนานแล้ว” ณิชญาฎายังยืนยันในสิ่งที่เธอได้บอกกับเขาไปก่อนหน้านี้แล้วอีกครั้ง

“แต่พี่ยังไม่ตาย แพรเองก็รู้ดีว่าพี่ยังอยู่ แล้วทำไมถึงบอกลูกบอกกับทุกๆ คนไปแบบนั้น” ชายหนุ่มกระชากเสียงค้าน แววตากระด้างรุกไล่คาดคั้น

“พี่ภูไม่ใช่พ่อของพวกแก อย่ามัวแต่คิดเหมาเดาสุ่มเอาเองอยู่แบบนี้เลย แพรขอร้อง ปล่อยแพรกับลูกไปเถอะนะคะ”

หญิงสาวพยายามเจรจาร้องขอ เกือบจะเรียกว่าอ้อนวอนเสียด้วยซ้ำ แอบหวังในใจว่าเขาจะใจอ่อน ยอมเลิกลาไปเสียที

“ปล่อยหรือ ได้สิ พี่จะปล่อยแพรไปก็ได้ แต่ว่าลูกต้องอยู่กับพี่” คำตอบของเขา ชัดเสียจนณิชญาฎาถึงกับอ้าปากค้าง

“พี่ภู! แพรบอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่า พวกแกไม่ใช่ลูกของพี่ ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับพี่ทั้งนั้น” เธอละล่ำละลักยืนกรานปฏิเสธ เสียงรัวจนฟังไม่เป็นศัพท์

“ไม่เกี่ยวข้องอย่างนั้นหรือ แล้วนี่อะไรกันแพร นี่อะไร ตอบพี่มาสิ ว่าผล DNA นี่มันคืออะไร”

เศษกระดาษแผ่นบาง ถูกควักออกมาจากกระเป๋ากางเกงในทันทีที่เขาปล่อยมือจากตัวเธอ โดยที่ไม่ต้องเปิดอ่าน เขาตะโกนถามใส่หน้าณิชญาฎา ใบหน้าที่เคยขาว พลันก่ำแดงขึ้นมาด้วยแรงโทสะ ในขณะที่ณิชญาฎาสะอึกอึ้ง นิ่งค้างไปกับความคาดไม่ถึง

“พี่...ภู”

“หึ... อึ้งเลยละสิ แพรลืมไปแล้วหรือ ว่าวิทยาการสมัยนี้มันก้าวหน้าไปจนถึงไหนๆ แล้ว กับอีแค่เลือดหนึ่งหยด หรือว่าผมเส้นเดียว แค่นั้นมันก็บอกอะไรต่อมิอะไรได้จนหมดเปลือก แพรยังจะมีหน้ามาโกหกพี่อีกหรือ”

วาจาเขายังคงหยันเยาะไม่เลิกลา ในขณะที่ณิชญาฎาได้แต่นิ่งเงียบ พยายามรวมรวมสติ คิดหาหนทางออกไม่หยุดหย่อน

“ไง คราวนี้ยังจะมีเหตุผลข้ออ้างอะไรมาตีหน้าซื่อโกหกหลอกลวงพี่ได้อีก ไม่ต้องมาทำเป็นสั่นเลยนะแพร สั่นทำไม บอกแล้วไงว่าไม่ต้องกลัว รับรองว่าพี่ไม่ฆ่าแพรแน่”

“แล้วพี่ต้องการอะไร”

ณิชญาฎาพยายามข่มอาการสั่นสะท้านของตน หญิงสาวที่นิ่งอึ้งไปนาน พยายามรวบรวมความกล้าเอ่ยถามทั้งที่เสียงยังคงสั่น ชนิดที่ปิดเท่าไหร่ก็ปิดไม่มิด

“พี่ต้องการลูก” ภูวิชตอบอย่างไม่มีการอ้อมค้อม

“ไม่ได้ พวกแกเป็นลูกของแพร ลูกของแพรคนเดียว”

เสียงหวานสะบัดกลับ ยืนยันในสิทธิ์ที่ตนพึงมีอยู่ในตัวบุตรทั้งสอง

“หึ.... แพรนี่ตลกนะ ลำพังตัวคนเดียว แพรจะท้องขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าหากไม่มีพี่ช่วย”

สายตาคมกล้าจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้างามเก๋ไม่วางตาพลันเปลี่ยนเป็นไหวระริก ราวกับว่ามีน้ำใสๆ วนกลิ้งอยู่รอบ ดวงตาก็ไม่ปาน

“หยาบคาย”

“ทีคืนนั้นไม่เห็นบ่นเลยนี่นา”

“นี่... พี่”

“พี่มีข้อเสนอ”

ภูวิชตัดบท หมดเวลาจะมามัวยืนโต้เถียงกันอยู่ตรงนี้ จึงวกกลับเข้ามาสู่เรื่องที่ตนเฝ้าวนเวียนคิดหาวิธี นับตั้งแต่ช่วงสายๆ ของวันนี้ ที่เขาได้รับกระดาษแผ่นบางแผ่นนั้นมาไว้ในมือ

“ข้อเสนออะไรไม่ทราบ ถึงอย่างไรลูกก็เป็นสิทธิ์ขาดของแพร ไม่มีเหตุผลอะไรที่แพรจะต้องไปต่อรองกับพี่” ณิชญาฎาเชิดหน้าเถียง ทำท่าว่าจะไม่ยี่หระกับเศษกระดาษเพียงแค่แผ่นเดียว

“แน่ใจหรือว่า แพรอยากจะเจอกับพี่ที่ในศาล”

“นี่... พี่ภูขู่แพรหรือ”

“ช่วยไม่ได้ ใครกันที่เป็นคนเริ่มเกมนี้ อย่าลืมสิว่าแพรเป็นคนบีบบังคับให้พี่ต้องทำแบบนี้เอง”

“แล้วพี่ภูมีข้อเสนออะไร” ณิชญาฎาเอ่ยถามขึ้นหลังจากได้หยุดคิดใคร่ครวญทบทวนอีกครั้ง

“พี่จะขอมาเยี่ยมลูก มาเล่นกับแก พาแกไปเที่ยวเล่น ข้างนอกบ้านบ้าง” เงื่อนไขของภูวิชทำให้ณิชญาฎาพอจะคลายใจลงไปบ้าง แต่ก็ยังไม่วายพยายามจะคิดตรวจสอบให้ถี่ถ้วนตามนิสัย

“แค่นั้นหรือ”

“พี่ไม่ใช่คนโลภมากหรอกนะแพร พอจะรู้อยู่หรอก ว่าเรื่องแบบนี้ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป”

“แพรขอคิดูก่อน”

“จะคิดอะไรอีก พี่ไม่ได้ตั้งเงื่อนไขมาเพื่อให้แพรต่อรองหรอกนะ จะว่าไง ตกลงหรือไม่ตกลง”

“แพรบอกว่าขอคิดดูก่อนไง”

“หรือว่าจะไปตกลงกันในศาล แบบนั้นก็ได้นะ ดีเหมือนกัน เรื่องมันจะได้จบๆ กันไป ใครจะมาว่าพี่ก็ไม่ได้”

“ก็ได้ๆ ตกลง แต่ว่าแพรก็มีข้อแม้ให้กับพี่เหมือนกัน” คราวนี้เป็นทีของณิชญาฎา ที่จะยื่นข้อเสนอให้กับเขาบ้าง

“ข้อแม้อะไร” ภูวิชเลิกคิ้วเข้มของเขาขึ้น แล้วจึงถามออกมาด้วยความสงสัย

“แพรขอห้ามเด็ดขาด ห้ามพี่ภูบอกกับลูก ว่าพี่ภูเป็นใคร เกี่ยวข้องกับแกอย่างไร”

ข้อห้ามของหญิงสาว เริ่มจะชักนำเอาอารมณ์ขุ่นที่เพิ่งจะจางลงไปของภูวิชให้กลับมาอีกครั้ง จนอดไม่ได้ที่จะกระชากเสียงถาม

“ทำไมจะบอกไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นความจริง”

“เพราะว่าแพรไม่อยากให้ลูกสับสน อย่าลืมสิ ว่าแกเข้าใจตลอดมาว่าพ่อของแกตายไปแล้ว”

ณิชญาฎาอธิบายเหตุผล ที่ภูวิชฟังแล้วไม่ใคร่จะพอใจนัก ทว่าก็ยังคงเห็นด้วย ที่ไม่อยากให้เด็กๆ ต้องมาสับสนกับเรื่องราวของผู้ใหญ่ในตอนนี้

“แล้วแพรจะปิดลูกไปอีกนานแค่ไหน”

“ก็... จนกว่าแพรจะแน่ใจว่าแกพอจะรับ และเข้าใจเรื่องนี้ได้” หญิงสาวให้คำตอบที่ฟังดูแล้วคล้ายกับว่าเธอกำลังพยายามถ่วงเวลา

ภูวิชนิ่งคิดไปชั่วครู่ แล้วจึงสรุปแบบกะเกณฑ์ให้เธอเสร็จสรรพ ไม่เปิดโอกาสให้หญิงสาวตอบรับหรือปฏิเสธได้อีก

“ก็ได้! พี่ให้เวลาแพรหกเดือน แพรจะใช้วิธีไหนบอกลูกก็สุดแท้แต่แพรจะคิด แต่ถ้าครบหกเดือน แล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้า พี่นี่แหละที่จะเป็นคนบอกกับลูกด้วยตัวของพี่เอง”

ณิชญาฎาได้ฟังแล้วทำหน้ามุ่ย แต่ในเวลาเช่นนี้เธอจะไปทำอะไรได้ ในเมื่อภูวิชยังคงกำไพ่เหนือกว่าอยู่ในมือ ระหว่างนี้เธอคงได้แต่ทำใจดีสู้เสื้อ แล้วค่อยๆ คิดหาหนทาง รอจนกว่าจะถึงวันนั้น อย่าหวังเลยว่าเขาจะควานหาตัวเธอกับลูกเจอ หญิงสาวหมายมั่นอยู่ในใจ

เสียงตึงๆ วิ่งไล่กันลงมาจากบันได ส่งเสียงเรียก ‘ลุงภูครับ’ ‘ลุงภูขา’ ดีใจกันให้จ้าละหวั่น จนหญิงสาวชักเริ่มจะท้อใจ เจ้าสองแสบตัวร้ายลูกๆ ของเธอก็ช่างกระไร พากันดีอกอีกใจกันเสียยกใหญ่ ในทุกครั้งที่ได้เห็นภูวิชปรากฏกาย คงจะเป็นดังคำที่ป้าบัวบอก

‘เลือดข้นกว่าน้ำ ฉันท์ใด สายใยของความเป็นพ่อลูก ก็คงจะไม่มีวัน ตัดได้ขาดฉันท์นั้น’

ภาพของคนตัวโตที่กำลังคลุกคลีกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับลูกแฝดของเธออยู่นั้น ดูๆ ไปแล้วก็น่ารัก อบอุ่นดี แต่จะมีใครรู้บ้างว่า มันสร้างความความประหวั่นพรั่นใจให้กับณิชญาฎาเพียงไหน หวั่นว่าคนที่กำลังหัวร่อต่อกระซิกอยู่กับบุตรอันเป็นที่รักของเธอนั้น จะมาพรากเอาดวงใจทั้งสองของเธอไป ขออย่าให้มีวันนั้นเลย ไม่เช่นนั้นเธอคงจะต้องขาดใจตายลงไปอย่างแน่นอน
----------------------------------------------

คุยกันท้ายตอน

รอบนี้หายไปหลายวันหน่อยนะคะ แต่ยังไงก็ไม่ทิ้งกันไปไหนแน่นอน ยังไงๆ ก็จะกลับมาอัพนิยายให้อ่านกันไปเรื่อยๆ ค่ะ

ชอบไม่ชอบอย่างไร ทิ้งคอมเม้นท์ติชมกันไว้ได้นะคะ ยินดีเปิดรับทุกความคิดเห็นค่ะ

นิลวนา



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 พ.ค. 2554, 00:13:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 พ.ค. 2554, 08:32:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 2260





<< ตอนที่ 4 : รินรตี   ตอนที่ 6 : นกน้อยในหมู่มาร >>
คิมหันตุ์ 25 พ.ค. 2554, 11:22:08 น.
พี่ภู ขาโหด....


thongyod 26 พ.ค. 2554, 14:30:46 น.
หนูแพร จะหอบลูกหนีพี่ภูจริงๆ เหรอ แล้วจะหนีพ้นไหมเนี่ย ^---^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account