ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ
เขา... นายตำรวจหนุ่ม
เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ
ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น
แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ
แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
เขา... นายตำรวจหนุ่ม
เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ
ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น
แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ
แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ
ตอน: บทที่ 9 (ตามล่า... 2)
บทที่ 9
(ตามล่า... 2)
ภายในคอนโดมีเนียมใจกลางเมืองที่ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติราชการชั่วคราว ภายในห้องมีนายตำรวจของไทย 3 นายและ นายตำรวจจากฮ่องกงจำนวน 2 นาย กำลังนั่งปรึกษาหารือว่าแผนขั้นต่อไปควรจะทำอะไรต่อไป
บรรยากาศเคร่งเครียด ต่างคนต่างออกความเห็นถกถึงความเป็นไปได้ของแผนการต่างๆ เพื่อให้ครั้งนี้สามารถประชิดตัวการใหญ่ได้อีกครั้ง แผนการจับกุมครั้งจึงต้องรอบคอมและรัดกุมกว่าครั้งที่แล้ว จะไม่มีครั้งที่สามให้แก้ตัว
“ผมว่านะ... การซื้อขายครั้งนี้คงไม่เกิดขึ้นภายในเร็ววันนี้ เพราะก้องภพเพิ่งจะหนีรอดไปได้ แต่การที่ถูกตำรวจล้อมจับก็คงโดนดีสเครดิตไปเยอะเหมือนกัน”
“อาจเป็นไปได้ สายที่ทางฮ่องกงก็รายงานมาเหมือนกันว่านายหลันมีความคิดที่จะติดต่อซื้อขายกับนายก้องภพ คงใช่ช่วงเวลาที่นายก้องภพความน่าเชื่อถือลดลงเขาคงมีอำนาจในการต่อรองกดราคาให้ถูกลงมากกว่านายก้องภพ ซึ่งฟังจากทางคุณมาประกอบด้วยแล้ว จากนิสัยของนายก้องภพเรื่องมันคงไม่ตกลงกันได้ภายในเดือนสองเดือนนี้แน่”
ศิวกรที่นั่งฟังอยู่ไม่ห่างจากโต๊ะทานข้าวซึ่งใช้แทนโต๊ะประชุมชั่วคราว จดหมายที่ได้รับเมื่อตอนกลางวันถือว่าเป็นข้อมูลที่เอื้อประโยชน์ต่อคดีอย่างมาก แต่ข้อมูลที่ได้รับน่าเชื่อถือได้มากแค่ไหน
จากความผิดพลาดครั้งที่แล้ว พวกเขาโชคดีมากที่ไม่โดนถอนออกจากการทำคดี พวกเขาตามล่านายก้องภพมาเกือบ 5 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยอยู่ชายแดนจนตามมาถึงในเมือง ต้องขอบคุณหัวหน้าของพวกเขาเช่นกัน ที่สู้เพื่อให้พวกเขาได้ทำคดีต่อ
แต่เพื่อให้งานนี้ไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นอีกจึงได้แจ้งว่าสถานีตำรวจของพวกเขาไม่ได้ทำคดีนี้ต่อ ยกให้เป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายต่อไป เรื่องนี้เป็นความลับ แม้แต่คนที่ทำงานอยู่ในสถานีตำรวจเดียวกันยังรู้เรื่องนี้เพียงแค่มือเดียวนับได้ ต้องการลวงก้องภพให้เชื่อว่าศิวกรไม่ได้ทำคดีต่อแล้ว แต่จะหลอกเขาได้กี่มากน้อยกัน เพราะบิดาของนายก้องภพธรรมดาเสียที่ไหน
“พรุ่งนี้พวกคุณต้องเข้าไปทำงานที่สถานีฯ ผมกับเฉินกวนจะไปสืบข่าวแถวเยาวราช”
นายตำรวจฝั่งไทยสามนายคงต้องสลับกันเข้าไปทำงานที่สถานีเพื่อให้แนบเนียน หากตบตาคนภายในได้ คนภายนอกคงไม่ลำบาก
“เรื่องนี้เราคงต้องตามกันไปอีกสักพัก”
“หมวดเดวิดครับ เกี่ยวกับนายหลันเท่าที่อ่านจากรายงานของคุณ นายคนนี้นอกจากติดต่อซื้อขายกับนายก้องภพแล้วยังมีรายอื่นอีกหรือเปล่าครับ”
“ประมาณ 5-6 รายครับคุณศักดิ์ ส่วนใหญ่นายหลันจะซื้อแต่ละเจ้าหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไป สามปีหลังมานี้จะซื้อขายทุก 10 เดือน”
“เอาเป็นว่าวันนี้เราก็ทำตามที่เราตกลงกันไปก่อนแล้วกันนะครับ ได้เรื่องยังไงอีก 3 วันเราค่อยมาว่ากันอีกที”
ศิวกรพูดสรุปงานอีกครั้งก่อนนายตำรวจทั้ง 5 นายจะแยกย้ายกระจายกันกลับไปพักที่บ้านของตน ในรถโฟร์วิวไดร์ฟสีแดงเลือดหมูของศิวกรเขาขับรถมาแถวย่านธุรกิจของเมืองหลวงที่ตอนนี้การจราจรเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า เขาหยิบจดหมายที่ได้รับมาอ่านทวนอีกครั้ง เรื่องนี้เขายังไม่ได้บอกทั้ง 4 คน เพราะต้องการให้แน่ใจเสียก่อน พร้อมถ้าผิดพลาดขึ้นมากลัวจะลากเพื่อนไปเกี่ยวข้องและเสี่ยงอันตราย
เนื้อหาข้างในศิวกรอ่านแล้วก็ช่างใจเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่คิดไปคิดมาก็ไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ เวลามันประจวบเหมาะเกินไป เขารู้สึกไม่ไว้ใจ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงเขาก็พลาดโอกาสที่จะเข้าใกล้นายก้องภพ จะลองเสี่ยงดีไหม แต่ถ้าเป็นอุบายเท่ากับล่อให้เขาไปตายชัดๆ... จะทำอย่างไรดี
ในห้องพักฟื้นภายในห้องมีแสงสลวยจากโคมไฟที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตัวที่อยู่มุมห้อง ดลินาออกย้ายออกจากห้อง ICU มาได้สามวันแล้วกำลังหลับผักผ่อน ยาที่รจนาให้เมื่อตอนเย็นทำให้เธอรู้สึกง่วงนอน แม้จะเลยเวลาเยี่ยมมานานแล้วแต่เมื่อคุณพยาบาลที่เข้าเวรวันนี้เห็นว่าเป็นใครจึงอนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้ตามที่คุณวันชัยได้บอกไว้ว่าเขาสามารถเข้าเยี่ยมเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ
เขาเปิดประตูห้องเดินเข้าไปพยายามไม่ให้ส่งเสียงรบกวนการนอนของหญิงสาว เขาเลือกที่จะมาตอนที่เธอหลับแล้วเพราะไม่ต้องการรบกวนหญิงสาวที่นอนหลับพักผ่อน เขาเดินเข้าไปใกล้เตียงกว้างแสงไฟสีส้มนวลลออทำให้เขามองใบหน้ารูปหัวใจนั้นได้ชัดยิ่งขึ้น
อาการของหญิงสาวดีขึ้นตามลำดับ ใบหน้าหวานเริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว เขาแค่อยากมาเห็นหน้าเท่านั้น แค่ได้เห็นหน้าทุกความหนักใจจางหายเป็นเพียงสายหมอกเท่านั้น ตอนนี้เขารู้สึกท้อแท้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ภารกิจครั้งนี้บั่นทอนกำลังกายและกำลังใจเขาอย่างมาก แต่เธอคนนี้เป็นดั่งยาใจของเขาช่วยเติมพลังให้เขากลับมาพร้อมไปต่อสู้อีกครั้ง
เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างบางที่นอนบนเตียงขยับตัว ก่อนจะนิ่งไปอีกครั้ง ศิวกรอมยิ้มให้กับท่าทางขี้เซา เขาตั้งเพียงแค่มาดูหน้าเธอเพียงเท่านั้น แต่เมื่อเห็นหญิงสาวที่นอนหลับไปรู้เรื่องแล้วอดใจไม่ไหวจนต้องก้มลงใช้ริมฝีปากสัมผัสที่แก้มใสนั้น ก่อนจะเรื่อยมาที่ริมฝีปากอวบอิ่ม เนินนานกว่าจะถอนริมฝีปากออกเปลี่ยนมาใช้นิ้วลูบที่ริมฝีปากอิ่มอย่างหลงใหล
“ผู้กอง”
เสียงเอ่ยเรียกแสนแผ่วเบาแต่เขาก็ยังไงยิน เขาระบายยิ้มละมุนเลื่อนมือใหญ่ของตนแนบที่แก้มนุ่มใช้หัวนิ้มมือลูบอย่างแผ่วเบา หญิงสาวตรงหน้ายังคงหลับตาพริ้ม
“ว่าไงครับ”
“คิดถึง”
“ผมก็คิดถึงคุณ”
คราวนี้ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากคนบนเตียง แม้ยามหลับเขายังอยู่ในความคะนึงหาของเธอศิวกรรู้สึกหัวใจพองโต อยากจะปลุกหญิงสาวขึ้นมาฉุดเธอเข้ามาแล้วกอดให้สมใจ แล้วรังแกเธอด้วยวิธีการของเขา ก็เพียงได้แต่คิดเท่านั้น รอให้เรื่องทุกอย่างจบก่อน ขอให้เรื่องราวผ่านไปด้วยดี เขาจะขอให้ผู้หญิงคนนี้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างในหัวใจที่ขาดหายไป
*****************************************************************
บริเวณม้านั่งใต้ต้นไม้ใกล้สนามแข่งรถโกคาร์ทของสวนสนุกแห่งหนึ่ง เวลานี้ร่างหนาของศิวกรที่สวมแว่นตาดำกำลังนั่งมองเพื่อนวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังขับรถโกคาร์ทแข่งกันอย่างสนุกสนาน เขามานั่งอยู่ตรงนี้ได้กว่าครึ่งชั่วโมงมาแล้ว ก่อนจะยกขวดน้ำที่อยู่ในมือกระดกน้ำเข้าไปหนึ่งอึก เสียงกรีดร้องจากนักท่องเที่ยวที่กำลังเล่นเครื่องเล่นสุดหวาดเสียวดังอยู่ข้างหลัง
เขานั่งรออยู่ตรงนั้นอย่างใจเย็น แต่สมองกำลังขบคิดอย่างหนัก ที่เขามาในวันนี้ถือว่าเสี่ยงเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าฝ่ายที่ส่งจดหมายมานั้นน่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด เขามัวแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเองไม่ทันสังเกตว่าข้างเขามีชายร่างผอมคนหนึ่งนั่งหันหลังให้เขาบนเก้าอี้ตัวเดียวกันนั้น
“กล้ามากเลยนะคุณตำรวจมาคนเดียวแบบนี้ ไม่กลัวผมตลบหลังคุณหรือไง”
เสียงแหบที่เอ่ยขึ้นทำให้ศิวกรตกใจพอสมควร เพราะมัวแต่ใช้ความคิดจึงหลงลืมระแวดระวังสิ่งรอบตัว หากอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมเขาคงไม่มีชีวิตรอดเป็นแน่ ประมาทเพียงนิดศัตรูก็ประชิดตัวแล้ว
“ว่าแต่ผมทางคุณก็มาคนเดียวหรือไงกัน”
เขาตอบกลับทั้งที่ยังนั่งหันหลังให้กันอยู่อย่างนั้น ทั้งสองนั่งมองบรรยากาศรอบข้างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โชคดีที่บริเวณที่ทั้งสองนั่งอยู่ไม่มีผู้คนเดินผ่านไปมามากนัก
“ฮึ! ผมมาคนเดียวเช่นกัน”
“ผมไว้ใจคุณได้มากแค่ไหน”
ศิวกรเริ่มเข้าประเด็นเพราะไม่ต้องการให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ก่อนจะกระดกน้ำไปอีกหนึ่งอึกใหญ่
“เราต่างก็ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันคุณตำรวจน่าจะรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นคุณส่งจดหมายมาถึงผมทำไม”
“ผมต้องการให้ไอ้ก้องภพมันติดคุก อยากเห็นใบหน้าหยิ่งผยองนั้นแห้งตอบดั่งคนใกล้ตาย”
“คุณมีความแค้นอะไรกับเขา”
“มันฆ่าล้างครอบครัวผม พ่อแม่และลูกเมียผม”
“ทำไมคุณไม่แก้แค้นเอง ทำไมต้องอาศัยมือตำรวจ”
“ถึงอย่างไรก้องภพมันก็เป็นผู้มีพระคุณของผมมาก่อน ผมไม่ฆ่าเขาแต่มีแค้นต้องชำระ ในเมื่อฆ่ามันด้วยตัวเองไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะยืมมือตำรวจฆ่ามันไม่ได้”
เมื่อได้ยินเรื่องราวจากชายปริศนา ศิวกรยอมรับเลยว่าชายคนนี้เหี้ยมโหดยิ่งนัก มีจิตใจที่น่ากลัว หากจะให้เขาช่วยเป็นสายให้มันคงเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายไม่ใช่น้อย
“คุณไม่กลัวเมื่อเสร็จงานแล้วผมจะจับคุณเข้าคุกหรือ”
“ไม่กลัว... ติดก็ติดสิคุก ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว ดีเสียอีกอยู่ฟรีกินฟรี เพราะผมไม่เหลือใครให้กลับไปหาอีกแล้ว”
“หมายความว่าคุณจะยอมเป็นสายให้เรา”
“ไม่... ไม่ใช่เรา แต่เป็นคุณคนเดียวเท่านั้นผู้กอง ผมไม่ไว้ใจตำรวจคนไหนนอกจากคุณ”
“ผมไม่ได้ทำคดีนี้แล้ว”
ศิวกรกล่าวเสียงเรียบอย่างลองเชิง ชายปริศนาคนนั้นร้องหึในลำคอ รอยยิ้มเหยียดออกอย่างไม่ดุแคลนต่อสิ่งใดบนโลกนี้
“ไม่... คุณยังทำคดีดีนี้อยู่ ผมมั่นใจอย่างนั้น”
“อย่างมามั่นใจในตัวผมจะดีกว่า ผมทำงานพลาดเบื้องบนจึงสั่งปลดผมกลางอากาศ”
“คุณตามก้องภพมากว่า 5 ปี แถมยังลงมือกับคนของคุณ คุณไม่มีทางปล่อยนายก้องภพไปง่ายๆ”
ชายปริศนากล่าวอย่างมั่นใจ ศิวกรรู้สึกเกรงไปทั้งตัวชายคนนี้รู้เรื่องของเขาเป็นอย่างดี รู้เรื่องราวต่างๆ ได้มากมายขนาดนี้คงเป็นคนที่ใกล้ชิดก้องภพพอสมควร ไม่ได้มีแต่ฝั่งตำรวจเท่านั้นที่มีข้อมูลคู่ต่อสู้ ฝ่ายคู่ต่อสู้ก็รู้ข้อมูลของพวกเขาเช่นกัน... นี้สินะรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งมีโอกาสชนะร้อยครั้ง
“ทำไมต้องเป็นผม”
“เพราะคุณเข้าใจความรู้สึกความสูญเสียมาก่อน ไม่ใช่สิต้องเกือบสูญเสียถึงจะถูก”
ศิวกรบีบขวดน้ำที่อยู่ในมือจนขวดบิดเบี้ยวเสียรูปทรง เหตุการณ์ที่ก้องภพผลักหญิงสาวตกรถจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ภาพนั้นเขาจำได้ไม่มีลืม และไม่มีลืมความรู้สึกสุดแทนทรมานนั้นเด็ดขาด
“คุณไม่ต้องพยายามสืบว่าผมเป็นใคร เพราะเมื่อเรื่องนี้จบผมจะยอมมอบตัวไม่ขัดขืน”
แล้วชายปริศนาก็ลุกขึ้นยืน หันมามองศิวกรเล็กน้อย
“แล้วผมจะติดต่อกลับไป”
แล้วไร้ผอมผิวคล้ำก็เดินจากไปอย่างไร้เสียงดั่งตอนที่เดินเข้ามา ศิวกรไม่มองตามร่างนั้น ใบหน้าคมเข้มใต้แว่นตาดำกรอบหนาอยากจะคาดเดาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
*****************************************************************
ภายในคอนโดมีเนียมใจกลางเมือง... หมวดอรุณกำลังติดรูปต่างๆ ที่ถ่ายมาได้ระหว่าออกไปสืบราชการลับบนบอร์ดสีขาว ส่วนหมวดเดวิด กำลังเขียนข้อความกำกับข้างรูปเหล่านั้น ส่วนหมวดเฉินกวน ทนงศักดิ์ และศิวกรยืนมองอยู่ใกล้ๆ นั้น
คนในรูปเป็นคนที่นายตำรวจทั้งสองชาติต่างให้ความสนใจ มีประวัติ และข้อมูลมากมายอยู่ในมือ ล้วนเป็นข้อมูลด้านมืดทั้งสิ้น ตอนนี้พวกเขาเริ่มรุกคืบเข้าไปใกล้มากขึ้นแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าสถานที่ต่างๆ ที่ได้รับฟังจากศิวกรจะมีการเจรจาเกิดขึ้นจริงๆ
นายตำรวจทั้งสี่พยายามเค้นความจริงจากเขาว่าไปได้ข้อมูลนี้มาจากไหน แต่ศิวกรก็ไม่ยอมปริปากบอกใครทั้งนั้น ในเมื่อชายปริศนาคนนั้นยังให้คำสัญญาว่าจะส่งข่าวให้เขาทุกครั้งที่มีการเจรจาเกิดขึ้น เขาเองก็จะรักษาสัญญาไม่บอกอะไรเกี่ยวกับเขาเด็ดขาด
นายตำรวจสองนายของไทยพยายามกดดันต่างๆ นานาเพื่อให้ศิวกรเอ่อยปากแต่ก็ไม่เป็นผลสุดท้ายต้องเป็นฝ่ายถอยทัพเอง ส่วนนายตำรวจจากฮ่องกงก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อความเช่นกัน ถึงจะร่วมงานกันมาได้เกือบ 2 เดือนพวกเขาพอจะเข้าใจนิสัยใจคอของนายตำรวจฝั่งไทยนายนี้ดี
“ดูท่าพวกมันคงจะใกล้ตกลงกันได้แล้ว”
“ครับ... เท่าที่ผมสังเกตทั้งสองฝ่ายดูจะพอใจกับสัญญาซื้อขาย”
“อรุณ นายเข้าใกล้พวกนั้นได้มากแค่ไหน”
ทนงศักดิ์เอ่ยถามนายตำรวจน้องเป็นภาษาสากลเพราะต้องการให้นายตำรวจจากฮ่องกงเข้าใจเรื่องที่กำลังสื่อสารกันอยู่ในตอนนี้
“ก่อนหน้าที่พวกนั้นจะไปถึง ผมได้แอบซ่อนเครื่องบันทึกเสียงไว้ที่กระถางต้นไม้ใกล้ๆ ไว้แล้วครับ”
พูดเสร็จก็วางเครื่องบันทึกเสียงขนาดเล็กที่แอบซ่อนไว้ออกมาจากกระเป๋า เขาจัดการต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อที่จะได้ฟังกันทั้งหมด... เมื่อการเจรจาเริ่มต้นขึ้นนายตำรวจฝ่ายไทยต้องขมวดคิ้วเพราะภาษาที่ใช้สนทนานั้นเป็นภาษาจีน เลยต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนายตำรวจจากฮ่องกงช่วยเป็นล่ามแปล ศิวกรจดตามถ้อยคำที่หมวดเฉินกวนแปลมาเป็นภาษาอังกฤษอีกที
บรรยากาศภายในห้องเริ่มเคร่งเครียดเมื่อการเจรจานั้นจบลง เพราะการเจรจาซื้อขายกันครั้งนี้นับว่ามีมูลค่ามหาศาล แทบไม่เชื่อว่าก้องภพจะจัดหาของได้ทั้งหมดตามรายทั้งหมด ดูมั่นอกมั่นใจว่าจะสามารถจัดหาให้ได้ในระยะเวลาอันสั่น ถึงแม้จะน้อยรายการ แต่เป็นรายการที่สำคัญๆ ทั้งนั้น
“ให้ตายเถอะ! นายหลันคนนี้จะเอาอาวุธพวกนี้ไปทำอะไร”
“เชื่อว่าน่าจะไปขายทอดในตลาดมืดต่อ”
“เป็นไปได้หรือเปล่าครับสำหรับเรื่องการก่อการร้าย”
“ผมว่าไม่น่าจะใช่ครับ... นายหลันถึงแม้จะเป็นมาเฟียที่ใจคอโหดเหี้ยม แต่เรื่องก่อการร้ายคงไม่ได้อยู่ในความคิดของเขาหรอครับ”
ทนงศักดิ์กับหมวดอรุณพยักหน้าเข้าใจเรื่องที่หมวดเดวิดเล่าให้ฟัง ศิวกรที่นิ่งเงียบไปนานเอ่ยถามบ้าง
“เป็นเพื่อการสะสมหรือครับ”
“เป็นไปได้ครับ พวกเศรษฐีบางคนนิยมสะสมพวกอาวุธ บางคนก็ชอบสะสมพวกอาวุธโบราณ บางคนก็บ้าสะสมอาวุธที่ใช้วิวัฒนาการสมัยใหม่ หรือพวกอำนาจการทำลายล้างสูง”
“ไอหย่า! งานนี้ซี้เลี้ยว”
ทนงศักดิ์อุทานเป็นภาษาไทย ตบหน้าผากตัวเองดังผาง
“เราคงต้องตามกันต่อไป แต่ตามหลักฐานที่พยายามรวบรวมกันมาได้นี้มันคงใกล้ปะทุเข้ามาทุกที ทางผมคงต้องรายงานไปทางเบื้องบนให้เตรียมการเรื่องจับกุมให้พร้อม ส่วนทางคุณคงต้องปล่อยให้พวกคุณจัดการ”
“ได้ครับไปมีปัญหา แต่ว่าตอนนี้เราคงต้องมาช่วยกันคิดแล้วว่าจะต้องทำอะไรต่อไปเพื่อให้การดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน”
แล้วศิวกรก็จัดการเขียนข้อความต่างๆ ลงบนอีกกระดาษสีขาวด้านที่ยังว่างอยู่เพื่อซักซ้อมความเข้าใจถึงแผนการต่างๆ
*****************************************************************
“แยม... อยากออกไปข้างนอกเบื่อห้องนี้แล้ว”
“ไม่ได้ ยังไม่หายดีไม่อนุญาต”
“ฉันกลัวจะเฉาตายอยู่ในห้อง ขอออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง”
ดลินาที่ตอนนี้เริ่มเดินไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเองบ้างแล้ว กว่าสองเดือนที่ผ่านมาอาการของหญิงสาวดีวันดีคืนจนน่าพอใจ อวัยวะภายในที่บอบช้ำอาการดีขึ้นมากจนเกือบจะหายสนิทแล้ว มีแต่อาการข้อมือหักที่ต้องเข้าเฝือกไปอีกสักพัก แผลแตกที่หน้าผากด้านซ้ายใต้ไรผมทิ้งรอยแผลเป็นอย่างที่คาดไว้
“นะ... คุณหมอคนสวย คุณหมอใจดี๊ใจดี พาข้าวออกไปข้างนอกบ้างสิ”
ดลินาเริ่มใช้มุขออดอ้อนด้วยแววตาน่าสงสาร แต่ก็ไม่เป็นผลคุณหมอสาวไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับมานอกจากจะใช้นิ้วจิ้มไปที่ศีรษะเบาๆ อย่างที่ชอบทำเวลาดลินาขัดใจ
“ไม่ต้องมาอ้อน ฉันไม่ใช่คุณศิลาที่แกจะมาอ้อนได้”
“ใจร้าย!”
ดลินาแบะปากงอนเพื่อนทันทีเมื่อไม่ได้ดั่งใจ
“แหม่คุณข้าวคะ... อายุเท่าไหร่แล้ว จะ 26 แล้วนะคะ ทำตัวให้สมวัยนิดหนึ่ง”
“น๊า! ขอออกไปบ้างนะ ฉันแข็งแรงขึ้นเยอะแล้ว เดินไปไหนมาได้เองก็ได้ ออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้างสุขภาพจิตจะได้ดีขึ้น”
“ไม่ได้... ไปคนเดียวฉันไม่ยอม”
“ถ้ามีคนไปด้วยก็อนุญาตใช่ป่ะ”
รจนาไม่ตอบแต่พยักหน้าแทน ดลินาเห็นแล้วก็ดีใจแต่ว่าจะให้ใครพาเธออกไปดีล่ะ พอนึกถึงใครสักคนที่จะพาเธอไปดลินาก็เริ่มสลดขึ้นมาทันที เธอรู้ว่าเขาไปทำงานแต่ก็อดห่วงไม่ได้ เธอไม่ได้เจอเขามาเกือบ 2 เดือนแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เขายังสบายดีอยู่หรือเปล่า ลำบากมากไหม ได้ทานอาหารครบสามมื้อหรือเปล่า
รจนาเห็นเพื่อนสาวเงียบไป จึงแตะไปที่แขนเพื่อนอย่างแผ่วเบาปลุกให้ตื่นจากอาการเหม่อลอย
“ทำไม... คิดถึงผู้กองเขาหรอ”
“อืมไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง”
“เขาต้องสบายดี เชื่อสิ”
รจนาให้กำลังใจเพื่อน ทั้งที่อีกใจก็อดเป็นห่วงพะวงถึงใครอีกคนไม่ได้ เขาเองก็คงไม่ต่างศิวกรที่จะต้องไปเผชิญกับสิ่งอันตราย เกือบสองเดือนแล้วที่ได้ปะทะฝีปากกับเขา รจนาเองก็รู้สึกเหงาเหมือนกัน
“เอาล่ะ เลิกเศร้ากันดีกว่าไว้ฉันเลิกงานแล้วจะพาแกออกไปสูดอากาศข้างนอกเอง ตกลงนะ”
“ได้... แกนี้เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในโลกเลย”
แล้วสองสาวเพื่อนรักต่างก็โอบกอดแบ่งปันความจริงใจให้แก่กัน รจนาเดินออกไปจากห้องไปทำงานตามตารางที่กำหนดไว้ เมื่อลับร่างของคุณหมอสาวไปแล้ว แม้จะเปิดโทรทัศน์ไว้เป็นเพื่อนแต่มันไม่สามารถคุยโต้ตอบกับเธอได้
เมื่อวานนี้ได้คุณแม่อารีมาอยู่เป็นเพื่อนหญิงสาวจึงคลายเหงาลงไปมาก นางอารีปฏิบัติกับหญิงสาวดั่งลูกในไส้ ดูแลเอาใจใส่ทุกอย่างจนดลินารู้สึกเหมือนได้แม่แท้ๆ ของตนกลับมาอยู่ข้างกายอีกครั้ง เกือบสองเดือนที่ผ่านมานางอารีจะหาเวลามาอยู่เป็นเพื่อน และดูแลเธอเสมอ แถมยังใจดีเล่าวีรกรรมแสนป่วนของลูกชายให้ฟังจนหมดเปลือก
คิดถึง... คิดถึงจังเลย อยากเจอ ดลินานั่งนึกถึงช่วงเวลาที่ได้มีเขาอยู่ข้างกาย มันเป็นช่วงเวลาที่เธอมีความสุข เธอถนอมและหวงแหนช่วงเวลาเหล่านั้นยิ่งนัก ดลินาเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาทิ้งเพราะสัญญากับตัวเองว่าจะไม่อ่อนแอให้คนอื่นต้องเป็นห่วงอีก
เธอหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ห้าโมงกว่าแล้วพระอาทิตย์เริ่มคล้องต่ำ บรรยากาศข้างนอกเป็นอย่างไรบ้างนะ ดลินาอยากออกไปเห็นว่าช่วงเวลาที่เธอรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลโลกภายนอกเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แล้วร้านของเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง หวังว่าลูกค้าจะไม่หนีหายไปไหนเมื่อเธอสามารถกลับไปเปิดร้านได้อีกครั้ง
ดลินาในชุดผู้ป่วยสีฟ้าค่อยๆ ยันกายขึ้นนั่งก่อนจะพาตัวเองลุกขึ้นจากเตียงอย่างระวัดระวังไม่ล้ม จับเสาห้อยน้ำเกลือไว้มั่นก่อนจะเดินไปที่ริมหน้าต่างมองดูทัศนียภาพภายนอก บนท้องถนนจราจรยังคงคับคั่งเช่นปกติ สองข้างทางเหล่ามนุษย์เงินเดือนและพ่อค้าแม่ค้าเดินกันขวักไขว่เต็มทางเดินเท้า ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าหวังจะฝากให้ก้อนเมฆพาคำพูดเหล่านี้ไปถึงใครอีกคน
“ผู้กองคะ... กลับมาเร็วๆ ข้าวคิดถึงคุณ”
“ผมก็คิดถึงคุณ”
น้ำเสียงที่แสนคุ้นเคย มาพร้อมกับอ้อมแขนที่อบอุ่นโอบมาจากด้านหลัง หยาดน้ำใสไหลรินจากดวงตาคู่สวย ดลินาหมุมตัวกลับไปเพื่อให้มั่นใจว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าเธอนั้นไม่ใช่ความฝัน มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาปิดหน้าร้องหน้าสะอึกสะอื้น เจอเมื่อเธอได้กลับไปอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่นนั้นอีกครั้ง คราวนี้หญิงสาวใช้มือโอบกอดรอบตัวเขา ซุกหน้าลงบนอกกว้าง เสียงอู้อี้แม้จะฟังไม่ชัด แต่ศิวกรเข้าใจไปจนถึงวิญญาณของเขา
“คิดถึง... ข้าวคิดถึง”
“ผมอยู่นี้แล้ว... ผมอยู่นี้”
ศิวกรกระชับอ้อมแขนรั้งร่างบางเข้าหาแน่นขึ้น ดลินาเองก็โอบกอดเขาแน่นขึ้นเช่นกัน หัวใจสองดวงที่ตอนนี้จังหวะการเต้นกลับมาเต้นเป็นจังหวะเดียวกันอีกครั้ง
(ตามล่า... 2)
ภายในคอนโดมีเนียมใจกลางเมืองที่ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติราชการชั่วคราว ภายในห้องมีนายตำรวจของไทย 3 นายและ นายตำรวจจากฮ่องกงจำนวน 2 นาย กำลังนั่งปรึกษาหารือว่าแผนขั้นต่อไปควรจะทำอะไรต่อไป
บรรยากาศเคร่งเครียด ต่างคนต่างออกความเห็นถกถึงความเป็นไปได้ของแผนการต่างๆ เพื่อให้ครั้งนี้สามารถประชิดตัวการใหญ่ได้อีกครั้ง แผนการจับกุมครั้งจึงต้องรอบคอมและรัดกุมกว่าครั้งที่แล้ว จะไม่มีครั้งที่สามให้แก้ตัว
“ผมว่านะ... การซื้อขายครั้งนี้คงไม่เกิดขึ้นภายในเร็ววันนี้ เพราะก้องภพเพิ่งจะหนีรอดไปได้ แต่การที่ถูกตำรวจล้อมจับก็คงโดนดีสเครดิตไปเยอะเหมือนกัน”
“อาจเป็นไปได้ สายที่ทางฮ่องกงก็รายงานมาเหมือนกันว่านายหลันมีความคิดที่จะติดต่อซื้อขายกับนายก้องภพ คงใช่ช่วงเวลาที่นายก้องภพความน่าเชื่อถือลดลงเขาคงมีอำนาจในการต่อรองกดราคาให้ถูกลงมากกว่านายก้องภพ ซึ่งฟังจากทางคุณมาประกอบด้วยแล้ว จากนิสัยของนายก้องภพเรื่องมันคงไม่ตกลงกันได้ภายในเดือนสองเดือนนี้แน่”
ศิวกรที่นั่งฟังอยู่ไม่ห่างจากโต๊ะทานข้าวซึ่งใช้แทนโต๊ะประชุมชั่วคราว จดหมายที่ได้รับเมื่อตอนกลางวันถือว่าเป็นข้อมูลที่เอื้อประโยชน์ต่อคดีอย่างมาก แต่ข้อมูลที่ได้รับน่าเชื่อถือได้มากแค่ไหน
จากความผิดพลาดครั้งที่แล้ว พวกเขาโชคดีมากที่ไม่โดนถอนออกจากการทำคดี พวกเขาตามล่านายก้องภพมาเกือบ 5 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยอยู่ชายแดนจนตามมาถึงในเมือง ต้องขอบคุณหัวหน้าของพวกเขาเช่นกัน ที่สู้เพื่อให้พวกเขาได้ทำคดีต่อ
แต่เพื่อให้งานนี้ไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นอีกจึงได้แจ้งว่าสถานีตำรวจของพวกเขาไม่ได้ทำคดีนี้ต่อ ยกให้เป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายต่อไป เรื่องนี้เป็นความลับ แม้แต่คนที่ทำงานอยู่ในสถานีตำรวจเดียวกันยังรู้เรื่องนี้เพียงแค่มือเดียวนับได้ ต้องการลวงก้องภพให้เชื่อว่าศิวกรไม่ได้ทำคดีต่อแล้ว แต่จะหลอกเขาได้กี่มากน้อยกัน เพราะบิดาของนายก้องภพธรรมดาเสียที่ไหน
“พรุ่งนี้พวกคุณต้องเข้าไปทำงานที่สถานีฯ ผมกับเฉินกวนจะไปสืบข่าวแถวเยาวราช”
นายตำรวจฝั่งไทยสามนายคงต้องสลับกันเข้าไปทำงานที่สถานีเพื่อให้แนบเนียน หากตบตาคนภายในได้ คนภายนอกคงไม่ลำบาก
“เรื่องนี้เราคงต้องตามกันไปอีกสักพัก”
“หมวดเดวิดครับ เกี่ยวกับนายหลันเท่าที่อ่านจากรายงานของคุณ นายคนนี้นอกจากติดต่อซื้อขายกับนายก้องภพแล้วยังมีรายอื่นอีกหรือเปล่าครับ”
“ประมาณ 5-6 รายครับคุณศักดิ์ ส่วนใหญ่นายหลันจะซื้อแต่ละเจ้าหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไป สามปีหลังมานี้จะซื้อขายทุก 10 เดือน”
“เอาเป็นว่าวันนี้เราก็ทำตามที่เราตกลงกันไปก่อนแล้วกันนะครับ ได้เรื่องยังไงอีก 3 วันเราค่อยมาว่ากันอีกที”
ศิวกรพูดสรุปงานอีกครั้งก่อนนายตำรวจทั้ง 5 นายจะแยกย้ายกระจายกันกลับไปพักที่บ้านของตน ในรถโฟร์วิวไดร์ฟสีแดงเลือดหมูของศิวกรเขาขับรถมาแถวย่านธุรกิจของเมืองหลวงที่ตอนนี้การจราจรเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า เขาหยิบจดหมายที่ได้รับมาอ่านทวนอีกครั้ง เรื่องนี้เขายังไม่ได้บอกทั้ง 4 คน เพราะต้องการให้แน่ใจเสียก่อน พร้อมถ้าผิดพลาดขึ้นมากลัวจะลากเพื่อนไปเกี่ยวข้องและเสี่ยงอันตราย
เนื้อหาข้างในศิวกรอ่านแล้วก็ช่างใจเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่คิดไปคิดมาก็ไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ เวลามันประจวบเหมาะเกินไป เขารู้สึกไม่ไว้ใจ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงเขาก็พลาดโอกาสที่จะเข้าใกล้นายก้องภพ จะลองเสี่ยงดีไหม แต่ถ้าเป็นอุบายเท่ากับล่อให้เขาไปตายชัดๆ... จะทำอย่างไรดี
ในห้องพักฟื้นภายในห้องมีแสงสลวยจากโคมไฟที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตัวที่อยู่มุมห้อง ดลินาออกย้ายออกจากห้อง ICU มาได้สามวันแล้วกำลังหลับผักผ่อน ยาที่รจนาให้เมื่อตอนเย็นทำให้เธอรู้สึกง่วงนอน แม้จะเลยเวลาเยี่ยมมานานแล้วแต่เมื่อคุณพยาบาลที่เข้าเวรวันนี้เห็นว่าเป็นใครจึงอนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้ตามที่คุณวันชัยได้บอกไว้ว่าเขาสามารถเข้าเยี่ยมเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ
เขาเปิดประตูห้องเดินเข้าไปพยายามไม่ให้ส่งเสียงรบกวนการนอนของหญิงสาว เขาเลือกที่จะมาตอนที่เธอหลับแล้วเพราะไม่ต้องการรบกวนหญิงสาวที่นอนหลับพักผ่อน เขาเดินเข้าไปใกล้เตียงกว้างแสงไฟสีส้มนวลลออทำให้เขามองใบหน้ารูปหัวใจนั้นได้ชัดยิ่งขึ้น
อาการของหญิงสาวดีขึ้นตามลำดับ ใบหน้าหวานเริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว เขาแค่อยากมาเห็นหน้าเท่านั้น แค่ได้เห็นหน้าทุกความหนักใจจางหายเป็นเพียงสายหมอกเท่านั้น ตอนนี้เขารู้สึกท้อแท้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ภารกิจครั้งนี้บั่นทอนกำลังกายและกำลังใจเขาอย่างมาก แต่เธอคนนี้เป็นดั่งยาใจของเขาช่วยเติมพลังให้เขากลับมาพร้อมไปต่อสู้อีกครั้ง
เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างบางที่นอนบนเตียงขยับตัว ก่อนจะนิ่งไปอีกครั้ง ศิวกรอมยิ้มให้กับท่าทางขี้เซา เขาตั้งเพียงแค่มาดูหน้าเธอเพียงเท่านั้น แต่เมื่อเห็นหญิงสาวที่นอนหลับไปรู้เรื่องแล้วอดใจไม่ไหวจนต้องก้มลงใช้ริมฝีปากสัมผัสที่แก้มใสนั้น ก่อนจะเรื่อยมาที่ริมฝีปากอวบอิ่ม เนินนานกว่าจะถอนริมฝีปากออกเปลี่ยนมาใช้นิ้วลูบที่ริมฝีปากอิ่มอย่างหลงใหล
“ผู้กอง”
เสียงเอ่ยเรียกแสนแผ่วเบาแต่เขาก็ยังไงยิน เขาระบายยิ้มละมุนเลื่อนมือใหญ่ของตนแนบที่แก้มนุ่มใช้หัวนิ้มมือลูบอย่างแผ่วเบา หญิงสาวตรงหน้ายังคงหลับตาพริ้ม
“ว่าไงครับ”
“คิดถึง”
“ผมก็คิดถึงคุณ”
คราวนี้ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากคนบนเตียง แม้ยามหลับเขายังอยู่ในความคะนึงหาของเธอศิวกรรู้สึกหัวใจพองโต อยากจะปลุกหญิงสาวขึ้นมาฉุดเธอเข้ามาแล้วกอดให้สมใจ แล้วรังแกเธอด้วยวิธีการของเขา ก็เพียงได้แต่คิดเท่านั้น รอให้เรื่องทุกอย่างจบก่อน ขอให้เรื่องราวผ่านไปด้วยดี เขาจะขอให้ผู้หญิงคนนี้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างในหัวใจที่ขาดหายไป
*****************************************************************
บริเวณม้านั่งใต้ต้นไม้ใกล้สนามแข่งรถโกคาร์ทของสวนสนุกแห่งหนึ่ง เวลานี้ร่างหนาของศิวกรที่สวมแว่นตาดำกำลังนั่งมองเพื่อนวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังขับรถโกคาร์ทแข่งกันอย่างสนุกสนาน เขามานั่งอยู่ตรงนี้ได้กว่าครึ่งชั่วโมงมาแล้ว ก่อนจะยกขวดน้ำที่อยู่ในมือกระดกน้ำเข้าไปหนึ่งอึก เสียงกรีดร้องจากนักท่องเที่ยวที่กำลังเล่นเครื่องเล่นสุดหวาดเสียวดังอยู่ข้างหลัง
เขานั่งรออยู่ตรงนั้นอย่างใจเย็น แต่สมองกำลังขบคิดอย่างหนัก ที่เขามาในวันนี้ถือว่าเสี่ยงเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าฝ่ายที่ส่งจดหมายมานั้นน่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด เขามัวแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเองไม่ทันสังเกตว่าข้างเขามีชายร่างผอมคนหนึ่งนั่งหันหลังให้เขาบนเก้าอี้ตัวเดียวกันนั้น
“กล้ามากเลยนะคุณตำรวจมาคนเดียวแบบนี้ ไม่กลัวผมตลบหลังคุณหรือไง”
เสียงแหบที่เอ่ยขึ้นทำให้ศิวกรตกใจพอสมควร เพราะมัวแต่ใช้ความคิดจึงหลงลืมระแวดระวังสิ่งรอบตัว หากอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมเขาคงไม่มีชีวิตรอดเป็นแน่ ประมาทเพียงนิดศัตรูก็ประชิดตัวแล้ว
“ว่าแต่ผมทางคุณก็มาคนเดียวหรือไงกัน”
เขาตอบกลับทั้งที่ยังนั่งหันหลังให้กันอยู่อย่างนั้น ทั้งสองนั่งมองบรรยากาศรอบข้างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โชคดีที่บริเวณที่ทั้งสองนั่งอยู่ไม่มีผู้คนเดินผ่านไปมามากนัก
“ฮึ! ผมมาคนเดียวเช่นกัน”
“ผมไว้ใจคุณได้มากแค่ไหน”
ศิวกรเริ่มเข้าประเด็นเพราะไม่ต้องการให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ก่อนจะกระดกน้ำไปอีกหนึ่งอึกใหญ่
“เราต่างก็ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันคุณตำรวจน่าจะรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นคุณส่งจดหมายมาถึงผมทำไม”
“ผมต้องการให้ไอ้ก้องภพมันติดคุก อยากเห็นใบหน้าหยิ่งผยองนั้นแห้งตอบดั่งคนใกล้ตาย”
“คุณมีความแค้นอะไรกับเขา”
“มันฆ่าล้างครอบครัวผม พ่อแม่และลูกเมียผม”
“ทำไมคุณไม่แก้แค้นเอง ทำไมต้องอาศัยมือตำรวจ”
“ถึงอย่างไรก้องภพมันก็เป็นผู้มีพระคุณของผมมาก่อน ผมไม่ฆ่าเขาแต่มีแค้นต้องชำระ ในเมื่อฆ่ามันด้วยตัวเองไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะยืมมือตำรวจฆ่ามันไม่ได้”
เมื่อได้ยินเรื่องราวจากชายปริศนา ศิวกรยอมรับเลยว่าชายคนนี้เหี้ยมโหดยิ่งนัก มีจิตใจที่น่ากลัว หากจะให้เขาช่วยเป็นสายให้มันคงเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายไม่ใช่น้อย
“คุณไม่กลัวเมื่อเสร็จงานแล้วผมจะจับคุณเข้าคุกหรือ”
“ไม่กลัว... ติดก็ติดสิคุก ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว ดีเสียอีกอยู่ฟรีกินฟรี เพราะผมไม่เหลือใครให้กลับไปหาอีกแล้ว”
“หมายความว่าคุณจะยอมเป็นสายให้เรา”
“ไม่... ไม่ใช่เรา แต่เป็นคุณคนเดียวเท่านั้นผู้กอง ผมไม่ไว้ใจตำรวจคนไหนนอกจากคุณ”
“ผมไม่ได้ทำคดีนี้แล้ว”
ศิวกรกล่าวเสียงเรียบอย่างลองเชิง ชายปริศนาคนนั้นร้องหึในลำคอ รอยยิ้มเหยียดออกอย่างไม่ดุแคลนต่อสิ่งใดบนโลกนี้
“ไม่... คุณยังทำคดีดีนี้อยู่ ผมมั่นใจอย่างนั้น”
“อย่างมามั่นใจในตัวผมจะดีกว่า ผมทำงานพลาดเบื้องบนจึงสั่งปลดผมกลางอากาศ”
“คุณตามก้องภพมากว่า 5 ปี แถมยังลงมือกับคนของคุณ คุณไม่มีทางปล่อยนายก้องภพไปง่ายๆ”
ชายปริศนากล่าวอย่างมั่นใจ ศิวกรรู้สึกเกรงไปทั้งตัวชายคนนี้รู้เรื่องของเขาเป็นอย่างดี รู้เรื่องราวต่างๆ ได้มากมายขนาดนี้คงเป็นคนที่ใกล้ชิดก้องภพพอสมควร ไม่ได้มีแต่ฝั่งตำรวจเท่านั้นที่มีข้อมูลคู่ต่อสู้ ฝ่ายคู่ต่อสู้ก็รู้ข้อมูลของพวกเขาเช่นกัน... นี้สินะรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งมีโอกาสชนะร้อยครั้ง
“ทำไมต้องเป็นผม”
“เพราะคุณเข้าใจความรู้สึกความสูญเสียมาก่อน ไม่ใช่สิต้องเกือบสูญเสียถึงจะถูก”
ศิวกรบีบขวดน้ำที่อยู่ในมือจนขวดบิดเบี้ยวเสียรูปทรง เหตุการณ์ที่ก้องภพผลักหญิงสาวตกรถจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ภาพนั้นเขาจำได้ไม่มีลืม และไม่มีลืมความรู้สึกสุดแทนทรมานนั้นเด็ดขาด
“คุณไม่ต้องพยายามสืบว่าผมเป็นใคร เพราะเมื่อเรื่องนี้จบผมจะยอมมอบตัวไม่ขัดขืน”
แล้วชายปริศนาก็ลุกขึ้นยืน หันมามองศิวกรเล็กน้อย
“แล้วผมจะติดต่อกลับไป”
แล้วไร้ผอมผิวคล้ำก็เดินจากไปอย่างไร้เสียงดั่งตอนที่เดินเข้ามา ศิวกรไม่มองตามร่างนั้น ใบหน้าคมเข้มใต้แว่นตาดำกรอบหนาอยากจะคาดเดาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
*****************************************************************
ภายในคอนโดมีเนียมใจกลางเมือง... หมวดอรุณกำลังติดรูปต่างๆ ที่ถ่ายมาได้ระหว่าออกไปสืบราชการลับบนบอร์ดสีขาว ส่วนหมวดเดวิด กำลังเขียนข้อความกำกับข้างรูปเหล่านั้น ส่วนหมวดเฉินกวน ทนงศักดิ์ และศิวกรยืนมองอยู่ใกล้ๆ นั้น
คนในรูปเป็นคนที่นายตำรวจทั้งสองชาติต่างให้ความสนใจ มีประวัติ และข้อมูลมากมายอยู่ในมือ ล้วนเป็นข้อมูลด้านมืดทั้งสิ้น ตอนนี้พวกเขาเริ่มรุกคืบเข้าไปใกล้มากขึ้นแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าสถานที่ต่างๆ ที่ได้รับฟังจากศิวกรจะมีการเจรจาเกิดขึ้นจริงๆ
นายตำรวจทั้งสี่พยายามเค้นความจริงจากเขาว่าไปได้ข้อมูลนี้มาจากไหน แต่ศิวกรก็ไม่ยอมปริปากบอกใครทั้งนั้น ในเมื่อชายปริศนาคนนั้นยังให้คำสัญญาว่าจะส่งข่าวให้เขาทุกครั้งที่มีการเจรจาเกิดขึ้น เขาเองก็จะรักษาสัญญาไม่บอกอะไรเกี่ยวกับเขาเด็ดขาด
นายตำรวจสองนายของไทยพยายามกดดันต่างๆ นานาเพื่อให้ศิวกรเอ่อยปากแต่ก็ไม่เป็นผลสุดท้ายต้องเป็นฝ่ายถอยทัพเอง ส่วนนายตำรวจจากฮ่องกงก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อความเช่นกัน ถึงจะร่วมงานกันมาได้เกือบ 2 เดือนพวกเขาพอจะเข้าใจนิสัยใจคอของนายตำรวจฝั่งไทยนายนี้ดี
“ดูท่าพวกมันคงจะใกล้ตกลงกันได้แล้ว”
“ครับ... เท่าที่ผมสังเกตทั้งสองฝ่ายดูจะพอใจกับสัญญาซื้อขาย”
“อรุณ นายเข้าใกล้พวกนั้นได้มากแค่ไหน”
ทนงศักดิ์เอ่ยถามนายตำรวจน้องเป็นภาษาสากลเพราะต้องการให้นายตำรวจจากฮ่องกงเข้าใจเรื่องที่กำลังสื่อสารกันอยู่ในตอนนี้
“ก่อนหน้าที่พวกนั้นจะไปถึง ผมได้แอบซ่อนเครื่องบันทึกเสียงไว้ที่กระถางต้นไม้ใกล้ๆ ไว้แล้วครับ”
พูดเสร็จก็วางเครื่องบันทึกเสียงขนาดเล็กที่แอบซ่อนไว้ออกมาจากกระเป๋า เขาจัดการต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อที่จะได้ฟังกันทั้งหมด... เมื่อการเจรจาเริ่มต้นขึ้นนายตำรวจฝ่ายไทยต้องขมวดคิ้วเพราะภาษาที่ใช้สนทนานั้นเป็นภาษาจีน เลยต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนายตำรวจจากฮ่องกงช่วยเป็นล่ามแปล ศิวกรจดตามถ้อยคำที่หมวดเฉินกวนแปลมาเป็นภาษาอังกฤษอีกที
บรรยากาศภายในห้องเริ่มเคร่งเครียดเมื่อการเจรจานั้นจบลง เพราะการเจรจาซื้อขายกันครั้งนี้นับว่ามีมูลค่ามหาศาล แทบไม่เชื่อว่าก้องภพจะจัดหาของได้ทั้งหมดตามรายทั้งหมด ดูมั่นอกมั่นใจว่าจะสามารถจัดหาให้ได้ในระยะเวลาอันสั่น ถึงแม้จะน้อยรายการ แต่เป็นรายการที่สำคัญๆ ทั้งนั้น
“ให้ตายเถอะ! นายหลันคนนี้จะเอาอาวุธพวกนี้ไปทำอะไร”
“เชื่อว่าน่าจะไปขายทอดในตลาดมืดต่อ”
“เป็นไปได้หรือเปล่าครับสำหรับเรื่องการก่อการร้าย”
“ผมว่าไม่น่าจะใช่ครับ... นายหลันถึงแม้จะเป็นมาเฟียที่ใจคอโหดเหี้ยม แต่เรื่องก่อการร้ายคงไม่ได้อยู่ในความคิดของเขาหรอครับ”
ทนงศักดิ์กับหมวดอรุณพยักหน้าเข้าใจเรื่องที่หมวดเดวิดเล่าให้ฟัง ศิวกรที่นิ่งเงียบไปนานเอ่ยถามบ้าง
“เป็นเพื่อการสะสมหรือครับ”
“เป็นไปได้ครับ พวกเศรษฐีบางคนนิยมสะสมพวกอาวุธ บางคนก็ชอบสะสมพวกอาวุธโบราณ บางคนก็บ้าสะสมอาวุธที่ใช้วิวัฒนาการสมัยใหม่ หรือพวกอำนาจการทำลายล้างสูง”
“ไอหย่า! งานนี้ซี้เลี้ยว”
ทนงศักดิ์อุทานเป็นภาษาไทย ตบหน้าผากตัวเองดังผาง
“เราคงต้องตามกันต่อไป แต่ตามหลักฐานที่พยายามรวบรวมกันมาได้นี้มันคงใกล้ปะทุเข้ามาทุกที ทางผมคงต้องรายงานไปทางเบื้องบนให้เตรียมการเรื่องจับกุมให้พร้อม ส่วนทางคุณคงต้องปล่อยให้พวกคุณจัดการ”
“ได้ครับไปมีปัญหา แต่ว่าตอนนี้เราคงต้องมาช่วยกันคิดแล้วว่าจะต้องทำอะไรต่อไปเพื่อให้การดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน”
แล้วศิวกรก็จัดการเขียนข้อความต่างๆ ลงบนอีกกระดาษสีขาวด้านที่ยังว่างอยู่เพื่อซักซ้อมความเข้าใจถึงแผนการต่างๆ
*****************************************************************
“แยม... อยากออกไปข้างนอกเบื่อห้องนี้แล้ว”
“ไม่ได้ ยังไม่หายดีไม่อนุญาต”
“ฉันกลัวจะเฉาตายอยู่ในห้อง ขอออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง”
ดลินาที่ตอนนี้เริ่มเดินไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเองบ้างแล้ว กว่าสองเดือนที่ผ่านมาอาการของหญิงสาวดีวันดีคืนจนน่าพอใจ อวัยวะภายในที่บอบช้ำอาการดีขึ้นมากจนเกือบจะหายสนิทแล้ว มีแต่อาการข้อมือหักที่ต้องเข้าเฝือกไปอีกสักพัก แผลแตกที่หน้าผากด้านซ้ายใต้ไรผมทิ้งรอยแผลเป็นอย่างที่คาดไว้
“นะ... คุณหมอคนสวย คุณหมอใจดี๊ใจดี พาข้าวออกไปข้างนอกบ้างสิ”
ดลินาเริ่มใช้มุขออดอ้อนด้วยแววตาน่าสงสาร แต่ก็ไม่เป็นผลคุณหมอสาวไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับมานอกจากจะใช้นิ้วจิ้มไปที่ศีรษะเบาๆ อย่างที่ชอบทำเวลาดลินาขัดใจ
“ไม่ต้องมาอ้อน ฉันไม่ใช่คุณศิลาที่แกจะมาอ้อนได้”
“ใจร้าย!”
ดลินาแบะปากงอนเพื่อนทันทีเมื่อไม่ได้ดั่งใจ
“แหม่คุณข้าวคะ... อายุเท่าไหร่แล้ว จะ 26 แล้วนะคะ ทำตัวให้สมวัยนิดหนึ่ง”
“น๊า! ขอออกไปบ้างนะ ฉันแข็งแรงขึ้นเยอะแล้ว เดินไปไหนมาได้เองก็ได้ ออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้างสุขภาพจิตจะได้ดีขึ้น”
“ไม่ได้... ไปคนเดียวฉันไม่ยอม”
“ถ้ามีคนไปด้วยก็อนุญาตใช่ป่ะ”
รจนาไม่ตอบแต่พยักหน้าแทน ดลินาเห็นแล้วก็ดีใจแต่ว่าจะให้ใครพาเธออกไปดีล่ะ พอนึกถึงใครสักคนที่จะพาเธอไปดลินาก็เริ่มสลดขึ้นมาทันที เธอรู้ว่าเขาไปทำงานแต่ก็อดห่วงไม่ได้ เธอไม่ได้เจอเขามาเกือบ 2 เดือนแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เขายังสบายดีอยู่หรือเปล่า ลำบากมากไหม ได้ทานอาหารครบสามมื้อหรือเปล่า
รจนาเห็นเพื่อนสาวเงียบไป จึงแตะไปที่แขนเพื่อนอย่างแผ่วเบาปลุกให้ตื่นจากอาการเหม่อลอย
“ทำไม... คิดถึงผู้กองเขาหรอ”
“อืมไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง”
“เขาต้องสบายดี เชื่อสิ”
รจนาให้กำลังใจเพื่อน ทั้งที่อีกใจก็อดเป็นห่วงพะวงถึงใครอีกคนไม่ได้ เขาเองก็คงไม่ต่างศิวกรที่จะต้องไปเผชิญกับสิ่งอันตราย เกือบสองเดือนแล้วที่ได้ปะทะฝีปากกับเขา รจนาเองก็รู้สึกเหงาเหมือนกัน
“เอาล่ะ เลิกเศร้ากันดีกว่าไว้ฉันเลิกงานแล้วจะพาแกออกไปสูดอากาศข้างนอกเอง ตกลงนะ”
“ได้... แกนี้เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในโลกเลย”
แล้วสองสาวเพื่อนรักต่างก็โอบกอดแบ่งปันความจริงใจให้แก่กัน รจนาเดินออกไปจากห้องไปทำงานตามตารางที่กำหนดไว้ เมื่อลับร่างของคุณหมอสาวไปแล้ว แม้จะเปิดโทรทัศน์ไว้เป็นเพื่อนแต่มันไม่สามารถคุยโต้ตอบกับเธอได้
เมื่อวานนี้ได้คุณแม่อารีมาอยู่เป็นเพื่อนหญิงสาวจึงคลายเหงาลงไปมาก นางอารีปฏิบัติกับหญิงสาวดั่งลูกในไส้ ดูแลเอาใจใส่ทุกอย่างจนดลินารู้สึกเหมือนได้แม่แท้ๆ ของตนกลับมาอยู่ข้างกายอีกครั้ง เกือบสองเดือนที่ผ่านมานางอารีจะหาเวลามาอยู่เป็นเพื่อน และดูแลเธอเสมอ แถมยังใจดีเล่าวีรกรรมแสนป่วนของลูกชายให้ฟังจนหมดเปลือก
คิดถึง... คิดถึงจังเลย อยากเจอ ดลินานั่งนึกถึงช่วงเวลาที่ได้มีเขาอยู่ข้างกาย มันเป็นช่วงเวลาที่เธอมีความสุข เธอถนอมและหวงแหนช่วงเวลาเหล่านั้นยิ่งนัก ดลินาเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาทิ้งเพราะสัญญากับตัวเองว่าจะไม่อ่อนแอให้คนอื่นต้องเป็นห่วงอีก
เธอหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ห้าโมงกว่าแล้วพระอาทิตย์เริ่มคล้องต่ำ บรรยากาศข้างนอกเป็นอย่างไรบ้างนะ ดลินาอยากออกไปเห็นว่าช่วงเวลาที่เธอรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลโลกภายนอกเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แล้วร้านของเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง หวังว่าลูกค้าจะไม่หนีหายไปไหนเมื่อเธอสามารถกลับไปเปิดร้านได้อีกครั้ง
ดลินาในชุดผู้ป่วยสีฟ้าค่อยๆ ยันกายขึ้นนั่งก่อนจะพาตัวเองลุกขึ้นจากเตียงอย่างระวัดระวังไม่ล้ม จับเสาห้อยน้ำเกลือไว้มั่นก่อนจะเดินไปที่ริมหน้าต่างมองดูทัศนียภาพภายนอก บนท้องถนนจราจรยังคงคับคั่งเช่นปกติ สองข้างทางเหล่ามนุษย์เงินเดือนและพ่อค้าแม่ค้าเดินกันขวักไขว่เต็มทางเดินเท้า ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าหวังจะฝากให้ก้อนเมฆพาคำพูดเหล่านี้ไปถึงใครอีกคน
“ผู้กองคะ... กลับมาเร็วๆ ข้าวคิดถึงคุณ”
“ผมก็คิดถึงคุณ”
น้ำเสียงที่แสนคุ้นเคย มาพร้อมกับอ้อมแขนที่อบอุ่นโอบมาจากด้านหลัง หยาดน้ำใสไหลรินจากดวงตาคู่สวย ดลินาหมุมตัวกลับไปเพื่อให้มั่นใจว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าเธอนั้นไม่ใช่ความฝัน มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาปิดหน้าร้องหน้าสะอึกสะอื้น เจอเมื่อเธอได้กลับไปอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่นนั้นอีกครั้ง คราวนี้หญิงสาวใช้มือโอบกอดรอบตัวเขา ซุกหน้าลงบนอกกว้าง เสียงอู้อี้แม้จะฟังไม่ชัด แต่ศิวกรเข้าใจไปจนถึงวิญญาณของเขา
“คิดถึง... ข้าวคิดถึง”
“ผมอยู่นี้แล้ว... ผมอยู่นี้”
ศิวกรกระชับอ้อมแขนรั้งร่างบางเข้าหาแน่นขึ้น ดลินาเองก็โอบกอดเขาแน่นขึ้นเช่นกัน หัวใจสองดวงที่ตอนนี้จังหวะการเต้นกลับมาเต้นเป็นจังหวะเดียวกันอีกครั้ง
TooMMeng
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ม.ค. 2556, 23:31:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ม.ค. 2556, 23:31:49 น.
จำนวนการเข้าชม : 1152
<< บทที่ 9 (ตามล่า... 1) | บทที่ 9 (ตามล่า... 3) >> |