ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 1


สตรีวัยกลางคนร่างท้วมเดินนำขบวนสาวใช้มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้สีดำบานใหญ่ที่ยังคงปิดสนิท นางลังเลอยู่ชั่วครู่จึงตัดสินใจขยับห่วงทองเหลืองเคาะลงกับแผ่นไม้สองสามครั้ง แล้วส่งเสียงร้องเรียก

“คุณหนูเจ้าคะ แต่งตัวเสร็จหรือยังเจ้าคะ ท่านผู้หญิงให้เชิญคุณหนูลงไปได้แล้วเจ้าค่ะ รถม้าพร้อมแล้ว”

ไร้เสียงตอบ...

ภายในห้องนอนของสตรีที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม มีเพียงสาวใช้สองนางที่หันมองหน้ากันเองเลิ่กลั่กอย่างตื่นตระหนก

“ตายละ คุณแม่บ้านมาตาม”

คนที่ยืนชะเง้อคอยืดคอยาวอยู่ตรงระเบียงเริ่มกระสับกระส่าย ในขณะที่อีกคนรีบล้มตัวลงนอนบนเตียงพลางตวัดผ้าห่มคลุมมิดจนถึงคอ

“ไหนเจ้าว่าคุณหนูกลับมาแล้วไงล่ะเกล ทำไมยังไม่ขึ้นมาสักที” เสียงถามสั่นระรัว

“ก็มาแล้วจริงๆ นี่จีน่า ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าม้าชัดเจนเลย” เกลเถียงทั้งที่ตัวเองก็ชักไม่แน่ใจเหมือนกัน

นางวิ่งเข้ามาในห้องแล้ววิ่งย้อนกลับไปดูที่ระเบียงสลับกันไปมาเหมือนคนสติแตก ยิ่งเสียงร้องเรียกด้านนอกและเสียงเคาะประตูดังถี่กระชั้นขึ้น แม่สาวใช้ก็ยิ่งลนลาน ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะเปิดประตูรับคุณแม่บ้านเข้ามาดี หรือควรจะหาอะไรขวางประตูเอาไว้ให้แน่นหนาอีกชั้นหนึ่งดี จนกระทั่งเจ้าของร่างสูงโปร่งในเสื้อเชิ้ตสีเข้มและกางเกงรัดปลายขาโหนตัวขึ้นจากระเบียง ก้าวเดินผ่านหน้านางไปหยุดยืนอยู่กลางห้องอย่างไร้สุ้มเสียงแล้วนั่นแหละ แม่สองสาวจึงอุทานขึ้นพร้อมกันอย่างโล่งอก

“คุณหนู!!”

เกลนั้นแทบจะถลาเข้าไปกอดขาผู้มาใหม่ ส่วนจีน่าก็กระโจนลงจากเตียงด้วยสีหน้าแสดงความดีใจสุดขีด นางเดินแกมวิ่งข้ามห้องตรงไปคว้าชุดราตรีเปิดไหล่สีงาช้างจากราวทองเหลืองมายื่นส่งให้ผู้เป็นนายที่ยังคงยืนมองเฉยอยู่ที่เดิม

“คุณหนูเจ้าคะ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดเจ้าค่ะ คุณแม่บ้านซอรีนมาตามแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันนะเจ้าคะ”

พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงของคุณแม่บ้านก็ร้องเร่งขึ้นทันทีราวกับรอจังหวะอยู่แล้ว

“คุณหนูอยู่หรือเปล่าเจ้าคะ รีบเปิดประตูเถิดเจ้าค่ะ ท่านผู้หญิงรออยู่นะเจ้าคะ”

“ซอรีนหรือ” หญิงสาวเจ้าของห้องขยับเข้าไปใกล้บานประตูพลางถาม

“เจ้าค่ะ...” คุณแม่บ้านตอบพร้อมกับถอนหายใจโล่งอก “กรุณาเปิดประตูเถิดเจ้าค่ะคุณหนู ท่านผู้หญิงสั่งให้ข้าพาแม่พวกนี้มาช่วยคุณหนูแต่งตัว”

“ไม่ละ เจ้าช่วยลงไปเรียนท่านแม่ด้วยว่าข้าไม่สบาย ไม่อยากไปร่วมงานเลี้ยงคืนนี้”

“แต่...”

“ไม่มีแต่ ซอรีน...ข้าไม่สบาย ไม่ต้องการให้ใครรบกวน เจ้ากลับไปเถอะ ข้าจะพักผ่อน”

หลังจากนั้นไม่ว่าคุณแม่บ้านจะเพียรเคาะประตูเรียกอยู่นานเท่าใด ก็ไม่มีเสียงตอบจากคนในห้อง จนในที่สุดผู้สูงวัยกว่าก็จำต้องยอมแพ้ ล่าถอยกลับไปด้วยความผิดหวัง

หญิงสาวเจ้าของห้องรอจนเสียงฝีเท้าด้านนอกเงียบสนิทจึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมาดังเฮือก เดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงไม้สี่เสาขนาดใหญ่ แล้วโบกมือไล่แม่สองสาวใช้ที่สามัคคีกันเข่าอ่อนนั่งแปะอยู่กับพื้นห้อง

“เจ้าสองคนไปพักเถอะ ขอบใจมากนะที่ช่วยข้า”

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ว่าแต่คุณหนู...” เกลยังพูดไม่ทันจบประโยค ประตูห้องก็ถูกเคาะดังระรัวอีกหน คราวนี้เสียงที่ร้องเรียกอยู่ด้านนอกไม่ใช่เสียงแหบเครือของคุณแม่บ้านซอรีน หากเป็นเสียงแหลมเข้มงวดของท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ต...ประมุขฝ่ายหญิงของคฤหาสน์

“เมลิอานาร์ เป็นอะไรมากหรือเปล่าลูก เปิดประตูให้แม่เข้าไปหน่อยซิ”

หญิงสาวเจ้าของห้องลอบทำหน้าเมื่อย ส่งสัญญาณให้เกลเดินไปเปิดประตูตามคำสั่งของผู้เป็นมารดา ทันทีที่แผ่นไม้หนาหนักสีน้ำตาลเข้มเป็นอิสระจากกลอนตัวใหญ่ สตรีวัยกลางคนผู้มีบุคลิกงามสง่าน่าเกรงขามก็ก้าวผ่านเข้ามาในห้อง กระโปรงยาวกรอมเท้าสีแดงเลือดนกที่นางสวมอยู่ช่วยขับผิวขาวผ่องเผือดแบบคนไม่เคยกรำแดดให้ดูขาวจัดยิ่งขึ้น ใบหน้างดงามไม่แพ้บุตรสาวเรียบเฉยราวกับสวมหน้ากาก ดวงตาคมกริบทั้งคู่แลกวาดสำรวจความเรียบร้อยภายในห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเบนมาหยุดอยู่ที่เจ้าของร่างสูงโปร่งซึ่งนั่งนิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่บนเตียง คิ้วเรียวสวยได้รูปของท่านผู้หญิงขมวดฉับเข้าหากันอย่างไม่ชอบใจ ขณะที่ริมฝีปากสีแดงสดเม้มแน่นก่อนจะคลายออกพร้อมกับเสียงถามห้วนจัด

“ดูแต่งตัวเข้า...นี่เจ้าจะเล่นลูกไม้กับแม่อีกใช่มั้ยเมลิอานาร์ เจ้าไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไปร่วมงานเลี้ยงคืนนี้”

“ข้าไม่ชอบงานเลี้ยงแบบนี้นี่คะ ท่านแม่ก็ทราบ” ลูกสาวตอบเสียงเนือย

“ถึงจะไม่ชอบยังไงเจ้าก็ต้องไป นี่เป็นงานเลี้ยงสำคัญที่ท่านวิลเลียมจัดขึ้นนะ ชาวบ้านชาวเมืองเขาแย่งชิงกันจะเป็นจะตายเพื่อที่จะให้ได้ไปร่วมงาน แล้วดูเจ้าซิ ได้รับบัตรเชิญมาทั้งทีกลับจะไม่ไป”

“ใครอยากไปก็ให้เขาไปซิคะ ข้าไม่อยากนี่นา”

“ต๊าย เมลิอานาร์ พูดออกมาได้ยังไง นี่ฟังแม่นะ...”

ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตรู้สึกอยากจะเป็นลมกับคำตอบของลูกสาวจนต้องถอยไปนั่งที่เก้าอี้ซึ่งสาวใช้กุลีกุจอยกมาตั้งให้

“ท่านวิลเลียมเป็นผู้ที่มีคนนับหน้าถือตามากมาย ทั้งองค์ราชา ทั้งท่านพ่อของเจ้า ลูกชายของท่านก็เป็นถึงทหารองครักษ์คนสนิทของเจ้าชายรัชทายาท แถมฐานะยังมั่งคั่ง ศักดิ์สกุลก็สูง มีข้อดีครบถ้วนเหมาะสมกับเจ้าทุกอย่างขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือไง”

ไม่ใช่ไม่พอใจ แต่เมลิอานาร์ไม่เคยนึกสนใจเลยต่างหาก...

นางไม่อยากเป็นอย่างผู้หญิงคนอื่นๆ ที่พอถึงวัยก็ต้องแต่งหน้าทาปากไปปรากฎตัวตามงานเลี้ยงคอยให้ผู้ชายมาชี้นิ้วเลือก แม้ว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นถึง ‘ลูกชายของท่านวิลเลียม’ ก็ตาม ในฐานะทายาทคนเดียวของตระกูลโรเซสซัส เมลิอานาร์อยากจะสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์ต่อจากบิดามากกว่า

“ข้าไม่อยากทำตัวเหมือนสินค้านี่คะ” หญิงสาวให้เหตุผล

“หยุดความคิดของเจ้าเอาไว้แค่นั้นเลยเมลิอานาร์ ก็เพราะเจ้าคิดอะไรไม่เหมือนชาวบ้านอย่างนี้น่ะซิ จนป่านนี้แล้วถึงยังไม่มีใครมาสู่ขอสักที” ท่านผู้หญิงเริ่มโมโหขึ้นมาบ้าง

ความจริงสาเหตุที่ทำให้ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตต้องมานั่งเคี่ยวเข็ญให้ลูกสาวไปร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ ก็เพราะบรรดาลูกสาวของเพื่อนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเลดี้เมลิอานาร์ต่างพากันเดินเข้าสู่ประตูวิวาห์เป็นทิวแถว จนท่านผู้หญิงชักจะร้อนใจที่ยังไม่มีใครมาสู่ขอลูกสาวคนสวยสักที ท่านค่อนข้างจะหวังกับลูกสาวคนเดียวเอาไว้มาก จนถึงกับเคยออกปากต่อองค์ราชาผู้เป็นพี่ชายจะให้เลดี้เมลิอานาร์หมั้นหมายกับเจ้าชายรัชทายาทด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ต้องอกหักเพราะฝ่ายชายชิงแต่งงานกับเจ้าหญิงจากประเทศกรีนแลนด์ไปเสียก่อน ซึ่งเรื่องนี้จะโทษเจ้าชายก็ไม่ถนัดปาก ในเมื่อมีหญิงสาวแสนสวยมาให้เลือกอยู่ทั้งคน ใครจะยอมหมั้นหมายกับเด็กอายุแปดขวบกันเล่า

“แม่ไม่สนว่าเจ้าจะคิดยังไงนะเมลิอานาร์ แต่นี่คือคำสั่ง ถ้าเจ้าไม่ยอมไปร่วมงานคืนนี้แม่จะฟ้องท่านพ่อ แล้วเจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้ไปที่โรงฝึกอาวุธของท่านอีกเลย” เมื่อพูดดีๆ ไม่ได้ผล ท่านผู้หญิงก็ต้องใช้วิธีดั้งเดิมคือ...ขู่

เมลิอานาร์ถอนใจเฮือกใหญ่ นางไม่ได้กลัวคำขู่ของมารดา แต่ทนรำคาญคำพูดวกวนเซ้าซี้นั้นไม่ไหว หากนางปฏิเสธ แน่นอนว่าท่านผู้หญิงจะยังคงอดทนนั่งอยู่ในห้องเพื่อจะบ่นซ้ำบ่นซากเรื่องที่ลูกสาวยังไม่มีคู่ครองสักที จนกระทั่งสว่างคาตาไม่ต้องได้นอนกันทั้งแม่ทั้งลูก ทางออกที่ดีที่สุดก็คือนางต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้มารดาเสียเอง

“เอาละค่ะ...แค่ข้าไปร่วมงานก็พอแล้วใช่มั้ยคะท่านแม่”

“เมลิอานาร์ อย่าเล่นลูกไม้กับแม่นะ ถ้าเจ้าไปงานทั้งชุดนี้เป็นได้เห็นดีกันแน่” ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตเอ่ยเสียงเข้ม ดักคอเอาไว้ก่อนเพราะรู้ฤทธิ์ลูกสาวดี

“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ ข้าทราบแล้ว ตอนนี้ขอเชิญท่านแม่ออกไปก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะได้เปลี่ยนเสื้อ”

แม้จะรู้ว่าลูกสาวแกล้งประชดแต่เมื่อได้รับคำตอบเป็นที่พอใจ ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตก็ยอมล่าถอยออกจากห้องโดยดี หากยังไม่วายส่งสายตาเขียวปัดทิ้งท้ายเอาไว้เพื่อกำกับผู้เป็นลูกแทนคำพูดอีกชั้นหนึ่ง

พอลับร่างของมารดา เลดี้เมลิอานาร์ก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก จนกระทั่งเกลต้องกระซิบเตือน

“คุณหนูเจ้าคะ แต่งตัวเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทัน”

จีน่าค่อยๆ เดินเหมือนย่องไปหยิบเสื้อตัวสวยจากหลังฉากออกมายื่นส่งให้นายสาว หลังจากที่เพิ่งจะนำไปแขวนเก็บเมื่อครู่ก่อน

“เอาวางไว้ตรงนั้นแหละ”

เมลิอานาร์ชี้นิ้วส่งๆ ไปยังที่ว่างข้างกาย แล้วเด้งตัวลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอยู่สองสามรอบ ก่อนจะหันขวับมาออกคำสั่งกับแม่สาวใช้ด้วยดวงตาเป็นประกาย

“เกล... ไปตามเคนมาพบข้าเดี๋ยวนี้เลย ระวังอย่าให้ท่านแม่เห็นล่ะ”


รถม้าสีขาวคาดทองเทียมด้วยม้าสีขาวล้วนสองตัว มีตราสัญลักษณ์รูปกุหลาบเลื้อยและดาบอัศวินประดับอยู่ที่ประตูและดุมล้อ จอดนิ่งสนิทอยู่ข้างทางในลักษณะเอียงกะเท่เร่ เพราะล้อหลุดไปข้างหนึ่ง ชายกลางคนซึ่งเป็นคนขับรถ ก้มๆ เงยๆ พยายามหาทางแก้ไขสถานการณ์อย่างสุดความสามารถ โดยมีสตรีสาวในชุดกระโปรงผ้าไหมยาวลากพื้นสีงาช้างยืนกอดอกมองดูอย่างใจเย็น ส่วนสตรีวัยกลางคนในชุดสีแดงอีกผู้หนึ่งนั้นยังคงนั่งหน้าบึ้งรออยู่ในรถ

“แย่จริงๆ เลยขอรับคุณหนู ทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็ไม่รู้ ก่อนจะออกจากคฤหาสน์ข้าก็ตรวจดูอย่างดีแล้วแท้ๆ” คนขับรถบ่นพลางส่ายหน้า

“แล้วพอจะซ่อมได้มั้ยล่ะจ๊ะลุงทอม นี่อีกตั้งไกลกว่าจะถึงคฤหาสน์ของท่านวิลเลียม” เมลิอานาร์ถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล หากดวงตาพราวระยับ

“ท่าจะยากขอรับ ลองล้อหลุดแบบนี้ละก็ คงต้องรอให้มีคนผ่านมาอย่างเดียวเท่านั้น”
ผู้พูดเหลียวมองสองข้างทางด้วยความไม่สบายใจ ถนนสายนี้เป็นทางลัดที่ตัดผ่านเข้าไปในป่าละเมาะจึงค่อนข้างเปลี่ยวในเวลากลางคืน แต่เนื่องจากเป็นเส้นทางเดียวที่จะไปยังหมู่บ้านข้างๆ ได้โดยใช้เวลาสั้นที่สุด พวกที่รีบร้อนหรือต้องการประหยัดเวลาจึงมักนิยมเลือกใช้เส้นทางสายนี้แทนถนนสายหลักซึ่งอ้อมกว่ากันมาก

“ถ้าอย่างนั้นลุงก็รออยู่แถวนี้เป็นเพื่อนท่านแม่ก่อนแล้วกัน ข้าจะลองเดินไปดูแถวกระท่อมคนตัดฟืนสักหน่อย เผื่อจะเจอใครบ้าง”

“จะดีหรือขอรับคุณหนู ค่ำๆ มืดๆ แบบนี้ ให้ข้าไปเองดีกว่า...”

“ไม่ต้องหรอกจ้ะ ลุงอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ที่นี่แหละ เผื่อมีคนผ่านมาจะได้ขอความช่วยเหลือจากเขาได้”

เมื่อนายสาวว่าอย่างนั้น คนขับรถสูงวัยก็ไม่อาจคัดค้านได้อีก จำต้องปล่อยให้นางทำตามความประสงค์แม้จะไม่เห็นด้วยเลยสักนิดก็ตาม

เมลิอานาร์เดินไปตามถนนที่กว้างขนาดรถม้าสองคันแล่นสวนกันได้อย่างสบายโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยแสงจากคบไฟหรือตะเกียง คืนนี้เป็นคืนเดือนหงาย พระจันทร์เต็มดวงทอแสงนวลกระจ่างอยู่บนฟ้าโปร่งไร้เมฆ ถนนสว่างพอจะมองเห็นทางข้างหน้าได้ไกลพอสมควร หญิงสาวคุ้นเคยกับถนนสายนี้จนรู้ว่าเลยไปอีกหน่อยจะมีทางแยกเลี้ยวไปด้านขวาซึ่งนำไปสู่สะพานไม้แคบๆ ทอดข้ามลำธารใส ฝั่งตรงข้ามลำธารมีเพิงพักสำหรับคนตัดฟืนปลูกอยู่หลังหนึ่ง

นางเดินทอดน่องชมแสงจันทร์อย่างสบายอารมณ์เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าเจ้าม้าตัวโปรดผูกคอยอยู่ที่ไหน สงสารก็แต่ลุงทอมเท่านั้นแหละ ป่านนี้คงนั่งฟังท่านแม่บ่นจนหูแฉะไปแล้ว ลุงหนอลุงช่างไม่นึกเฉลียวใจเลยสักนิดว่าที่ล้อรถหลุดกะทันหันนั้น...ฝีมือใคร

เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องของตนเองเพลินอยู่ เมลิอานาร์จึงไม่ทันเห็นว่ามีรถม้าสีดำคันใหญ่วิ่งสวนทางมาด้วยความเร็วสูง กว่าจะรู้ตัวกีบเท้าของม้าก็ตะกุยอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว จะหลบอย่างไรก็ไม่พ้น

เสียงร้องด้วยความตกใจของคนและม้าปะปนกันดังก้องไปทั้งถนน คนขับรถม้ารั้งสายบังเหียนสุดแรงเกิดจนกระทั่งสามารถบังคับรถให้หยุดสนิทได้อย่างหวุดหวิด เขาพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกเสียงดัง หันมาตะคอกใส่แม่สาวตัวต้นเหตุอย่างหัวเสีย

“คุณผู้หญิงอยากตายหรือยังไงกัน มาเดินอยู่กลางถนนมืดๆ ไม่ถือตะเกียงอย่างนี้”

“ขอโทษทีพี่ชาย ข้าเห็นแสงจันทร์สว่างพอแล้วก็เลยประมาทไปหน่อย แต่ท่านเองก็ไม่ได้จุดตะเกียงหน้ารถเหมือนกันนี่ ถ้าข้าเห็นแสงไฟหน้ารถของท่านก่อนก็คงหลบลงข้างทางไปแล้ว” หญิงสาวเถียง เสียงยังคงสั่นอยู่เล็กน้อยด้วยความตกใจ นางสังเกตจากเครื่องแต่งกายสีแดงสลับดำของคนขับก็พอจะเดาได้ว่า ผู้ที่นั่งอยู่ในรถม้าคันใหญ่เทียมด้วยม้าถึงสี่ตัวนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน

“เกิดอะไรขึ้นทหาร ทำไมไม่ไปต่อ” เสียงถามทรงอำนาจดังออกมาจากประทุนรถ

“มีอุบัติเหตุนิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ คุณผู้หญิงคนนี้ขวางทางอยู่เลยทำให้ม้าตกใจ ต้องขอประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ” คนขับรถเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม แล้วรีบหวดแส้ลงบนหลังม้าพาให้รถคันงามเคลื่อนออกจากที่ทันที

เมลิอานาร์เบี่ยงตัวหลบไปเดินจนชิดขอบทาง ปล่อยให้รถม้าคันนั้นแล่นเลยผ่านไปโดยไม่คิดจะสนใจอีก นางไม่รู้ตัวสักนิดว่าจังหวะที่รถม้าแล่นสวนไปนั้น ม่านหน้าต่างด้านข้างตัวรถได้ถูกมือของใครคนหนึ่งแหวกออกเป็นช่อง เจ้าของมือเยี่ยมหน้ามองลงมานิดหนึ่งก่อนจะออกคำสั่งให้ทหารหยุดรถ

“เมล...”

เสียงเรียกที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้หญิงสาวที่เดินอยู่ข้างทางต้องหยุดชะงัก หันกลับมามองด้วยความสงสัย ก่อนที่ดวงตาคู่งามจะเบิกกว้างขึ้นอย่างประหลาดใจ เมื่อพบว่าผู้ที่กำลังเดินแกมวิ่งตรงมาหาคือชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาคมคาย แต่งกายอย่างหรูหราด้วยเสื้อเชิ้ตผ้าไหมติดระบายลูกไม้ ซ่อนชายไว้ในกางเกงกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มมีเส้นเงินเล็กๆ เดินเป็นลวดลายคล้ายเถาไม้เลื้อยตรงตะเข็บข้าง ที่เอวคาดเข็มขัดหนังนุ่มประดับอัญมณีแพรวพราว เส้นผมหยักศกสลวยสีน้ำตาลไหม้ยาวระไหล่ไม่ได้รัดรวบไว้เช่นที่ชายชาวเมืองทั่วไปนิยมกัน หากแต่ปล่อยให้ปลิวล้อลมอยู่เบื้องหลัง

เมลิอานาร์จำชายหนุ่มได้ในทันที เขาคือเจ้าชายเอเดรียน...โอรสองค์ที่สองของราชาแห่งแลมพ์ตันกับพระสนมลิเดีย และถ้าเดาไม่ผิดเขาก็คงจะเป็นผู้โดยสารที่อยู่บนรถม้าสีดำซึ่งเกือบจะชนนางเมื่อครู่นั่นเอง หญิงสาวย่อกายลงถอนสายบัวให้ชายหนุ่มตามธรรมเนียมแล้วหยุดยืนรออย่างสุภาพ

“นั่นเจ้ากำลังจะไปไหน” เจ้าชายตรัสถามตั้งแต่ยังเสด็จไม่ถึงตัวหญิงสาว

“แต่งตัวอย่างนี้ ทำไมถึงมาเดินคนเดียวในถนนมืดๆ รถม้าของเจ้าล่ะ”

“หม่อมฉันกำลังจะไปร่วมงานเลี้ยงที่บ้านท่านวิลเลียมกับท่านแม่เพคะ โชคร้ายที่รถม้าเกิดล้อหลุดกลางทาง หม่อมฉันก็เลยเดินมาเรื่อยๆ เผื่อจะเจอใครแถวนี้ให้ขอความช่วยเหลือได้บ้าง” เมลิอานาร์ตอบความจริงแค่ครึ่งเดียว

“รถม้าของเจ้านี่ช่างเลือกเวลาเกิดเหตุได้เหมาะจริงนะเมล”

เจ้าชายเอเดรียนทอดพระเนตรหญิงสาวตรงหน้าอย่างรู้ทัน จนคนถูกมองต้องกระแอมเบาๆ แก้เก้อ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง

“พระองค์จะเสด็จไหนหรือเพคะ”

“ข้ากำลังจะไปบ้านท่านโจเซฟ”

...ซึ่งแปลว่าจะเสด็จไปหาเลดี้โจเซฟิน...

เมลิอานาร์ต่อให้ในใจพลางยิ้ม

“ถ้าเช่นนั้นเชิญเสด็จเถิดเพคะ พระองค์คงกำลังรีบ ไม่ต้องสนพระทัยหม่อมฉันหรอก เรื่องรถม้าหม่อมฉันจัดการเองได้”

“ข้าก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรนัก ยังพอมีเวลาเหลือไปส่งเจ้าก่อนได้”

“เป็นพระกรุณาเพคะ แต่อย่าดีกว่า ม้าของหม่อมฉันผูกอยู่แค่นี้เอง”

เจ้าชายเอเดรียนทรงพระสรวลน้อยๆ แต่ยังยืนกรานคำเดิม

“มาเถอะน่า ให้ข้าไปส่งที่บ้านเจ้าเถอะ เจ้าจะได้ให้คนมาช่วยลุงทอมเอารถม้ากลับคฤหาสน์เสียคืนนี้เลย”

“แต่พระองค์ทรงมีธุระร้อน...” เมลิอานาร์พยายามปฏิเสธหากถูกชายหนุ่มขัดขึ้นเสียก่อน

“ธุระของข้าไม่ร้อนเท่าไรหรอก ถึงอย่างไรทางไปบ้านท่านโจเซฟก็ต้องผ่านบ้านเจ้าอยู่ดี มาเถอะน่าเมล ถ้าให้ข้าไปส่ง ท่านอาจะได้ไม่กล้าดุเจ้าไงล่ะ”

เป็นเพราะคำพูดประโยคสุดท้ายของเขา เมลิอานาร์จึงยอมเปลี่ยนใจเดินตามเจ้าชายเอเดรียนกลับไปที่รถม้าสีดำโดยดี มิได้นึกเฉลียวใจเลยสักนิดว่า การตัดสินใจครั้งนี้จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายในชีวิตอย่างที่หญิงสาวเองก็คาดไม่ถึงทีเดียว






angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ม.ค. 2556, 10:24:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ม.ค. 2556, 10:25:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 1762





<< บทนำ   ตอนที่ 2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account