บ้านนราธร (ภาคต่อของทรัพย์สิดีฯ)
ถ้าใครเคยอ่านทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก นี่คือภาคต่อ ที่มีตัวละครคือลูกๆทั้งสามค่ะ การแหกกฏของตระกูลนราธรได้เริ่มขึ้นในรุ่นนี้ มีตัวเอก 3 คน คือ นรนทร์ ลูกชายคนโต ที่ไม่ต้องการดูแลบริษัท นราธิป ลูกชายคนรองที่ไม่ได้เป็นที่คาดหวังของใคร และสิดาริน ลูกสาวคนเล็กของบ้านที่คุณย่าต้องการให้สวยสมบูรณ์แบบ แต่เธอกลับแก่นเซี้ยว ห่างไกลคำว่ากุลสตรี

แล้วบ้านนราธร รุ่นที่ 5 จะเป็นอย่างไร

ปฏิบัติการความเป็นแม่ของทรัพย์สิดี เริ่มขึ้นแล้ว
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: (5) กลับบ้าน

ตอนที่ 5

3 ม.ค.วันพุธ เจ็ดโมงครึ่ง บนรถคุณพ่อ
สมุดบันทึกที่รัก
คุณแม่ต้องจัดการคุณย่า คุณแม่ต้องจัดการคุณย่า คุณแม่ต้องจัดการคุณย่า!!!! คุณแม่จะปล่อยให้คุณย่ามาทำแบบนี้กับฉันไปตลอดชีวิตไม่ได้นะ ไอ้การบังคับฉันไปออกงานเนี่ย ฉันเป็นแค่เด็กอายุ 16 ที่ต้องเรียนหนังสือนะ ถึงจะแอบหลับในห้องเรียนบ้างก็เถอะ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณย่าสมควรพาฉันไปออกงานสมาคมที่ไหนก็ได้ คุณย่าไม่กลัวฉันใจแตก เป็นพวกใช้เงินฟุ่มเฟือย บ้าวัตถุ และเห็นเปลือกนอกสำคัญกว่าเปลือกในหรือไง คุณย่าอยากให้ฉันเป็นคนพวกนั้นหรือ!!!

ฉันบอกคุณแม่แล้ว แต่คุณแม่ก็ดูเกรงแม่สามี บอกว่าจะช่วยพูด ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ส่วนคุณพ่อบอกว่า วันนี้มีธุระต้องกลับมืดอีก ไม่สมารถช่วยได้ พี่ชายทั้งสองก็ตีจาก คนนึงเตรียมสอบ คนนึงซ้อมบาส โอ๊ยยยยย ฉันจะพึ่งใครได้บ้าง ว้าย!!!

เอ่อ...คุณพ่อเบรกกระทันหันน่ะ ฉันเขียนหนังสือบนรถก็ชักปวดศีรษะนะ ขอแค่นี้ก่อน
สิดาริน

“สิดาริน เย็นนี้กลับมากี่โมงหรือลูก" แม่สามีฉันถามหลานสาวคนเดียวของครอบครัวที่นั่งทานอาหารเช้าอยู่ วันนี้ไม่มีใครตื่นสาย

สิดารินเงยหน้าจากจานข้าวแล้วมองย่าของเธอด้วยแววตารู้ทัน เหมือนยายรินลูกสาวของฉันอยากจะพูดโพล่งอะไรสักอย่าง แต่หล่อนทำท่าราวกับว่าฉันต้องแสดงละครอะไรประมาณนั้น เลยทำท่าเชิด สง่างาม แล้วพูดออกมาด้วยท่าทีแปลกไปจากเดิม เหมือนลูกสาวฉันพยายามเปลี่ยนบุคลิกตัวเองให้ดูนิ่งกว่าเดิมอยู่นะ

หล่อนยิ้มเสแสร้ง "รินก็เลิกตามปกติค่ะ แต่อาจจะมีกิจกรรมหลังเลิกเรียน ต่อด้วยติวหนังสือ เลยอาจจะเลิกเย็นนะคะ" พูดเสียงนิ่งเชียวลูกสาวฉัน

คุณแม่ดื่มกาแฟแล้วจิกตามองหลานสาวแบบรู้ทันเช่นกัน "เย็นน่ะกี่โมงจ๊ะดาริน"

ยายลูกสาวฉันเริ่มหน้าหงิก แต่พยายามยิ้มน่าดู นี่ยายสิดาริน ไปอ่านหนังสือหรือดูหนังอะไรเข้าอีกล่ะ เลยกำลังเลียนแบบนางเอกนิยายหรือเปล่า

“ทุ่มหนึ่งมั้งคะ คุณย่ามีอะไรหรือคะ"”

แม่สามีฉันยิ้มกว้าง "ทุ่มเดียวเอง เดี๋ยวให้ตาชมไปรับที่โรงเรียน กิจกรรมสมัยนี้ช่างเยอะจริงนะ จากนั้นไปงานการกุศลกับย่า ย่าเตรียมชุดไว้ให้แล้ว งานเริ่มสองทุ่ม สี่ทุ่มเราก็กลับกัน ไม่ดึกนะจ๊ะ แม่สิดี" พูดกับลูกฉันเสร็จ ก็หันมาบอกฉัน

สิดารินชักสีหน้าทันที แต่พยายามทำให้ดูไม่น่าเกลียด "รินเหนื่อยค่ะ จะสอบแล้ว รินต้องอ่านหนังสือ"

“อาไร้ สอบเดือนหน้าไม่ใช่เหรอ เมื่อวานนราธิปบอกย่า" คุณแม่พูดอย่างนี้ ทำเอานราธิปสะอึก แล้วสองพี่น้องก็มองหน้ากัน มีตารนทร์แอบอมยิ้ม

“คุณแม่คะ ยายรินไม่ชอบออกงาน แล้วแกก็ยังเด็กมาก คุณแม่รอยายรินเข้ามหาวิทยาลัยก่อนดีไหมคะ" ฉันช่วยพูด คุณนรินทร์มองฉันและแม่สามี กลัวสงครามจะปะทุ โถ ฉันจะไปกล้าอะไร

“นั่นสิครับคุณแม่ อย่าไปบังคับยายรินเลย" คุณนรินทร์ช่วยพูด นานๆทีจะออกโรงบ้างนะพ่อตัวดี

สวนคุณพ่อยังคงอ่านหนังสือพิมพ์พลิกไปมา ไม่อยากจะยุ่งด้วย

แม่สามีฉันยังคงนิ่ง จิบกาแฟอย่างสง่างามต่อไป แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“หลานสาวของฉัน ฉันต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้อยู่แล้ว ไม่รู้กันหรือไงว่านี่คือการลงทุน เอาเป็นว่าเย็นนี้ก็เจอกันแล้วกันนะ ย่าไปในครัวก่อน" พูดเสร็จก็ลุกขึ้นเดินไปเฉยๆ ยายรินเลยนั่งกอดอก ทำหน้าตาแบกความทุกข์ไว้ทั้งโลก

“คุณย่าจะลงทุนอะไรกับรินเหรอคะ ไม่เข้าใจ การลงทุนมีความเสี่ยงนะคะ"

ฉันกับคุณนรินทร์ถอนหายใจ อีกสาเหตุหนึ่งที่เราสองคนไม่อยากขัดใจคุณแม่ก็เพราะว่าคณแม่เป็นโรคความดันและไขมันด้วย กลัวว่าถ้าไปทำให้ท่านโกรธแล้วจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

“เอาเถอะดาริน แล้วแม่จะช่วยพูดให้ สงสารคุณย่าด้วยเถอะนะ ท่านก็อายุมากแล้ว ไปเถอะทุกคน เดี๋ยวจะสาย แล้วธิปวันนีี้ซ้อมบาสเหรอลูก จะให้ลุงชมไปรับกี่โมง พ่อเขาติดธุระอีกวันนี้" ช่วงนี้ทำไมคุณนรินทร์ติดธุระบ่อยจัง

นราธิปรีบดื่มนมจนหมด "ครับ ซ้อมวันแรก ต้องฟิต ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวธิปกลับเอง"

“รนทร์อ่านหนังสือรอน้องที่นั่นด้วยครับ กลับมาบ้านเดี๋ยวกลัวจะเล่นเกม ไม่ได้อ่าน งั้นไปก่อนนะครับคุณแม่ ไปแล้วนะครับคุณปู่" ลูกทั้งสามของฉันยกมือไหว้ มียายรินที่ทำหน้างอนตุ๊บป่อง

แล้วฉันก็นึกอะไรออกได้ นราธิปลูกชายของฉันเข้าทีมชมรมบาสของโรงเรียน เตรียมตัวไปแข่งเดือนหน้า ฉันต้องให้รางวัลเขาสักหน่อย

“ธิป เสาร์นี้ต้องซ้อมไหมลูก แม่จะพาทุกคนไปเลี้ยงฉลองกันสักหน่อย ที่ธิปคัดตัวผ่านน่ะ"

ลูกๆดูดีใจ มียายดารินทำเงียบ

“เอ่อ...แต่เสาร์นี้ผมมีธุระน่ะ เป็นวันอาทิตย์ดีไหม" คุณนรินทร์พูด ท่าทางลำบากใจ ช่วงนี้งานที่บริษัทยุ่งเหรอ แต่ก็ไม่ได้มีโครงการสร้างสาขาใหม่หรือโปรเจคใหญ่อะไรนี่นา

“อาทิตย์ก็ดีครับ วันเสาร์ธิปว่าจะตื่นสาย" นราธิปพูดอย่างกระตือรือร้น แล้วฉันก็หอมลูกๆทั้งสามคนบอกลาตอนเช้า

“เอาน่ะยายรินแล้วแม่จะช่วยพูด ตั้งใจเรียนกันนะจ๊ะ" แล้วลูกๆที่น่ารักทั้งสามก็เดินพาเหรดกันขึ้นรถ มีคุณนรินทร์ยังยืนเก้กังๆ เหมือนจะบอกอะไรฉันสักอย่าง

“นี่สิดี ผมไปก่อนนะ" แล้วเขาก็หอมแก้มฉัน ทำเอาลูกๆกรี๊ดกร๊าด ตาบ้านี่ ช่วงนี้เป็นอะไรนะ ทำไมเกิดมาทำหวาน เมื่อคืนก็ทำมาออเซาะให้นวดหลัง ปกติ เขาเปนคนเฉยๆ แล้วเราก็คุยกันเรื่องทั่วๆไปมากกว่า

คุณนรินทร์ยื่นแก้มมาให้ "หอมผมบ้างสิ เร็วเข้า"

ฉันหน้าแดง "จะบ้าเหรอลูกมองอยู่"

“เอาน่า" แล้วฉันก็สัมผัสแก้มเขาเบาๆ ก่อนจะถูกคุณนรินทร์รวบตัวไปกอด "ว้าย! คุณเป็นอะไรเนี่ยช่วงนี้"

เขาหัวเราะ กระซิบเบาๆ "ก็รักคุณไง ผมกลับดึกนะคืนนี้" พูดเสร็จก็ผละจากฉันไปเป็นสารถีขับรถให้ลูกๆ

จริงๆนะ เขาแปลกไปจริงๆ ปกติคุณนรินทร์ไม่ชอบแสดงออกต่อหน้าใคร

จากนั้นวันทั้งวัน ฉันก็เฝ้าหาโอกาสที่จะพูดคุยกับคุณแม่เรื่องสิดาริน แต่ก็ดูจะไม่มีโอกาส เพราะคุณแม่วุ่นอยู่กับการหาเสื้อผ้าสำหรับวันนี้ และโทรคุยกับเพื่อนคุณหญิงคุณนาย ฉันจะยอมแพ้ไม่ได้ อย่างไรก็ตามฉันจะต้องปลุกความเป็นแม่ในตัวให้โหมกระพือมากกว่านี้ ฉันต้องปกป้องลูกสาวฉัน

คุณแม่สามีวางโทรศัพท์จากการคุยแล้ว ฉันที่กำลังนั่งดูทีวียามบ่ายอยู่เลยลุกขึ้น สูดหายใจเข้าลึก พร้อมตั้งสติก่อนสตาร์ท แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งพูดขึ้นมาหยุดฉันไว้

“สิดี พ่อขอคุยอะไรด้วยหน่อย" ฉันหันไปมอง เลยเห็นว่าคุณพ่อกำลังเรียกฉันอยู่

“คะ?” ฉันสงสัย

คุณพ่อตีหน้านิ่งอีกแล้ว มาแนวไหนเนี่ยวันนี้ ปอคอ ยังไม่ถึงเวลานะ "นั่งสิ พ่อมีอะไรจะคุยด้วย"

อูย...หน้าอย่างนี้ น้ำเสียงอย่างนี้ เรื่องล่าสุดที่คุณพ่อคุยคืออยากให้ฉันกับตารินมีลูกสาว ซึ่งฉันก็ทำสำเร็จให้แล้ว แต่ตอนนี้จะมีอะไรอีกล่ะ ฉันคงไม่สามารถผลิตทายาทเพิ่มให้ได้แล้วนะ

“คุยกับนรนทร์บ้างหรือยังว่าอยากเรียนอะไร"

ฉันจ้องตาท่าน อ้อ เรื่องนี้นี่เอง ฉันสามารถสู้ให้กับนรนทร์ได้แล้วตั้งแต่เกิด ตอนนี้คุณพ่อจะมาทวงสัญญาคืนหรือ

“คุยไว้บ้างแล้วค่ะ แต่ตารนทร์ไม่บอก บอกว่าเดี๋ยวพวกเราก็จะรู้เอง"

คุณพ่อทำหน้าเข้ม จากที่ไม่เคยไว้หนวด ก็มาไว้เฉย แล้วหนวดท่านก็กระตุกนิดๆ

“ทำไมเจ้ารนทร์ไม่ส่งใบสมัครไปมหาวิทยาลัยที่พ่อบอก"

อ้าว แล้วคุณพ่อจะมาคาดคั้นอะไรกับฉันล่ะ ฉันไม่ใช่นรนทร์นะคะ "ค่ะตารนทร์บอกไม่ได้ส่ง รนทร์บอกว่าไม่จำเป็น เรียนที่ไหนก็ได้อยู่ที่ตัวเรา คุณพ่อ...มีอะไรหรือเปล่าคะ" ฉันถาม ทั้งๆที่ก็น่าจะรู้คำตอบ

“อะไรกัน ตระกูลของเราเรียนที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกากันมาตลอด เรียนที่ไหนก็ได้มันก็จริง แต่คอนเนคชั่นล่ะ สังคมล่ะ พ่อตามใจพวกเธอสองคนตั้งแต่ลูกคนโตเกิดแล้วนะ แต่บางเรื่องมันก็สำคัญต่อครอบครัวของเรา"

ฉันนิ่ง พยายามมองคุณพ่ออย่างสงบ "คุณพ่อลืมอะไรไปหรือเปล่าคะ สิ่งที่สำคัญของครอบครัวเรา คือความสุขของสมาชิกนะคะ ถ้าคุณพ่อกังวลเรืื่องทายาท ตอนนี้ นรนทร์ยังเด็ก ยังตอบอะไรไม่ได้ แต่ถึงนรนทร์ไม่มารับช่วงต่อจริงๆ ก็ยังมีนราธิปนี่คะ"

คุณพ่อสามีถอนหายใจ "เฮ้อ พ่อรู้ แต่ นราธิป ดูเป็นคนสบายๆ เขาอาจจะไม่เหมาะรับภาระใหญ่"

“คุณพ่อคะ อย่าดูถูกธิปกันจนเกินไป เด็กทุกคนมีความสามารถ เราต้องมั่นใจในตัวเขาค่ะ แล้วเขาก็จะมั่นใจในตัวเอง"

คุณพ่อมองฉันนิ่งๆ หนวดกระตุกแรงขึ้น "พ่อจะไปคุยกับนรนทร์อีกที" มองฉันด้วยแววตาเอาชนะอีกครั้งแล้วจากไป

ให้ตายสิ คุณนรินทร์คงเอานิสัยชอบเอาชนะมาจากพ่อตัวเองนี่เอง แล้วอีกอย่าง ทำไมทุกคนในบ้านต้องมองนราธิปแบบนั้นด้วย ลูกชายฉันคนนี้สามารถเป็นผู้นำคนได้ดีแน่ๆ ฉันเป็นแม่ ฉันต้องรู้สิ

พอคุยกับคุณพ่อเสร็จฉันก็สอดส่ายสายตาหาแม่สามี อะไรเนี่ยนี่ฉันต้องคอยรบกับสองผู้เฒ่าของบ้านนี้เหรอ นี่มันอนาคตของลูกฉันนะเนี่ย เหมือนตอนสมัยฉันสาวๆไม่มีผิด อนาคตของฉัน อนาคตของคุณนรินทร์อยู่ในกำมือ คุณพ่อคุณแม่เขาเท่านั้นจริงๆ เมื่อเจอแม่สามีที่กำลังเลือกชุดราตรีให้หลานสาวอย่างมีความสุข ฉันก็โพล่งขึ้นทันที ลืมคิดไปว่า คุณแม่เป็นความดันโลหิตสูง

“คุณแม่คะ"​ฉันสูดหายใจเข้าลึก แล้วยิ้มแย้ม "อย่าบังคับยายรินลยนะคะ" ได้ผล แม่สามีหันมาจ้องฉันแบบประหลาดใจ

“อาไร้ แม่สิดี แม่ไม่ได้พาดารินไปเหลวไหลเลยนะ อีกอย่างนี่ยังไม่ใช่ช่วงสอบ"

“โถ คุณแม่คะ ยายรินยังเด็ก จะให้แกไปออกงานมากมายทำไม เอาเวลาช่วงนี้ให้แกศึกษาอะไรอย่างอื่นไม่ดีหรือคะ แล้วยายรินก็ไม่ค่อยชอบ....”

แม่สามีเริ่มทำหน้าโกรธ "พอเลยนะ หลานของฉัน ฉันต้องให้สิ่งที่ดีที่สุด" เอาละสิ ท่านเริ่ม หน้าแดง พอง แล้วก็ทำท่ากุมขมับ

“โอ๊ย แม่ปวดศีรษะ จะเป็นลม ขอยาดมหน่อย" ฉันเลยต้องรีบเข้าไปพยุงแล้วส่งยาดมแถวนั้นให้ จากนั้นฉันก็ต้องคอยพยาบาลหาน้ำหาท่ามาให้ดื่ม

แม่สามีฉันฉลาดจริงๆ พอเป็นเสียอย่างนี้แล้ว ใครจะกล้าขัดใจ ฉันก็ได้แต่ร้องเฮ้อๆในใจ แล้วคิดอะไรออกได้

“งั้นวันนี้หนูไปงานด้วยแล้วกันนะคะคุณแม่ จะได้ไปช่วยดูแลคุณแม่ด้วยดีไหมคะ ดูท่าจะไม่ไหว"

ได้ผล หล่อนนิ่งชะงัก แล้วทำท่าสดชื่นทันที "ไม่ต้องไปหรอกแม่สิดี แม่สบายดีขึ้นแล้ว"

ฉันยิ้มเจ้าเล่ห์ "ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ หนูไปเปลี่ยนชุดเตรียมตัวก่อนนะคะ นี่ก็เย็นแล้ว เดี๋ยวดารินคงจะกลับ"

คุณแม่ฉุดแขนฉันไว้ "ไม่ต้องๆ อย่าไปนะ"

ฉันประหลาดใจ ทำไมดูกลัวฉันจัง คราวก่อนๆ ฉันไปด้วยไม่เห็นจะว่าอะไร "ทำไมเหรอคะคุณแม่"

คุณแม่ทำหน้าแบบรู้สึกผิด "คือ...” แล้วค่อยๆกระซิบฉัน "ตากุงศุลจะไปงานนี้ด้วย"

ฉันยิ้ม แล้วเริ่มจะเข้าใจ แต่ทำท่าโง่ต่อไป "ทำไมเหรอคะ เกี่ยวอะไร"

คุณแม่เริ่มหงุดหงิด "ก็แม่อยากให้ยายรินกับตากงศุลคุยกันน่ะซิ ถ้าสิดีไป ยายรินก็จะติดแหง็กอยู่กับแม่ตัวเอง ไม่ได้ไปคุยกับกงศุล แล้วแผนของแม่จะเป็นอย่างไร"

ฉันตาโต สุดจะตะลึงหาอะไรเปรียบ ฉันนึกไว้แล้วเชียว "คุณแม่จะจับคู่ อีกแล้วเหรอคะ" ฉันย้ำคำสุดท้ายมาก

คุณแม่ทำท่าเหมือนเด็กขโมยขนมแล้วถูกจับได้ "ก็...แล้วจะทำไมล่ะแม่สิดี หลานสาวฉันเพรียบพร้อมเพียงนี้ จะหาใครมาคู่ควรได้อย่างไร ตากุงศุล เหมาะสมที่สุด หรือเธอคิดว่าจะหาได้ดีกว่าแม่"

ฉันมองแม่สามีด้วยความละเหี่ยใจ ฉันรู้คุณแม่ทำเพื่อหลาน ฉันนึกถึงความแก่นกะโหลกของลูกสาว แล้วอดขำไม่ได้เรื่องความเพรียบพร้อม ฉันเลี้ยงสิดาริน ให้เป็นธรรมชาติ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่เป็นผู้หญิงที่กรอบของสังคมชี้สั่งว่าต้องสมบูรณ์แบบ หรือเป็นตุ๊กตาให้ใครจับวาง

“ยายรินยังเด็กมากนะคะ อีกอย่างความสมบูรณ์แบบของคุณแม่ที่ว่าเนี่ยคือภายนอก นิสัยจริงๆของกงศุลเป็นอย่างไรเรายังไม่รู้เลย"

คุณแม่ดูโกรธอีกแล้ว "ไม่รู้ล่ะ แม่จะพายายรินไปวันนี้" หล่อนประกาศกร้าว

ฉันยืดคอ ทำตัวแข็งข้อ ฉันจะต้องปกป้องสิทธิ์ลูกฉันสิ "หนูก็จะไปด้วยค่ะ"

แล้วฉันกับแม่สามีก็มึนตังกันหลังจากนั้น เวลาก็ล่วงเลยมาจนค่ำ ฉันกับคุณแม่แต่งตัวรอแล้ว แต่ลุงชมก็ไม่รับยายสิดารินกลับมาสักที เวลาเริ่มดึกเกินจนน่าสงสัย เมื่อลูกชายทั้งสองกลับมาถึงบ้านในเวลาสองทุ่ม แต่สิดารินก็ยังไม่กลับมา แล้วลุงชมก็โทรศัพท์มาบอกว่า ไม่เจอสิดารินที่โรงเรียน หลังจากรอนานถึงสามชั่วโมง เราเริ่มตกใจกันทั้งบ้าน คุณพ่อโทรหาเพื่อนตำรวจยศใหญ่ให้ช่วยตามหา ลูกชายทั้งสองโทรตามบ้านเพื่อน และบ้านคุณจิทัศน์ แต่ไม่พบตัว ส่วนคุณแม่ก็ดูจะประสาทเสีย

ฉันโทรหาคุณนรินทร์ แต่เขารับโทรศัพท์ช้ามาก จนครั้งที่สามฉันโทรไปถึงจะรับ

“ว่าไงสิดี มีอะไรหรือเปล่า" เสียงเขาดูหลุกหลิก "ผมบอกแล้วนี่คืนนี้มีประชุม จะกลับดึก"

“คุณคะ แย่แล้วยายดารินยังไม่กลับบ้าน ฉันโทรเข้ามือถือแล้วเหมือนจะปิดเครื่อง ลูกจะเป็นอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้" เสียงฉันเริ่มสั่นเครือ

คุณนรินทร์อุทานอย่างตกใจทันที "ใจเย็นๆก่อนนะ แจ้งตำรวจหรือยัง เดี๋ยวผมไปหาแกที่โรงเรียนอีกทีแล้วจะรีบกลับบ้านเลยนะ" แล้วเขาก็วางสายไป

เวลาล่วงเลยมมาจนสี่ทุ่ม ที่บ้านวุ่นวายมาก มีตำรวจมาสอบปากคำ คุณแม่ฉันก็มาด้วย ทุกคนโทรศัพท์ตามบ้านเพื่อนหรือญาติที่นึกออก แต่ก็ไม่ได้เบาะแสอะไรเลย แล้วฉันก็ร้องไห้เมื่อคุณนรินทร์ปรากฏตัวขึ้น เขากอดฉันไว้ แล้วบอกว่าหาลูกสาวที่โรงเรียนและสถานที่โดยรอบไม่เจอ แต่แล้วทุกอย่างก็จบลง เมื่อมีรถซีดานคันใหญ่วิ่งเข้ามาในบ้าน แล้วทุกคนก็ตาโตเท่าไข่ห่าน เมื่อเห็นว่าตากงศุลลงมาจากที่นั่งคนขับในชุดทักซิโด้ ส่วนอีกฝั่งที่นั่งเป็น...โอยยย จะบ้าตาย

เราทั้งบ้านตะโกนพร้อมกัน แม้กระทั่งพี่ๆห้องครัว ป้าเนียร รวมถึงลุงชม "ยาย/คุณหนูริน!!!”

3 ม.ค. วันพุธ ห้าทุ่ม บนห้องนอน
สมุดบันทึกที่รัก

มันเป็นวันอะไรของฉันกันเนี่ย โอเค ฉันรู้ว่ามากกว่าครึ่งเป็นความผิดของฉัน แต่อีกค่อนที่เหลือคือความผิดของคุณย่านะ คุณย่าบังคับให้ฉันไปงานบ้าๆบอๆอีกแล้ว และฉันไม่อยากไปเลย ฉันพยายามจะทำตัวสุขุม ไม่เถียง ไม่แข็งข้อ แต่มันยากมาก เพราะมันไม่ใช่ตัวฉันสักนิดเดียว ฉันพอกันทีกับความสุขุมบ้าบอ ถ้าฉันไม่แข็งข้อเหมือนเดิม ฉันก็จะถูกบังคับและไม่มีความสุข ฉันจะกลายเป็นลูกกระจ๊อกของคุณย่าไปตลอดชาติ

เรื่องมันเกิดตรงนี้ ฉันหลอกคุณย่าว่ามีติวหนังสือและเลิกหนึ่งทุ่ม จริงๆแล้วฉันกะว่าจะชวนพี่ดีน่าและแพรวา ไปทานอะไรหรือดูหนังก็ได้ ให้เลิกมืดๆ แล้วค่อยกลับ ทีนี้ สองคนนั้นไม่ว่าง พี่ดีน่าไปงานเลี้ยง ฉันเดาว่างานเดียวกับคุณย่า ฉันเลยเงียบ ไม่บอกเรื่องโกหกกับเธอ ส่วนแพรวามีธุระกับที่บ้าน ฉันเลยคิดอะไรไม่ออก และไม่อยากกลับบ้านจนนิดเดียว กลับไปก็ถูกบังคับอีก พอฉันเดินออกมาหน้าโรงเรียนก็พบลุงชมจอดรถไว้รอฉันแล้วจริงๆ ฉันขอยกย่องลุงชมเป็นอย่างยิ่งว่าเป็นคนขับรถดีเด่นที่สุดในโลก เพราะลุงมาก่อนเวลาตั้งหนึ่งชั่วโมง แถมลุงไม่เคยบ่นอะไรเลยเวลารอฉันนานๆ หรือฉันขอไปนู่นไปนี่ แต่ครั้งนี้ ฉันไม่อยากกลับบ้านจริงๆ ฉันอยากกลับเลยเวลาไปงานของคุณย่า และลุงชมคงจะไม่ยอม เพราะคุณย่าเป็นคนจ่ายเงินเดือน ลุงชมคงไม่กล้าแข็งข้อ ฉันเลยแอบเดินออกจากโรงเรียนไม่ให้ลุงเห็น แล้วไปเดินเล่นที่ห้างประจำใกล้บ้าน เห็นไหมล่ะ ฉันไม่ได้ไปไหนไกลสักหน่อย ทุกคนตื่นตูมกันไปได้ เพื่อนตำรวจใหญ่ของคุณปู่ก็ช่างไม่มีความสามารถหาฉันไม่เจอ เออแต่ก็คงไม่เจอหรอก เพราะฉันแอบอยู่ในโรงหนัง

นั่นล่ะ ขนาดฉันเดินเล่น กินไอศกรีม(ร้านเดิม) เดินซื้อสมุด ปากกา หนังสือ เวลามันก็เดินไปช้าเหลือเกิน ฉันเลยหัวใสไปที่โรงหนัง คิดว่าช่วยฆ่าเวลาได้ดีถึงสองชั่วโมง เลยเลือกดูสักเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับผู้หญิงที่ชอบร้องไห้ ก็ตลกดีนะ ฉันหัวเราะ ลืมเรื่องที่ถูกบังคับไปงานตั้งนาน พอดูหนังจบออกมาแล้วมองนาฬิกาข้อมือ ก็ดีใจสุดขีด เพราะเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม แต่ปัญหาคือ ฉันจะกลับบ้านยังไงล่ะ ฉันเลยโทรหาลุงชม แต่แบตหมด อยากจะด่าตัวเองก็ทำไม่ได้ ไปที่ตู้โทรศัพท์ก็ไม่มีเศษเหรียญแล้วพนักงานในห้างก็มองฉันไปเชิงไล่ ถึงแม้เสียงประกาศในห้างจะพูดขอบคุณลูกค้าก็ตาม ฉันเลยจนใจออกมาหารถข้างนอก แต่คุณแม่ไม่ให้นั่งแท็กซี่คนเดียว ฉันก็กลัวเพราะมีข่าวไม่ดีในหนังสือพิมพ์เยอะแยะ พอเดินไปที่มอเตอร์ไซค์รับจ้างก็มีแต่พวกวัยรุ่นหน้าตาหื่นกาม มองฉันแบบยิ้ม ๆ โอเค ฉันอาจะไม่ได้สวยอึ๋ม แต่ฉันก็ต้องกลัวไว้บ้างจริงไหม

ฉันเลยยืนรอรถเมล์แถวนั้น ต้องขึ้นสายอะไรก็ไม่รู้ คิดว่าไว้ค่อยถามคนขับหรือกระเป๋นถเมล์อีกที ก็ยืนรออยู่ตั้งนานยุงก็กัด รถก็ไม่มา แถมยืนคนเดียวเปลี่ยวๆ ฉันก็เริ่มระแวง แล้วก็คิดได้ว่า ตอนนี้คนที่บ้านคงจะประสาทกิน วุ่นวายตามหาฉันกันใหญ่ คุณย่าคงเป็นหัวหอกแจ้งตำรวจให้ตามหาตัวฉันแล้วพาไปส่งที่งาน คุณย่าคงจะห่วงเท่านั้นล่ะ แต่ก็ดี ฉันอยากให้ตำรวจหรือใครก็ได้ตามหาตัวฉันที เพราะตอนนี้ฉันไม่มีรถกลับบ้านแล้ว

พอดีมีผู้ชายคนนหนึ่ง วัยกลางคนเดินมารอรถใกล้ๆ แต่งตัวเหมือนพนักงานออฟฟิศ ฉันว่าจะไปถามทางเขาสักหน่อย แต่เขาชอบหันมามองฉันแปลกๆสองสามที ฉันเลยนึกกลัว ก็เดินถอยห่างเขาเรื่อยๆ ทีนี้เขาหันมามองอย่างจริงจัง แล้วเดินพุ่งมาที่ฉันันทีพร้อมกับตาเบิกโพลงน่ากลัวมาก ยื่นมือมาจะจับฉัน ฉันรีบหันหลังพร้อมวิ่ง แต่แล้วมืออีตาคนนั้นก็จับแขนฉันไว้ ฉันกรี๊ดดังลั่นถนน แม้แต่หมาข้างทางยังหันมามอง แล้วก็

“กรี๊ดดดดด ช่วยด้วย" ตุ้บ!!!! “โอ๊ย!!!”

“เดี๋ยวหนูใจเย็นๆ เป็นอะไรหรือเปล่า ลุงจะบอกว่าระวังตกท่อ หนูนี่ก็ไม่ฟังเลย"

โอ๊ย ฉันเจ็บ ขณะที่ฉันจะวิ่งฉันก็เสียหลักตกท่อบนฟุตบาททันที ดีที่มันไม่ลึกมาก แถมคุณลุงคนนี้ฉุดแขนฉันไว้ ก้นเลยไม่กระแทกแรง สรุปว่าฉันคิดไปเอง ลุงเห็นว่าฉันจะตกท่อ เลยเดินมาช่วย

“โอ๊ย เจ็บจังค่ะ" ฉันร้อง เริ่มนำ้ตาซึม ทั้งเจ็บขาที่ถลอก เจ็บก้น และเปียกน้ำขังในท่อ

“ใจเย็นหนู ค่อยๆลุก" ลุงพยายามพยุงฉันขึ้น แต่แล้วรถซีดานคันหนึ่งก็ขับมาจอดเทียบทางเท้า ลุงกับฉันมองทันทีเมื่อแสงไฟสาดส่องมาที่เรา

ประตูเปิดออกอย่างรวดเร็ว และบ๋อยคนหนึ่งออกมาจากรถ วิ่งเข้ามาประคองตัวฉันไว้

“น้องริน มาทำอะไรที่นี่ แล้วคุณเป็นใคร" ฉันมองชายหนุ่มที่มีหูกระต่าย เรียกชื่อฉันเหมือนสนิทสนมเต็มที อ้าวอีตากงศุลนี่นา!!! แต่งตัวแบบนี้ไปรับงานพิเศษเสิร์ฟอาหารที่ไหนมาเหรอ ฉันมองเขาอย่างประหลาดใจที่สุดในชีวิต และรู้สึกแปลกใจตัวเอง ที่กลับรู้สึกยินดีเหลือเกินทีไ่ด้เจอเขาในตอนนี้

อีตากงศุล หรือพี่ซัน คุยอะไรกับคุณลุงคนนั้นก็จำไม่ได้ แล้วลุงก็จากไป ฉันยกมือไหว้ ขอบคุณ คุณลุงรับไหว้ แล้วหัวเราะเบาๆ

“ไปไหนมาดึกๆเนี่ย" เขาถามเสียงปนโกรธ ปนสงสัยเป็นกำลัง แล้วพยุงฉันเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ

ฉันเจ็บระบมขาและก้นไปหมด แผลเดิมที่เคยล้มทับเขาก็ยังไม่หายเจ็บดี

“ไปดูเส้นขอบฟ้า เอ้ย ดูหนังมาค่ะ" ฉันตอบไม่เต็มปากเต็มเพราะเจ็บและหิว

เขาทำเสียงจึ๊กจั๊กไม่พอใจ เขาเป็น พ่อ ฉันหรือไง "เป็นสาวเป็นนางมาดูหนังอะไรดึกๆคนเดียว ทำไมไม่กลับบ้านแล้วทำไมไม่มีคนมารับ เป็นอะไรไปคุณพ่อคุณแม่ เธอจะรู้สึกยังไง" เขาบ่น ขณะสตร์าทรถ ถามเยอะจริง จะให้ฉันตอบอันไหนก่อนล่ะ

ฉันหน้างอ ทั้งเหนื่อย ง่วง หิว เจ็บ ไม่พอใจที่เขามาว่าฉัน และโมโหความบ้าบอของตัวเองนิดๆ

“ช่างรินเถอะค่ะ ยังไงก็ไม่มีใครสนใจรินอยู่แล้ว รินไม่อยากทำอะไร รู้สึกไม่ชอบอะไรก็ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว"

อีตาพี่ซันนิ่งเงียบ ไม่มอง ไม่พูดอะไร ขับรถท่าเดียว ฉันมัวแต่คิดอะไรในสมอง กลัวที่สุดคือถ้าคุณแม่และคุณย่ารู้ ฉันต้องตายแน่ๆ เลยไม่ได้มองเส้นทาง

“พี่ซันจะพารินไปไหน" ฉันถามเสียงแข็ง

เขานิ่ง "ส่งรินกลับบ้านน่ะซิ บอกก่อนสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น อย่าบอกนะว่าหนีออกจากบ้าน เด็กกะโปโล" เขาว่าฉัน ฉันโมโหมาก รู้สึกปรี๊ดอยากจะทำอะไรสักอย่าง

“ไม่บอก พี่ซันจะมายุ่งอะไรกับริน และรินไม่กลับบ้าน!!!" ฉันเถียงต่อ

เขาทำเสียงโมโห "ยุ่งอะไรเหรอ ถามหน่อยถ้าพี่ไม่มาเจอรินจะเป็นอย่างไร เกิดตาลุงคนนั้นเป็นคนไม่ดี รินไม่เสีย...ไปแล้วรึ” เขาหยุดพูดกระทันหัน แล้วกลืนน้ำลายดังเอื๊อก รถติดไฟแดงเขาเลยจอด แล้วทำหันมามองฉันนิ่งๆ แววตาดูมีไฟ

“บอกมาว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่กลับบ้าน กำลังโตเป็นสาว ไม่กลัวบ้างเลยรึมาอยู่ข้างนอกคนเดียวแบบนี้ สงสารแทนครอบครัวริน มีลูกสาวไม่รู้จักคิด"

เขาว่าฉันแรงมากไปแล้วนะ แล้วฉันก็ร้องไห้ ทำไมทุกคนถึงทำกับฉันแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่อ่อนแอ ไม่ห้ามคุณย่าบ้างเลย คุณย่าก็บังคับฉันอยู่ได้ แล้วอีตากงศุลเป็นใครใหญ่มากจากไหนมาว่าฉันแรงๆแบบนี้ แล้วฉันก็ปวดไปทั้งตัว หิวมากด้วย

“รินไม่อยากกลับบ้าน เดี๋ยวกลับไปทุกคนก็ดุ ก็ว่ารินอีก แล้วก็ลงโทษอย่างนู้นอย่างนี้ ไม่มีใครสนใจรินเลยว่ารินรู้สึกยังไง รินไม่ชอบออกงานกับคุณย่า มันอึดอัดจะตายไป บังคับรินอยู่ได้ แล้วรินก็หิวมากด้วยตอนนี้ ฮือออ"

อีตากงศุลคงตกใจที่ฉันน้ำตาท่วมจอแถมพรั่งพรูความรันทดอดสูถึงเพียงนี้ เขาเลยทำอะไรไม่ถูก แล้วแวะเข้าปั๊มข้างทาง ก่อนจะเอาสูทที่พาดไว้เบาะหลังมาคลุมให้ฉันก่อนจะยื่นทิชชู่มาให้

“เอ่อ...ใจเย็นๆก่อนนะ เดี่ยวพี่มา" ฉันรับทิชชู่มาเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วกระชับเสื้อเขาให้แน่นขึ้น เพิ่งรู้สึกว่าทนหนาวมาตั้งนานได้อย่างไร อ้าวแล้วพี่ซันไปไหนล่ะ แต่เพียงอึดใจเดียวเขาก็กลับมาพร้อมของกินเต็มมือ มีซาลาเปาและนม

เขาส่งให้ฉัน "กินให้อิ่มก่อน แล้วค่อยคุยกัน"

ฉันเลยรับมาอย่างไม่ปฏิเสธแล้วจัดการเรียบในเวลาไม่กี่นาที ก่อนจะรู้สึกดีขึ้นเป็นกอง จนลืมไปว่ามีอีกคนอยู่ข้างๆ เขาหัวเราะเบาๆ

“อารมร์ดีแล้วสินะ โมโหหิวนี่เอง" ฉันหันไปสบตาเขาและรู้สึกหน้าแดง เหมือนเขาจะจ้องฉันตลอดเวลาที่ฉันทานซาลาเปา

“ไม่อยากไปงานวันนี้นี่เอง เลยแกล้งกลับบ้านช้าจริงไหม ถึงว่าพี่รอตั้งนานก็ไม่เห็นบ้านรินมากันสักที"
ฉันมองเขาอย่างประหลาดใจ "พี่ซันไปงานนั้นเหรอคะ แล้วคุณย่าไปหรือเปล่า"

“ไม่ได้ไปหรอก ไม่มีใครมาเลย โชคดีที่พี่ขับผ่านมาทางนี้ ตอนนี้บ้านรินคงวุ่นกันไปหมด เรากลับกันเถอะ"

ฉันยังคงกลัวการกลับบ้าน "ไม่เอารินไม่กลับ"

พี่ซันหัวเราะแบบชั่วร้าย "ไม่กลับแล้วจะไปไหน ไปบ้านพี่เหรอ" เขาคงถามเล่นๆ แต่แววตาที่มองมาออกจะแพรวพราว

ฉันนิ่งเงียบ ไม่มีอารมณ์ขำด้วยหรอกนะ ก่อนจะพูดด้วยเสียงสั่นเครือ ฉันไม่อยากอ่อนแอต่อหน้าคนไม่สนิทเลย "กลับไป รินโดนดีแน่"

พี่ซันถอนหายใจยาว "น้องริน น้องรินไม่รู้ตัวเหรอว่าเป็นที่รักของทุกคน รินเป็นหลานสาว ลูกสาว น้องสาว คนเล็ก และคนเดียวในบ้าน ทุกคนรักและเป็นห่วงรินยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด หายออกมาอย่างนี้ คุณแม่รินคงไม่ร้องไห้ขาดใจไปแล้วหรือ เราป็นเด็ก ทำผิด ถูกสั่งสอนก็ดีแล้วนี่ เพราะเราเป็นคนมีพ่อแม่ ดีกว่าเด็กข้างถนนนะที่ไม่มีใครมาบังคับ มาสั่งสอนนะน้องริน อะไรไม่ชอบไม่ถูกใจ ก็อธิบายผู้ใหญ่ดีดีสิ"

ฉันนิ่งคิด เขาสมกับที่เรียนการทูต ดูเขาพูดสิ หว่านล้อมเก่งชะมัด แต่เขาก็พูดถูกเกือบหมดนะ

“แต่รินเคยอธิบายแล้ว คุณย่าก็บังคับเรื่อย"

เขายังคงส่งสายตาจริงจังจ้องฉันต่อไป "บางทีคนเราก็ต้องคนละครึ่งทางนะ พี่บอกได้แค่นี้ คุณย่ารินท่านอายุมากแล้ว ตามใจท่านบ้าง แต่ถ้าเราไม่ไหวจริงๆ ก็ไม่ต้องไป ต่อรองสิ เดือนนี้มีห้างาน รินไปสองสามงาน พี่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงนะ"

แล้วเราก็นั่งนิ่งกันไปสักครู่ พี่ซันก็ตัดสินใจสตาร์ทรถ "กลับบ้านเถอะ รินไม่คิดถึงคนที่บ้านเหรอ คุณปู่ คุณย่า พ่อแม่ พี่ชายทั้งสอง ไหนๆจะลุงๆป้าๆที่ครัวอีก เขาคงห่วงรินกันแย่แล้ว หิวขนาดนี้ ข้าวต้มร้อนๆที่บ้านคงชื่นใจ ไหนจะเตียงนุ่มๆ แอร์เย็นๆ หรือรินว่าไง"

ฉันได้ยินเขาพูดแล้วรู้สึกว่า ที่ที่ๆฉันควรกลับคือที่บ้านจริงๆ ฉันกระชับเสื้อเขาแน่นขึ้นอีกแล้วสบตาเขาทั้งๆที่ร้องไห้ "ค่ะรินจะกลับบ้าน"

พี่ซันยิ้มกว้าง แววตาของเขาดูอ่อนโยน และฉันชอบรอยยิ้มของเขานะ มันดูอบอุ่นดี เขาเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาฉันเฉย

“ครับ กลับกันนะ"

แล้วเขาก็พาฉันมาส่งถึงบ้านโดยปลอดภัย ทุกคนเห็นฉันก็โวยวายโหวกเหวก ไม่มีใครว่าอะไรฉันเลย มีแต่คุณแม่วิ่งเข้ามากอดแล้วร้องไห้ คุณยายด้วย ที่สำคัญคุณย่า น้ำตาซึมพูดตัดพ้อเล็กน้อย แต่ไม่ได้ว่าอะไร พี่ซันพูดอะไรไม่รู้กับคุณปู่และคุณพ่อ ก่อนเราจะสบตากันครั้งสุดท้าย ฉันยิ้มจางๆ เขายิ้มกว้าง แล้วขับรถออกไป

ไม่มีใครว่าอะไรฉันเลย คุณแม่พาไปทานข้าว แล้วฉันก็เล่าทั้งหมด พี่ชายฉันหัวเราะลั่น แต่สุดท้ายก็ดุฉันว่าเป็นห่วงแทบตายก่อนจะแยกย้ายไป

คุณแม่สอนฉันดีดี คุณย่ายังไม่พูดอะไรแม้แต่นิดเดียว คืนนี้ฉันเลยขอนอนกับคุณยาย เพราะคุณยายมาค้าง ฉันเลยเสนอให้คุณยายนอนกับฉัน

ฉันง่วงมาก นอนก่อน
สิดาริน

ปล.ฉันลืมขอบคุณพี่ซันแฮะ ฉันไม่ได้พูดเลยแม้แต่ครั้งเดียว!!!!



ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ม.ค. 2556, 15:21:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ม.ค. 2556, 15:21:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1785





<< (4) สุขุม   (6) ผิดที่ >>
Kapoh 28 ม.ค. 2556, 17:26:03 น.
ชอบคาแรคเตอร์ของแต่ละตัวละครจัง ชัดเจนดีมากเลย
แล้วก็ชอบวิธีการเล่าเรื่องด้วยค่ะ

ว่าแต่นรินทร์มีความลับอะไรกับสิดีน้าา?


ลายเส้น 28 ม.ค. 2556, 17:45:40 น.
ได้ยินอย่างนี้แล้ว ดีใจและมีกำลังใจมากเลยค่ะ จะตั้งใจต่อไปนะคะ


รอให้เป็นเล่ม 28 ม.ค. 2556, 18:34:20 น.
เป็นกำลังใจให้อีกหนึ่งเสียงค่ะ


Edelweiss 28 ม.ค. 2556, 19:09:51 น.
เข้ามากรี๊ดพี่กงศุลเบา ๆ ค่ะ


agentaja 28 ม.ค. 2556, 22:35:07 น.
นรินทร์ทำอะไรแปลกๆ เหมือนพฤติกรรมสามีที่มีกิ๊กเลย


จ๊ะจ๋า 28 ม.ค. 2556, 22:53:13 น.
น้องรินไม่ค่อยฮาเหมือนคุณแม่นะคะ ออกแนวเพี๊ยนเก็บกดมากกว่า


ใบบัวน่ารัก 29 ม.ค. 2556, 06:07:20 น.
มีเจ้าชายมารับก็ไม่ต้องกลัวนะหนูริน
วันหลังอย่าทำอีกนะคะ


ling 31 ม.ค. 2556, 17:08:56 น.
เชียร์หนูรินนนนนนน


ผักหวาน 13 ก.พ. 2556, 21:08:11 น.
ครอบครัวนี้น่ารักจังค่ะ
แต่เอ๊ะ...ทำไมหลังๆ คุณนรินทร์ถึงชอบกลับค่ำ แถมทำตัวหวานๆประเจิดประเจ้อกับสิดีนักล่ะ
เล่นอะไรกันอีกเนี่ย หรือว่าคิดแผนหวานกับเมียโดยมีคุณจิทัศน์ช่วยอีก


kaze 3 มี.ค. 2556, 02:53:29 น.
ถ้านรินทร์มีบ้านเล็กล่ะ สิดีคะ หนูให้มีดค่ะ!!!!
จ้วงเต็มที่เลยค่ะ 55555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account