ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 4
เจ้าหญิงกาอิยาห์วางผ้าซับพระพักตร์ผืนเล็กที่ทรงพยายามปักให้เป็นลวดลายดอกไม้ลงบนพระเพลา เอนพระองค์พิงพนักเก้าอี้ ทอดพระเนตรผ่านหน้าต่างบานยาวไปยังก้อนเมฆสีขาวที่ลอยฟ่องอยู่บนแผ่นฟ้าสีครามด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างที่สุด นับตั้งแต่มีข่าวว่าราชาแห่งกรีนแลนด์ทรงพระประชวร บรรยากาศในปราสาทลินเด็นก็เงียบเหงาไปถนัดใจ ตำหนักหลวงปิดเงียบราวกับตำหนักร้าง พี่ชายของพระองค์ก็พลอยหายเข้ากลีบเมฆไปด้วยอีกคน ไม่รู้ว่ามีภารกิจอะไรให้ทำนักหนา ในเมื่อองค์ราชาเองก็ไม่ได้ประชวรจริงเสียหน่อย
เด็กสาวนึกนินทาพี่ชายยังไม่ทันจบ คุณพี่เลี้ยงจอมเข้มงวดก็เดินด้วยฝีเท้าของแมวเข้ามายอบตัวรายงานว่า
“เจ้าชายกันนาร์เสด็จเพคะ”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ผวาลุกขึ้นประทับตัวตรงทันที
“เจ้ารีบไปเชิญพระองค์มาที่นี่เร็วๆ เข้า แล้วให้ใครจัดน้ำชามาถวายอีกชุดหนึ่งด้วยนะ”
น้ำเสียงและท่าทางตื่นเต้นยินดีอย่างเปิดเผยของพระองค์ ทำให้คนเป็นพี่เลี้ยงอดรู้สึกขวางหูขวางตาไม่ได้ นางกระแอมเบาๆ พร้อมกับเอ่ยเตือนเสียงเข้ม
“ทรงสำรวมพระกิริยาหน่อยเพคะเจ้าหญิง ทรงเจริญพระชันษา ไม่ใช่เด็กหญิงเล็กๆ แล้วนะเพคะ”
“รู้แล้วละน่า” เจ้าหญิงกาอิยาห์รับคำพระพักตร์บูด...นอร่านี่ ถ้าไม่บ่นพระองค์สักนาทีจะตายไหมนะ
คุณพี่เลี้ยงตวัดหางตาค้อนก่อนเดินจากไป ยังไม่ทันที่เสียงฝีเท้าของนางจะจางหาย เสียงฝีเท้าย่ำหนักๆ ของเจ้าชายกันนาร์ก็ดังสวนเข้ามาในห้องทันทีราวกับทรงรออยู่แล้ว พอมาถึงพระองค์ก็ประทับลงบนเก้าอี้ผ้าไหมบุนวมตัวที่อยู่ตรงข้ามกับน้องสาวโดยไม่ต้องรอให้มีใครเชื้อเชิญ หากพอจะอ้าพระโอษฐ์ทักคนเป็นน้อง คุณพี่เลี้ยงนอร่าก็เดินย้อนกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมด้วยถาดบรรจุถ้วยน้ำชาร้อนกรุ่นและขนมเค้กชิ้นเล็กสีสวยในมือ นางวางของทั้งสองสิ่งลงบนโต๊ะตรงหน้าผู้เป็นแขก จากนั้นจึงถอยออกไปยืนทำทีเป็นปัดโน่นเช็ดนี่ด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้อยู่ตรงมุมห้อง ห่างพอที่จะไม่ได้ยินบทสนทนาของคนทั้งคู่ แต่สามารถมองเห็นการกระทำของพวกเขาได้ตลอดเวลา
“พี่เลี้ยงของเจ้านี่เข้มงวดดีนะ”
เจ้าชายกันนาร์ตรัสด้วยพระพักตร์ครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง ทรงยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบขณะที่สายพระเนตรเหลือบไปเห็นกองผ้าที่วางขยุ้มๆ อยู่บนตักของน้องสาวโดยบังเอิญ
“นั่นผ้าอะไรน่ะกายย์”
“อ๋ออออ...” เจ้าหญิงกาอิยาห์ลากพระสุรเสียงยาว “นี่น่ะหรือ ก็เป็นผลพวงจากการที่น้องต้องตามติดเจ้าหญิงลูเซียตามคำสั่งพี่กันนาร์ไงคะ”
พระองค์กรีดนิ้วพระหัตถ์หยิบผ้าซับพระพักตร์ผืนนั้นขึ้นมาโบกไหวๆ อยู่ตรงหน้าพี่ชาย เลยถูกคนเป็นพี่คว้าเอาไปคลี่ดู แล้วเสียงหัวเราะก๊ากแบบไม่อายใครก็ดังขึ้น
“โอ้โห ฝีมือเจ้าสุดสุดไปเลยกายย์”
เจ้าหญิงกาอิยาห์พระพักตร์คว่ำ รีบลุกจากพระเก้าอี้เข้าไปแย่งผ้าผืนน้อยคืนมา พระโอษฐ์ก็เถียงฉอดๆ ไปด้วย
“รู้แล้วน่ะว่าฝีมือน้องมันไม่ได้เรื่อง พี่กันนาร์ไม่ต้องตอกย้ำนักหรอก ก็เจ้าหญิงลูเซียวันๆ เอาแต่นั่งปักผ้า ถ้าน้องไม่ปักผ้ามั่งแล้วจะไปลอบจับตาดูนางได้ยังไงกันเล่า”
“เอาเถอะ หัดๆ ไว้มั่งก็ดี ข้าละหวั่นใจว่าจะไม่มีใครรับเจ้าไปเป็นเจ้าสาวเหลือเกิน” พี่ชายแหย่ ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังขึ้น
“เจ้าจับตาดูนางมาหลายวันแล้ว เห็นอะไรผิดสังเกตบ้างหรือเปล่า”
“ไม่นี่คะ นอกจากอาการเงียบขรึมเหม่อลอยแล้ว เจ้าหญิงลูเซียก็ทรงก็ปกติดีทุกอย่าง พวกข้าหลวงตำหนักโน้นคุยกันว่า เป็นเพราะทรงเสียพระทัยที่ฝ่าบาทประชวรก็เลยไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาผิดเป็นคนละคนกับเมื่อก่อน ส่วนท่านน้ายิ่งแล้วใหญ่ ทรงยึดเอาเจ้าหญิงลูเซียเป็นตัวแทนลูกชายไปเลย”
“น่าเป็นห่วงแฮะ กายย์เจ้าพยายามอย่าให้ท่านน้าประทับอยู่ตามลำพังกับเจ้าหญิงลูเซียบ่อยนัก ข้าเห็นท่าทางของนางเมื่อวันก่อนแล้ว ไม่ค่อยไว้ใจเลยจริงๆ“
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ รับรองว่าน้องจะประกบติดนางทุกฝีก้าวเลย มือชั้นนี้แล้ว”
น้องสาวยืดอก ท่าทางมั่นใจจนพี่ชายต้องส่ายหน้า...ก็เพราะเป็นมือชั้นเจ้าหญิงกาอิยาห์นี่แหละ ถึงน่าเป็นห่วงกว่าปกติ
“แล้วอาจารย์ของเจ้าล่ะ จะมาถึงกรีนแลนด์เมื่อไหร่ ฝ่าบาททรงเป็นกังวลมาก เร่งให้ข้ามาถามเรื่องนี้อยู่ทุกวัน”
“ไม่ทราบสิคะ ก็คงเร็วๆ นี้ละมั้ง ตอนตอบมากับวาย ก็ไม่เห็นเมลว่าไงนี่นา”
“กายย์...” พี่ชายลากเสียง “นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะทำเป็นเล่นนะ”
เจ้าหญิงกาอิยาห์พระพักตร์งอง้ำขึ้นมาทันที พระองค์ขยับจะเถียง ก็พอดีเจ้านกตัวน้อยสีขาวปลอดบินถลาลงมาเกาะอยู่บนโต๊ะตรงหน้า ดึงความสนพระทัยไปเสียก่อน เจ้านกน้อยเอียงคอมองทางซ้ายทีทางขวาที ก่อนกระโดดสั้นๆ ตรงไปที่จานใส่ขนมเค้ก ก้มลงจิกกินโดยไม่นึกเกรงกลัวมนุษย์ตัวโตที่นั่งมองอยู่ถึงสองคน
เจ้าชายกันนาร์เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ขนอันอ่อนนุมของมันเล่น น่าแปลกที่เจ้าสัตว์ตัวน้อยไม่ยักบินหนีอย่างที่ควรจะเป็น
“นกของใครหลงมาล่ะนี่ เชื่องดีเสียด้วย ของเจ้าหรือกายย์”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ส่ายพระพักตร์ ขมวดพระขนงทอดพระเนตรนกตัวนั้นอย่างเพ่งพิศ หากเพียงครู่เดียวก็แย้มพระสรวลร่า
“จดหมายจากเมลแน่ๆ”
เจ้าชายกันนาร์ตวัดสายพระเนตรผ่านหน้าน้องสาวด้วยความสงสัย ก่อนจะทรงใช้อุ้งพระหัตถ์ช้อนร่างเจ้าสัตว์ตัวน้อยขึ้นจากโต๊ะ พลิกดูใต้ท้องของมันอย่างเบามือ
“จดหมายไหน ที่ขานกไม่เห็นมี...”
เจ้าหญิงกาอิยาห์รู้สึกขัดพระทัย ก็เอื้อมพระหัตถ์ไปแย่งนกน้อยตัวนั้นจากมือพี่ชายมาช้อนประคองไว้เสียเอง ทันทีที่พระองค์สัมผัสถูกตัวนก เจ้าสัตว์แสนเชื่องก็พลันกลายสภาพจากสิ่งมีชีวิตกลับไปเป็นนกกระดาษต่อหน้าต่อตา
เจ้าชายกันนาร์อ้าพระโอษฐ์ค้าง ตรัสอะไรไม่ออก ในขณะที่คนเป็นน้องรีบคลี่กระดาษออกอ่าน เพียงครู่เดียวก็เงยหน้าขึ้นยิ้มจนตาหยี
“เมลมาถึงกรีนแลนด์แล้ว อีกไม่เกินสามวันจะถึงเมืองลินเด็นสไตน์ ทีนี้พี่กันนาร์ก็เลิกบ่นน้องได้แล้วนะคะ”
“รู้แล้วน่า” พี่ชายลากเสียงอย่างรำคาญ
“จริงสิ ในจดหมาย เมลบอกว่าได้ยินข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับการประชวรของฝ่าบาทด้วยละ”
เจ้าชายกันนาร์เลิกพระขนงขึ้นข้างหนึ่ง ทรงใคร่ครวญถึงข้อความที่น้องสาวเพิ่งพูดจบ ...ดูเหมือน ‘ข่าว’ จะลือไปไวเหลือเกิน
เจ้าหญิงกาอิยาห์เห็นพี่ชายทรงนิ่งไป ก็ขยับเข้าไปใกล้ พลางเขย่าท่อนพระกร
“พี่กันนาร์”
“หือ”
“ให้น้องออกไปรับเมลได้หรือเปล่า”
คำถามอย่างกระตือรือร้นของนางทำให้คนเป็นพี่รู้สึกผิดหูจนต้องก้มลงมองใบหน้านวลกระจ่างนั้นอย่างเพ่งพิศ ดวงตาสีม่วงใสของเด็กสาวเปล่งประกายยินดีออกมาอย่างปิดไม่มิด แก้มเป็นสีชมพูจัดขึ้น เจ้าชายกันนาร์เห็นแล้วก็ชักจะเหม็นขี้หน้าเจ้าหนุ่มชื่อเมลคนนั้นขึ้นมาตงิดๆ ทั้งที่ยังไม่ได้เจอตัวกันนี่แหละ น้ำเสียงที่ตรัสตอบน้องสาวจึงห้วนสั้นผิดเคย
“ไม่ได้ เจ้าหญิงอายุยังไม่ถึงยี่สิบปี ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกปราสาทตามลำพัง เจ้าไม่รู้หรือไง”
“รู้...น้องก็ว่าจะชวนนอร่าไปด้วยอีกคน” เจ้าหญิงกาอิยาห์ตอบอุบอิบ เหลือบพระเนตรมองพี่ชายอย่างเกรงๆ
“เอ้อ...เอาแมรี่ กับ เจนไปด้วยก็ได้ค่ะ...หรือถ้าพี่กันนาร์ว่าง จะไปด้วยกันก็ได้ เอ้า”
ประโยคท้ายทรงทำพระสุรเสียงแบบ ‘ใจป้ำ’ เต็มที่ หากพี่ชายจะสนพระทัยก็หาไม่
“เจ้าอยู่นี่แหละกายย์ ข้าจะหาคนไปรับเขาเอง”
“แต่ในลินเด็นไม่มีใครรู้จักเมลสักคน นอกจากน้อง” เด็กสาวพยายามแย้ง
เจ้าชายกันนาร์ทรงยักพระอังสา
“พวกนักบวชสังเกตง่ายจะตายไป ข้าจะให้คนของข้าไปรออยู่ที่ประตูตะวันตกตอนหลังเที่ยงไปแล้วสามชั่วยาม เจ้าแค่ส่งข่าวให้เขารู้ล่วงหน้าก็พอ”
เจ้าหญิงกาอิยาห์อยากจะบอกเหลือเกินว่าเมลไม่ใช่นักบวช แต่ต้องยั้งพระโอษฐ์ไว้ พอเห็นผู้เป็นพี่ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวกลับตำหนัก ก็พระพักตร์เสีย
“อะไรกัน พี่เพิ่งมาเดี๋ยวเดียวเองนะคะ จะกลับแล้วหรือ”
“ฮื่อ ข้าต้องรีบไปกราบทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ”
“งั้นน้องไปด้วย”
“เฮ้ยยย...ไม่ได้” พี่ชายปฏิเสธเสียงหลง พอนึกได้จึงค่อยกระแอมกลบเกลื่อน “เจ้าจะไปทำไม ฝ่าบาทประชวรอยู่ นอกจากข้ากับท่านน้าแล้วไม่อนุญาตให้ใครเข้าเฝ้าไง เจ้าลืมแล้วหรือ ”
“ไม่ได้ลืม...แต่น้องเบื่อนี่นา อยู่ที่นี่ก็ต้องฟังนอร่าบ่นจนหูแฉะทั้งวัน ขอออกไปพักผ่อนหูหน่อยเถอะ นะคะนะ รับรองว่าน้องจะไม่วุ่นวาย ไม่ทำแผนแตกเด็ดขาด พี่กันนาร์พาน้องไปทิ้งไว้ที่วิหารจันทราก็ได้”
เจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามต่อรอง หากดูเหมือนจะยิ่งทำให้อาการตกใจของพี่ชายทวีขึ้น
“วิหารจันทรา!!” เขาทวนคำเสียงหลง แล้วรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ได้เด็ดขาด”
“ทำไมล่ะคะ”
“อ้าว ก็...เอ่อ...เอาไว้เจ้าค่อยไปวันหลังดีกว่าน่า...”
“ทำไมต้องวันหลัง ก็น้องอยากจะไปวันนี้นี่นา เอ๊ะ หรือว่าพี่กันนาร์แอบซ่อนอะไรเอาไว้”
ชายหนุ่มเกือบสะดุ้ง “เปล๊า..ไม่มี ไม่เคยซ่อน...”
เจ้าหญิงกาอิยาห์จ้องมองอาการพิรุธของพี่ชายด้วยความสงสัย พระองค์ตั้งท่าจะซัก หากไม่ทัน เพราะเจ้าชายกันนาร์ทรงรู้แกว รีบตัดบทด้วยการโบกพระหัตถ์ให้แล้วเสด็จผลุนผลันหนีออกประตูไปเสียก่อน
วิหารโบราณอายุนับร้อยปีหลังนั้นตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแมกไม้ร่มครึ้มเขียวขจี แม้จะผ่านกาลเวลามายาวนาน หากยังคงความงามสมบูรณ์ของสถาปัตยกรรมเอาไว้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตัวอาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมก่อด้วยก้อนศิลาสีขาวสะอาดเรียงซ้อนเป็นระเบียบ สูงจากพื้นจรดจั่วหลังคาซึ่งแกะสลักเป็นลวดลายกนกโบราณงามวิจิตร ส่วนที่ยื่นออกไปดุจระเบียงด้านข้างประดับด้วยเสาหินอ่อนรูปเทพธิดาในพัสตราภรณ์บางพลิ้วตลอดแนว ใกล้ๆ กันนั้นคือพิณโบราณขนาดใหญ่ วางเด่นอยู่เหนือแท่นหินอ่อนขาวพิสุทธิ์ ตัวพิณไร้สาย โลหะที่เป็นโครงหมองมัวหากยังพอมองเห็นลวดลายที่สลักเสลาเอาไว้งดงามได้ไม่ยาก ในยามเที่ยงวันตัววิหารจะสะท้อนแสงแดดเป็นประกายเหลือบรุ้งงามประหลาด หากในยามค่ำคืน แสงที่ถูกดูดกลืนเก็บไว้ในก้อนศิลาจะเปล่งรัศมีนวลกระจ่างออกมาราวกับแสงจันทร์เพ็ญ อันเป็นที่มาของชื่อ...วิหารจันทรา
เจ้าชายกันนาร์สาวพระบาทผ่านสวนสมุนไพรและเรือนพักของเหล่านักบวช ตรงไปยังวิหารเก่าแก่ด้วยท่าทางระแวดระวังเป็นพิเศษ ทรงเหลียวมองเบื้องพระปฤษฏางค์อยู่หลายครั้ง กระทั่งแน่พระทัยว่าไม่มีใครตามมา จึงเสด็จขึ้นบันไดสิบสองขั้น ผ่านเสาหินกลมตันขนาดสองคนโอบที่มีริ้วลายเป็นร่องลึกโดยรอบ หายลับเข้าไปทางซุ้มประตูโค้งด้านหน้า
ภายในวิหารค่อนข้างมืด หากเจ้าชายกันนาร์ทรงคุ้นเคยกับสถานที่ดี จนสามารถเสด็จเข้าไปหยุดอยู่หลังหลืบเสาข้างแท่นบูชาได้ โดยไม่ต้องอาศัยแสงสว่างใดๆ พระองค์ผิวพระโอษฐ์เป็นจังหวะดังค่อยสลับกัน สักพักก็มีเสียงผิวปากทำนองเดียวกันตอบกลับมา เจ้าชายทรงเหลียวไปทอดพระเนตรรอบพระวรกายอีกครั้งก่อนจะตวัดผืนพรมประดับผนังออก เสด็จผ่านทางเดินแคบๆ ที่ซ่อนอยู่เข้าไปภายใน
“มาแล้วหรือ”
ผู้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่กลางห้องโถงยาวโล่ง ปราศจากเครื่องเรือนอย่างอื่นนอกจากรูปสลักหินอ่อน เอ่ยทักขึ้นโดยไม่ยอมละสายตาจากม้วนกระดาษในมือ แสงนวลจากเชิงเทียนติดผนังทำให้ชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวเข้ามาต้องหยีตาลงเล็กน้อย
“ทอดพระเนตรอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายกันนาร์ทูลถาม
“รายงานจากท่านคาร์ลน่ะ ราชาซาเรียตกลงจะเพิ่มจำนวนทหารผลัดใหม่ให้ตามที่เราขอไป แลกกับข้าวสาลีอีกปีละหกพันกระสอบ”
“หกพันกระสอบ! ไม่มากไปหน่อยหรือพะย่ะค่ะ ที่นาในแคว้นรัธเกือบครึ่งก็ต้องปลูกข้าวสาลีส่งไปให้แลมพ์ตันทุกปีอยู่แล้ว ถึงกรีนแลนด์จะอุดมสมบูรณ์ยังไง แต่ประชากรของเราก็ต้องบริโภคข้าวสาลีเหมือนกันนะพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นสิ ข้าก็ว่ามันออกจะมากเกินไปสักหน่อย เจ้าบอกท่านคาร์ลแล้วกันให้ต่อรองกับราชาซาเรียขอลดเหลือสามพันกระสอบ”
“แล้วทางแลมพ์ตันจะยอมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ประมุขแห่งกรีนแลนด์ทรงยักพระอังสา
“ก็ลองดู ...ว่าแต่ ‘เรื่องนั้น’ มีอะไรคืบหน้าไปบ้างหรือยัง”
“กายย์ได้รับจดหมายตอบจากท่านนักบวชแล้ว เห็นว่าจะมาถึงลินเด็นในอีกสามวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม...ก็เร็วดี แล้วทางเจ้าหญิงลูเซียล่ะ”
“ยังเหมือนเดิมพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมมีเรื่องที่น่าสนใจกว่านั้นจะกราบทูล”
เจ้าชายกันนาร์ขยับเข้าไปยืนจนชิดขอบโต๊ะ ตรัสต่อด้วยพระสุรเสียงไม่ดังนัก
“ข่าวลือเรื่องอาการประชวรของฝ่าบาทแพร่สะพัดไปจนถึงชายแดนแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
ราชาหนุ่มแห่งกรีนแลนด์แย้มพระสรวลกว้าง
“ดี เป็นไปตามแผน”
“แต่กระหม่อมว่ามันออกจะเร็วเกินไป เราเพิ่งให้คนไปปล่อยข่าวการประชวรที่ตลาดเมื่อสองวันก่อน เวลาแค่สองวันข่าวจะลือไปไกลถึงชายแดนได้ยังไง”
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้วกันน์ ไม่เคยได้ยินคนพูดกันหรือว่าข่าวยิ่งลับแค่ไหนยิ่งลือไปไวแค่นั้น อีกไม่นานเราก็จะได้รู้ว่าเจ้าของตลับเครื่องหอมนั่นเป็นใคร ข้าจะได้หลุดพ้นจากสภาพน่าอึดอัดนี้เสียที”
“ฝ่าบาท...” เจ้าชายกันนาร์แกล้งลากพระสุรเสียง “ยังไม่ทรงชินอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ ทรงปลอมองค์เช่นนี้มาก็ตั้งหลายวันแล้ว น่าจะทรงชินได้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เป็นเจ้ามั่งเอามั้ยล่ะ”
ราชาหนุ่มพระพักตร์บูด จ้องมองพระสหายด้วยสายพระเนตรคมดุที่ใครๆ ก็กลัวเกรง หากคนถูกจ้องกลับแย้มสรวลร่า ตอบกลับแบบไม่สะทกสะท้านสักนิด
“อย่าดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าชุดนี้ไม่ค่อยเหมาะกับกระหม่อมเท่าไหร่”
“แล้วเจ้าคิดว่ามันเหมาะกับข้า งั้นสิ”
“แหม ฝ่าบาทก็ รูปหล่ออย่างพระองค์ทรงชุดไหนก็เหมาะทั้งนั้นไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“กันนาร์!”
“โอ๊ะ! กระหม่อมเกือบลืม”
เจ้าชายกันนาร์รีบเอาตัวรอดด้วยการเปลี่ยนเรื่องทันควัน ทรงหยิบม้วนกระดาษที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อออกมา ยื่นพรวดไปตรงหน้าราชาหนุ่ม
“นี่พ่ะย่ะค่ะ”
ราชาเอลเบอเรธทอดพระเนตรม้วนกระดาษอย่างงงๆ
“อะไร”
“ภาพวาดพะย่ะค่ะ ท่านคาร์ลฝากมาให้ทอดพระเนตรอีกรอบ ไหนๆ ช่วงนี้ก็ทรงมีเวลาว่างแล้ว เลือกมาสักคนเถิดพ่ะย่ะค่ะว่าจะอภิเษกกับหญิงสาวคนไหน”
“ขอร้องละกันน์...” ราชาหนุ่มทำเสียงเบื่อหน่าย กระแทกพระองค์ลงนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างไม่สบพระอารมณ์ “ข้าเคยบอกเจ้าหลายครั้งแล้วนี่ ข้ายังไม่อยากจะคิดเรื่องแต่งงาน”
“แล้วเมื่อไหร่จะทรง ‘อยากคิด’ เสียทีล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ราชาทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนพระปัสสาสะแล้วตรัสตอบด้วยประโยคคำถาม ที่เจ้าชายกันนาร์เห็นว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้าสักนิด
“เจ้ารู้มั้ยทำไมบิดาข้าถึงไม่ยอมมีพระสนม”
“เป็นเพราะทรงได้อภิเษกกับสตรีที่มีโฉมงามยิ่งกว่าหญิงใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ผู้เป็นเพื่อนเดา
ราชาเอลเบอเรธทรงพระสรวลน้อยๆ สีพระพักตร์ของพระองค์อ่อนโยนลงอย่างที่เจ้าชายกันนาร์ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ผิดแล้ว เป็นเพราะทรงเข้าพิธีอภิเษกด้วยความรัก ไม่ใช่เพราะเหตุผลทางการเมืองหรือความเหมาะสมใดๆ ต่างหาก ...ข้าเองก็ปรารถนาจะได้มีโชคเช่นนั้นบ้าง”
“แล้วจะทรงรอโชคที่ว่าไปถึงเมื่อไหร่กันพ่ะย่ะค่ะ อย่าทรงลืมสิว่ากรีนแลนด์เองก็ต้องการรัชทายาทจากพระองค์เช่นกัน”
“เอาเถอะน่า ถ้าถึงคราวจำเป็นที่ข้าไม่อาจหลบเลี่ยงต่อไปได้เมื่อไหร่ละก็ ข้าสัญญาว่าจะพิจารณาน้องสาวของเจ้าเป็นรายแรกเลย ดีมั้ย”
เจ้าชายกันนาร์ทรงพระสรวลก๊ากออกมาทันควัน “ซนเป็นลิงอย่างนั้นน่ะนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมว่าคงถูกใจท่านคาร์ลพิลึก”
การเอ่ยพาดพิงถึงเจ้าหญิงกาอิยาห์ทำให้ผู้เป็นประมุขของกรีนแลนด์ทรงระลึกขึ้นมาได้
“จริงสิ น้องสาวของเจ้านางสงสัยอะไรพวกเราบ้างหรือเปล่า”
“กายย์น่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้นางหายใจเข้าออกเป็นเจ้าหนุ่มเมลคนนั้นไปแล้ว คงไม่มีเวลามาสงสัยใครหรอก”
“เจ้าหนุ่มเมลที่ไหนกัน?”
“ก็นักบวชคนที่จะมาช่วยถอนคำสาปให้เจ้าหญิงแคธรีนนั่นแหละพ่ะย่ะค่ะ กายย์บอกว่าเขาเป็นอาจารย์ของนาง”
ราชาเอลเบอเรธทอดพระเนตรท่าทางหงุดหงิดของผู้เป็นเพื่อนแล้วอดแย้มสรวลไม่ได้
“อ๊ะ เจ้านี่ท่าจะเริ่มหวงน้องสาวขึ้นมาแล้วหรือไง”
“เปล่านะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแค่กลัวว่านางจะทำตัวไม่เหมาะสมต่างหาก” เจ้าชายกันนาร์ปฏิเสธไม่เต็มเสียง แล้วเลยเสเดินไปหยุดอยู่ริมหน้าต่างบานแคบที่มีอยู่เพียงสองบาน ทอดพระเนตรท้องฟ้าภายนอกที่เริ่มแปรเปลี่ยนจากสีครามเข้มเป็นสีส้มอมทอง ก่อนจะหันกลับมาส่งเสียงกระแอมแก้เก้อ
“เอ่อ...จวนมืดแล้ว อีกเดี๋ยวพวกนักบวชก็จะเข้ามาจุดไฟในวิหาร กระหม่อมขอตัวออกไปดูพวกเขาก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ตามใจเจ้าเถอะ”
ราชาหนุ่มทรงแสร้งทำเป็นไม่รู้เท่าทันการเปลี่ยนหัวข้อสนทนากะทันหันของผู้เป็นเพื่อน พระองค์ทอดพระเนตรดูเขาก้าวออกจากห้องไปโดยซ่อนรอยแย้มสรวลขบขันเอาไว้ในพระพักตร์ ...เจ้าบ้ากันนาร์หวงน้องสาวแล้วทำเป็นปากแข็งอยู่ได้ แบบนี้ก็ยิ่งทำให้พระองค์อยากจะเห็นหน้านักบวชผู้นั้นขึ้นมาน่ะสิ
กลิ่นหอมเย็นของสมุนไพรสมานแผล และสัมผัสจากมือนุ่มของสตรีที่แสนจะคุ้นเคย ทำให้คนที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงอดยิ้มออกมาไม่ได้ คงจะเป็นท่านแม่นั่นเอง ทุกครั้งที่เขาเจ็บตัว ท่านแม่จะคอยดูแลใส่ยาให้อย่างอ่อนโยนเสมอ ...แต่คราวนี้ท่านแม่ออกจะมือหนักไปหน่อยแฮะ
เด็กหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน มองเพดานห้องที่ไม่คุ้นเคย แล้วเลยกวาดสายตามองไปรอบห้อง
ไม่มีแม้แต่เงาของผู้เป็นมารดา...
เจ้าตัวผวาลุกขึ้นนั่งตัวตรงด้วยความตกใจ พยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ภาพคมดาบขาววับที่เจ้าชายแห่งทาเนียร์ตวัดฟันลงมาปรากฏชัดในสมอง เด็กหนุ่มเผลอยกมือขึ้นสัมผัสลำคอโดยไม่รู้ตัว
ไม่มีบาดแผล...
เจ้าตัวรีบก้มลงมองสำรวจร่างตนเองอย่างเร่งด่วน
ตามแขนขาและส่วนอื่นของร่างกายยังมีรอยฟกช้ำหลงเหลือให้เห็นอยู่หลายแห่ง หากก็เป็นเพียงรอยจางๆ เท่านั้น ดูเหมือนว่าบาดแผลส่วนใหญ่ของเขาจะได้รับการรักษาด้วยสมุนไพรและเวทมนตร์จนเกือบจะหายสนิทดีแล้ว
“ฟื้นแล้วหรือ?”
เสียงทุ้มนุ่มหูส่งคำถามมาจากมุมห้อง ชายแปลกหน้าเจ้าของเสียงกำลังง่วนอยู่กับการผสมอะไรสักอย่างลงในถ้วยชาร้อนกรุ่น
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นชายหนุ่มหน้าสวยผู้นี้มาก่อน
ใช่แล้ว!
พี่ชายคนนี้คือคนที่เข้ามารับดาบของเจ้าชายดิเร็กซ์เอาไว้ ก่อนที่มันจะฟาดลงมาบนตัวเขานั่นเอง
“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างน้องชาย เจ้าโดนสองคนนั้นเล่นงานหนักมากรู้มั้ย”
เจ้าของประโยคเดินตรงเข้ามาพร้อมถ้วยดินเผาในมือ
“เอ้า ดื่มนี่สักหน่อย มันจะช่วยรักษาอาการบอบช้ำภายใน ทำให้เจ้าหายเจ็บเร็วขึ้น” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
เด็กหนุ่มรับถ้วยใบน้อยมาถือไว้ ก้มลงมองดูน้ำสีเขียวขุ่นขลักในนั้นอย่างไม่ไว้ใจ
“ท่านเป็นหมอหรือ?”
ชายแปลกหน้าหัวเราะ
“เปล่า ...แต่ข้ารับรองว่านั่นไม่ใช่ยาพิษ เจ้าดื่มให้หมดแล้วกัน”
พูดแล้วเขาก็ตวัดเสื้อคลุมเดินทางขึ้นสวม คว้าห่อสัมภาระบนพื้นขึ้นพาดไหล่ เดินดุ่มไปที่ประตู ทว่าก่อนจะออกไปพ้นจากห้องยังมีแก่ใจหันมาบอก
“เจ้าถูกเจ้าของบ้านพักไล่ออกแล้วนะน้องชาย ข้าวของของเจ้าอยู่ในห่อผ้าบนโต๊ะนั่น ถ้าดื่มยาหมดแล้วเจ้าจะนอนต่ออีกหน่อยก็ได้ นี่เป็นห้องพักที่ข้าเช่าไว้เอง เจ้าอยู่ได้จนถึงราวๆ เที่ยง แต่ข้ามีธุระต้องรีบออกเดินทางต่อ ขอโทษด้วยที่อยู่ดูแลเจ้าไม่ได้ ถ้าลุกไหวเมื่อไหร่เจ้าก็หาทางกลับบ้านเอาเองแล้วกัน ข้าไปละ”
“เดี๋ยวก่อน...”
เด็กหนุ่มวางถ้วยยาที่ยังไม่ได้จิบแม้แต่อึกเดียวลงบนโต๊ะข้างเตียง คว้าห่อผ้าสีมอๆ จากโต๊ะตัวเดียวกันมากำไว้แน่น ก่อนผลุนผลันกระโดดลงสู่พื้น ก้าวตามหลังชายผู้นั้นไปติดๆ
“ข้าจะไปกับท่านด้วย” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ท่าทางบอกชัดว่าเอาจริง ไม่ได้พูดเล่น
เมลิอานาร์มีสีหน้าลำบากใจ
“จะไปกับข้า... เจ้ารู้หรือว่าข้ากำลังจะไปที่ไหน”
“ไม่รู้ แต่ข้าติดหนี้ท่านพี่ชาย ข้าต้องชดใช้”
“ไม่ต้องหรอกหนุ่มน้อย ข้าไม่ได้ช่วยเพราะหวังสิ่งตอบแทนจากเจ้า ถ้าหายดีแล้วเจ้าก็รีบกลับบ้านไปเสียเถอะ”
“ท่านกลัวว่าข้าจะขโมยม้าของท่านหรือไง” เด็กหนุ่มถามโพล่งออกมาด้วยดวงตาวาววับ ท่าทางถือดีอย่างเดิมหวนกลับมาอีกครั้ง หากเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่โต้ตอบ เขาก็พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย
“ม้าตัวนั้น ตัวที่ท่านเห็น มันเคยเป็นของข้ามาก่อนจริงๆ นะ แต่ถูกพวกโจรขโมยม้ามันขโมยไป พอข้าได้เจอมันเข้าอีกครั้ง ก็แค่พยายามจะเอามันคืนมาเท่านั้น”
เมลิอานาร์มองสบดวงตาสีน้ำตาลคมกล้า ที่ฉายแววมุ่งมั่นอย่างคนตัดสินใจเด็ดขาดของผู้พูดแล้ว ได้แต่โคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ
“เจ้าชื่ออะไร”
“ซิส...”
“เอาละซิส บ้านของเจ้าอยู่ที่ไหน ข้าจะ..”
“วูดแลนด์”
เมลิอานาร์ชะงักก่อนถอนหายใจเฮือก นางลังเลอยู่เพียงอึดใจเดียวก็จำต้องพยักหน้า
“เอ้า ก็ได้ ข้าจะให้เจ้าติดตามไปด้วย แต่พอไปถึงลินเด็น เราก็ต่างคนต่างไป เข้าใจมั้ย”
ซิสยิ้มกว้างอย่างยินดี หากไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนอแบบไม่เต็มใจของอีกฝ่ายแม้แต่คำเดียว
เด็กสาวนึกนินทาพี่ชายยังไม่ทันจบ คุณพี่เลี้ยงจอมเข้มงวดก็เดินด้วยฝีเท้าของแมวเข้ามายอบตัวรายงานว่า
“เจ้าชายกันนาร์เสด็จเพคะ”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ผวาลุกขึ้นประทับตัวตรงทันที
“เจ้ารีบไปเชิญพระองค์มาที่นี่เร็วๆ เข้า แล้วให้ใครจัดน้ำชามาถวายอีกชุดหนึ่งด้วยนะ”
น้ำเสียงและท่าทางตื่นเต้นยินดีอย่างเปิดเผยของพระองค์ ทำให้คนเป็นพี่เลี้ยงอดรู้สึกขวางหูขวางตาไม่ได้ นางกระแอมเบาๆ พร้อมกับเอ่ยเตือนเสียงเข้ม
“ทรงสำรวมพระกิริยาหน่อยเพคะเจ้าหญิง ทรงเจริญพระชันษา ไม่ใช่เด็กหญิงเล็กๆ แล้วนะเพคะ”
“รู้แล้วละน่า” เจ้าหญิงกาอิยาห์รับคำพระพักตร์บูด...นอร่านี่ ถ้าไม่บ่นพระองค์สักนาทีจะตายไหมนะ
คุณพี่เลี้ยงตวัดหางตาค้อนก่อนเดินจากไป ยังไม่ทันที่เสียงฝีเท้าของนางจะจางหาย เสียงฝีเท้าย่ำหนักๆ ของเจ้าชายกันนาร์ก็ดังสวนเข้ามาในห้องทันทีราวกับทรงรออยู่แล้ว พอมาถึงพระองค์ก็ประทับลงบนเก้าอี้ผ้าไหมบุนวมตัวที่อยู่ตรงข้ามกับน้องสาวโดยไม่ต้องรอให้มีใครเชื้อเชิญ หากพอจะอ้าพระโอษฐ์ทักคนเป็นน้อง คุณพี่เลี้ยงนอร่าก็เดินย้อนกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมด้วยถาดบรรจุถ้วยน้ำชาร้อนกรุ่นและขนมเค้กชิ้นเล็กสีสวยในมือ นางวางของทั้งสองสิ่งลงบนโต๊ะตรงหน้าผู้เป็นแขก จากนั้นจึงถอยออกไปยืนทำทีเป็นปัดโน่นเช็ดนี่ด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้อยู่ตรงมุมห้อง ห่างพอที่จะไม่ได้ยินบทสนทนาของคนทั้งคู่ แต่สามารถมองเห็นการกระทำของพวกเขาได้ตลอดเวลา
“พี่เลี้ยงของเจ้านี่เข้มงวดดีนะ”
เจ้าชายกันนาร์ตรัสด้วยพระพักตร์ครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง ทรงยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบขณะที่สายพระเนตรเหลือบไปเห็นกองผ้าที่วางขยุ้มๆ อยู่บนตักของน้องสาวโดยบังเอิญ
“นั่นผ้าอะไรน่ะกายย์”
“อ๋ออออ...” เจ้าหญิงกาอิยาห์ลากพระสุรเสียงยาว “นี่น่ะหรือ ก็เป็นผลพวงจากการที่น้องต้องตามติดเจ้าหญิงลูเซียตามคำสั่งพี่กันนาร์ไงคะ”
พระองค์กรีดนิ้วพระหัตถ์หยิบผ้าซับพระพักตร์ผืนนั้นขึ้นมาโบกไหวๆ อยู่ตรงหน้าพี่ชาย เลยถูกคนเป็นพี่คว้าเอาไปคลี่ดู แล้วเสียงหัวเราะก๊ากแบบไม่อายใครก็ดังขึ้น
“โอ้โห ฝีมือเจ้าสุดสุดไปเลยกายย์”
เจ้าหญิงกาอิยาห์พระพักตร์คว่ำ รีบลุกจากพระเก้าอี้เข้าไปแย่งผ้าผืนน้อยคืนมา พระโอษฐ์ก็เถียงฉอดๆ ไปด้วย
“รู้แล้วน่ะว่าฝีมือน้องมันไม่ได้เรื่อง พี่กันนาร์ไม่ต้องตอกย้ำนักหรอก ก็เจ้าหญิงลูเซียวันๆ เอาแต่นั่งปักผ้า ถ้าน้องไม่ปักผ้ามั่งแล้วจะไปลอบจับตาดูนางได้ยังไงกันเล่า”
“เอาเถอะ หัดๆ ไว้มั่งก็ดี ข้าละหวั่นใจว่าจะไม่มีใครรับเจ้าไปเป็นเจ้าสาวเหลือเกิน” พี่ชายแหย่ ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังขึ้น
“เจ้าจับตาดูนางมาหลายวันแล้ว เห็นอะไรผิดสังเกตบ้างหรือเปล่า”
“ไม่นี่คะ นอกจากอาการเงียบขรึมเหม่อลอยแล้ว เจ้าหญิงลูเซียก็ทรงก็ปกติดีทุกอย่าง พวกข้าหลวงตำหนักโน้นคุยกันว่า เป็นเพราะทรงเสียพระทัยที่ฝ่าบาทประชวรก็เลยไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาผิดเป็นคนละคนกับเมื่อก่อน ส่วนท่านน้ายิ่งแล้วใหญ่ ทรงยึดเอาเจ้าหญิงลูเซียเป็นตัวแทนลูกชายไปเลย”
“น่าเป็นห่วงแฮะ กายย์เจ้าพยายามอย่าให้ท่านน้าประทับอยู่ตามลำพังกับเจ้าหญิงลูเซียบ่อยนัก ข้าเห็นท่าทางของนางเมื่อวันก่อนแล้ว ไม่ค่อยไว้ใจเลยจริงๆ“
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ รับรองว่าน้องจะประกบติดนางทุกฝีก้าวเลย มือชั้นนี้แล้ว”
น้องสาวยืดอก ท่าทางมั่นใจจนพี่ชายต้องส่ายหน้า...ก็เพราะเป็นมือชั้นเจ้าหญิงกาอิยาห์นี่แหละ ถึงน่าเป็นห่วงกว่าปกติ
“แล้วอาจารย์ของเจ้าล่ะ จะมาถึงกรีนแลนด์เมื่อไหร่ ฝ่าบาททรงเป็นกังวลมาก เร่งให้ข้ามาถามเรื่องนี้อยู่ทุกวัน”
“ไม่ทราบสิคะ ก็คงเร็วๆ นี้ละมั้ง ตอนตอบมากับวาย ก็ไม่เห็นเมลว่าไงนี่นา”
“กายย์...” พี่ชายลากเสียง “นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะทำเป็นเล่นนะ”
เจ้าหญิงกาอิยาห์พระพักตร์งอง้ำขึ้นมาทันที พระองค์ขยับจะเถียง ก็พอดีเจ้านกตัวน้อยสีขาวปลอดบินถลาลงมาเกาะอยู่บนโต๊ะตรงหน้า ดึงความสนพระทัยไปเสียก่อน เจ้านกน้อยเอียงคอมองทางซ้ายทีทางขวาที ก่อนกระโดดสั้นๆ ตรงไปที่จานใส่ขนมเค้ก ก้มลงจิกกินโดยไม่นึกเกรงกลัวมนุษย์ตัวโตที่นั่งมองอยู่ถึงสองคน
เจ้าชายกันนาร์เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ขนอันอ่อนนุมของมันเล่น น่าแปลกที่เจ้าสัตว์ตัวน้อยไม่ยักบินหนีอย่างที่ควรจะเป็น
“นกของใครหลงมาล่ะนี่ เชื่องดีเสียด้วย ของเจ้าหรือกายย์”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ส่ายพระพักตร์ ขมวดพระขนงทอดพระเนตรนกตัวนั้นอย่างเพ่งพิศ หากเพียงครู่เดียวก็แย้มพระสรวลร่า
“จดหมายจากเมลแน่ๆ”
เจ้าชายกันนาร์ตวัดสายพระเนตรผ่านหน้าน้องสาวด้วยความสงสัย ก่อนจะทรงใช้อุ้งพระหัตถ์ช้อนร่างเจ้าสัตว์ตัวน้อยขึ้นจากโต๊ะ พลิกดูใต้ท้องของมันอย่างเบามือ
“จดหมายไหน ที่ขานกไม่เห็นมี...”
เจ้าหญิงกาอิยาห์รู้สึกขัดพระทัย ก็เอื้อมพระหัตถ์ไปแย่งนกน้อยตัวนั้นจากมือพี่ชายมาช้อนประคองไว้เสียเอง ทันทีที่พระองค์สัมผัสถูกตัวนก เจ้าสัตว์แสนเชื่องก็พลันกลายสภาพจากสิ่งมีชีวิตกลับไปเป็นนกกระดาษต่อหน้าต่อตา
เจ้าชายกันนาร์อ้าพระโอษฐ์ค้าง ตรัสอะไรไม่ออก ในขณะที่คนเป็นน้องรีบคลี่กระดาษออกอ่าน เพียงครู่เดียวก็เงยหน้าขึ้นยิ้มจนตาหยี
“เมลมาถึงกรีนแลนด์แล้ว อีกไม่เกินสามวันจะถึงเมืองลินเด็นสไตน์ ทีนี้พี่กันนาร์ก็เลิกบ่นน้องได้แล้วนะคะ”
“รู้แล้วน่า” พี่ชายลากเสียงอย่างรำคาญ
“จริงสิ ในจดหมาย เมลบอกว่าได้ยินข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับการประชวรของฝ่าบาทด้วยละ”
เจ้าชายกันนาร์เลิกพระขนงขึ้นข้างหนึ่ง ทรงใคร่ครวญถึงข้อความที่น้องสาวเพิ่งพูดจบ ...ดูเหมือน ‘ข่าว’ จะลือไปไวเหลือเกิน
เจ้าหญิงกาอิยาห์เห็นพี่ชายทรงนิ่งไป ก็ขยับเข้าไปใกล้ พลางเขย่าท่อนพระกร
“พี่กันนาร์”
“หือ”
“ให้น้องออกไปรับเมลได้หรือเปล่า”
คำถามอย่างกระตือรือร้นของนางทำให้คนเป็นพี่รู้สึกผิดหูจนต้องก้มลงมองใบหน้านวลกระจ่างนั้นอย่างเพ่งพิศ ดวงตาสีม่วงใสของเด็กสาวเปล่งประกายยินดีออกมาอย่างปิดไม่มิด แก้มเป็นสีชมพูจัดขึ้น เจ้าชายกันนาร์เห็นแล้วก็ชักจะเหม็นขี้หน้าเจ้าหนุ่มชื่อเมลคนนั้นขึ้นมาตงิดๆ ทั้งที่ยังไม่ได้เจอตัวกันนี่แหละ น้ำเสียงที่ตรัสตอบน้องสาวจึงห้วนสั้นผิดเคย
“ไม่ได้ เจ้าหญิงอายุยังไม่ถึงยี่สิบปี ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกปราสาทตามลำพัง เจ้าไม่รู้หรือไง”
“รู้...น้องก็ว่าจะชวนนอร่าไปด้วยอีกคน” เจ้าหญิงกาอิยาห์ตอบอุบอิบ เหลือบพระเนตรมองพี่ชายอย่างเกรงๆ
“เอ้อ...เอาแมรี่ กับ เจนไปด้วยก็ได้ค่ะ...หรือถ้าพี่กันนาร์ว่าง จะไปด้วยกันก็ได้ เอ้า”
ประโยคท้ายทรงทำพระสุรเสียงแบบ ‘ใจป้ำ’ เต็มที่ หากพี่ชายจะสนพระทัยก็หาไม่
“เจ้าอยู่นี่แหละกายย์ ข้าจะหาคนไปรับเขาเอง”
“แต่ในลินเด็นไม่มีใครรู้จักเมลสักคน นอกจากน้อง” เด็กสาวพยายามแย้ง
เจ้าชายกันนาร์ทรงยักพระอังสา
“พวกนักบวชสังเกตง่ายจะตายไป ข้าจะให้คนของข้าไปรออยู่ที่ประตูตะวันตกตอนหลังเที่ยงไปแล้วสามชั่วยาม เจ้าแค่ส่งข่าวให้เขารู้ล่วงหน้าก็พอ”
เจ้าหญิงกาอิยาห์อยากจะบอกเหลือเกินว่าเมลไม่ใช่นักบวช แต่ต้องยั้งพระโอษฐ์ไว้ พอเห็นผู้เป็นพี่ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวกลับตำหนัก ก็พระพักตร์เสีย
“อะไรกัน พี่เพิ่งมาเดี๋ยวเดียวเองนะคะ จะกลับแล้วหรือ”
“ฮื่อ ข้าต้องรีบไปกราบทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ”
“งั้นน้องไปด้วย”
“เฮ้ยยย...ไม่ได้” พี่ชายปฏิเสธเสียงหลง พอนึกได้จึงค่อยกระแอมกลบเกลื่อน “เจ้าจะไปทำไม ฝ่าบาทประชวรอยู่ นอกจากข้ากับท่านน้าแล้วไม่อนุญาตให้ใครเข้าเฝ้าไง เจ้าลืมแล้วหรือ ”
“ไม่ได้ลืม...แต่น้องเบื่อนี่นา อยู่ที่นี่ก็ต้องฟังนอร่าบ่นจนหูแฉะทั้งวัน ขอออกไปพักผ่อนหูหน่อยเถอะ นะคะนะ รับรองว่าน้องจะไม่วุ่นวาย ไม่ทำแผนแตกเด็ดขาด พี่กันนาร์พาน้องไปทิ้งไว้ที่วิหารจันทราก็ได้”
เจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามต่อรอง หากดูเหมือนจะยิ่งทำให้อาการตกใจของพี่ชายทวีขึ้น
“วิหารจันทรา!!” เขาทวนคำเสียงหลง แล้วรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ได้เด็ดขาด”
“ทำไมล่ะคะ”
“อ้าว ก็...เอ่อ...เอาไว้เจ้าค่อยไปวันหลังดีกว่าน่า...”
“ทำไมต้องวันหลัง ก็น้องอยากจะไปวันนี้นี่นา เอ๊ะ หรือว่าพี่กันนาร์แอบซ่อนอะไรเอาไว้”
ชายหนุ่มเกือบสะดุ้ง “เปล๊า..ไม่มี ไม่เคยซ่อน...”
เจ้าหญิงกาอิยาห์จ้องมองอาการพิรุธของพี่ชายด้วยความสงสัย พระองค์ตั้งท่าจะซัก หากไม่ทัน เพราะเจ้าชายกันนาร์ทรงรู้แกว รีบตัดบทด้วยการโบกพระหัตถ์ให้แล้วเสด็จผลุนผลันหนีออกประตูไปเสียก่อน
วิหารโบราณอายุนับร้อยปีหลังนั้นตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแมกไม้ร่มครึ้มเขียวขจี แม้จะผ่านกาลเวลามายาวนาน หากยังคงความงามสมบูรณ์ของสถาปัตยกรรมเอาไว้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตัวอาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมก่อด้วยก้อนศิลาสีขาวสะอาดเรียงซ้อนเป็นระเบียบ สูงจากพื้นจรดจั่วหลังคาซึ่งแกะสลักเป็นลวดลายกนกโบราณงามวิจิตร ส่วนที่ยื่นออกไปดุจระเบียงด้านข้างประดับด้วยเสาหินอ่อนรูปเทพธิดาในพัสตราภรณ์บางพลิ้วตลอดแนว ใกล้ๆ กันนั้นคือพิณโบราณขนาดใหญ่ วางเด่นอยู่เหนือแท่นหินอ่อนขาวพิสุทธิ์ ตัวพิณไร้สาย โลหะที่เป็นโครงหมองมัวหากยังพอมองเห็นลวดลายที่สลักเสลาเอาไว้งดงามได้ไม่ยาก ในยามเที่ยงวันตัววิหารจะสะท้อนแสงแดดเป็นประกายเหลือบรุ้งงามประหลาด หากในยามค่ำคืน แสงที่ถูกดูดกลืนเก็บไว้ในก้อนศิลาจะเปล่งรัศมีนวลกระจ่างออกมาราวกับแสงจันทร์เพ็ญ อันเป็นที่มาของชื่อ...วิหารจันทรา
เจ้าชายกันนาร์สาวพระบาทผ่านสวนสมุนไพรและเรือนพักของเหล่านักบวช ตรงไปยังวิหารเก่าแก่ด้วยท่าทางระแวดระวังเป็นพิเศษ ทรงเหลียวมองเบื้องพระปฤษฏางค์อยู่หลายครั้ง กระทั่งแน่พระทัยว่าไม่มีใครตามมา จึงเสด็จขึ้นบันไดสิบสองขั้น ผ่านเสาหินกลมตันขนาดสองคนโอบที่มีริ้วลายเป็นร่องลึกโดยรอบ หายลับเข้าไปทางซุ้มประตูโค้งด้านหน้า
ภายในวิหารค่อนข้างมืด หากเจ้าชายกันนาร์ทรงคุ้นเคยกับสถานที่ดี จนสามารถเสด็จเข้าไปหยุดอยู่หลังหลืบเสาข้างแท่นบูชาได้ โดยไม่ต้องอาศัยแสงสว่างใดๆ พระองค์ผิวพระโอษฐ์เป็นจังหวะดังค่อยสลับกัน สักพักก็มีเสียงผิวปากทำนองเดียวกันตอบกลับมา เจ้าชายทรงเหลียวไปทอดพระเนตรรอบพระวรกายอีกครั้งก่อนจะตวัดผืนพรมประดับผนังออก เสด็จผ่านทางเดินแคบๆ ที่ซ่อนอยู่เข้าไปภายใน
“มาแล้วหรือ”
ผู้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่กลางห้องโถงยาวโล่ง ปราศจากเครื่องเรือนอย่างอื่นนอกจากรูปสลักหินอ่อน เอ่ยทักขึ้นโดยไม่ยอมละสายตาจากม้วนกระดาษในมือ แสงนวลจากเชิงเทียนติดผนังทำให้ชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวเข้ามาต้องหยีตาลงเล็กน้อย
“ทอดพระเนตรอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายกันนาร์ทูลถาม
“รายงานจากท่านคาร์ลน่ะ ราชาซาเรียตกลงจะเพิ่มจำนวนทหารผลัดใหม่ให้ตามที่เราขอไป แลกกับข้าวสาลีอีกปีละหกพันกระสอบ”
“หกพันกระสอบ! ไม่มากไปหน่อยหรือพะย่ะค่ะ ที่นาในแคว้นรัธเกือบครึ่งก็ต้องปลูกข้าวสาลีส่งไปให้แลมพ์ตันทุกปีอยู่แล้ว ถึงกรีนแลนด์จะอุดมสมบูรณ์ยังไง แต่ประชากรของเราก็ต้องบริโภคข้าวสาลีเหมือนกันนะพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นสิ ข้าก็ว่ามันออกจะมากเกินไปสักหน่อย เจ้าบอกท่านคาร์ลแล้วกันให้ต่อรองกับราชาซาเรียขอลดเหลือสามพันกระสอบ”
“แล้วทางแลมพ์ตันจะยอมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ประมุขแห่งกรีนแลนด์ทรงยักพระอังสา
“ก็ลองดู ...ว่าแต่ ‘เรื่องนั้น’ มีอะไรคืบหน้าไปบ้างหรือยัง”
“กายย์ได้รับจดหมายตอบจากท่านนักบวชแล้ว เห็นว่าจะมาถึงลินเด็นในอีกสามวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม...ก็เร็วดี แล้วทางเจ้าหญิงลูเซียล่ะ”
“ยังเหมือนเดิมพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมมีเรื่องที่น่าสนใจกว่านั้นจะกราบทูล”
เจ้าชายกันนาร์ขยับเข้าไปยืนจนชิดขอบโต๊ะ ตรัสต่อด้วยพระสุรเสียงไม่ดังนัก
“ข่าวลือเรื่องอาการประชวรของฝ่าบาทแพร่สะพัดไปจนถึงชายแดนแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
ราชาหนุ่มแห่งกรีนแลนด์แย้มพระสรวลกว้าง
“ดี เป็นไปตามแผน”
“แต่กระหม่อมว่ามันออกจะเร็วเกินไป เราเพิ่งให้คนไปปล่อยข่าวการประชวรที่ตลาดเมื่อสองวันก่อน เวลาแค่สองวันข่าวจะลือไปไกลถึงชายแดนได้ยังไง”
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้วกันน์ ไม่เคยได้ยินคนพูดกันหรือว่าข่าวยิ่งลับแค่ไหนยิ่งลือไปไวแค่นั้น อีกไม่นานเราก็จะได้รู้ว่าเจ้าของตลับเครื่องหอมนั่นเป็นใคร ข้าจะได้หลุดพ้นจากสภาพน่าอึดอัดนี้เสียที”
“ฝ่าบาท...” เจ้าชายกันนาร์แกล้งลากพระสุรเสียง “ยังไม่ทรงชินอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ ทรงปลอมองค์เช่นนี้มาก็ตั้งหลายวันแล้ว น่าจะทรงชินได้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เป็นเจ้ามั่งเอามั้ยล่ะ”
ราชาหนุ่มพระพักตร์บูด จ้องมองพระสหายด้วยสายพระเนตรคมดุที่ใครๆ ก็กลัวเกรง หากคนถูกจ้องกลับแย้มสรวลร่า ตอบกลับแบบไม่สะทกสะท้านสักนิด
“อย่าดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าชุดนี้ไม่ค่อยเหมาะกับกระหม่อมเท่าไหร่”
“แล้วเจ้าคิดว่ามันเหมาะกับข้า งั้นสิ”
“แหม ฝ่าบาทก็ รูปหล่ออย่างพระองค์ทรงชุดไหนก็เหมาะทั้งนั้นไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“กันนาร์!”
“โอ๊ะ! กระหม่อมเกือบลืม”
เจ้าชายกันนาร์รีบเอาตัวรอดด้วยการเปลี่ยนเรื่องทันควัน ทรงหยิบม้วนกระดาษที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อออกมา ยื่นพรวดไปตรงหน้าราชาหนุ่ม
“นี่พ่ะย่ะค่ะ”
ราชาเอลเบอเรธทอดพระเนตรม้วนกระดาษอย่างงงๆ
“อะไร”
“ภาพวาดพะย่ะค่ะ ท่านคาร์ลฝากมาให้ทอดพระเนตรอีกรอบ ไหนๆ ช่วงนี้ก็ทรงมีเวลาว่างแล้ว เลือกมาสักคนเถิดพ่ะย่ะค่ะว่าจะอภิเษกกับหญิงสาวคนไหน”
“ขอร้องละกันน์...” ราชาหนุ่มทำเสียงเบื่อหน่าย กระแทกพระองค์ลงนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างไม่สบพระอารมณ์ “ข้าเคยบอกเจ้าหลายครั้งแล้วนี่ ข้ายังไม่อยากจะคิดเรื่องแต่งงาน”
“แล้วเมื่อไหร่จะทรง ‘อยากคิด’ เสียทีล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ราชาทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนพระปัสสาสะแล้วตรัสตอบด้วยประโยคคำถาม ที่เจ้าชายกันนาร์เห็นว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้าสักนิด
“เจ้ารู้มั้ยทำไมบิดาข้าถึงไม่ยอมมีพระสนม”
“เป็นเพราะทรงได้อภิเษกกับสตรีที่มีโฉมงามยิ่งกว่าหญิงใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ผู้เป็นเพื่อนเดา
ราชาเอลเบอเรธทรงพระสรวลน้อยๆ สีพระพักตร์ของพระองค์อ่อนโยนลงอย่างที่เจ้าชายกันนาร์ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ผิดแล้ว เป็นเพราะทรงเข้าพิธีอภิเษกด้วยความรัก ไม่ใช่เพราะเหตุผลทางการเมืองหรือความเหมาะสมใดๆ ต่างหาก ...ข้าเองก็ปรารถนาจะได้มีโชคเช่นนั้นบ้าง”
“แล้วจะทรงรอโชคที่ว่าไปถึงเมื่อไหร่กันพ่ะย่ะค่ะ อย่าทรงลืมสิว่ากรีนแลนด์เองก็ต้องการรัชทายาทจากพระองค์เช่นกัน”
“เอาเถอะน่า ถ้าถึงคราวจำเป็นที่ข้าไม่อาจหลบเลี่ยงต่อไปได้เมื่อไหร่ละก็ ข้าสัญญาว่าจะพิจารณาน้องสาวของเจ้าเป็นรายแรกเลย ดีมั้ย”
เจ้าชายกันนาร์ทรงพระสรวลก๊ากออกมาทันควัน “ซนเป็นลิงอย่างนั้นน่ะนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมว่าคงถูกใจท่านคาร์ลพิลึก”
การเอ่ยพาดพิงถึงเจ้าหญิงกาอิยาห์ทำให้ผู้เป็นประมุขของกรีนแลนด์ทรงระลึกขึ้นมาได้
“จริงสิ น้องสาวของเจ้านางสงสัยอะไรพวกเราบ้างหรือเปล่า”
“กายย์น่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้นางหายใจเข้าออกเป็นเจ้าหนุ่มเมลคนนั้นไปแล้ว คงไม่มีเวลามาสงสัยใครหรอก”
“เจ้าหนุ่มเมลที่ไหนกัน?”
“ก็นักบวชคนที่จะมาช่วยถอนคำสาปให้เจ้าหญิงแคธรีนนั่นแหละพ่ะย่ะค่ะ กายย์บอกว่าเขาเป็นอาจารย์ของนาง”
ราชาเอลเบอเรธทอดพระเนตรท่าทางหงุดหงิดของผู้เป็นเพื่อนแล้วอดแย้มสรวลไม่ได้
“อ๊ะ เจ้านี่ท่าจะเริ่มหวงน้องสาวขึ้นมาแล้วหรือไง”
“เปล่านะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแค่กลัวว่านางจะทำตัวไม่เหมาะสมต่างหาก” เจ้าชายกันนาร์ปฏิเสธไม่เต็มเสียง แล้วเลยเสเดินไปหยุดอยู่ริมหน้าต่างบานแคบที่มีอยู่เพียงสองบาน ทอดพระเนตรท้องฟ้าภายนอกที่เริ่มแปรเปลี่ยนจากสีครามเข้มเป็นสีส้มอมทอง ก่อนจะหันกลับมาส่งเสียงกระแอมแก้เก้อ
“เอ่อ...จวนมืดแล้ว อีกเดี๋ยวพวกนักบวชก็จะเข้ามาจุดไฟในวิหาร กระหม่อมขอตัวออกไปดูพวกเขาก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ตามใจเจ้าเถอะ”
ราชาหนุ่มทรงแสร้งทำเป็นไม่รู้เท่าทันการเปลี่ยนหัวข้อสนทนากะทันหันของผู้เป็นเพื่อน พระองค์ทอดพระเนตรดูเขาก้าวออกจากห้องไปโดยซ่อนรอยแย้มสรวลขบขันเอาไว้ในพระพักตร์ ...เจ้าบ้ากันนาร์หวงน้องสาวแล้วทำเป็นปากแข็งอยู่ได้ แบบนี้ก็ยิ่งทำให้พระองค์อยากจะเห็นหน้านักบวชผู้นั้นขึ้นมาน่ะสิ
กลิ่นหอมเย็นของสมุนไพรสมานแผล และสัมผัสจากมือนุ่มของสตรีที่แสนจะคุ้นเคย ทำให้คนที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงอดยิ้มออกมาไม่ได้ คงจะเป็นท่านแม่นั่นเอง ทุกครั้งที่เขาเจ็บตัว ท่านแม่จะคอยดูแลใส่ยาให้อย่างอ่อนโยนเสมอ ...แต่คราวนี้ท่านแม่ออกจะมือหนักไปหน่อยแฮะ
เด็กหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน มองเพดานห้องที่ไม่คุ้นเคย แล้วเลยกวาดสายตามองไปรอบห้อง
ไม่มีแม้แต่เงาของผู้เป็นมารดา...
เจ้าตัวผวาลุกขึ้นนั่งตัวตรงด้วยความตกใจ พยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ภาพคมดาบขาววับที่เจ้าชายแห่งทาเนียร์ตวัดฟันลงมาปรากฏชัดในสมอง เด็กหนุ่มเผลอยกมือขึ้นสัมผัสลำคอโดยไม่รู้ตัว
ไม่มีบาดแผล...
เจ้าตัวรีบก้มลงมองสำรวจร่างตนเองอย่างเร่งด่วน
ตามแขนขาและส่วนอื่นของร่างกายยังมีรอยฟกช้ำหลงเหลือให้เห็นอยู่หลายแห่ง หากก็เป็นเพียงรอยจางๆ เท่านั้น ดูเหมือนว่าบาดแผลส่วนใหญ่ของเขาจะได้รับการรักษาด้วยสมุนไพรและเวทมนตร์จนเกือบจะหายสนิทดีแล้ว
“ฟื้นแล้วหรือ?”
เสียงทุ้มนุ่มหูส่งคำถามมาจากมุมห้อง ชายแปลกหน้าเจ้าของเสียงกำลังง่วนอยู่กับการผสมอะไรสักอย่างลงในถ้วยชาร้อนกรุ่น
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นชายหนุ่มหน้าสวยผู้นี้มาก่อน
ใช่แล้ว!
พี่ชายคนนี้คือคนที่เข้ามารับดาบของเจ้าชายดิเร็กซ์เอาไว้ ก่อนที่มันจะฟาดลงมาบนตัวเขานั่นเอง
“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างน้องชาย เจ้าโดนสองคนนั้นเล่นงานหนักมากรู้มั้ย”
เจ้าของประโยคเดินตรงเข้ามาพร้อมถ้วยดินเผาในมือ
“เอ้า ดื่มนี่สักหน่อย มันจะช่วยรักษาอาการบอบช้ำภายใน ทำให้เจ้าหายเจ็บเร็วขึ้น” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
เด็กหนุ่มรับถ้วยใบน้อยมาถือไว้ ก้มลงมองดูน้ำสีเขียวขุ่นขลักในนั้นอย่างไม่ไว้ใจ
“ท่านเป็นหมอหรือ?”
ชายแปลกหน้าหัวเราะ
“เปล่า ...แต่ข้ารับรองว่านั่นไม่ใช่ยาพิษ เจ้าดื่มให้หมดแล้วกัน”
พูดแล้วเขาก็ตวัดเสื้อคลุมเดินทางขึ้นสวม คว้าห่อสัมภาระบนพื้นขึ้นพาดไหล่ เดินดุ่มไปที่ประตู ทว่าก่อนจะออกไปพ้นจากห้องยังมีแก่ใจหันมาบอก
“เจ้าถูกเจ้าของบ้านพักไล่ออกแล้วนะน้องชาย ข้าวของของเจ้าอยู่ในห่อผ้าบนโต๊ะนั่น ถ้าดื่มยาหมดแล้วเจ้าจะนอนต่ออีกหน่อยก็ได้ นี่เป็นห้องพักที่ข้าเช่าไว้เอง เจ้าอยู่ได้จนถึงราวๆ เที่ยง แต่ข้ามีธุระต้องรีบออกเดินทางต่อ ขอโทษด้วยที่อยู่ดูแลเจ้าไม่ได้ ถ้าลุกไหวเมื่อไหร่เจ้าก็หาทางกลับบ้านเอาเองแล้วกัน ข้าไปละ”
“เดี๋ยวก่อน...”
เด็กหนุ่มวางถ้วยยาที่ยังไม่ได้จิบแม้แต่อึกเดียวลงบนโต๊ะข้างเตียง คว้าห่อผ้าสีมอๆ จากโต๊ะตัวเดียวกันมากำไว้แน่น ก่อนผลุนผลันกระโดดลงสู่พื้น ก้าวตามหลังชายผู้นั้นไปติดๆ
“ข้าจะไปกับท่านด้วย” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ท่าทางบอกชัดว่าเอาจริง ไม่ได้พูดเล่น
เมลิอานาร์มีสีหน้าลำบากใจ
“จะไปกับข้า... เจ้ารู้หรือว่าข้ากำลังจะไปที่ไหน”
“ไม่รู้ แต่ข้าติดหนี้ท่านพี่ชาย ข้าต้องชดใช้”
“ไม่ต้องหรอกหนุ่มน้อย ข้าไม่ได้ช่วยเพราะหวังสิ่งตอบแทนจากเจ้า ถ้าหายดีแล้วเจ้าก็รีบกลับบ้านไปเสียเถอะ”
“ท่านกลัวว่าข้าจะขโมยม้าของท่านหรือไง” เด็กหนุ่มถามโพล่งออกมาด้วยดวงตาวาววับ ท่าทางถือดีอย่างเดิมหวนกลับมาอีกครั้ง หากเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่โต้ตอบ เขาก็พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย
“ม้าตัวนั้น ตัวที่ท่านเห็น มันเคยเป็นของข้ามาก่อนจริงๆ นะ แต่ถูกพวกโจรขโมยม้ามันขโมยไป พอข้าได้เจอมันเข้าอีกครั้ง ก็แค่พยายามจะเอามันคืนมาเท่านั้น”
เมลิอานาร์มองสบดวงตาสีน้ำตาลคมกล้า ที่ฉายแววมุ่งมั่นอย่างคนตัดสินใจเด็ดขาดของผู้พูดแล้ว ได้แต่โคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ
“เจ้าชื่ออะไร”
“ซิส...”
“เอาละซิส บ้านของเจ้าอยู่ที่ไหน ข้าจะ..”
“วูดแลนด์”
เมลิอานาร์ชะงักก่อนถอนหายใจเฮือก นางลังเลอยู่เพียงอึดใจเดียวก็จำต้องพยักหน้า
“เอ้า ก็ได้ ข้าจะให้เจ้าติดตามไปด้วย แต่พอไปถึงลินเด็น เราก็ต่างคนต่างไป เข้าใจมั้ย”
ซิสยิ้มกว้างอย่างยินดี หากไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนอแบบไม่เต็มใจของอีกฝ่ายแม้แต่คำเดียว
angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ก.พ. 2556, 08:46:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.พ. 2556, 08:55:17 น.
จำนวนการเข้าชม : 1745
<< ตอนที่ 3 | ตอนที่ 5 >> |
ชลวารี 1 ก.พ. 2556, 12:17:25 น.
ชอบเรื่องนี้นะคะ จะตามอ่านนะคะ ช่วยแต่งให้จบนะคะ ไม่อยากค้างเลย ใครเป็นพระเอกนะ องค์ราชาหรือเปล่า
มาต่อเร็วๆ นะคะ
ชอบเรื่องนี้นะคะ จะตามอ่านนะคะ ช่วยแต่งให้จบนะคะ ไม่อยากค้างเลย ใครเป็นพระเอกนะ องค์ราชาหรือเปล่า
มาต่อเร็วๆ นะคะ
angelK 3 ก.พ. 2556, 06:59:22 น.
อ่านคอมเม้นท์ของคุณชลวารีแล้วเหมือนถูกชนักพุ่งมาปักหลังดัง 'ฉึก' เอาเป็นว่าจะพยายามแต่งให้จบนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
คุณชลวารีเดาถูกแล้วค่ะ องค์ราชาเป็นพระเอก ฝากเอ็นดูพระเอกตาดำๆ คนนี้ด้วยนะคะ
อ่านคอมเม้นท์ของคุณชลวารีแล้วเหมือนถูกชนักพุ่งมาปักหลังดัง 'ฉึก' เอาเป็นว่าจะพยายามแต่งให้จบนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
คุณชลวารีเดาถูกแล้วค่ะ องค์ราชาเป็นพระเอก ฝากเอ็นดูพระเอกตาดำๆ คนนี้ด้วยนะคะ
Amarilys 1 ธ.ค. 2556, 03:58:01 น.
กำลังไล่อ่านอย่างจริงจัง และเห็นด้วยกับคุณชลวารีนะคะ ชอบเรื่องนี้ แล้วก็อยากอ่านจนจบค่ะ ที่ไม่เม้นท์ก่อนนี้เพราะกะว่าจะไปเม้นท์ทีตอนล่าสุดทีเดียว สู้นะคะ
กำลังไล่อ่านอย่างจริงจัง และเห็นด้วยกับคุณชลวารีนะคะ ชอบเรื่องนี้ แล้วก็อยากอ่านจนจบค่ะ ที่ไม่เม้นท์ก่อนนี้เพราะกะว่าจะไปเม้นท์ทีตอนล่าสุดทีเดียว สู้นะคะ