บ่วงรักแรงอธิษฐาน
รักในปัจจุบันผูกพันกับรักที่ปวดร้าวในอดีตชาติ
คำอธิษฐานและบุพเพสันนิวาสนำเขาและเธอกลับมาพบกันอีกครั้ง
แต่จะทำเช่นไรเมื่อหนึ่งคือเพื่อนรักที่ยอมสละชีพเพื่อเราและหนึ่งคือยอดดวงใจที่เฝ้ารักเฝ้ารอมาหลายภพชาติ
Tags: ย้อนอดีต ระลึกชาติ บุพเพสันนิวาส

ตอน: ตอนที่ 13 การกลับมาของเพื่อนเก่า



แดดร่มลมตกแล้ว ร่มเงาจากต้นไม้น้อยใหญ่ช่วยไม่ให้บ่าวในบ้านท่านเจ้าคุณที่กำลังวิดปลากันอยู่อย่างขะมักเขม้นต้องโดนแดดเผามากนัก กระนั้นเวลากว่าครึ่งค่อนวันที่ต้องช่วยกันวิดน้ำออกจากสระก็ทำให้ต่างต้องอ่อนล้าไปตามๆ กัน ถึงจะมีเครื่องทุ่นแรง เช่นระหัดวิดน้ำ และรางน้ำที่ทอดยาวจากขอบสระไปสู่ท้องร่องด้านนอก หรือรอกสำหรับส่งถังน้ำอยู่ก็ตาม หากแต่เป็นความเหนื่อยล้าที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานเฮฮา หยอกเย้ากันไปจับปลากันไป ร้องรำทำเพลงกันไปสร้างบรรยากาศให้ครึกครื้นจนเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว

สระขนาดใหญ่แห่งนี้ไม่ได้รับการเอาใจใส่มานานจนเต็มไปด้วยสาหร่ายและจอกแหน รวมถึงฝูงปลานานาชนิดทั้งตัวเล็กตัวน้อยจนถึงตัวใหญ่ขนาดอุ้มแทบไม่ไหวกันทีเดียว ท่านเจ้าคุณท่านอยากจะรื้อทำเสียใหม่จะได้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจเพิ่มขึ้นอีกแห่งหนึ่ง จึงเป็นที่มาของการวิดน้ำจับปลาในวันนี้

ปลามากมายถูกจับขึ้นมาพักเรียงรายไว้ในอ่างเตรียมขนไปไว้ที่เรือน คงไม่ต้องออกหาปลากันไปอีกหลายวันเลยทีเดียว เพราะมีปลาสดๆ สำหรับทำครัวเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว คัดปลาตัวโตแยกไว้ต่างหาก ส่วนปลาตัวเล็กหรือปลาที่ตายแล้วยังสามารถหมักเกลือตากแห้งเก็บไว้กินได้อีกนาน เวลาก่อนพลบค่ำวันนี้จับปลาส่วนที่ยังเหลือให้หมดเพื่อวันพรุ่งนี้จะได้ขุดลอกเสียใหม่ให้เรียบร้อยสวยงาม

“วันนี้เนื้ออ่อนอยู่บ้านคนเดียว คงเหงาแย่เลยนะมะปราง”
“ไม่เหงาหรอกน่าพี่กล้า” มะปรางบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะจะเป็นห่วงอะไรกันนักกันหนาก็ไม่รู้คู่นี้
“ไม่เหงายังไงล่ะ ต้องอยู่คนเดียวเพื่อนเล่นก็ไม่มีนะ” บ่นพลางสายตาก็มองสำรวจพร้อมสองมือที่ค่อยๆ งมอย่างละเอียดอยู่ในโคลนที่ลึกท่วมหัวเข่า และแล้วก็ต้องอุทานหน้าตาตื่น

“อุ๊ยๆ ไปแล้วๆ ปลาช่อนตัวเบ้อเริ่มเลย” ปลาตัวนั้นดิ้นพรวดๆ ตะกายโคลนไปทางใครบางคนที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆใครสักคนที่ตั้งหน้าตั้งตาจับปลามาทั้งบ่ายอย่างไม่ค่อยชำนาญนัก ใครสักคนที่มีผิวพรรณผุดผ่องแตกต่างจากทุกคน เรียวขางามแช่โคลนเลอะเทอะไปจนเลยเข่า

“ว้าย” เสียงใสๆ ร้องอุทานด้วยความตกใจที่ปลามันพุ่งตรงมาหาตัวอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ใช่แค่ปลายังมีมือของชายหนุ่มที่พุ่งตามมาติดๆ เมื่อได้ยินเสียงร้องเขาต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย เสียงใสเมื่อสักครู่ ใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังผ่าแพรที่มองเห็นเพียงดวงตาใส่แป๋วคู่นั้นดูคุ้นเคยนัก ตางามฉายแววขี้เล่นระคนดีใจแว่บ หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆก้มลงใช้สองมืองมลงไปบริเวณใกล้หัวเข่า
“จับได้แล้ว นี่ๆๆ” สองมือชูปลาช่อนตัวโตที่จับไว้มั่นอวดให้ทุกคนดูเป็นขวัญตา แล้วชายผ้าแพรที่ใช้คลุมหน้าไว้ก็หลุดออก
“อ้าว เนื้ออ่อนมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็มาตั้งนานแล้วละ” หัวเราะชอบใจที่แอบมาจับปลาช่วยทั้งบ่ายโดยไม่มีใครรู้ มีเพียงพี่มะปรางที่ช่วยปิดเป็นความลับอย่างดีแม้แต่พี่กล้าก็ไม่ได้ปริปากบอก

“คุณหนู ตายแล้ว... ทำไมแอบมาเล่นแบบนี้คะเนี่ย นี่ถ้าเจ้าคุณพ่อรู้เข้ามีหวังเอาป้าสีนวลตายแน่ๆ เลยนะคะ โอยจะเป็นลม” แม่สีนวลลมจะจับเสียให้ได้เมื่อนึกถึงเสียงดุๆ แบบเย็นชาของท่านเจ้าคุณ
“ก็ไม่ต้องให้เจ้าคุณพ่อรู้สิคะป้านวล” คนแก้มใสจัดการเก็บปลาตัวโตใส่ในกระชังพลางหันไปกำชับแม่สีนวลและทุกคนเอาไว้จะได้ไม่ต้องเดือดร้อน ก็ถ้าไม่มีใครบอกแล้วเจ้าคุณพ่อจะรู้ได้ยังไงกันล่ะ พลันเหลือบไปเห็นพี่กล้าที่ยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ
“ยิ้มแป้นเชียวนะ นี่แน่ะหมั่นไส้นัก” มือเลอะโคลนป้ายแหมะที่สองแก้มคนตัวโต หัวเราะคิกคักชอบใจ ไหนๆ ก็โดนจับได้แล้วก็ต้องเล่นเสียให้คุ้ม พี่กล้านี่แหละน่าแกล้งที่สุดแล้ว
“อ้าวเนื้ออ่อนเลอะหมดเลย แบบนี้มันก็ต้องโดน มาให้ทาแป้งซะดีๆ”
“ว้าย!” แล้วคนขี้แกล้งก็ต้องวิ่งลุยโคลนพาแก้มใสๆ หนีไปให้ไกลรัศมีมือปีศาจของพี่กล้าอย่างทุลักทุเล วิ่งซุกหลังคนโน้นที คนนี้ที ท่ามกลางเสียงหัวเราะของบรรดาบ่าวในบ้าน



เพ็ญเดือนสิบสอง วันนี้เป็นวันลอยกระทงซึ่งท่านเจ้าคุณได้จัดให้บ่าวในบ้านลอยกันในสระที่เพิ่งขุดลอกทำใหม่เมื่อเดือนที่ผ่านมาและได้ตกแต่งบริเวณให้ร่มรื่นสวยงามเรียบร้อยแล้ว อนุญาตให้มีการกินเลี้ยงกันเล็กน้อยเมื่อตอนหัวค่ำ กระทั่งเวลาประมาณสองทุ่มเศษทุกคนก็แยกย้ายเข้าเรือน

“เนื้ออ่อน”
เสียงตะโกนเรียกเบาๆ ทำให้สาวน้อยชะโงกศีรษะผ่านผ้าม่านหน้าต่างออกไป เหลียวซ้ายแลขวาอย่างลุ้นระทึกนิดๆ แต่ก็ไม่เห็นจะมีใคร
“เนื้ออ่อน..ทางนี้..” อ้อ..ยืนกวักมือไวไวอยู่ใต้ต้นมะม่วงข้างบ้านนี่เอง คนแก้มใสฉีกยิ้มกว้างทว่าไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เป็นการตอบรับแบบ ‘เงียบๆ นะเดี๋ยวเจ้าคุณพ่อตื่น’ คนข้างล่างรีบเอาบันไดไม้ไผ่มาพาดที่ขอบหน้าต่างพลางตั้งท่าจับไว้มั่นคง เงยหน้ากวักมือเป็นสัญญาณว่า ‘ลงมาได้แล้ว’ โดยมีอีกคนคอยดูต้นทางอยู่ใกล้ๆ

“ปีนขึ้นมารับด้วย เนื้ออ่อนไม่กล้าลงเนื้ออ่อนกลัว” คนข้างบนตะโกนบอกไม่มีเสียงแต่อ่านจากปากก็พอรู้ว่าเธอไม่กล้าปีนลงมาคนเดียว เห็นทีพี่กล้าจะต้องปีนขึ้นไปรับเสียแล้ว หันไปกวักมือเรียกมะปรางให้มาทำหน้าที่จับบันได ก่อนจะค่อยๆ ปีนขึ้นไปทีละขั้น..ทีละขั้น..อย่างเงียบๆ

“ก้าวข้ามมา ระวังนะ”ขึ้นไปยืนเกาะขอบหน้าต่างส่งสัญญาณมือให้อีกฝ่ายก้าวข้ามมาจะรอรับอยู่ตรงนี้ ร่างบางๆ ในชุดจงกระเบนสีน้ำเงินทะมัดทะแมงสวมเสื้อแขนตุ๊กตาสีฟ้าพอดีตัวค่อยๆ ปีนข้ามขอบหน้าต่าง โดยมีพี่กล้าคอยพยุงอยู่ไม่ห่างอย่างระมัดระวัง บันไดแคบจนต้องก้าวลงมาอีกขั้นใช้ขาและหัวเข่าช่วยยึดมั่นกับบันได มือหนาค่อยๆ รวบเอวบางๆ พยุงให้ยืนอย่างมั่นคงให้ได้ก่อน ก่อนจะลดขั้นของตัวเองลงมาทำหน้าที่เป็นราวบันไดให้คนขี้กลัวแต่อยากจะหนีเที่ยวได้เกาะยึด กลิ่นหอมอ่อนๆ ของวัยสาวแตะจมูกแผ่วเบา ปีนี้เนื้ออ่อนเป็นสาวแล้ว ในทุกๆ สัมผัส กล้ารู้สึกได้ว่าทุกอย่างในตัวของเนื้ออ่อนไม่เหมือนทุกอย่างในตัวของเด็กน้อยที่เขาเคยอุ้มเล่นตลอดมาอีกแล้ว
“ระวังนะ เดี๋ยวตกลงไปจะซวยกันหมด”



คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงงดงามนัก ท้องฟ้าโปร่งหมู่ดาวมากมายแข่งกันอวดแสงระยับ รับกับแสงเทียนในกระทงที่ลอยเต็มผืนน้ำพาให้ค่ำคืนนี้ดูสว่างไสวมีชีวิตชีวา ว่ากันว่าประเพณีลอยกระทงเป็นการบูชาสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา เราทุกคนล้วนเกี่ยวข้องกับน้ำตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ได้ดื่มได้ใช้ได้อาบ ได้กระทำกิจอันอาจเป็นการลบหลู่ต่อพระแม่คงคา โบราณจึงกำหนดให้มีหนึ่งวันที่เราจะได้นำดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้ขอขมาเพื่อเป็น สิริมงคลกับชีวิต เป็นกุศลโลบายสอนให้ชนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงการรู้จักขออภัย และรู้จักสำนึกในคำว่า ‘บุญคุณ’

สามหนุ่มสาวที่ลงทุนช่วยกันปีนหน้าต่างออกมาเที่ยว นั่งดูความเป็นไปของประเพณีที่งดงามนี้อยู่ไกลๆ ชาวบ้านต่างประดิดประดอยกระทงอย่างสุดฝีมือเพื่อค่ำคืนอันแสนพิเศษนี้ โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่มากันเป็นคู่ๆ บ้างก็ใช้ใบตองหรือกลีบบัวพับจีบให้สวยงามปักรอบๆ ต้นกล้วยขนาดกำลังดีที่ตัดตามขวางให้มีความสูงสักประมาณหนึ่งฝ่ามือเพื่อเป็นทุ่นให้กระทงลอยอยู่ได้โดยไม่จม บ้างก็ใช้ดอกไม้สดจัดเป็นพุ่มให้สวยงาม บรรจงจุดธูปเทียนและปล่อยกระทงให้ลอยเคียงคู่กันไปไกลแสนไกล บ้างก็อธิษฐานขอพรจากพระแม่คงคา ‘ขอให้เราได้เคียงคู่กันอย่างนี้ตลอดไปด้วยเถิด’ เด็กๆ ที่เพียงต้องการเล่นสนุกสนานก็อาจใช้แค่ท่อนต้นกล้วยทำเป็นแพขนาดเล็กปักดอกไม้ธูปเทียน เท่านั้นก็สามารถสร้างรอยยิ้มและมีส่วนร่วมในประเพณีที่สำคัญนี้ได้แล้ว

“เราไม่ลงไปลอยกระทงกับเขาเหรอเนื้ออ่อน” ชายหนุ่มเอ่ยปากทำลายความเงียบหลังจากนั่งมองเฉยๆ กันอยู่นาน แม้จะนั่งไกลจากท่าน้ำแต่แสงสว่างจากกระทงจำนวนมากก็ทำให้กล้ารู้สึกได้ถึงแววตาเปี่ยมสุขของสาวน้อยแก้มใสคนนี้ ใบหน้างามฉาบไว้ด้วยรอยยิ้ม ดวงตากลมโตสะท้อนแสงไฟเป็นประกายระยิบ
“ไม่ดีกว่า เนื้ออ่อนชอบนั่งดูไกลๆ แบบนี้มากกว่า สวยดี”
“อืม สวยดีนะ” แก้มอิ่มเนียนใส ปากเล็กๆ สีชมพูจิ้มลิ้ม ดวงตาที่งดงามดังดวงดาว ทำให้เขาเผลอหลุดปากออกไปแผ่วเบา ทว่าคนฟังคงไม่ทันได้รู้สึกอะไร เพียงหันมาสบตาและบอกกับพี่กล้าของเธอเบาๆ
“พี่กล้าจะไปลอยก็ได้นะ เนื้ออ่อนจะนั่งรออยู่ตรงนี้”
“เนื้ออ่อนไม่ลอยแล้วพี่จะลอยกับใครล่ะ”
“พี่มะปรางไง”
“นั่งดูเฉยๆดีกว่า” กล้าบอกยิ้มๆ
“มะปรางทำกระทงมาแล้วนะ สามอันพอดีเลย” ปลายเสียงของคนที่อยู่นอกสายตาแผ่วลง นี่ใช่อารมณ์น้อยใจหรือไม่ เจ้าตัวเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่...เพราะคิดว่าจะมาลอยกระทงกัน จึงเตรียมมาให้พร้อมตามประสาคนเป็นบ่าว แต่ถ้า..ไม่มีใครสนใจจะทิ้งไปเสียก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

“งั้น ไปลอยกระทงกันนะ” แล้วน้ำเสียงใสๆ ก็พาให้โลกสวยอีกครั้ง
“อธิษฐานอะไรเหรอ?” ชายหนุ่มอดจะสงสัยไม่ได้เมื่อเห็นคนที่ไม่อยากจะมาลอยกระทงสักเท่าไหร่แต่หลับตาอธิษฐานเสียตั้งนานสองนาน
“ไม่บอก แล้วพี่กล้าล่ะ”
“ขอให้เราได้อยู่กันอย่างนี้นานๆ...”
บางครั้งคำพูดที่หลายคนเห็นว่าน้ำเน่าที่สุดกลับตรงใจเราที่สุด แต่พูดแล้วก็รู้สึกขัดเขินเสียเองจนต้องหันมาทางมะปรางที่นั่งอีกข้างและกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการปล่อยกระทงแล้ว
“มะปรางล่ะจ๊ะ”
“มะปราง... ไม่ได้อธิษฐานอะไร...”



แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนเรือนบ่าวหลังเล็ก เป็นเหมือนเปลวเทียนที่ทำให้ชายหนุ่มซึ่งกำลังนอนกระสับกระส่ายอย่างไม่มีท่าทีว่าจะข่มตาหลับลงไปได้ง่ายๆ เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจของตัวเองลางๆ บางอย่างที่อาจเกิดขึ้นและซุกตัวอยู่ภายใต้ความรักและเอ็นดูที่มีต่อน้องสาวตัวเล็กๆ อย่างเงียบๆ ลำพังเสมอมา

ดวงหน้างาม ดวงตากลมโตล่อแสงเทียนเป็นประกายระยิบเมื่อตอนค่ำยังวนเวียนอยู่ในความรู้สึก ปากชมพูจิ้มลิ้มยิ้มพรายส่งให้สองแก้มปลั่งน่าพิศชวนมอง สัมผัสนุ่มนิ่มกลิ่นกายละมุนรัญจวนใจเป็นความรู้สึกใหม่ที่เกิดขึ้นและชวนหลงใหลจนไม่อยากให้จางหายไปจากความทรงจำ เสียงใสๆ ที่เอื้อนเอ่ยก็ช่างหวานหูชวนฟัง ยามกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูรู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกกำลังจะหยุดหมุน อยากมีเพียงเราสองคนอยู่เคียงข้างอย่างนี้ตลอดไป...

เวิ้งฟ้าดาราพราย ระยิบรายร้อยรวงเรียง
ปราณีตวิจิตรเพียง สักเสี้ยวหนึ่งซึ่งน้องงาม
แก้มอิ่มที่พริ้มพรัก ช่างน่ารักชวนไหวหวาม
แย้มยิ้มพริ้มตางาม พาใจพี่กระเจิงกระจาย
กายกรุ่นเมื่อใกล้กลิ่น ยุพาพินพี่ใคร่หมาย
เกี่ยวก้อยเจ้ากลอยกาย มิคลายคลาดสักชาติเดียว



“คุณหนูเจ้าคะ เจ้าคุณพ่อให้หาที่หน้าเรือนเจ้าค่ะ”
แม่สีนวลคนเดิมเดินกึ่งวิ่งมาบอก ขณะที่เนื้ออ่อนกำลังฝึกทำขนมอยู่กับบ่าวในบ้านสองสามคนที่สวนหลังเรือน เวลาขณะนี้คงราวบ่ายโมงเห็นจะได้ ท่านเจ้าคุณได้ปรับปรุงให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ปรับพื้นให้เป็นสนามหญ้า ปลูกไม้ดอกไม้ประดับไว้ประปรายพอร่มรื่นสวยงาม

วันนี้สาวน้อยอยู่ในชุดผ้าจีบสีชมพู เสื้อแขนกระบอกพอดีตัวและห่มสไบเฉียงสีเดียวกัน ส่งให้ผิวขาวนวลเนียนดูเปล่งปลั่งชวนมองยิ่งขึ้น ผมยาวสลวยถูกรวบและมวยไว้หลวมๆ ที่ด้านหลังเผยต้นคองามระหง ฟักทองลูกใหญ่คว้านเมล็ดแล้ววางอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ย ซึ่งตั้งอยู่บนเสื่อกกผืนใหญ่ที่นั่งของเธอ บ่าวคนหนึ่งกำลังก่อไฟควันโขมงอยู่ไม่ไกล อีกคนหนึ่งกำลังตีไข่จนเป็นฟองฟอด และอีกคนกำลังขูดมะพร้าว ประเมินจากสถานการณ์แล้วขนมหวานวันนี้คงจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก...สังขยาฟักทอง

“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะป้าสีนวล” สาวน้อยแก้มใสละมือจากการเตรียมส่วนประกอบ ก่อนจะจุ่มมือเรียวลงล้างที่ขันเงินใบใหญ่ด้านข้าง และลุกขึ้นเดินไปพบเจ้าคุณพ่อ
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ป้าเห็นมีแขกมานะเจ้าคะ แขกคนสำคัญเสียด้วย”
“แขก..ใครกันเหรอ?” ดวงหน้างามมีแววครุ่นคิด เดินพลางซับมือกับชายผ้าจีบไปพลาง
“อุ๊ย! ตายแล้ว ใช้ผ้าเช็ดมือสิเจ้าคะ เดี๋ยวคุณหญิงท่านมาเห็นเข้าละก็โดนเอ็ดแน่ๆ เลยเจ้าค่ะ”
“ก็อย่าให้คุณแม่เห็นสิคะป้านวล” หัวเราะคิกคักก่อนจะวิ่งปร๋อออกไป
“จริงๆ เลย..คุณหนู”


“อ้าวแม่เนื้ออ่อนมาพอดี มานั่งนี่สิลูก ไหว้เจ้าคุณลุง แล้วนี่ก็พี่ต้น”
วันนี้ท่านเจ้าคุณอยู่ในชุดสบายๆ เหมือนเคย เสื้อทรงกระบอกแขนสั้นสีครีม กางเกงแพรสีแดงเลือดนกไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อนว่าท่านเจ้าคุณฟ้าฟื้นสหายรักจะมาเยือนถึงเรือนจึงไม่ได้เตรียมการต้อนรับให้สมกับความเป็นคนพิเศษและความคิดถึง ส่วนแขกผู้มาเยือนทั้งสองแต่งตัวเรียบร้อยภูมิฐานสมฐานะ หน้าตาสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลา ไว้ผมทรงมหาดไทย นุ่งผ้าม่วงสวมเสื้อราชปะแตน รองเท้าหนังหุ้มส้นและถุงเท้ายาวเพียงแข้ง คุณหญิงรำไพออกไปธุระที่ในเมืองจึงไม่ได้อยู่ต้อนรับแขกคนสำคัญ

“กราบเจ้าคุณลุงเจ้าค่ะ” ร่างบางทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ที่ม้ายาวตัวเดียวกับเจ้าคุณพ่อ ส่งยิ้มทักทายก่อนจะพนมมือไหว้เจ้าคุณลุงและชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า ‘พี่ต้น’ อย่างนอบน้อม จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเล่นด้วยกันมาก่อนเมื่อครั้งยังเล็ก พี่ต้นรับไหว้ ใบหน้าคมเข้มทว่าดูอ่อนโยนยิ้มรับด้วยแววตาที่แสดงถึงความยินดีอย่างเปิดเผย จนหญิงสาวต้องหลบสายตาไปทางอื่น

“นี่เจ้าตัวเล็กที่เคยวิ่งเล่นกันเมื่อหลายปีก่อนขอรับ เผลอแป๊บเดียวลูกๆ โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว”
“โตเร็วเหมือนกันนะหนูเนื้ออ่อน ดูซิเป็นสาวแล้วสวยเหมือนแม่ไม่มีผิดเลย”
“........” ‘แฮะๆ ยิ้มหวานเข้าไว้เนื้ออ่อน ก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไงนี่นา’

“จำพี่ต้นได้ไหมลูก เดี๋ยวนี้พี่เขาโตเป็นหนุ่มแล้ว แถมหล่อเหมือนพ่อเสียด้วย ฮ่าๆๆ” เจ้าคุณลุงเอื้อมมือไปโอบหัวไหล่คนรูปหล่อเหมือนพ่อที่นั่งทำหน้าตากรุ้มกริ่มอยู่บนม้านั่งยาวตัวเดียวกัน ตั้งคำถามเป็นการแนะนำกลายๆ สาวน้อยจำได้ว่าเขาคือพี่ต้นที่เคยเล่นกันเมื่อตอนยังเด็ก ก่อนที่เจ้าคุณลุงจะย้ายไปประจำที่อื่น

“อ๋อ จำได้เจ้าค่ะ พี่ต้นยังเคยปีนเก็บมะม่วงให้เนื้ออ่อนอยู่เลย โดนมดแดงรุมกัดจนหนีลงมาแทบไม่ทันแน่ะเจ้าค่ะ...แต่ตอนนี้พี่ต้นโตเป็นหนุ่มแล้ว...” ปลายเสียงแผ่วลง ประหนึ่งว่าความเป็นหนุ่มทำให้รู้สึกไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ปรายตาไปทางชายหนุ่มที่เอาแต่มองตาไม่กระพริบแวบหนึ่ง รู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย ก็ไม่เคยมีใครมาจ้องอย่างเสียมารยาทขนาดนี้มาก่อนเลยนี่นา ถึงจะเคยรู้จักกันก็เถอะ

“ฮ่ะๆๆ จำได้จริงๆ ด้วย ไม่ได้เจอกันเสียนานพี่เขาบ่นคิดถึงหนูเนื้ออ่อน ลุงเลยหาโอกาสพามาเยี่ยมน่ะ ต้องขอโทษจริงๆ ที่ไม่ได้บอกเอาไว้ล่วงหน้า แต่ไหนๆ ก็มาแล้วกะว่าจะอยู่รบกวนมื้อเย็นด้วยเลยละกัน ประหยัดข้าวที่บ้านไปมื้อ หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะสะดวกรึเปล่านะ...”

“รบกวนอะไรกันท่านเจ้าคุณ คนกันเองแท้ๆ ดีเสียอีกจะได้มีโอกาสคุยกันนานๆ ใช่ไหมลูกเนื้ออ่อน”
ท่านเจ้าคุณเอื้อมแขนกำยำมาโอบไหล่มนของลูกสาวก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะระคนเอ็นดู
“ดีจังเลยเจ้าค่ะ งั้นเนื้ออ่อนขอตัวไปเตรียมมื้อเย็นนะเจ้าคะ กำลังทำสังขยาฟักทองอยู่ด้วย พอดีจะได้ให้เจ้าคุณลุง กับพี่ต้นช่วยชิมด้วยไงเจ้าคะ”
“อ้อๆ ดีๆ ตามสบายนะหนูเนื้ออ่อนนะ แต่ไม่ต้องเรียกเจ้าคุณลุงทุกคำก็ได้มันฟังดูห่างเหินๆ ยังไงชอบกล เรียกคุณลุงเฉยๆ จะดีกว่านะ ” สาวน้อยยิ้มหวานน้อมตัวอย่างรับทราบ

“วันหน้า พี่ขอแวะมาหาน้องเนื้ออ่อนบ้างจะได้ไหมจ๊ะ เอ่อ...นะขอรับเจ้าคุณอา” คำถามสุดท้ายหันไปทางเจ้าคุณอาเจ้าของเรือนซึ่งไม่มีท่าทีรังเกียจแต่ประการใด
“เอาสิๆ ตามสบายเถอะคนกันเองไม่ต้องเกรงใจ”
“เดี๋ยวๆ ลูก ปกติแล้วคำพูดนี้เขาเก็บไว้พูดตอนก่อนจะลากลับนะลูกไม่ใช่พูดตอนเริ่มต้นแบบนี้ ” พูดพลางหัวเราะพลางในความไม่ประสีประสาของลูกชาย ท่านเจ้าคุณเฟื่องพลอยหัวเราะงอหายไปด้วย

“เอ้าๆ ตามสบายๆ ใช้ตอนไหนก็ได้ งั้นพ่อต้นก็ตามไปช่วยแม่เนื้ออ่อนเตรียมมื้อเย็นก็ได้นะ จะได้คุยกัน ทางนี้ก็จะคุยกันตามประสาคนแก่บ้าง ตามสบายนะ”
“ขอรับคุณอา” แววยินดีฉาบพรายเต็มใบหน้าหนุ่ม ก่อนจะน้อมกายลุกเดินตามหลังเนื้ออ่อนไปเงียบๆ


“เอ่อ.. เนื้ออ่อนมีอะไรให้พี่ต้นช่วยก็บอกได้เลยนะจ๊ะ พี่ต้นนะช่วยคุณแม่ทำกับข้าวบ่อยๆ หลายคนยังเคยชมว่าอร่อยเลย” พูดพลางเยื้องย่างตามร่างเพรียวสองมือคอยเกี่ยวกำบังกิ่งไม้ที่อาจจะดีดลูกตาได้ถ้าไม่คอยระวังให้ดี เดินลัดเลาะสุมทุมพุ่มไม้สักพักก็มาถึงสนามหญ้าที่บ่าวทั้งหลายกำลังกุลีกุจอทำขนมกันอยู่ สาวน้อยจึงหันมายิ้มหวานอย่างนึกว่าจะให้พี่ต้นช่วยทำอะไรดีนะ จึงจะสมเกียรติพ่อครัวคนเก่งแห่งบ้านท่านเจ้าคุณฟ้าฟื้นผู้เป็นบิดา

“ไหนล่ะจ๊ะมีอะไรให้พี่ต้นช่วยบอกมาเลยจ้ะ” ยังคงถามย้ำทำหน้าตายินดีนำเสนออย่างยิ่งจนคนบางคนนึกอยากแกล้งขึ้นมา ตงิดๆ
“งั้น..พี่ต้นช่วยดูเตาไฟก็แล้วกันนะเจ้าคะ คอยเติมไฟอย่าให้มอดได้ล่ะ ทำได้ใช่ไหมเจ้าคะ”
“หือ.. ได้แน่นอนจ้ะแค่นี้เองสบายมากอยู่แล้ว อ้อไม่ต้องเจ้าค่ะก็ได้นะจ๊ะ แค่..ค่ะ ก็พอนะ” ว่าแล้วก็นั่งลงบนตั่งตัวเตี้ยใกล้ๆ เตาไฟแทนบ่าว คอยดูไม่ให้ไฟมอดตามคำบัญชาและหันมาโปรยยิ้มพิมพ์ใจเป็นระยะ เป็นหน้าที่อันสมเกียรติมาก ร้อนแรงและทรงพลัง ชายหนุ่มหน้าตาหมดจดแต่งตัวสะอาดสะอ้านนุ่งผ้าม่วงสวมเสื้อราชปะแตน แต่มานั่งเฝ้าเตาไฟดูน่าขันนัก สาวน้อยเดินอมยิ้มมาทรุดตัวลงนั่งที่เดิม แม้ไม่ได้หันหน้าชนกันแต่สัญชาตญาณหญิงก็บอกให้รู้ว่าพี่ต้นแอบมองอยู่เป็นระยะ

“เดี๋ยวทำขนมเสร็จแล้วเนื้ออ่อนยังมีอย่างอื่นให้พี่ต้นช่วยทำอีกนะเจ้าคะ”
“คะ...จ้ะ” ต้นหันมาย้ำชัดเจนอีกครั้ง เพื่อความใกล้ชิดสนิทสนมให้ลดคำว่า เจ้าคะ เหลือเพียง คะ คำเดียวก็พอ


“ฮ้าด...ชิ้ว!”
ภาพชายหนุ่มลูกผู้ดีที่เพิ่งช่วยบ่าวเติมไฟใกล้ๆ หม้อนึ่งขนมจนใบหน้าสะอาดสะอ้านเริ่มจะมีรอยเขม่าติดเป็นริ้วๆ ตอนนี้กำลังหลับหูหลับตาตำพริกป่นอย่างเมามัน พริกแห้งผ่านการคั่วด้วยไฟที่ร้อนกำลังดี กรอบจนสามารถแหลกละเอียดเป็นผงเพียงปลายนิ้วบี้เบาๆ เท่านั้น แต่มันเยอะจนต้องหามือตำระดับพระกาฬมาช่วยตำ ลำพังสาวๆ ตำเองก็คงต้องน้ำมูกน้ำตาไหลไปตามๆ กัน แต่...ถ้าเป็นชายชาตรีอย่างพี่ต้นเห็นทีจะไม่เป็นไรสักเท่าไหร่กระมัง

คนแก้มใสต้องคอยกลั้นหายใจเข้ามาซับน้ำตาลูกผู้ชายที่ไหลรินเป็นระยะ แต่พี่ต้นก็ยังยินดีรับใช้เต็มใจบริการน้องเนื้ออ่อนเสมอ บ่าวที่นั่งมองอยู่ห่างๆ ก็พลอยหัวเราะคิกคักไปด้วย เวลาที่ผู้ชายสักคนยอมทำทุกอย่างเพื่อหวังจะได้หัวใจของยอดหญิงมาครอบครอง มันช่างน่ารักน่าเอ็นดูจนน้ำหูน้ำตาไหลแบบนี้นี่เอง อันที่จริงมื้อค่ำนี้ไม่ได้ต้องตำพริกป่นมากมายขนาดนี้แต่เนื้ออ่อนอยากจะใช้บริการของพี่ต้นลองดูเท่านั้นเองแถมยังเก็บไว้กินได้อีกตั้งหลายวัน อยากมาก้อร่อก้อติกดีนักต้องแกล้งเสียให้เข็ด



“ฮ้าด...ชิ้ว! เอ๊ะ..ใครเขาให้ตำพริกตอนมีแขก แม่รำไพ?” ท่านเจ้าคุณทั้งสองที่ย้ายที่นั่งขึ้นไปบนเรือนเรียบร้อยแล้วถึงกับจามสวนกันเลยทีเดียว เมื่อไม่ทราบต้นตอจึงหันไปตั้งคำถามกับคุณหญิงรำไพ ที่เพิ่งเดินมาสมทบ คุณหญิงไปธุระเพิ่งจะกลับมาถึง
“อ๋อ ก็แขกนั่นแหละค่ะคุณพี่ที่ต้องเป็นคนตำพริก”
“อ้าว!”
“ก็พ่อต้นน่ะสิคะ สงสัยโดนแม่เนื้ออ่อนแกล้งเอาแน่ๆ เลย เห็นนั่งตำพริกน้ำหูน้ำตาไหลอยู่โน่นแน่ะ”
“เหรอ...โดนเข้าให้แล้ว ฮ่าๆๆ” สองท่านเจ้าคุณหัวเราะลั่น แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรปล่อยให้เป็นเรื่องของหนุ่มสาวที่จะหยอกล้อกันบ้าง แกล้งกันเล่นบ้างเพื่อกระชับสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น


‘เอ๊ะ! ใครตำพริกแสบจมูกตั้งแต่หัววันเชียว’
กล้า เพิ่งตามคุณหญิงรำไพกลับมาจากธุระนอกบ้าน หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วจึงตรงรี่ไปตามเสียงหัวเราะคิกคัก คงมีอะไรสนุกๆ เป็นแน่ แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องชะงักผีเท้า ภาพที่มองเห็นจากทางเดินแคบๆ เนื้ออ่อนกำลังหัวร่อต่อกระซิก ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยในมือคอยบริการซับเหงื่อและซับน้ำตาให้กับใครบางคนอย่างสนิทสนม พาให้รู้สึกปวดแปลบเล็กๆ ในหัวใจ คะเนจากการแต่งกายคิดว่าคงเป็นแขกของท่านเจ้าคุณ ใช่แล้วละ นั่นคือคุณต้นลูกชายคนเดียวของท่านเจ้าคุณฟ้าฟื้นที่เคยเล่นกันเมื่อครั้งยังเด็ก

“อ้าวพี่กล้ามาพอดี พี่กล้ารอดแล้ววันนี้เนื้ออ่อนมีเหยื่อรายใหม่มาช่วยตำพริกป่นให้แล้วละ” สาวน้อยแก้มใสหันมาทักทายพลางเดินเร็วๆ เข้าไปเช็ดน้ำตาให้พี่ต้นก่อนจะรีบออกมาให้พ้นรัศมีพริกป่นครกใหญ่นั้น
“พี่ต้นจำพี่กล้าได้ไหมเจ้าคะ”
“คะ...เท่านั้นจ้ะน้องเนื้ออ่อน อ้อ! จำได้สิจำได้ ไม่ได้พบกันเสียนานคงสบายดีนะกล้า” หันไปยิ้มและกำชับหนักแน่นกันลืมกับคนสวยอีกครั้งว่าไม่ต้อง เจ้าคะ แค่ คะ เฉยๆ ก็พอก่อนจะหันมากล่าวทักทายชายหนุ่มผู้มาใหม่
“สบายดีขอรับ แล้วคุณต้นเล่าขอรับเป็นอย่างไรบ้าง”
“ต้นสบายดี ตามสบายเถอะกล้าไม่ต้องเกรงใจ คนกันเองนะ” รีบแสดงความเป็นกันเองเมื่อเห็นเพื่อนเล่นสมัยยังเด็กมีท่าทีคล้ายจะวางตัวไม่ถูก สำหรับต้นแล้วเขาเป็นคนไม่ถือเนื้อถือตัวกับทุกคนไม่แบ่งแยกความเป็นนายเป็นบ่าว จึงเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง และตอนนี้ดูเหมือนกำลังแผ่อิทธิพลมาทำให้คนบ้านนี้ตกหลุมรักเข้าให้อีกแล้ว อย่างน้อยก็มีบรรดาบ่าวสาวๆ ที่หัวเราะคิกคักกันมาครึ่งค่อนวันกับความน่ารักและเป็นกันเองของเขา

“พี่กล้ากินอะไรมาหรือยัง เดี๋ยวมะปรางหาข้าวให้นะ”
“คุณหญิงท่านพาแวะกินที่ในตลาดแล้วละมะปราง ขอบใจมากนะ เอ่อ..ผมต้องขอตัวไปช่วยน้าสนทางโน้นก่อนนะขอรับคุณต้น”
“ตามสบายเถอะกล้า เอาไว้ว่างๆ ก็มาคุยกันนะ ต้นอยู่ทั้งคืนเลย อ้อๆ เดี๋ยวคืนนี้จะไปนอนด้วยนะ”
“จะดีหรือขอรับ แล้วท่านเจ้าคุณท่านจะยอมหรือ”
“ดีสิ จะได้คุยกันไง นานๆ พบกันที”
“ขอรับ”



บรรยากาศมื้อค่ำเต็มไปด้วยความครึกครื้น นานๆ ทีแม่ครัวคนเก่งจะมีโอกาสโชว์ฝีมือ จึงเล่นเอาทุกคนอิ่มแปล้ไปตามๆ กัน หลังจากคุยสรวลเสเฮฮาหลังอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้นขอไปนอนที่เรือนบ่าวกับกล้าเพื่อจะได้ระลึกความหลังกันท่ามกลางคำทัดทานจากท่านเจ้าคุณเฟื่องและคุณหญิงรำไพ ส่วนท่านเจ้าคุณฟ้าฟื้นนั้นรู้นิสัยของลูกชายดีจึงไม่ได้ว่าอะไรได้แต่หัวเราะปลงกับความรั้นและนิสัยติดดินของต้น

“ดีใจมากที่ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง นานมากเลยนะกล้า จำได้ไหมเมื่อก่อนเราเคยนอนดูดาวกันที่นี่” ชายหนุ่มสองคนนอนหงายอยู่บนชานเรือนหลังเล็ก ทอดสายตาไปยังหมู่ดาวมากมายบนผืนฟ้า ถึงเวลาจะผ่านไปหลายปีแต่ทุกครั้งที่แหงนมองดูดาวมันก็ยังอยู่ที่ตำแหน่งเดิม
“ขอรับ”
“เฮ้ย ไม่ต้องพิธีรีตองน่า เพื่อนกัน” คนสูงศักดิ์กว่าหันมามองเพื่อน ทุบหัวไหล่กำยำเปลือยเปล่าไปทีหนึ่ง
“อ้อ จำได้สิ นานมาก”

หลายสิ่งหลายอย่างที่ได้เกิดขึ้นแล้วแม้จะถูกสิ่งอื่นกลบเลือนความสำคัญไปบ้างในบางช่วงเวลาแต่สิ่งนั้นก็ยังคงอยู่และดำเนินไปอย่างเงียบๆ อาจเป็นการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นอย่างช้าๆ ลำพังด้วยตัวของมันเอง หรืออาจเป็นไปในทางตรงกันข้าม เมื่อเรามีเวลากลับมาให้ความสนใจมันอีกครั้งเราอาจได้พบผลิตผลแห่งกาลเวลาอันแสนวิจิตรงดงาม หรืออาจพบเพียงเศษซากผุพังไร้ค่าจากความไม่ใส่ใจของเราเอง

เราไม่อาจดูแลทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมกันทั้งหมดได้ตลอดเวลา แต่เราสามารถเอาใจใส่หลายๆ สิ่งรอบๆ ตัว เพื่อจะได้มั่นใจว่าแม้เวลาที่เราต้องห่างเหินไปเพื่อการอื่น สิ่งต่างๆ เหล่านั้นจะถูกเก็บไว้อย่างสงบนิ่งเพื่อเฝ้ารอในสภาพที่ดีที่สุดเสมอ และเมื่อถึงเวลากลับมาปัดฝุ่นเพื่อทบทวน เราจะมีโอกาสได้พบกับภาพเก่าๆ ที่ยังคงอยู่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์อีกครั้ง มิตรภาพ...ก็เช่นกัน วันนี้ ภาพเก่าๆ มิตรภาพเดิมๆ ก็ยังคงสว่างไสวในความทรงจำของต้นและกล้า

“จำได้ว่าเคยมานั่งมองดาวกันตรงนี้ ตอนนั้นเนื้ออ่อนยังตัวเล็กๆ อยู่เลย ตาก็จะปิดแต่ก็ยังอยากจะอยู่ด้วย แต่ตอนนี้เนื้ออ่อนโตเป็นสาวแล้ว หน้าตาน่ารักน่าชัง กริยามารยาทก็งามนัก ถึงจะขี้แกล้งไปหน่อยก็เถอะนะ” ปลายเสียงนั้นกลั้วหัวเราะอย่างเอ็นดู เป็นการพบกันครั้งแรกในรอบหลายๆ ปีที่ประทับใจพี่ต้นคนนี้เหลือเกิน ภาพรอยยิ้มสดใสน้ำเสียงหัวเราะคิกคักชอบใจที่ได้แกล้งยังแว่วอยู่ในหู และอยากจะมีโอกาสอยู่ได้ยินอย่างนี้ตราบนานเท่านาน
“...”

“เห็นทีจะต้องขอเจ้าคุณอามาบ่อยๆ เสียแล้ว กล้าว่าเจ้าคุณอาจะว่าอะไรไหมถ้า.. ถ้าต้นจะชอบน้องเนื้ออ่อน?”
เพื่อนผู้ต่ำต้อยนิ่งเงียบ ดาวทั้งฟ้าดูหงอยลงพอๆ กับความรู้สึกในใจของเขาในตอนนี้

“กล้า...เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“หือ?...อ้อ... เปล่าขอรับ คุณต้นถามว่าอะไรนะขอรับ?”
“ฮ่าๆๆ ใจลอยคิดถึงใครรึเปล่ากล้า ต้นบอกว่าจะมาอีกบ่อยๆ น่ะ”

“ดี...ขอรับ”



ไอรายา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 พ.ค. 2554, 10:15:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 พ.ค. 2554, 10:15:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1967





<< ตอนที่ 12 ด่านฐานันดร   ตอนที่ 14 แหวนแทนใจ >>
ศศิริษา 25 พ.ค. 2554, 12:37:11 น.
เจิมให้คนแรก


ปิลันธน์ 25 พ.ค. 2554, 14:46:18 น.
อุตส่าห์ตามรักมาเสียหลายภพหลายชาติ ขอให้สมหวังสักชาติเน้อคุณพระเอก..อย่าช้า...อย่าปล่อยให้หลุดมือ...ให้ไว...เข้าใจไหม สู้ๆ^^


ไอรายา 25 พ.ค. 2554, 16:42:54 น.
ของที่เป็นของของเรา ย่อมต้องเป็นของของเรานะโยม
แต่ถ้าช้าก็อาจถึงมือเราในสภาพมือสอง แหง่ววววว ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account