ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 7


ชายหนุ่มชุดดำยืนนิ่งอยู่เหนือบานหน้าต่างห้องพัก ทอดสายตาฝ่าความมืดไปยังทิศที่ตั้งของตำหนักหลวง แม้จะมองไม่เห็นอะไรนอกจากจุดของแสงไฟก็ตาม ภาพของประมุขแห่งกรีนแลนด์ที่เขาได้เห็นเมื่อตอนบ่ายผุดขึ้นในห้วงความทรงจำไม่ผิดอะไรกับตะกอนขุ่นที่ถูกกวนให้ฟุ้งตัวขึ้นจากส่วนลึกของท้องน้ำ ซึ่งเมื่อลอยขึ้นมาแล้วก็ยากนักที่จะทำให้มันกลับจมลงไปได้อีก

อาการของเอลเบอเรธเหมือนกับคนที่ได้รับพิษร้ายเข้าสู่ร่างกายทุกประการ เพียงแต่... ถ้าเป็นพิษจากตลับทองคำใบนั้น ก็นับว่าเป็นเรื่องประหลาดอย่างยิ่งที่เขาไม่เป็นอะไรเลย เพราะตามปกติผู้ที่ได้รับพิษสิบสองอย่างจะตายภายในสามชั่วยาม ต่อให้มีนักบวชที่เก่งกาจพอจะปรุงยาบรรเทาอาการเจ็บปวดอันเกิดจากพิษร้าย ก็ไม่อาจยืดเวลาออกไปได้นานเกินสองวัน แล้วทำไมเอลเบอเรธถึงยังรอด

เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังอย่างแน่นอน...

เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้นในความเงียบขัดจังหวะความคิดของเจ้าชายดิเร็กซ์ พระองค์เบือนพระพักตร์ไปมองอย่างไม่สบพระอารมณ์ ตรัสถามออกไปด้วยพระสุรเสียงห้วนสั้น

“ใคร?”

“กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ...ฟีบัส”

“เข้ามา"

สิ้นเสียงอนุญาตประตูห้องก็ถูกดึงให้เปิดออก หัวหน้าองค์รักษ์ชาวทาเนียร์ก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องพระพักตร์ผู้เป็นนายด้วยสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“มีอะไรหรือฟีบัส”

“เอ่อ...” ผู้สูงวัยกว่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจกราบทูลอย่างไม่อ้อมค้อม

“กระหม่อมมาขอประทานคำตอบสำหรับพระบิดาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าชายดิเร็กซ์เหยียดริมพระโอษฐ์ออกคล้ายจะแย้มพระสรวล หากดวงเนตรสีนิลกลับกร้าวกระด้างจนดูน่ากลัว

“คำตอบหรือ...ท่านจะดีใจมั้ยล่ะ ถ้าข้าจะบอกว่าเอลเบอเรธยังมีชีวิตอยู่”

“ขอได้โปรดอย่าทรงล้อกระหม่อมเล่นเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“ใครบอกว่าข้าล้อเล่น”

ท่านหัวหน้าองครักษ์จ้องมองดวงพักตร์เรียบเฉยราวสวมหน้ากากของนายหนุ่มด้วยสายตาเคลือบแคลง

“ราชาแห่งกรีนแลนด์ไม่ทรงถูกพิษหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ถ้าดูจากอาการที่ข้าเห็น เอลเบอเรธได้รับพิษแน่นอน”

“แล้วทำไม...”

“ได้รับพิษ ฟีบัส แต่เป็นคนละชนิดกับพิษในตลับนั่น บางทีแผนของเราอาจจะพลาด”

นายทหารหนุ่มใหญ่มีสีหน้าเครียดขึ้นทันที...นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาอยากจะได้ยิน

ราชาคาลอสแห่งทาเนียร์ทรงต้องการให้บัลลังก์ของกรีนแลนด์ร้างผู้ครอง เพื่อให้เกิดช่องว่างแห่งดุลอำนาจ แม้กรีนแลนด์จะเป็นประเทศใหญ่ที่มีการปกครองในระบอบกษัตริย์ แต่ก็แบ่งออกเป็นแคว้นย่อยถึงสี่แคว้นคือ ดาโก คิริธ อังมาร์ และรัธ แต่ละแคว้นก็ล้วนมีผู้ครองที่ได้รับการแต่งตั้งให้คอยดูแลบริหารราชกิจต่างพระเนตรพระกรรณ การปกครองจึงเกือบกึ่งจะเป็นแบบกระจายอำนาจโดยสมบูรณ์ หากเมื่อใดที่ศูนย์กลางแห่งอำนาจการปกครองนั้นดับสูญลงโดยไร้ซึ่งรัชทายาทสืบบัลลังก์ มีหรือที่ผู้ครองแคว้นทั้งหลายจะไม่ลุกขึ้นต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงตำแหน่งประมุขของประเทศ หรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องมีการขัดแย้งกระทบกระทั่งเกิดขึ้นบ้างในระหว่างที่มีการเลือกเฟ้นหาผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งราชาคนใหม่ และเมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากหากทาเนียร์จะบุกเข้าตีกรีนแลนด์โดยอาศัยความร่วมมือจากราชาไมนาสพันธมิตรที่กรีนแลนด์ไม่มีวันนึกถึง

แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า ราชาแห่งกรีนแลนด์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ทาเนียร์จะหาข้อได้เปรียบอันใดไปโน้มน้าวพระทัยราชาเฒ่าเจ้าเล่ห์แห่งวูดแลนด์ให้ทรงยอมร่วมมือได้อีกเล่า

“โอ นี่กระหม่อมฟังผิดไปหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ แผนการขององค์ราชาล้มเหลว...”

“แค่พลาดเท่านั้นฟีบัส ยังไม่ถึงกับล้มเหลว”

เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงผละจากกรอบหน้าต่างไปที่โต๊ะกลางห้องซึ่งมีชุดน้ำชาทำด้วยเงินเงาวับจัดเตรียมไว้พร้อม พระองค์ลงมือปรุงน้ำชาอย่างพระทัยเย็น ตรัสต่อไปด้วยพระสุรเสียงเรียบเรื่อย

“แบบนี้สิถึงจะสนุก ท่านอย่ากังวลไปนักเลยเรายังพอมีเวลา”

เจ้าชายทรงส่งถ้วยชาในพระหัตถ์ให้กับหัวหน้าองครักษ์ซึ่งเอื้อมมือมารับไปถือเอาไว้โดยไม่ยอมดื่ม ผู้สูงวัยกว่าจ้องมองดวงพักตร์งามคมของบุรุษตรงหน้าเขม็งราวกับจะให้ทะลุถึงก้นบึ้งในพระทัย

“พระองค์ทรงคิดจะทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วท่านคิดว่าข้าจะทำอะไรล่ะ” ผู้พูดยกถ้วยชาในมือขึ้นละเลียดจิบ

ฟีบัสพอจะเดาความคิดเจ้านายหนุ่มของตนได้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ตรัสออกมาตรงๆ ก็ตาม

“การลอบเข้าไปในตำหนักหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายนะพ่ะย่ะค่ะ”

“แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก...ท่านลืมแม่นกน้อยของข้าไปแล้วหรือ”

ชายกลางคนส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

“ถ้าราชาเอลเบอเรธเกิดสิ้นพระชนม์ลงไปตอนนี้ พวกเขาจะต้องระแวงพระองค์และจับตามองทาเนียร์เป็นพิเศษ...เสี่ยงเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วยังไงล่ะฟีบัส ท่านกลัวอย่างนั้นหรือ หรือว่า...” เจ้าชายจ้องหน้านายทหารหนุ่มใหญ่ด้วยสายพระเนตรเย็นชา

“ท่านมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้”

“เอ่อ..ก็..”

ผู้มีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าองครักษ์ยกถ้วยชาเย็นชืดในมือขึ้นจรดริมฝีปาก ปล่อยให้น้ำสีเหลืองเข้มล่วงผ่านลงสู่ลำคอเพื่อที่จะได้ไม่ต้องตอบคำถามนั้น แม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดของเจ้าชายดิเร็กซ์ หากเขาก็ยังมองไม่เห็นทางออกใดที่เหมาะสมไปกว่านี้

“แล้วเราจะลงมือด้วยวิธีไหนเล่าพ่ะย่ะค่ะ ใช้ยาพิษอีกหรือ”

“ไม่ละ ข้ามีวิธีของข้า... คืนนี้พวกเจ้าเตรียมเก็บข้าวของเอาไว้ พรุ่งนี้เช้าเราจะออกเดินทางกลับทาร์เนีย”

“กลับทาร์เนีย ก็ไหนพระองค์ตรัสว่า...”

“ไม่ต้องถาม ไปทำตามที่ข้าสั่งฟีบัส แล้วพรุ่งนี้เจ้าก็จะรู้คำตอบเอง”

เรียวโอษฐ์งามได้รูปของเจ้าชายดิเร็กซ์คลี่ออกเป็นรอยแย้มสรวลเยือกเย็น ประกายมุ่งมั่นในดวงเนตรคมกริบสีนิลทำให้ท่านหัวหน้าองครักษ์จำต้องหุบปากนิ่ง ไม่กล้าเอ่ยคำพูดแสดงความสงสัยหรือคัดค้านใดๆ ออกมาอีกเลย



ดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาลงนานแล้ว ลำแสงสุดท้ายที่แต้มระบายอยู่บนริ้วเมฆทางทิศตะวันตกแปรเปลี่ยนจากสีแดงอมส้มกลายเป็นสีชมพูกุหลาบอ่อนหวาน แล้วค่อยจางลงจนกลืนหายไปกับสีน้ำเงินเข้มของท้องฟ้ายามโพล้เพล้ แสงสว่างจากตะเกียงเริ่มผุดพรายขึ้นในความมืดทีละจุดราวกับแสงหิ่งห้อย ก่อนจะถึงเวลาที่ดวงโคมแห่งฟากฟ้าเผยโฉมงามกระจ่างตาอวดมนุษย์ทุกคนบนพื้นโลก

หญิงสาวในชุดยาวรุ่มร่ามของนักบวชนั่งจิบชาหวานหลังอาหารอยู่ที่โต๊ะไม้กลางห้องพัก มองดูเด็กหนุ่มใช้ผ้านุ่มเช็ดทำความสะอาดดาบคู่มือของนางไปพลาง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น

“ซิส วันนี้ข้าเจอเจ้าชายดิเร็กซ์”

เด็กหนุ่มชะงักเล็กน้อย ดวงตาจ้องเป๋งอยู่ที่ดาบในมือ กรามขบกันเป็นสันนูน หากเพียงครู่เดียวมาดกวนอารมณ์ที่หญิงสาวคุ้นตาก็กลับคืนมาดังเดิม เจ้าตัวยักไหล่เสมือนไม่แยแสกับข่าวที่ได้ยิน

“แล้วไงล่ะ ข้าห้ามไม่ให้เจ้าชายพระองค์นั้นเสด็จมาที่นี่ได้ซะที่ไหน”

“เออ” หญิงสาวกระแทกเสียง นึกหมั่นไส้เจ้าเด็กปากดีเต็มแก่ “ข้าก็แค่จะเตือนเอาไว้เท่านั้นแหละ ลืมไปว่าเจ้ามันเก่ง จะมีเรื่องซัดปากกันอีกซักหนสองหนก็คงไม่เป็นไร”

ดวงตาคมสีน้ำตาลตวัดผ่านไปทางคนพูดคล้ายจะค้อน เด็กหนุ่มขยับจะตอบแล้วกลับหุบปากนิ่งเป็นหอยกาบตามเดิม ยกดาบในมือขึ้นส่องกับแสงตะเกียง พลิกไปพลิกมาเพื่อดูความเรียบร้อยก่อนจะสอดเก็บเข้าฝักแล้ววางโครมลงบนโต๊ะ

“เสร็จแล้วนะพี่ชาย”

“ขอบใจ แล้วทางเจ้าเป็นยังไงบ้าง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้งานทำแล้ว”

“ฮื่อ พวกเค้าให้ข้าดูแลม้าของเด็กผู้หญิงคนนั้น”

“เด็กผู้หญิงคนนั้น?”

“ก็คนที่มาหาท่านเมื่อเช้าไงล่ะ” ซิสสะบัดเสียงอย่างหงุดหงิด

“อ๋อ เจ้าหญิงกาอิยาห์...งั้นก็ดีน่ะสิ แล้วเจ้า..”

“ดีตรงไหน...” หนุ่มน้อยสวนคำขึ้นทันควัน น้ำเสียงกระด้างจนเมลิอานาร์นึกแปลกใจ

“ถ้าจะต้องดูแลม้าให้เด็กผู้หญิง สู้ส่งข้าลงไปช่วยนักบวชพวกนั้นถอนหญ้าในแปลงผักซะยังจะดีกว่า”

“ไม่ใช่แปลงผัก” เมลิอานาร์กล่าวแก้อย่างใจเย็น “เขาเรียกว่าสวนสมุนไพรต่างหาก แล้วงานดูแลม้าให้เจ้าหญิงกาอิยาห์มันไม่ดีตรงไหน ตอนอยู่ที่บ้านพักคนเดินทางเจ้าก็เป็นคนดูแลม้าไม่ใช่หรือ”

เสียงหินก้อนเล็กๆ ลอยผ่านบานหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้กว้างตกกระทบลงบนพื้นห้อง ทำให้คนพูดจำต้องละความสนใจจากเด็กหนุ่มชั่วคราว นางลุกขึ้นเดินไปดู แล้วต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่าเด็กสาวที่กำลังเป็นหัวข้อสนทนายืนยิ้มหวานโบกมือหย็อยๆ อยู่กลางแสงตะเกียงด้านนอก

“ซิส ข้าต้อง..”

เมลิอานาร์หันกลับไปหาเด็กหนุ่มพร้อมด้วยคำพูดที่ยังคงค้างอยู่แทบริมฝีปาก ทว่าซิสกลับหายตัวไปเสียแล้ว หญิงสาวได้แต่โคลงศีรษะด้วยความระอา ก่อนตวัดกายข้ามกรอบหน้าต่างลงไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผู้มาเยือน

“เสด็จมาทำอะไรตรงนี้เพคะ มืดจะตาย ทรงมีธุระอะไรกับหม่อมฉันหรือเปล่า” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัยระคนเป็นห่วง

เจ้าหญิงกาอิยาห์ส่ายพระพักตร์พลางแย้มสรวลอย่างซุกซน

“ไม่มีหรอก ข้าแค่แวะมาถามข่าวเท่านั้น เจ้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทมาแล้วใช่มั้ย เป็นยังไงบ้าง”

“ก็ไม่เป็นยังไงนี่เพคะ ทรงมีรับสั่งให้หม่อมฉันไปที่วิหารจันทราคืนนี้”

พอได้ยินคำว่า ‘วิหารจันทรา’ ดวงเนตรสุกใสของเด็กสาวก็เปล่งประกายวาววับขึ้นทันที น้ำเสียงที่เอ่ยถามเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

“ทรงให้เจ้าไปที่วิหารจันทราอย่างนั้นหรือ”

“เพคะ แต่หม่อมฉันต้อง...”

“งั้นข้าไปด้วย”

เจ้าหญิงกาอิยาห์ไม่ทรงเสียเวลารอฟังว่าเพื่อนสาวจะพูดอะไรต่อ หากแต่รีบคว้าข้อมืออีกฝ่ายลากให้ก้าวเดินไปสู่อาคารสีนวลที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางดงไม้เขียวครึ้มพร้อมกันทันที


ราชาหนุ่มแห่งกรีนแลนด์ประทับยืนอยู่ใกล้หน้าต่างบานแคบ สายพระเนตรจับจ้องไปยังเงาร่างของคนสองคนซึ่งกำลังเคลื่อนที่ช้าๆ ผ่านสวนสมุนไพรใกล้เข้ามา แสงสว่างจากตะเกียงสาดจับผิวสีน้ำตาลคล้ำแดดของคนตัวสูงกว่าให้ดูนวลตาอย่างประหลาด สันจมูกโด่งคมทอดเงาทาบลงบนผิวแก้มเนียนละเอียดรับกับเส้นขนตางอนช้อยราวอิสตรี ริมฝีปากได้รูปสวยที่ขยับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ยามเจ้าตัวก้มลงสนทนากับเด็กสาวข้างกาย เป็นสีชมพูระเรื่อราวกับกลีบดอกไม้

ถ้าหากเป็นผู้หญิง เจ้าหมอนี่คงสวยขาดใจไปเลย...

ราชาเอลเบอเรธสะบัดพระเศียรไล่ความคิดแปลกๆ ที่แว่บผ่านเข้ามาในสมอง นึกโกรธตัวเองที่เผลอคิดฟุ้งซ่านไปได้ถึงเพียงนั้น

“ทอดพระเนตรอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เจ้าชายกันนาร์ทูลถามขึ้นเมื่อเห็นอาการแปลกๆ ของราชาหนุ่ม

“เจ้ามาดูเองสิ”

เอลเบอเรธเบี่ยงร่างให้สหายขยับเข้ามายืนแทนที่ เมื่อฝ่ายนั้นมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นคู่หนุ่มสาวที่เกือบจะเลี้ยวลับไปทางด้านข้างของตัววิหารก็ถึงกับตาค้าง

“หน็อย เจ้าหมอนั่น ..”

“ดูเหมือนน้องสาวของเจ้าจะสนิทสนมกับนักบวชผู้นั้นมากนะ” ราชาแห่งกรีนแลนด์เปรยขึ้นลอยๆ

“ฝ่าบาทก็ทรงสังเกตเห็นเช่นกันหรือพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายกันนาร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้นเล็กน้อย แล้วบ่นต่อไปตามประสาพี่ชายที่หวงน้องสาวขนาดหนัก

“กระหม่อมไม่ชอบใจเลย ตั้งแต่หมอนั่นมาลินเด็น กายย์ก็ทำตัวไม่เหมาะสมหลายอย่าง เมื่อเช้านางอุตส่าห์ไปปลุกกระหม่อมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพราะคิดว่าเจ้าหมอนั่นพักอยู่กับกระหม่อม แถมค่ำนี้ยังแอบไปพบกันแล้วพามาที่วิหารอีก ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของนางสักนิด”

“ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ” องค์ราชาขมวดพระขนงอย่างไม่ชอบพระทัย “สงสัยข้าคงต้องให้นอร์ม่าเรียกน้องสาวของเจ้ามาอบรมขนานใหญ่เสียแล้ว”

“แต่กระหม่อมว่า หาทางกำจัดเจ้านักบวชรูปหล่อรายนั้นไปให้พ้นจากกายย์เร็วที่สุด น่าจะดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ”

“ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกกันน์ เรายังต้องอาศัยเขาอยู่ แต่เอาเถอะ ข้าจะลองคิดดู ตอนนี้เจ้าเตรียมรับหน้าสองคนนั่นก่อนดีกว่า คงใกล้จะมาถึงแล้วละ”

แทบว่าพอขาดคำของราชาหนุ่ม เจ้าหญิงกาอิยาห์กับ ‘นักบวชรูปหล่อ’ ก็ก้าวผ่านประตูวิหารเข้ามาเกือบจะทันที เจ้าชายกันนาร์รีบสาวพระบาทตรงไปต้อนรับผู้มาใหม่ด้วยรอยแย้มสรวลที่ดูเหมือนเป็นการแยกเขี้ยวเสียมากกว่า

“แหม ไม่นึกว่าท่านนักบวชจะใจร้อน รีบมาก่อนที่ข้าจะไปรับ...แถมมาพร้อมกับเจ้าซะด้วย กายย์”

“ก็น้องอยากเห็นวิหารจันทราใกล้ๆ นี่นา น่า..อย่าโกรธเลยนะคะพี่กันนาร์ ทำหน้าบึ้งมากๆ เดี๋ยวแก่เร็วไม่รู้ด้วย” เจ้าหญิงกาอิยาห์แย้มสรวลประจบขณะเข้าไปเกาะแขนผู้เป็นพี่

“มาทางนี้เลยกายย์”

เจ้าชายกันนาร์ถือโอกาสลากร่างบางของน้องสาวให้ถอยห่างจากคนที่มาด้วยกันมากที่สุด พลางกระซิบดุ “เจ้านี่มันตัวยุ่งจริงๆ ข้าอนุญาตให้เจ้ามาที่วิหารตั้งแต่เมื่อไหร่”

“แน้.. วิหารจันทราไม่ใช่ของพี่กันนาร์สักหน่อย ทำไมน้องต้องรอให้พี่อนุญาตด้วย จริงๆ แล้วเหตุผลที่พี่กันนาร์ไม่อยากให้น้องมาที่วิหารเป็นเพราะเจ้าหญิงแคธรีนอยู่ที่นี่ใช่มั้ยล่ะคะ น้องเดาได้หรอกน่า แต่พี่กันนาร์ไม่ต้องห่วง รับรองว่าน้องจะไม่ปากโป้งบอกใครเด็ดขาด น้องแค่อยากจะดูวิธีคลายคำสาปของเมลเท่านั้น จะได้ศึกษาไปในตัวเผื่อจำเป็นต้องใช้คราวหน้าไงคะ”

เจ้าชายกันนาร์เลิกพระขนงขึ้นพร้อมกับตรัสถามเสียงสูง

“เจ้าใช้เวทมนตร์มั่วซั่วจนทำให้เจ้าหญิงแคธรีนกลายเป็นหิน แล้วยังกล้าคิดจะมี ‘คราวหน้า’ อีกหรือ”

เมลิอานาร์มองสองพี่น้องเถียงกันแล้วต้องแกล้งเมินไปทางอื่นเพราะกลัวจะเผลอส่งเสียงหัวเราะออกมา สายตาของนางจึงปะทะเข้ากับดวงเนตรคมดุของคนที่ยืนหลบอยู่ในเงามืดโดยไม่ตั้งใจ

“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง” เสียงทุ้มห้าวเอ่ยทักขึ้นลอยๆ

หญิงสาวรีบดึงสายตากลับมาแทบไม่ทัน...นางไม่เห็นจะรู้สึกยินดีเลยสักนิด

เจ้าหญิงกาอิยาห์ทอดพระเนตรอาการของเพื่อนสาวด้วยความสงสัย ก่อนจะเบือนพระพักตร์ไปยังเงาตะคุ่มของใครบางคนที่ยืนหลบอยู่ริมหน้าต่าง ร่างสูงใหญ่ที่พระองค์เห็นดูคุ้นตาเหลือเกิน แถมเสียงที่ทรงได้ยินเมื่อสักครู่ก็ฟังคุ้นหูอย่างประหลาด หากชุดกระโปรงยาวแค่ข้อเท้านั่นต่างหากที่ทำให้ไม่แน่พระทัย

“ใครน่ะพี่กันนาร์ ใช่องค์ราชาหรือเปล่า” เจ้าหญิงกระซิบถาม

“ไม่ใช่” พี่ชายปฏิเสธทันควัน ดวงเนตรสีม่วงเหลือบมองหน้าคนที่มากับน้องสาวแว้บหนึ่งก่อนจะกล่าวแนะนำ

“เอ่อ ท่านนักบวช นี่เอลลี่..เป็นหญิงรับใช้”

“กระหม่อมเคยพบกับนางแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าชายเบิกพระเนตรกว้าง

“อะไรนะ ท่านเคยพบกับนางที่ไหน เมื่อไหร่?”

“ที่วิหารนี่แหละพ่ะย่ะค่ะ เมื่อคืนก่อน”

คำตอบของนักบวชหนุ่มทำให้เจ้าชายกันนาร์ถึงกับตรัสอะไรไม่ออกไปชั่วคราว พระองค์พอจะเข้าพระทัยแล้วว่าเหตุใดองค์ราชาจึงทรงเปลี่ยนแผนกะทันหัน ไม่บอกความจริงให้อีกฝ่ายรู้ว่าไม่ได้ทรงพระประชวรอย่างที่ใครต่อใครเข้าใจกันทั้งเมือง

“พี่กันนาร์” เจ้าหญิงกาอิยาห์เขย่าท่อนพระกรพี่ชาย สีพระพักตร์บอกว่างุนงงเต็มที่ “เรามีหญิงรับใช้ที่วิหารด้วยหรือคะ ก็ไหนพี่เคยบอกว่าวิหารจันทราไม่มีใครอยู่ไงล่ะ”

เจ้าชายกันนาร์นึกอยากจะเขกศีรษะคนเป็นน้องเสียเหลือเกิน...ทุกทีก็เห็นนางหัวไวดี บางทีก็ไวเกินไปจนพี่ชายแทบจะตามไม่ทันด้วยซ้ำ แล้วทีตอนสำคัญแบบนี้ทำไมนางถึงเกิดจะหัวทึบขึ้นมา

“เอล..ลี่ไงกายย์ เอล...ลี่น่ะ เจ้าจำไม่ได้หรือไง”

พี่ชายทั้งเน้นเสียง ทั้งขยิบพระเนตร แต่เจ้าหญิงกาอิยาห์ก็ยังไม่ยอมเข้าพระทัยอยู่ดี จนสุดท้ายผู้ที่จงใจหลบอยู่ในเงามืดก็ทนไม่ได้จำต้องก้าวออกมาสู่แสงสว่างให้เจ้าหญิงขี้สงสัยมองเห็นถนัดตา

“คราวนี้จำข้าได้หรือยัง กายย์”

เจ้าหญิงกาอิยาห์อ้าพระโอษฐ์ค้าง...มิน่าเล่า พระองค์ถึงได้รู้สึกว่าทั้งรูปร่าง ทั้งน้ำเสียงของ ‘เอลลี่’ คล้ายกับองค์ราชานัก เด็กสาวพยายามอย่างหนักที่จะไม่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

คนในชุดสาวใช้ส่งเสียงกระแอมแก้เขิน ก่อนจะหันไปทางเจ้าชายกันนาร์

“ข้าว่า เราเสียเวลาไปมากแล้ว รีบพาท่านนักบวชไปที่ห้องลับเลยดีกว่า”

“พ่ะ..เอ่อ ได้สิ ตามข้ามาทางนี้เลยท่านนักบวช”

เมลิอานาร์มองหน้าคนออกคำสั่งสลับกับเจ้าชายกันนาร์อย่างแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มสูงศักดิ์ท่าทางยโสอย่างพระองค์จะยอม ‘ลง’ ให้กับสาวใช้ผู้นี้ง่ายๆ ฉับพลันภาพชายหนุ่มกับหญิงสาวเมื่อคืนก่อนก็ย้อนกลับเข้ามาในห้วงความทรงจำ ฝ่ายชายที่นางเห็นคงจะเป็นเจ้าชายกันนาร์นี่เอง เขากับแม่สาวใช้ร่างยักษ์น่าจะเป็นคู่รักกัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าพี่ชายของเจ้าหญิงกาอิยาห์จะมีรสนิยมแปลกพิศดารได้ถึงขนาดนี้

“เอ้า จะยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคืนหรือไงท่านนักบวช”

เสียงห้วนห้าวของแม่สาวที่เมลิอานาร์กำลังนึกนินทาอยู่ในใจทำเอานางเกือบสะดุ้ง หากยังคงรักษามาดนิ่งแบบนักบวชเอาไว้ได้ หญิงสาวตวัดสายตาผ่านหน้าคนพูดอย่างขวางๆ ทันได้เห็นมุมปากของฝ่ายนั้นกระตุกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะยิ้ม แต่พอนางตั้งใจจะมองให้ถนัดอีกครั้งกลับพบเพียงสีหน้าเคร่งขรึมเฉยเมยเหมือนเช่นปกติ

“ตามมาทางนี้เร็วๆ เข้า”

หญิงรับใช้ส่งเสียงเร่ง นักบวชกำมะลอจึงต้องรีบสาวเท้าตามนางเข้าไปในส่วนลึกสุดของวิหารอย่างไม่มีทางเลือก

แม่สาวร่างยักษ์ตวัดผืนพรมบนผนังด้านซ้ายมือให้เปิดออก แล้วก้าวนำไปตามทางเดินแคบๆ ทอดตรงสู่แสงสลัวเบื้องหน้า สุดทางเดินคือห้องโถงทรงสี่เหลี่ยมค่อนไปทางยาวมากกว่ากว้าง รอบห้องมีรูปปั้นเทพธิดาหินอ่อนชูคบไฟประดับอยู่เป็นระยะ มุมหนึ่งของห้องตั้งโต๊ะตัวใหญ่ที่ดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นโต๊ะเขียนหนังสือของใครสักคน เพราะมีอุปกรณ์เครื่องเขียนและม้วนเอกสารวางเกลื่อนอยู่บนนั้น

เจ้าหญิงกาอิยาห์และพี่ชายทรงหยุดรออยู่หน้ารูปปั้นเทพธิดาองค์ที่สาม พอหญิงรับใช้และนักบวชหนุ่มตามเข้ามาสมทบ เจ้าชายกันนาร์ก็หันไปหมุนมงกุฎดอกไม้บนเศียรของเทพธิดา มีเสียงครืดคราดดังขึ้นอย่างแผ่วเบาก่อนที่ประตูศิลาบานเล็กที่ฝังซ่อนอยู่ในผนังจะเลื่อนเปิดออกเป็นช่องแคบๆ ขนาดพอดีตัวคน เจ้าชายทรงส่งสัญญาณให้น้องสาวก้าวเข้าไปเป็นคนแรก จากนั้นจึงเสด็จตามหลังนางไปติดๆ โดยมีนักบวชหนุ่มถือตะเกียงตามเข้าไปเป็นคนที่สามและสาวใช้ประจำวิหารร่างยักษ์เดินรั้งท้าย

ทางเดินลับในกำแพงทั้งคดเคี้ยวและลาดชัน ยิ่งเดินลึกเข้าไปช่องทางก็ยิ่งแคบลงเรื่อยๆ แม้จะมีแสงจากตะเกียงในมือของคนในชุดนักบวชช่วยส่องทาง แต่พื้นและผนังศิลาที่ปกคลุมด้วยคราบตะไคร่ก็ทำให้ทุกคนต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการเดิน เพื่อไม่ให้ลื่นหกล้มหัวทิ่มไปเสียก่อน

ในที่สุดคนทั้งสี่ก็มาหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานไม่ใหญ่นัก สาวใช้ประจำวิหารปลดสร้อยทองคำเส้นเล็กบางราวกับเส้นด้ายห้อยกุญแจรูปร่างประหลาดที่คล้องอยู่รอบลำคอของนางออก สอดลูกกุญแจเข้าไปในรอยขีดสั้นๆ สีดำบนแผ่นโลหะกึ่งกลางบานประตูแล้วบิดเพื่อปลดล็อก

มีเสียง ‘คลิ้ก’ ดังขึ้นแผ่วเบาก่อนที่ประตูบานนั้นจะเปิดออก เจ้าชายกันนาร์เสด็จหายเข้าไปในห้องเป็นคนแรก เพียงครู่เดียวแสงสว่างนวลตาก็สาดกระจายไปทั่วเผยให้เห็นห้องค่อนข้างแคบ ผนังทุกด้านเป็นศิลาเรียบลื่นสีเทาหม่นปราศจากเครื่องตกแต่งใดๆ นอกจากเชิงเทียนกิ่งพร้อมแท่งเทียนสีขาวเล่มใหญ่ ซึ่งมีเปลวไฟลุกโชติช่วงอยู่
เหนือโต๊ะไม้ตัวยาวกลางห้อง หญิงสาวผู้หนึ่งทอดร่างอยู่อย่างสงบ ดวงตาพริ้มปิด สองมือวางราบอยู่ข้างลำตัว สีผิวเผือดซีดและร่างกายเย็นเฉียบแข็งกระด้างของนางดูไม่ต่างจากรูปปั้นหินอ่อนที่ตั้งประดับอยู่ในห้องเมื่อครู่เท่าใดนัก ...นี่หรือเจ้าหญิงแคธรีน

คนในชุดนักบวชขยับเข้าไปพิจารณาร่างของเจ้าหญิงผู้เคราะห์ร้ายจนชิดขอบโต๊ะ ก่อนจะหันไปเอ่ยถามสาวน้อยที่ตามมาหยุดยืนอยู่ข้างกาย

“ทำไมเจ้าหญิงพระองค์นี้ถึงได้รับพิษล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

“นางบังเอิญโชคร้าย ต้องรับเคราะห์แทนคนอื่นน่ะสิ” เสียงห้วนดุตอบแทรกขึ้น จากนั้นเจ้าของร่างสูงใหญ่ผิดผู้หญิงก็ก้าวพรวดเข้ามายืนขวางอยู่ตรงกลางระหว่างเจ้าหญิงกาอิยาห์และคนตั้งคำถามหน้าตาเฉย

“อยากรู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าหญิงแคธรีน ท่านนักบวชถามข้าก็ได้ ตอนที่เจ้าหญิงถูกพิษข้าก็อยู่ด้วย”

นักบวชหนุ่มมองหน้าสาวใช้ร่างยักษ์อย่างไม่ค่อยจะเชื่อถือนัก “แล้วเจ้ารู้หรือว่าเจ้าหญิงถูกพิษอะไร”

“ไม่รู้”

มือที่วางอยู่เหนือร่างศิลาเพื่อเตรียมพร้อมร่ายคาถาชะงักค้าง

“ไม่รู้งั้นหรือ ...นี่เจ้าคิดจะช่วยเจ้าหญิงจริงหรือเปล่า”

เอลลี่ยักไหล่ “ก็ข้าไม่รู้จริงๆ นี่ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ ผิดด้วยหรือไง”

“แล้วอาการของนางล่ะ เจ้าบอกว่าเห็นตอนนางถูกพิษนี่นา อย่างน้อยๆ ก็น่าจะบอกอาการของนางได้บ้าง”

“ยาพิษออกฤทธิ์เร็วมากเมล ข้าจำได้แค่ว่าเล็บของนางเปลี่ยนสี แล้วก็มีจ้ำสีม่วงน่าเกลียดปรากฏขึ้นตามตัวแค่นั้นเอง” เจ้าหญิงกาอิยาห์เป็นผู้ให้คำตอบแทนแม่สาวใช้

“ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะเป็นพิษสิบสองอย่าง พิษชนิดนี้ออกฤทธิ์เร็วเห็นผลแทบจะทันที แสดงว่าใครก็ตามที่คิดวางยาพิษคงต้องการความมั่นใจว่าเจ้าหญิงจะสิ้นพระชนม์แน่ๆ ถึงได้เลือกใช้ยาพิษต้องห้ามแบบนี้ ว่าแต่...”

นักบวชหนุ่มถอยห่างจากโต๊ะกลางห้องหันไปสบตากับชาวกรีนแลนด์ทั้งสามทีละคน

“พวกท่านเตรียมยาถอนพิษเอาไว้หรือยัง”

“ยัง” เจ้าชายกันนาร์ตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

“นั่นมันหน้าที่ของท่านต่างหาก” เอลลี่ช่วยขยายความอีกแรง

“หน้าที่ของข้า”

“ใช่ ก็ท่านเป็นนักบวชนี่ ไม่ใช่หน้าที่ของท่านแล้วจะเป็นหน้าที่ใคร”

ประโยคของหญิงรับใช้ประจำวิหารทำให้คนฟังโมโหจนพูดอะไรไม่ออก นางไม่คิดเลยว่าจะถูกแม่สาวร่างยักษ์โยนความรับผิดชอบมาให้ด้วยวิธีนี้

เมื่อเห็นนักบวชหนุ่มเงียบเสียงไป เอลลี่ก็ย้ำขึ้นอีก

“ว่ายังไงล่ะท่านนักบวช ท่านก็รู้แล้วนี่ว่าเป็นพิษชนิดไหนแค่ปรุงยาถอนพิษขึ้นมาเท่านั้น ท่านน่าจะทำได้ไม่ใช่หรือ”

“อ๋อออ... ทำได้แน่ ถ้าหากว่ารู้ส่วนผสมของยาพิษครบทั้งหมดน่ะนะ”

หญิงสาวกระแทกเสียงตอบ อันที่จริงนางอยากจะตอบโต้ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงยิ่งกว่านี้ หากแววใคร่รู้อย่างบริสุทธิ์ใจในดวงตาสีน้ำเงินอมเขียวที่มองมา ทำให้จำต้องยั้งปากเอาไว้

“ฟังนี่นะเอลลี่...ไม่เคยมีใครรู้ส่วนผสมที่แน่นอนของยาพิษสิบสองอย่าง นอกจากคนที่ปรุงมันขึ้นมา เพราะฉะนั้นพิษชนิดนี้จึงแทบจะเรียกได้ว่าไม่มียารักษา หากใครโชคร้ายถูกพิษเข้าก็ทำใจไว้ล่วงหน้าได้เลยว่าตายสถานเดียว”

“เจ้าพูดอย่างนี้ก็แปลว่าเจ้าหญิงแคธรีนไม่มีทางรอดน่ะสิ” เจ้าหญิงกาอิยาห์ตรัสถามเสียงอ่อย

“ทางรอดทางเดียวของเจ้าหญิงแคธรีนก็คือต้องหายาถอนพิษมาให้ได้พ่ะย่ะค่ะ ถ้าไม่มียาถอนพิษถึงกระหม่อมจะคลายคำสาปขององค์หญิงได้ก็เปล่าประโยชน์”

ดวงพักตร์นวลใสของเจ้าหญิงกาอิยาห์เผือดลงทันตาจนผู้พูดรู้สึกสงสาร

“เอาเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าทางออกน่าจะมีอยู่อีกทาง”

เจ้าชายกันนาร์เลิกพระขนง “ทางไหนล่ะ ก็ท่านเพิ่งบอกอยู่หยกๆ ว่าถ้าไม่มียาถอนพิษ เจ้าหญิงแคธรีนก็ตายลูกเดียว”

“โดยปกติคนปรุงยาพิษมักจะปรุงยาถอนพิษไว้คู่กันเสมอเพื่อกันการผิดพลาด หากเราหาทางเอายาถอนพิษมาจากผู้ปรุงได้ เจ้าหญิงแคธรีนก็น่าจะทรงมีทางรอด”

“แล้วท่านรู้หรือว่าใครเป็นผู้ปรุงยา”

“ตอนนี้ยัง แต่พิษสิบสองอย่างมักจะอยู่ในรูปผง หรือควัน ...เพราะฉะนั้นจะต้องมีภาชนะรองรับ”

เอลลี่ล้วงเอาตลับอันเล็กออกมาจากผ้าคาดเอวของนาง “ท่านหมายถึงสิ่งนี้หรือเปล่า”
คนในชุดนักบวชเอื้อมมือไปรับตลับเครื่องหอมจากแม่สาวร่างยักษ์มาพลิกดูอย่างสนใจ ตลับรูปไข่ใบนั้นทำจากทองคำแท้ฝังไข่มุกและอัญมณีน้ำงามเม็ดเล็กจิ๋วเป็นลวดลายละเอียดยิบ ฝีมือประณีตเกินกว่าจะเป็นของที่หาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป หญิงสาวพลิกดูภายใน ไม่มีคราบของยาพิษหลงเหลือให้เห็นแม้แต่น้อย หากที่ก้นตลับมีอักษรย่อจารึกเอาไว้ด้วยเส้นเงินบางเฉียบ หญิงสาวเผยอยิ้มอย่างพอใจ...นี่แหละสิ่งที่นางต้องการ

“ยิ้มอะไรของท่าน ในนั้นมีชื่อคนปรุงยาพิษเขียนบอกเอาไว้หรือไง”

รอยยิ้มของนักบวชหนุ่มยิ่งขยายกว้างออกไปอีก ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่ตวัดมองเจ้าของคำถามเป็นประกายระยับราวกับไพลินน้ำงาม

“เจ้าเดาเกือบถูก ในนี้มีชื่อย่อของคนผู้หนึ่งจารึกไว้จริงๆ”

“ใคร?” สามเสียงถามขึ้นแทบจะพร้อมกัน

“ริช ไคลี่ ช่างทำเครื่องประดับชื่อดังแห่งเมืองลัสเตอร์สโตน”

เจ้าชายกันนาร์พ่นลมหายพระทัยออกมาทางพระนาสิกอย่างดูแคลน “ข้ายังมองไม่เห็นว่าชื่อของช่างทำเครื่องประดับจะช่วยให้ท่านหายาถอนพิษเจอได้อย่างไร”

“ได้สิพ่ะย่ะค่ะ ถ้ากระหม่อมไปพบเขาที่เมืองลัสเตอร์สโตน”

เจ้าหญิงกาอิยาห์พระเนตรลุกขึ้นมาทันทีด้วยความตื่นเต้น “เจ้าจะไปลัสเตอร์สโตนหรือเมล”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“ดี งั้นข้าไปด้วย”

“ไม่ได้” คนเป็นพี่ขัดขึ้นทันควัน

“ทำไมล่ะคะ เมืองลัสเตอร์สโตนก็อยู่ในแคว้นอังมาร์แค่นี้เอง ทำไมน้องจะไปกับเมลไม่ได้” ดวงพักตร์ของเจ้าหญิงสาวน้อยเริ่มงอง้ำ

“มันอันตรายนะกายย์”

“พี่กันนาร์ก็รู้ว่าอันตรายแล้วยังคิดจะปล่อยให้เมลเดินทางไปคนเดียวอีก เกิดเมลเป็นอะไรไป เจ้าหญิงแคธรีนก็ไม่ต้องหายกันพอดีสิคะ”

“นั่นเขาเป็นผู้ชาย แต่เจ้าเป็นผู้หญิง ข้าจะปล่อยให้ไปทำเรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนั้นได้ยังไง” เจ้าชายกันนาร์โต้กลับ ไม่ยอมแพ้

“ไม่รู้ล่ะก็น้องอยากไปนี่ น้องไม่ปล่อยให้เมลไปเสี่ยงอันตรายคนเดียวแน่นอน”

“เอาล่ะรู้แล้ว ถ้างั้นข้าไปเองเจ้าไม่ต้องไป” พี่ชายสรุป

“ไม่เอา น้องไม่ให้พี่กันนาร์ไป”

“เอ๊ะ ถ้าไม่ให้ข้าไป แล้วจะให้ใครไป”

“ข้าเอง” เสียงทุ้มกังวานเต็มไปด้วยอำนาจช่วยตัดสินให้

นักบวชรูปงามยิ้มแหย...ชักจะไม่สนุกเสียแล้วสิ

“เอ่อ กระหม่อมขอเดินทางคนเดียวดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ อย่าให้ต้องลำบากคนอื่นเลย”

“ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนี่” หญิงรับใช้ประจำวิหารปรายตามองนักบวชหนุ่มเหมือนจะจับผิด “หรือว่าท่านเต็มใจจะเดินทางไปกับเจ้าหญิงกาอิยาห์เท่านั้น”

“ไม่ใช่” คนในชุดนักบวชกระชากเสียง “ข้าแค่ไม่อยากเดินทางร่วมกับ..”

“ข้า..” เอลลี่ต่อประโยคนั้นจนจบพร้อมกับคลี่ยิ้มดุดัน ดวงตาคมกริบของนางวาววับด้วยแรงอารมณ์ “ดีมากท่านนักบวช ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางไปลัสเตอร์สโตนด้วยกันแต่เช้า!”




angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.พ. 2556, 08:40:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.พ. 2556, 08:51:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1670





<< ตอนที่ 6   ตอนที่ 8 >>
ชลวารี 6 ก.พ. 2556, 15:57:40 น.
ขอบคุณนะคะที่มาต่ออีก
สงสัยอีกแล้ว อย่าเพิ่งเบื่อนะคะว่าสงสัยเยอะจัง
เจ้าหญิงแคทรีนเป็นใครคะ
เดาว่าได้รับพิษแทนองค์ราชารึเปล่าคะ ถ้าใช่แล้วไปโดนคำสาปจากไหน แล้วถ้าเป็นพิษนั้นทำไมไม่ตายภายในสองวันล่ะคะ
เอ่อแล้วสาวใช้ทำไมออกคำสั่งได้ คือไม่มีคำลงท้ายการพูดเลย เมลของเรายังพูดสุภาพกว่าอีกค่ะ เมลไม่สงสัยหรอ ไม่รวมกับที่เจ้าชายกันาเกรงจะคะ


angelK 6 ก.พ. 2556, 19:23:57 น.
เจ้าหญิงแคธรีนเป็นใครจะมีเฉลยในตอนต่อๆ ไปค่ะ (อันที่จริงในตอนต้นเรื่องได้บอกไว้แล้ว แต่บังเอิญว่าตัดออกไปเนื่องจากการรีไรท์ค่ะ แหะ แหะ) เจ้าหญิงได้รับพิษแทนองค์ราชาถูกแล้วค่ะ ที่ไม่ตายเพราะว่าถูก 'ช่วย' ให้กลายเป็นหินเสียก่อน เหมือนกับฟรีซไว้น่ะค่ะ คนที่ 'ช่วย' ทำให้เจ้าหญิงแคธรีนเป็นหินคือเจ้าหญิงกาอิยาห์ของเรานั่นเอง อันนี้มีพูดไว้นิดนึงตอนกันนาร์พาเมลไปเข้าเฝ้าองค์ราชาค่ะ

ส่วนการพูดจาของสาวใช้ อืมมม ไม่ได้คิดเลยค่ะ 555 เพราะอันที่จริงแล้วสาวใช้คนนั้นคือ.. (ถ้าอ่านตอนนี้ไม่เก็ตรออ่านตอนหน้านะคะ น่าจะเกตแล้วละ) เมลก็คงสงสัยเหมือนที่คุณชลวารีสงสัยแหละค่ะ เพียงแต่เธอไม่ได้แสดงออกเท่านั้นเอง

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ


angelK 7 ก.พ. 2556, 08:53:29 น.
หลังจากทบทวนดูแล้ว เลยแอบเพิ่มบทสนทนาของสองพีึ่น้องเล็กน้อย เพื่อลดข้อสงสัยว่าเจ้าหญิงแคธรีนไปโดนคำสาปจากไหนค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account