พักตร์อสูร
ชีวิตปกติสุขของเธอต้องสิ้นสลาย เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในร่างของเด็กหญิงคนหนึ่ง โชคชะตาหรือเวรกรรม ทำให้มาโผล่ในสถานการณ์ผัว1เมีย6 แถมต้องสู้รบเพื่อเอาตัวให้รอดอีก “ขอชีวิตเก่าฉันคืนมาเถิด”
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 8 (ครึ่งหลัง)



ได้อ่านทุกคอมเม้นท์อย่างครบถ้วน อ้อยต้องขอขอบพระคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ นักอ่านทุกท่านที่ได้บอกเล่าความรู้สึกให้ได้รับรู้นะคะ ขอบพระคุณจากใจค่ะ


รักเสมอนะจ๊ะ...

อ้อย / สุชาคริยา



หมายเหตุ.- มาอัพอีกทีวันเสาร์นะคะ จุ๊บๆ





----------------------------------------------------------------------------------------------






ดวงอาทิตย์ลาลับได้ไม่นาน สิ่งที่เฝ้าระวังก็มาถึง เสียงหวีดร้องเริ่มดังขึ้นเคล้าเสียงโห่และเสียงหวีดแหลมของม้าผู้บุกรุกชวนใจหวิวยิ่งนัก แม้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อุษามันตราเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ระทึก แต่หัวใจก็เต้นรัวไม่น้อยเมื่อจำนวนโจรมากกว่าครั้งแรกที่บ้านแปะกวง เพราะพวกนี้ล้วนเตรียมตัวพร้อมในระดับหนึ่งไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าปล้นทั้งหมู่บ้าน และที่นี่...ไม่ใช่หมู่บ้านแรก

บ่าวในมนสิการประจำตำแหน่งตามที่เธอสั่ง แสงไฟสีส้มที่เห็นอยู่ลิบๆ ทางท่าวัดคุ้งเหนือบ่งบอกให้รู้ว่ามีการปล้นและเผาเรือนเจ้าทรัพย์ที่ขัดขืน ณ จุดใด ไม่รู้ว่ามีใครบาดเจ็บจนถึงตายหรือไม่ แต่อุษามันตราไม่กลัวความตายนั่นสักนิด ห่วงแต่ความปลอดภัยของท่านโชติระเสและคนของมนสิการมากกว่า

ตอนนี้เธออยู่ในที่ปลอดภัย บ่าวชายสองคนอยู่เป็นผู้คุ้มกัน ส่วนคุณพ่ออยู่ด้านล่าง ซ่อนตัวอยู่ในความมืดตรงที่แห่งหนึ่ง

ความโกลาหลเริ่มใกล้เข้ามา อุษามันตรารู้ว่ามือของตัวเองเย็น สาเหตุหนึ่งก็เพราะอยู่ในตำแหน่งรับลมที่แม้จะมีผ้าสีดำคลุมไว้ก็ตาม ความหนาวเย็นก็ยังพัดปะทะ เช่นเดียวกับบ่าวชายทั้งสองพรางตัวด้วยผ้าสีดำอยู่ข้างๆ ซ้ายขวาในจุดเดียวกัน สายตาเหลือบแลโลหะทรงเหลี่ยมที่เอามาประกบหน้าหลังเพื่อกันลม กันแสง แต่ก็ไม่ให้ดับ และไม่ให้คนนอกเห็นของบางสิ่งที่เตรียมเอาไว้ เพราะหากสิ่งนี้สูญเสียไป ก็หมายความว่าแผนทั้งหมดล่มแน่นอน

มาแล้ว... เสียงฝีเท้ามาวิ่งเข้ามาใกล้แล้ว

ไม่นานนักกลุ่มคนวัยฉกรรจ์จำนวนหนึ่งไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนมุ่งตรงเข้ามาในอาณาเขตมนสิการ พวกมันเข้ามาทางด้านหน้าที่เป็นทางเดินดินแดงผ่านเรือนใหญ่ซึ่งเชื่อมเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน ส่วนหนึ่งพากันกรูขึ้นไปบนเรือน อีกส่วนหนึ่งตรงมาที่หน้าโรงหล่อโลหะเพราะสว่างกว่าจุดอื่นโดยเฉพาะบางอย่างที่เห็นได้ชัดเจน

“ไปเรียกสหายเสือมาที่นี่”

คำสั่งจากคนที่น่าจะเป็นหัวหน้าตะโกนบอก สายตาของมันวับวาวเมื่อมองดูข้าวของมีค่าที่กองไว้ภายใต้หลังคาโรงหล่อโลหะ สายตาของมันกวาดมองรอบด้านอย่างระแวดระวังครู่หนึ่ง มันลงจากหลังม้าเมื่อพวกที่ขึ้นเรือนใหญ่ก่อนหน้านั้นเข้ามาสมทบ

หัวหน้าโจรหัวเราะดังก้อง เดินเข้ามาใกล้โรงหล่ออย่างเชื่องช้าใจเย็น

“นี่นะรึ โรงหล่อโลหะมนสิการแห่งมิถิลาอันเลื่องชื่อ” มันกวาดตามอง “ช่างน่าอนาถใจนัก โชติระเสช่างไร้สามารถ เก่งแต่หลงหญิงแลอบายดังข่าวบอก ช่างน่าละอายเสียจริง แค่ได้ยินข่าวปล้น ก็เอาทรัพย์มากองไว้แต่โดยดี ตัวรึ... หึหึ รีบหนี มิห่วงเรือน ช่างน่าขันยิ่งนัก”

ลูกน้องทั้งหลายหัวเราะรับคำพูดโจรหัวหน้า พวกมันพากันเดินตามเข้ามาช้าๆ อย่างย่ามใจ สีหน้าท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่ยังมีอีกรอยยิ้มหนึ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า จนไม่น่าเชื่อว่าเป็นรอยยิ้มของเด็กน้อยวัยหกขวบ

อุษามันตราเห็นทุกสิ่ง มือสะกิดบ่าวทั้งสอง เมื่อความเคลื่อนไหวของพวกมันเกือบทั้งหมดเข้ามาในเขต ‘ตาย’ ที่กำหนดไว้

ทันใดนั้น ธนูไฟสองดอกก็ถูกยิงออกไปพร้อมกันจากหลังคาโรงหล่อโลหะ ดอกหนึ่งตกลงที่กองฟางสุมฟืน อีกดอกหนึ่งก็ตกลงพื้นตามตำแหน่งประหนึ่งจับวาง เส้นราดน้ำมันขนาดกว้างไฟลุกพรึบ แสงไฟจากกองเพลิงโชติช่วงชัชวาลขึ้นฉับพลัน ความร้อนที่พวยพุ่งนั้นทำให้โจรไร้สติวิ่งเบียดเข้าหากลุ่ม

อุษามันตราเหยียดยิ้มอย่างพึงพอใจ พวกมันร้องโหวกเหวกโวยวายเมื่อไม่สามารถหลุดจากกรอบเพลิงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ซึ่งมีแต่เปลวเพลิง

อุษามันตราเห็นว่าถึงแก่เวลาที่สมควรจัดการ สัญญาณเสียงจากหลังคาโรงหล่อโลหะก็ดังขึ้น

ทันใดนั้น พื้นดินก็มีบางอย่างผุดขึ้นมา เชือกตาข่ายตาใหญ่ ขนาดเล็กกว่าเส้นวงไฟโผล่ขึ้นฉับพลัน เสียง ‘ฮึ่ย!’ ดังพร้อมกันเมื่อสิ่งที่ซุกซ่อนใต้ผืนดินพลิกขึ้น ร่างดำทะมึนบึกบึนของชายกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงไฟ เนื้อตัวดำเพราะผงถ่าน ดูน่าครั่นคร้ามยิ่งนัก

ร่างสูงใหญ่ของนายช่างโชติระเสกำลังดึงเชือกและตะโกนสั่งการ ให้สัญญาณคนที่เหลือดึงเชือกมุมทั้งสี่ขยับตามตำแหน่งกำหนดไว้ ใช้จำนวนคนสามถึงสี่คนดึงเชือกต่อเส้น พวกโจรร้องเสียงหลงไม่หยุด บ่าวสองคนวิ่งไปจุดไต้

บัดนี้ มนสิการสว่างไสวขึ้นกว่าเดิมตั้งแต่เรือนใหญ่เป็นต้นมาจนถึงโรงหล่อโลหะ โดยเฉพาะหน้าโรงหล่อตอนนี้ เปลวเพลิงสว่างโชติช่วงกว่าจุดใด ไอร้อนพวยพุ่งปะทะใบหน้าให้รู้สึก บ่าวสองคนที่อยู่กับเธอตรงนี้ยิงธนูเข้าใส่โจรบางคนหลงอยู่นอกกลุ่มในจุดที่ไม่เป็นอันตราย บ้างก็ปักเข้าตรงต้นขา บ้างก็ที่เท้า บ้างก็ถูกรุมทุบด้วยไม้เนื้อแข็ง บ่าวชายสามคนของมนสิการรีบเทน้ำดับไฟตามหน้าที่ เหลือความสว่างจุดใหญ่ก็คือกองฟืนและไต้

อุษามันตรามองทุกอย่างได้ถนัดตาบนจั่วหลังคาโรงหล่อโลหะ ความสูงนั้นน่าตกใจเมื่อมองลงไป ทว่านั่นก็ทำให้เห็นทุกอย่างได้ชัดเจน

ร่างเล็กยืนเห็นเด่นชัด แสงไฟด้านล่างกระทบใบหน้าน่ารักที่มีเพียงความนิ่งเฉย อุษามันตราฝ่าฝืนความเชื่อบางอย่างของสังคม แต่นั่นก็ทำให้รักษามนสิการได้อย่างตั้งใจ ทุกคนทำตามแผนจนได้ผลออกมายอดเยี่ยมอย่างที่เห็น

บันไดลิงถูกพาด โชติระเสขึ้นไปรับลูกลงมา ในใจของเขาส่วนหนึ่งโล่งอกที่เป็นไปตามความคาดหมาย ส่วนอีกใจก็อดครั่นคร้ามมิได้เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของคนในอ้อมแขน อุษามันตราไม่ได้มีความกลัวในแววตาสักนิดเมื่อเขาเงยขึ้นมองชั่วขณะหนึ่งจนรู้สึกกริ่งเกรงในส่วนลึกไม่ได้ บางอย่างในตัวของลูกเขาไม่อาจบรรยายออกมาให้เป็นถ้อยคำ โชติระเสให้อุษามันตราเกาะหลัง แล้วค่อยๆ ไต่ลงมา

บัดนี้ ชายรูปร่างกำยำนุ่งผ้าถกเขมรเพียงชิ้นเดียวบนเรือนกายนับสามสิบคนได้รายล้อมเด็กหญิงคนหนึ่งในอ้อมแขนของนายช่างใหญ่โชติระเสแห่งมนสิการ ใบหน้าของทั้งสองละม้ายคล้ายกัน โดยเฉพาะเมื่อทั้งคู่ต่างนิ่งขรึม

อุษามันตรามองตาข่ายจุคนจนตุง ห้อยต่องแต่งจากคานด้านหน้าของโรงหล่อ ซึ่งก่อนนี้ได้ใช้ไม้เนื้อแข็งและอุปกรณ์บางอย่างค้ำยัน

พวกโจรมันคงลืมไป ว่าที่นี่... อุปกรณ์หลายอย่างสามารถประยุกต์ใช้โดยเฉพาะเครื่องทุนแรงเมื่อต้องแบกและเคลื่อนย้ายระฆังยักษ์อันเป็นงานเลื่องชื่อของมนสิการ คนของที่นี่ต้องใช้แรงงาน แม้ท่านโชติระเสไม่ได้ดูแลใกล้ชิดเช่นเมื่อครั้งท่านมหิทธิคุณายังอยู่ แต่ก็มีเธอคอยควบคุม อาจมีคนงานหรือบ่าวที่ขี้เกียจ แต่ก็ใช่ว่าจะหยุดทำงานได้ เมื่อมนสิการมีงานไม่ขาด เพียงแต่กำไรไม่มากหรือแทบไม่มีเพราะปัจจัยอื่น นั่นจึงไม่แปลกที่บ่าวและคนงานในโรงหล่อโลหะย่อมจะมีร่างกายแข็งแกร่งมากกว่าคนทั่วไป และไม่สะทกสะท้านกับจำนวนคนที่มีน้ำหนักน้อยกว่าโลหะหลายตันเมื่อต้องดึงกับดักในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้

ส่วนตาข่ายนั้นไม่ยากเกินไปสำหรับการสานเชือกเส้นหนา ใช้เวลาไม่เกินครึ่งก้านธูปก็ทำเสร็จ เช่นเดียวกับคานไม้ค้ำน้ำหนักหน้าโรงหล่อที่ปรับเปลี่ยนเป็นอุปกรณ์ค้ำยันตามตำแหน่งที่เธอออกแบบ ซึ่งถ้าหากไม่ใช่คนในมนสิการ ก็ไม่อาจเห็นความผิดปกติของจำนวนเสาบริเวณหน้าโรงหล่อโลหะนี้เลย

ความโลภ...ทำให้ลืมตัว ความผยองและทำร้ายคนอ่อนแอจนเคยชิน...ทำให้ประมาท ซึ่งนั่นเป็นจุดอ่อนที่พวกมันไม่รู้...ว่าเธอรู้ จะเหลือเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ต้องรอเวลาค้นหาเพื่อความแน่ใจ

‘ตัดบัวอย่าให้เหลือใย ตัดไม้ไม่ให้โตก็ต้องขุดรากถอนโคน ซึ่งเธอกำลังพยายามจัดการตามหาอยู่’

โชติระเสกอดอุษามันตราไว้แน่น เขาสั่งการให้บ่าวไปเชิญนายบ้านหรือผู้นำชุมชนซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่ากับกำนัน ว่าบัดนี้ได้จับโจรตุมหังและพวกไว้เรียบร้อยแล้ว ทรัพย์สินมีค่าใดที่ถูกปล้นมาก่อนหน้านี้ ขอให้ชาวบ้านผู้เป็นเจ้าทรัพย์มาที่มนสิการ พร้อมกับให้ส่งสัญญาณปลอดภัยไปยังวัดหัวคุ้งน้ำซึ่งไม่ไกลจากที่นี่

เสียงโหวกเหวกอ้อนวอนของเหล่าโจรฟังไม่ได้ศัพท์ เธอกระซิบกับท่านโชติระเสว่า

“คุณพ่อเจ้าข้า หากเราปล่อยพวกเขาไป จักดีหรือไม่เจ้าข้า”

สายตาของโชติระเสแสดงเป็นคำถามโดยไม่พูด ว่าเหตุใดเธอจึงกล่าวเช่นนั้น อุษามันตราจึงบอกไปว่า

“ถ้าจับส่งทางการ พวกเขาจะถูกประหาร ลูกสงสารพวกเขา คงมีลูก มีแม่ มีเมีย มีคนที่ต้องดูแลอยู่ข้างหลัง” เธอมองไปที่กลุ่มโจรในตาข่าย แล้วเอ่ย... “ถ้าเป็นเราบ้าง คงอยากได้โอกาสกลับตัวนะเจ้าข้า”

นั่นก็เพราะเธอรู้ว่าในสังคมนี้ ผู้คนส่วนมากกลัวบาปกรรม คนที่กล้าเป็นโจรปล้นทั้งหมู่บ้านนั้นไม่มากก็น้อยย่อมหมายถึงคนหมู่มากของตนกำลังเดือดร้อนและไม่มีทางออกเมื่อเห็นกันอยู่ว่าภัยแล้งได้กระทบทุกผู้คนแม้แต่มนสิการ นั่นจึงทำให้เข้าใจถึงเหตุผลแห่งการกระทำได้บ้าง มากกว่านั้นคือเธอไม่อยากก่อเวรผูกกรรมกับใคร

ท่านโชติระเสนิ่ง มองไปยังกลุ่มคนที่เบียดอัดในตาข่ายห้อยต่องแต่งอยู่ตรงคานโรงหล่ออีกครั้ง ก่อนจะหันหน้ากลับมาหาเธอ พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาให้รู้กันสองคนว่า

“เจ้าเห็นควรเช่นไร จงว่าไปแต่ใจเจ้าเถิดอุษามันตรา ทรัพย์สินของมนสิการยังอยู่ครบ แลยังได้ทรัพย์ของชาวบ้านกลับคืน พ่อก็มิว่ากระไรดอก ถึงมีเสียหายบ้าง แต่มิต้องฆ่าแกง ก็นับว่าเป็นบุญของเจ้า ที่ได้ให้อภัยทานในครานี้ลูกเอ๋ย”

“เจ้าข้า”

เมื่ออุษามันตรารับคำ โชติระเสจึงหันไปตะโกนถามพวกโจรว่า

“พวกเจ้าอยากตายใช่รึไม่ จึงได้ทำเช่นนี้”

เสียงมากมายตะโกนตอบ พอจับใจความได้ว่า

“ไม่ๆๆ ได้โปรดๆ เถิดเจ้าข้านายท่าน โปรดอภัยให้แก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิดเจ้าข้า ข้าพเจ้ายังมีแม่ แลลูกเมีย ขอได้โปรดละเว้นข้าด้วยเจ้าข้า”

ถ้าหากประโยคนี้ใช้ในในโลกเก่าที่อุษามันตราจากมา เธอคงมีหัวเราะงอหงาย และจะเติมประโยคต่อมาให้ด้วยว่ามีลูกสี่เมียสอง พ่อตาอีกต่างหาก เดือดร้อนมาก ถึงได้กล้าทำ แต่สิ่งที่คิดนั้นใช้กับโลกแห่งนี้ไม่ได้ สังคม ประเพณี วัฒนธรรม ที่ดำรงความซื่อสัตย์ นับถือสัจจะ และกลัวบาปกลัวเวรเธอย่อมรู้ดี นั่นจึงทำให้ใจอ่อนลงกว่าก่อนหน้านี้ที่มีความสงสารอยู่แล้ว

โชติระเสก็เหมือนรู้ว่าอุษามันตราต้องการสิ่งใด เขาจึงพูดออกไปว่า

“บุตรีของข้าต้องการให้ปล่อยตัวพวกเจ้าด้วยสงสาร แลเห็นว่าลำเค็ญจริง จึงจักปล่อยพวกเจ้าไป มิส่งให้ทางการประหาร แต่พวกเจ้าจงให้คำสัตย์ จงอย่าได้กลับมามนสิการอีก ข้า...โชติระเส บุตรท่านมหิทธิคุณาแห่งมนสิการเมืองมิถิลา บุตรีของข้าอุษามันตรา จักละเว้น แลอภัยแก่พวกเจ้า พวกเจ้าจักให้คำสัตย์รึไม่”

“เจ้าข้าๆ นายท่านโชติระเส แม่นายน้อยอุษามันตรา ข้าพเจ้าให้คำสัตย์เจ้าข้า”

หลายเสียงดังประสานกันมารู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็พอเข้าใจ โชติระเสจึงพูดต่อว่า

“เมื่อใดพวกเจ้าคิดร้ายต่อมนสิการ ขอให้ตายในสามวันเจ็ดวัน!”

“เจ้าข้าๆ”

ร้องรับกันเซ็งแซ่ลนลาน โชติระเสพยักหน้าให้บ่าวชายไปปลดเชือก กลุ่มโจรร่วงกองกับพื้น บ้างก็นอนแน่นิ่ง

“คงขาดอากาศหายใจเจ้าข้าคุณพ่อ อาจตายได้”

โชติระเสสั่งให้บ่าวเข้าไปช่วยดู เพราะจังหวะที่ดึงตาข่ายขึ้นไป ย่อมมีการเบียดทับเหมือนปลาถูกลากอวน คนไหนที่อยู่ตรงกลางก็ซวยมากกว่าคนอื่นโดยปริยาย

‘เกือบฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาแล้วสิ’ เธอนึก

และเมื่อเห็นว่าพวกโจรพอจะได้สติ บ้างลุกนั่งโงนเงน บ้างหายใจหอบ โชติระเสจึงพูดว่า

“พวกเจ้ารีบไปแต่ไว หากช้ากว่านี้ สิ่งที่ข้าและลูกสาวตั้งใจ คงมิอาจรักษาชีวิตพวกเจ้าได้ทันกาล”

กลุ่มโจรทั้งหลายที่ยังมีแรงดี ยังพอมีแรง และยังระทดระทวยปวกเปียกก้มลงกราบแทบพื้น อุษามันตราเห็นภาพเหล่านี้ก็ได้แต่สะท้อนใจ จึงกล่าวออกไปว่า

“มนสิการหาได้อ่อนแอเช่นพวกเจ้าดูแคลนไม่ ดั่งสายตาได้ได้ประจักษ์ บิดาของข้า...โชติระเส หาใช่ผู้หลงในอบาย จงแก้ข่าวนี้แก่พวกพ้องและสายของเจ้า อย่าได้ทำการอุกอาจเช่นนี้กับมนสิการอีก ข้าไม่อยากทำบุญให้ทานชีวิตคนบ่อยนัก”

เสียงของเด็กน้อยแต่เต็มไปด้วยอำนาจและความหนักแน่นทำให้เหล่าโจรต้องจ้องมอง คำพูด... น้ำเสียง... ผิดกับร่างกายในอ้อมแขนของท่านโชติระเสยิ่ง แต่ละคนได้แต่ก้มกราบแทบพื้นและเอ่ยรับคำ

ชื่อเสียงของแม่นายน้อยอุษามันตรานั้นหาใช่เพียงแค่เก่งการงาน แต่ทุกอย่างที่ได้พบเจอกับตนเองในวันนี้ ก็ทำให้รู้ว่าที่นี่... ไม่ใช่อย่างที่คิดอีกต่อไป

พวกโจรต่างพากันกลับด้วยสภาพสะบักสะบอมเกินกว่าคาดไว้ แม้ไม่มีบาดแผลใดๆ แต่การขาดอากาศหายใจ มันก็ทำให้เรี่ยวแรงหดหายได้มากพอสมควร คนไหนมีแรงก็ขี่ม้าไป คนไหนหมดแรงก็ซ้อนไป

“เอาม้าของพวกเจ้ากลับไปให้หมด มนสิการมิจำเป็นต้องใช้ พวกเจ้าเดือดร้อนมากพอแล้ว”

นี่คือคำพูดของเด็กหญิงวัยหกขวบที่ทำให้คนฟังสะอึกอีกครั้ง ทั้งที่มาปล้น มาทำร้าย แต่กลับถูกเว้นชีวิตและให้โอกาสอย่างมิควรจะเป็น ซึ่งหากถูกจับได้ ณ จุดอื่นซึ่งไม่ใช่มนสิการ แม้แต่หัวก็คงไม่ได้เอากลับเรือน

“เกิดเป็นคน ก็ต้องมีทั้งพระเดชพระคุณ ต้องมีเมตตาให้มากเจ้าข้า...คุณพ่อ” อุษามันตรากระซิบบอก สายตามองกลุ่มโจรที่ค่อยๆ หายไปในความมืด

โชติระเสหันมา เขากอดลูกแน่นกว่าเดิม นี่ใช่หรือไม่ ที่พระคุณเจ้าได้บอกไว้ว่าลูกคนนี้ หากมีชีวิตพ้นวันครบรอบสามขวบปี หากไม่ตาย ก็จักเป็นที่พึ่งของพ่อ แม่ และคนในตระกูล

บัดนี้... เขาได้เห็นแก่สายตา ประจักษ์ชัดแก่หัวใจ บอกตนเองว่าดูแคลนลูกไม่ได้ว่าเป็นเด็กหญิง และเขาจะรักษาลูกคนนี้ยิ่งชีวิต

“ขอบใจเจ้านัก อุษามันตราลูกพ่อ ขอบใจ...”

ร่างน้อยๆ นั้นดันตัวเองออกมา จ้องหน้าโชติระเส รอยยิ้มสดใสมอบให้ ผิดกับก่อนนั้นที่นิ่งขรึมราวคนละคน

“ลูกก็รักคุณพ่อเจ้าข้า”

กลับมาเป็นอุษามันตราที่น่ารักคนเดิมอีกครั้งก่อนจะโผกอด แนบใบหน้าไว้กับบ่ากว้าง กอดในแบบที่จะเอื้ออำนวย

โชติระเสได้แต่สูดดมที่ศีรษะของลูกเท่านั้นเพื่อบอกความรู้สึกทั้งหมดในใจ ความรัก... ความไว้ใจ... ความชื่นใจ... ความเชื่อใจ... ล้วนอยู่ในอ้อมแขนของเขานี่แล้ว

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -




สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.พ. 2556, 13:02:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.พ. 2556, 13:33:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 2591





<< บทที่ 8 (ครึ่งแรก)   บทที่ 9 (1/3) >>
jink 7 ก.พ. 2556, 13:32:04 น.
ซึ้งมากๆ อ่านแล้วขนลุก อุษา เก่งที่สุด 555 ว่าแต่สงสัยจริงใครเป็นสายกันนะเนี่ย


Chii 7 ก.พ. 2556, 14:15:14 น.
รู้สึกถึงชัยชนะเหนือลูก ๆ ที่เหลือ


Auuuu 7 ก.พ. 2556, 14:17:09 น.
อุษามันตราทำสำเร็จแล้ว เย้ๆ ทำให้คุณพ่อรัก และแผนการก็สำเร็จไปได้ด้วยดี ว่าแต่ใครกันที่เป็นหนอนบ่อนไส้ ???


omelate 7 ก.พ. 2556, 14:18:37 น.
ตื่นเต้นแทบแย่ รออ่านตอนต่อไปอยู่เจ้าขา...


ปิงปิง 7 ก.พ. 2556, 14:25:58 น.
สนุกมากค่ะรอตอนต่อไปอยู่นะคะ


konhin 7 ก.พ. 2556, 14:54:11 น.
ต่อไปก็จับหนอนนนน เอาไปคั่วร่วมกันเป็นรถด่วนทอดด
เก่งจัง
ว่าแต่ทำบุญชีวิตแบบนี้ ใช้ไม่ได้กับคนที่ไม่มีจิตสำนึกนะเจ้าคะคุณหนูอุษา


supayalak 7 ก.พ. 2556, 15:21:18 น.
เริ่ดมากกกกกค่ะ ช้อบบบบบสุดๆ เก่งจังเลยนึกไม่ถึงเลยว่าจะแก้เกมได้เก่งขนาดนี้


โซดา 7 ก.พ. 2556, 16:05:28 น.
ซึ้ง มากเลยคะ


nunoi 7 ก.พ. 2556, 16:21:46 น.
โอ๊ยยย ซึ้งมากก อุษาน้อยเก่งจริงๆ


ทราย 7 ก.พ. 2556, 17:28:41 น.
เพิ่งมีโอกาสได้อ่านค่ะ เขียนได้ดีมากๆ ชอบมากๆค่ะ


แว่นใส 7 ก.พ. 2556, 19:02:00 น.
จะเป็นอย่างไรต่อไปนะ


แล่นแต๊ 7 ก.พ. 2556, 20:15:21 น.
ชื่อเสียงเลืื่องลือไปไกลแน่ๆเลย แล้วปล่อยโจรไปแบบนี้จะไม่เป็นการปล่อยเสือเข้าป่าหรือคะ


crossbear 7 ก.พ. 2556, 20:59:42 น.
น่ารักจังเลยยยยยยยย


Pat 7 ก.พ. 2556, 22:39:35 น.
สุดยอด. แต่เดี๋ยวจะยิ่งเลื่องลือความสามารถของอุษามันตราหรือเปล่า เดี๋ยวมีใครมาขอพิสูจน์หรืออยากจะได้ตัวขึ้นมามันจะยุ่งนา.


ใบบัวน่ารัก 7 ก.พ. 2556, 23:28:11 น.
เก่งมาก
ทำให้ต้องไปดู3ก๊ก วางแผนการรบ
การเจรจาให้มาก


แพม 8 ก.พ. 2556, 00:09:47 น.
อุบายปิดประตูตีแมวนี่เอง


PiNVE 8 ก.พ. 2556, 09:47:35 น.
สุดยอด


เรือใบ 8 ก.พ. 2556, 12:18:06 น.
เจ๋งมาาก อีหนูเอ๊ยยย


bansoi4 8 ก.พ. 2556, 20:04:19 น.
จะขอรออ่านผลงานดี ๆของคุณอ้อยนะคะ สู้ ๆ คะ


อริสา 9 ก.พ. 2556, 01:23:41 น.
มีให้ลุ้นตลอดเลยโล่งอกไปอีกเปลาะ สนุกมากค่ะ


ree 9 ก.พ. 2556, 07:47:13 น.
แอบไม่ชอบใจกลุ่มโจรป่าอ่ะ รู้สึกว่าถ้าปล้นเพราะจำเป็นจริง ก็ไม่เห็นต้องกร่างขนาดนี้ (ขนาดมาถากถางเจ้าบ้านแถมหัวเราะกันทั้งหมู่
นายน้อยอุษาในตอนนี้น่ากลัวชวนขนลุกเลยทีเดียว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account