รำพันเสน่หา
เมื่อดวงใจพร่ำรำพัน ถึงคืนวันที่เคยชิดใกล้
แม้อยู่เหนือสุดแคว้นแดนไกล จะตามไปทวงรักกลับคืนรัง
แม้อยู่เหนือสุดแคว้นแดนไกล จะตามไปทวงรักกลับคืนรัง
Tags: รักโรแมนติก
ตอน: ตอนที่ 4 สาวน้อยของสราวลี
สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านที่น่ารัก(ยังจำกันได้ไหมเอ่ย อิอิ)
จากที่ห่างหายกันไปเสียนาน
รำพึงรำพันกันเสียจนกลายเป็นดองเค็ม
ตอนนี้รำพันเสน่หาก็ได้เวลาออกมาโลดแล่นอีกครั้งหนึ่งแล้วค่ะ
..................
***อ้อ วันนี้เอานิยายเรื่องใหม่ล่าสุด ในนามปากกา "กระต่ายหมายจันทร์"
เรื่อง "ประกาศิตนางฟ้า" มาแจกสองเล่มนะคะ
จะจับฉลากตามรายชื่อความเห็นทั้งหมดที่ปรากฏในตอนนี้ค่ะ
และจะประกาศผลที่ตอนถัดไปของเรื่องนี้นะคะ^^***
ขอบคุณสำหรับการติดตามที่ผ่านมา
และหวังว่าจะติดตามกันต่อไปค่ะ
....ญาณนันต์
บทที่ 4 สาวน้อยของสราวลี
สราวลีก้าวลงบันไดมาอย่างไม่รีบร้อน ไม่แสดงพิรุธใดๆ ให้ลภัสรดากับคุณวิกานต์ดาผิดสังเกตเมื่อตรงเข้าไปในห้องเลี้ยงเด็กอ่อนซึ่งเชื่อมกับห้องรับแขก ลภัสรดายังมีท่าทีมึนตึงใส่เธออยู่บ้างเมื่อยื่นมือเข้าไปขออุ้มคนตัวเล็กกระจ้อยที่หลับอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ซึ่งไม่ยอมวางลงในเตียงที่มีคอกกั้นสำหรับเด็กทารกแต่กลับอุ้มเอาไว้กับอกตัวเอง
“ลงมาได้แล้วสินะ” ลภัสรดาประชดเสียงเบาเพราะกลัวหนูน้อยจะตกใจตื่นขณะส่งให้สราวลีอุ้มแทน
“เฮ้อ...” สราวลีไม่พูดอะไรนอกจากพ่นลมหายใจออกมาพลางส่ายหน้าน้อยๆ เธอเขย่าอ้อมแขนพร้อมกับตบฝ่ามือลงที่ก้นของคนในอ้อมกอดเบาๆ เป็นการปลอบประโลมเมื่อแม่หนูทำท่าว่าจะตื่นเพราะแม้ลภัสรดาจะพูดเสียงเบาปานใดแต่การถูกเปลี่ยนมือคนอุ้มก็ทำให้คนที่หลับอยู่นั้นถูกรบกวนได้เหมือนกัน
“ถอนหายใจ! หมายความว่าไงไม้หอม” ลภัสรดาถลึงตาให้ขณะเอ่ยถามเสียงห้วนที่พยายามกดไว้ให้เบาที่สุด
“เบื่อน่ะสิ เบื่อคนขี้งอน” สราวลีตอบกลับเสียงเรียบไม่บอกอารมณ์
ลภัสรดาหน้าตึงขึ้นมาอีก ก่อนจะสะบัดหน้าพรืดออกจากห้องนั้นไปทันที สวนกับคุณวิกานต์ดาที่กำลังจะมาตามลูกสาวไปช่วยทำกับข้าวในครัวพอดี
“อ้าว...ไปไหนน่ะรดา ไม่ช่วยแม่ทำกับข้าวก่อนหรือ” คุณวิกานต์ดาร้องตามหลังลูกสาวเมื่อเห็นว่าเดินดุ่มๆ ขึ้นชั้นบนไปแล้ว
“ช่างเถอะค่ะแม่ เดี๋ยวหนูช่วยเอง” สราวลีบอกแล้วก็ทำท่าจะวางหมูหวานลงนอนในเตียงคอก แต่คุณวิกานต์ดากลับบอกปัดเสียก่อน
“ไม่ต้องหรอก แม่ทำคนเดียวก็ได้ เพราะเดี๋ยวหมูหวานก็ตื่นแล้ว ได้เวลากินของเขาแล้วนี่”
คุณวิกานต์ดายังพูดไม่ทันขาดคำคนที่ ‘ได้เวลากิน’ ก็ร้องไห้จ้าขึ้นมาราวกับถูกเปิดสวิตซ์ เล่นเอาผู้เป็นยายถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความขบขันระคนเอ็นดู
“นั่นไง เจ้าหมูหวานมันร้าย หิวทีไรร้องไห้อาละวาดทุกที” คนที่มีศักดิ์เป็นยายยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะปลีกตัวเขาครัวไป
“ไงคะสาวน้อยของแม่ ร้ายนักหรือเราน่ะหือ?” สราวลีก้มลงพูดกับคนตัวเล็กในอ้อมแขนเสียงอาทร ที่ตอนนี้ร้องไห้เสียจนน้ำตาเลอะเปรอะเปื้อนไปทั่วดวงหน้าซึ่งพอซุกไซ้ใบหน้าเจอสิ่งที่คุ้นเคยเท่านั้นก็เงียบกริบ
เสียงดูดจ๊วบๆ ดังขึ้นเมื่อปากน้อยๆ ดื่มกินน้ำนมจากทรวงอกของมารดา ดูท่าว่าสาวน้อยของสราวลีจะหิวเอามากทีเดียวเพราะเมื่อน้ำนมไหลไม่ทันใจก็แผดเสียงร้องออกมาอีกจนคนเป็นแม่ต้องรีบอุ้มเปลี่ยนข้างเป็นการด่วน
“ร้ายจริงด้วย เด็กดื้อ” สราวลีหัวเราะน้อยๆ เมื่อพูดกับหนูน้อยขณะลูบศีรษะเล็กที่ชื้นเหงื่อให้อย่างอ่อนโยน
ลูกเป็นสิ่งเดียวที่เป็นเครื่องช่วยต่อลมหายใจของเธอในแต่ละวัน หากไม่มีคนตัวเล็กในอ้อมกอดนี่ สราวลีก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร และอยู่ไปเพื่ออะไร ช่วงเวลาที่ผ่านมาคงต้องบอกว่าเธอเจ็บหนักเอาการทีเดียว มันสาหัสเสียจนแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ ถ้าหากว่าจะไม่มีชีวิตน้อยๆ ของลูกมาช่วยเยี่ยวยาเอาไว้ เธอก็คงตรอมใจตายไปตั้งนานแล้ว
สราวลีรักลูก แม้ว่าแกจะเกิดขึ้นจากความผิดพลาดก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าพ่อของหมูหวานเป็นใครแม้กระทั่งคุณวิกานต์ดากับลภัสรดา แน่ล่ะในเมื่อตอนนั้นเธอเองก็ยังไม่ทราบเสียด้วยซ้ำไปว่าคนที่ปล้นความสาวของตนไปนั้นมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร เพราะหลังจากเกิดเรื่องเธอก็ไม่เคยย้อนกลับไปที่โรงแรมแห่งนั้นอีกเลย
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอในคืนนั้นจนเมื่อสราวลีตั้งครรภ์เรื่องทุกอย่างที่ตั้งใจจะเก็บไว้กับตัวจนวันตายจึงได้เปิดเผยออกมา และมันก็เป็นเรื่องที่น่าสมเพชที่สุดเมื่อเธอท้องไม่มีพ่อ ยังโชคดีที่มีมารดากับลภัสรดาคอยให้กำลังใจและปลอบโยนกันเรื่อยมาถึงได้ผ่านช่วงเวลาที่แสนทุกข์ระทมนั้นมาได้ แต่ก็ยากเย็นเหลือเกิน
หญิงสาวคอยๆ ไล่สายตามองดูลูกน้อยอย่างเพ่งพินิจ ผิวพรรณนี่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโตขึ้นคงจะขาวกว่าเธอแน่ ดวงตากลมโตที่ล้อมด้วยแพขนตางอนยาวซึ่งเกาะกันเป็นกระจุกเพราะน้ำใสๆ นั้นจ้องเธอไม่กะพริบเหมือนกำลังสงสัยว่าแม่จะมองอะไรนักหนา จนเธอต้องยิ้มอ่อนโยนใส่ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น
หนูน้อยกะพริบตาสองสามทีแล้วก็หลุบเปลือกตาลงไม่สนใจผู้เป็นแม่อีกนอกจากอาหารชั้นเลิศที่อยู่ตรงหน้านี้ ซึ่งแม้หมูหวานจะย่างเข้า 6 เดือนแล้ว แต่สราวลีก็ยังคงให้ลูกกินนมแม่อยู่นั่นเอง แม้จะลำบากในช่วงตอนกลางวันที่เธอจะต้องปั๊มนมแทบทุก 3 ชั่วโมงเพื่อเก็บไว้เป็นนมสต๊อกให้ลูกกินตอนที่เธอออกไปสอนหนังสือก็ตาม แต่เพื่อลูกรักแล้วสราวลีก็ยังมีความพยายามที่จะให้ลูกกินนมแม่ต่อไป
ตอนกลางวันหมูหวานจะกินนมสต๊อกที่เธอปั๊มเอาไว้โดยมีคุณวิกานต์ดาเป็นคนดูแล ส่วนตอนกลางคืนหมูหวานจะอยู่ในความดูแลของเธอ และโชคยังดีที่หนูน้อยยังยอมกินนมจากอกของแม่ และเพราะเธอเลี้ยงลูกแบบนี้มาตั้งแต่ต้นคือกลางวันให้กินนมสต๊อก กลางคืนกินนมจากอกของเธอ หมูหวานจึงเกิดความเคยชิน ทำให้ไม่เป็นปัญหาเมื่อเธอต้องออกไปสอนหนังสือ หรือว่าไปสัมมนาที่ต่างจังหวัดเป็นเวลาหลายวันดังเช่นเมื่ออาทิตย์ก่อน จะลำบากก็แต่ตัวเธอที่ไปไหนมาไหนก็จะต้องหิ้วกระเป๋าเก็บความเย็นและเครื่องปั๊มนมติดตัวไปด้วยตลอด แต่เพื่อลูกลำบากแค่ไหนก็ยอมได้ทั้งนั้น
“ยัยหนู...แม่รักหนูมากรู้ใช่ไหมลูก” เธอรำพึงออกมาเบาๆ ขณะก้มลงจรดริมฝีปากที่หน้าผากเล็กนั่น ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อลูกสาวตัวน้อยทำเสียงอืออาพร้อมกับปัดแขนไปมาเหมือนรำคาญที่ถูกขัดจังหวะการกินที่แสนสุข
“โตขึ้นจะเป็นยังไงนะ ขี้หงุดหงิดจริงนะเรา ไม่รู้ว่าได้นิสัยเสียๆ แบบนี้มาจากใคร” คุณแม่ลูกอ่อนอดค่อนคนเป็นลูกไม่ได้แต่แววตาก็ยังคงทอดมองด้วยความอาทรอยู่นั่นเอง แต่พักเดียวริมฝีปากที่ยิ้มแย้มอยู่นั้นก็ต้องเม้มเข้าหากันแน่น เมื่อพาลคิดไปถึงใครบางคนที่อยากจะลืมอย่างที่สุด
แต่ทว่าคงจะยากเสียแล้ว ก็เพราะใบหน้าเล็กๆ ในอ้อมแขนที่กำลังซุกไซ้ดูดดื่มน้ำนมจากทรวงอกอุ่นของเธอนี่เองที่คอยแต่จะตอกย้ำอยู่ทุกวัน ยิ่งตอนที่ได้เห็นหน้าเขาชัดๆ นั่นเธอก็ยิ่งสะท้อนในอกเพราะว่าถอดแบบกันออกมาไม่ผิดเพี้ยนทีเดียว โดยเฉพาะไฝเม็ดเล็กๆ ตรงปลายจมูกนี่
ฮึ! ถ้ายัยหนูโตขึ้นเธอจะพาลูกไปจี้ออกดีไหมนะ เพราะเห็นแล้วมันตำตาเหลือทน
“หนูก็ไม่อยากได้ใช่ไหมคะ ไอ้ไฝเม็ดเนี้ย” เธอเอ่ยเย้าหมูหวานทั้งที่แววตาตัวเองนั้นหม่นแสงลงไปนานแล้ว แม้ลูกจะคือความสว่างไสวในชีวิต แต่ถ้าความมืดดำเช่นเขาจะยังคอยตามมาหลอกหลอนอยู่แบบนี้ แล้วชีวิตของเธอจะยังสว่างไสวอยู่ได้อย่างไร
สราวลียังคิดไม่ตกว่าจะจัดการกับเรื่องที่กำลังเผชิญอยู่นี้อย่างไรดี เมื่อจู่ๆ คนที่เคยเป็นอดีตก็ย้อนกลับเข้ามาในวงโคจรของชีวิตเธออีกครั้งจนได้ และดูท่าว่าเขาจะไม่ยอมออกไปง่ายๆ เสียด้วย เธอไม่แน่ใจว่าเขาต้องการอะไรกันแน่กับการกลับมาครั้งนี้ เขาอาจจะจำเรื่องราวในคืนนั้นได้หรือไม่ได้เธอไม่สนใจ แต่ถ้าจะให้ดีเธอก็ขอภาวนาว่าอย่าให้เขาจำได้
เธอผู้ซึ่งถูกกระทำอาจจะจำได้ แต่คนกระทำเช่นเขาที่ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรด้วย ก็คงไม่ต้องเก็บมานั่งจำให้เปลืองพื้นที่ในสมองหรอกกระมัง แต่สราวลีจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาจะจำเธอไม่ได้ เพราะถ้าหากเขาจำได้ขึ้นมาว่าเธอคือผู้หญิงคนนั้น แล้วหมูหวานก็เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในคืนนั้นแล้วเธอจะทำอย่างไร
ความเจ็บปวดถาโถมเข้าสู่กลางใจอย่างไม่อาจหลบเลี่ยง เมื่อสราวลีตระหนักได้ดีว่าเธอหนีความจริงที่ว่าเขาเป็นพ่อของหมูหวานไปไม่พ้น เขาเป็นพ่อของลูกเธอ ลูกที่เขาไม่ควรจะรู้ด้วยซ้ำว่าได้ก่อกำเนิดขึ้นบนโลกใบ แต่ความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ สักวันเขาคงต้องรู้ถ้าหากเขายังจะกลับมาที่นี่อีก ซึ่งสราวลีไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย เพราะสิ่งที่เธอกลัวที่สุดไม่ใช่การที่เขากลับเข้ามาในชีวิตเธออีกครั้ง แต่คือการที่เขาจะพรากชีวิตน้อยๆ นี้ไปจากเธอต่างหาก คือสิ่งที่สราวลีนึกกลัวที่สุด
“คนดี...ความลับนะคะ อย่าบอกใครนะว่าแม่กำลังกลัว แม่กลัวเขา” เธอก้มลงกระซิบกับลูกน้อยแผ่วเบา ก่อนจะเผลอกอดลูกแน่นขึ้นเมื่อเห็นแววตาไร้เดียงสานั้นส่งมาที่ตน
ไม่มีวันนั้นหรอก ไม่มีวันที่เขาจะพรากดวงใจดวงเล็กๆ แต่เป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของเธอดวงนี้ไปได้ ไม่มีวัน!
เพล้ง! โครม!
เสียงคึกโครมดังมาจากในครัวเรียกความสนใจของสราวลีให้หลุดออกจากภวังค์นึกคิดของตน เธอก้มมองคนในอ้อมแขนเล็กน้อยเห็นว่าหลับสนิทไปแล้วจึงอุ้มไปวางลงในเตียงคอก ห่มผ้าและเหน็บชายให้เรียบร้อยก็รีบเร่งออกไปดูทางต้นเสียง เป็นจังหวะเดียวกับที่ลภัสรดาก็วิ่งหน้าตื่นลงบันไดมาเพราะได้ยินเสียงเมื่อครู่แว่วขึ้นไปถึงชั้นบน
“แม่!”
สองสาวร้องขึ้นแทบจะพร้อมกันเมื่อตรงมาที่ครัวแล้วพบว่ามารดาล้มเค้เก้อยู่ที่พื้น รอบๆ มีเศษแก้วตกแตกเกลื่อนไปทั่วบริเวณ
“แม่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” สราวลีตั้งสติได้ก่อนรีบเข้าไปดูคุณวิกานต์ดาทันที ในขณะที่ลภัสรดานั้นมัวแต่ตกใจ อีกทั้งไม่ทันระวังเศษแก้วพอลนลานเข้ามาหามารดาจึงได้แผลที่เท้าไปเล็กน้อยเพราะโดนเศษแก้วตำเข้าให้
“เจ็บไปทั้งตัวเลยลูก” คุณวิกานต์ดาบอกเสียงครวญ
“รดา โทรเรียกรถพยาบาลสิ” สราวลีหันไปสั่งคนเป็นน้องที่ยังทำหน้าเหลอหลามองอยู่อย่างทำอะไรไม่ถูก
“ได้ๆ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ แต่เธออย่าให้แม่ขยับนะ เผื่อว่าจะมีกระดูกตรงไหนที่มันแตกหรือว่าหัก” ลภัสรดาบอกเสียงรนๆ ยังดีที่พอจะนึกขึ้นได้จึงสั่งเสียเอาไว้ก่อนจะเดินเขย่งปลายเท้าไปที่โทรศัพท์บ้านเพื่อเรียกรถพยาบาลอย่างเร่งด่วน
คุณวิกานต์ดาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยมีลภัสรดาตามไปดูแล ด้านสราวลีก็ทำได้เพียงรอคอยฟังข่าวอยู่ที่บ้านผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น เนื่องจากจะให้ทิ้งหมูหวานไปก็ไม่ได้ ครั้นจะพาไปด้วยก็คงจะยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ ลภัสรดาเองก็ไม่อยากให้พี่สาวต้องห่วงหน้าพะวงหลังจึงรับอาสาดูแลมารดาด้วยตัวเอง
สราวลีเดินเป็นหนูติดจั่นอยู่ภายในห้องรับแขก ตาก็คอยชำเลืองมองลูกสาวไปพลางสลับกับก้มมองโทรศัพท์ในมือด้วยความร้อนใจ จนเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจึงรีบกดรับสายในทันที
“แม่เป็นไงบ้างรดา” หญิงสาวกรอกเสียงถามไปอย่างร้อนรน
“แม่ปลอดภัยดี แต่แขนต้องเข้าเฝือกคุณหมอบอกว่ากระดูกร้าว แล้วก็ให้นอนโรงพยาบาลคืนหนึ่งเพื่อดูอาการ แต่เดี๋ยวฉันจะอยู่เฝ้าแม่เอง เธอไม่ต้องห่วงนะ”
“ไม่ห่วงได้ยังไง เข้าเฝือกเชียวนะ แล้วแม่ก็อายุมากแล้ว ถึงจะแค่กระดูกร้าวก็คงจะฟื้นตัวได้ไม่ดีเท่ากับคนอายุน้อยๆ หรอก นี่กว่าจะหายเป็นปกติคงร่วมเดือนแน่ๆ” สราวลีได้ฟังอาการของมารดาแล้วก็พอจะใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี
“คุณหมอก็ว่างั้นนะ แต่ก็ยังโชคดีที่เจ็บแค่แขน ศีรษะไม่ได้กระแทกอะไร ไม่อย่างนั้นคงแย่กว่านี้ น่า...ไม่ต้องห่วงหรอก รับรองว่าแม่ยังอยู่บ่นเราสองคนไปได้อีกนาน” ลภัสรดาเข้าใจคนรอฟังข่าวดีว่าเพราะไม่ได้มาเห็นกับตาว่าตอนนี้มารดานั้นปลอดภัยดีทุกอย่างแล้วก็คงจะยังกังวลอยู่ไม่เลิกจึงพูดปลอบใจออกไปด้วยน้ำเสียงติดตลกตามนิสัย
สราวลีถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างยอมรับว่าที่ลภัสรดาพูดนั่นก็ถูก โชคดีแล้วที่คุณวิกานต์ดาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่ากระดูกแขนร้าว
“เออ แล้วนี่เท้าเธอเป็นไงบ้าง?” คนเป็นพี่ถามออกไปเสียงอ้อมแอ้มเพราะนึกขึ้นได้ว่าเท้าของน้องสาวเองก็เจ็บ
“เท้าฉัน? อ๋อ...ก็ไม่เป็นไรมากหรอก แค่เศษแก้วตำนิดเดียว แผลเท่ามดเดี๋ยวก็หาย” ลภัสรดาตอบกลับมาเสียงเรียบจัด แต่ใบหน้านั้นอมยิ้ม
“ดูแลแม่แล้วก็ดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน” สราวลีทราบว่าน้องสาวหายงอนตนแล้วเพียงแต่ยังวางฟอร์มก็ส่ายหน้าน้อยๆ คล้ายระอา เพราะถ้าจะให้ง้อไปมากกว่านี้เธอก็ทำไม่เป็นเสียด้วย
“แล้วนี่อยู่กันได้นะ สองแม่ลูกน่ะ” ลภัสรดาถามกลับมาบ้าง
“อยู่ได้ ไม่ต้องห่วงหรอก”
“โอ๊ย...ใครเขาห่วงกัน” ลภัสรดาร้องโวยวาย เป็นห่วงแต่ก็ปากแข็ง
“ฮื่อ...ไม่ห่วงก็ดีล่ะ แล้วนี่จะกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือเปล่า ต้องนอนค้างนี่นา”
“ไม่ล่ะ ฉันอาบน้ำแล้ว” ลภัสราดาตอบกลับมาอย่างไม่ยี่หระ
“หา! อาบตอนไหน?” สราวลีเลิกคิ้วใส่โทรศัพท์ด้วยความสงสัย
“ก็ตอนขึ้นไปข้างบนนั่นแหละ ฉันอาบแล้ว และก็คงไม่ต้องอาบอีกหรอกมั้ง ตัวฉันยังหอมอยู่เลย”
สราวลีได้ยินเสียงฟุดฟิดของอีกฝ่ายดังมาตามสายหลังจากที่บอกว่าตัวเองนั้นยัง ‘หอม’ อยู่ก็อยากจะหัวเราะขัน หากไม่เกรงว่าอีกฝ่ายจะตะบึงตะบอนใส่เพราะแง่งอนเข้าให้อีก
“ก็ถ้ายังหอมอยู่จะไม่กลับมาอาบน้ำอีกรอบก็ตามใจ ยังไงก็เฝ้าแม่ดีๆ ล่ะ อย่าหลับเป็นตายเชียว แล้วถ้ามีอะไรรีบโทรหาฉันทันทีเลยนะ ดึกแค่ไหนก็ต้องโทร”
“รู้แล้วน่า...ระดับนี้แล้วไม่ต้องสั่งหรอก ฉันไม่ใช่เด็กนักเรียนของเธอนะ ถึงจะได้มาออกคำสั่งกับฉันเหมือนเด็กๆ น่ะ แค่นี้นะ ฉันจะได้รีบไปเฝ้าแม่ไม่ให้คลาดสายตา” คนเป็นน้องตอบกลับมาเสียงกระเง้ากระงอดติดจะประชดในที ก่อนจะตัดสายไป
“ฮึ! เรื่องประชดนี่เป็นที่หนึ่งไม่มีใครเกิน” สราวลีพึมพำกับโทรศัพท์ด้วยความเอือมระอาราวกับว่ามันคือใบหน้าทะเล้นๆ ของลภัสรดากระนั้น
หญิงสาววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะหน้าโซฟาด้วยความรู้สึกที่สงบและเบาโล่งกว่านาทีก่อนมาก เธอค่อยๆ ย่องกลับเข้าไปในห้องที่เจ้าหมูหวานกำลังนอนหลับพริ้มอยู่ อมยิ้มเอ็นดูกับท่านอนดูดนิ้วของลูกสาวตัวน้อย ก่อนจะเข้าไปขัดจังหวะอารมณ์สุนทรีของแม่หนูด้วยการยกขึ้นอุ้มแนบอกเพื่อจะพาขึ้นไปบนห้องนอนด้วยกัน เธอหมดอารมณ์ทานอาหารเย็นไปตั้งแต่ตอนที่เกิดอุบัติเหตุในห้องครัวของคุณวิกานต์ดาแล้ว ลภัสรดาเองก็คงจะเช่นเดียวกันถึงได้ไม่พูดถึงอาหารเย็นเลย เพราะปกติเรื่องกินสำหรับยัยคนนี้น่ะเรื่องใหญ่
สราวลีอุ้มหมูหวานพร้อมกับฮัมเพลงกล่อมเบาๆ ขณะพาเจ้าตัวน้อยก้าวขึ้นบันไดไป เธอเผลอทิ้งโทรศัพท์มือถือเอาไว้ในห้องรับแขก โชคดีที่คืนนั้นไม่มีสายเรียกเข้าจากลภัสรดาแม้แต่สายเดียว จะมีก็แต่สายนิรนามจากคนที่นอนกระสับกระส่ายเพราะโทรมาแล้วสาวเจ้าก็ไม่ยอมรับนั่นเอง
“นี่กะจะไม่รับสายกันเลยใช่ไหม ถ้าจะไม่รับก็น่าจะปิดเครื่องไปเลยนะ จะเปิดเครื่องไว้เหมือนให้ความหวังกันทำไมเนี่ย”
คนที่กดโทรศัพท์ยิกๆ บ่นพึมออกมาด้วยความหงุดหงิด เพราะโทรไปจนสายจะไหม้อยู่แล้วแต่กลับไม่มีสัญญาณตอบรับจากอีกฝ่าย ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้นอนหลับไปแล้วหรือว่าทำอะไรอยู่ก็ไม่ทราบ ส่วนตัวเขานั้นเห็นทีว่าคืนนี้จะนอนไม่หลับ เพราะว่าหลับตาลงคราวใดก็มักจะมีใบหน้าหวานๆ ของสราวลีลอยเข้ามาเสมอ
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก
“คุณเชนค่ะ...คุณเชน”
เสียงเคาะประตูพร้อมกับเสียงร้องเรียกที่ดังอยู่หน้าห้องนั้นทำให้ราเชนต้องวางโทรศัพท์ในมือลง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นแม่นมของตน ซึ่งหากเป็นคนอื่นเขาอาจจะพาลหงุดหงิดอาละวาดเอาได้ที่มาขัดจังหวะ แต่หญิงวัยกลางคนที่เลี้ยงเขามา และราเชนเองก็นับถือไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่ เขาจึงให้ความเคารพอยู่มาก
ดังนั้นเมื่อเปิดประตูต้อนรับหญิงสูงวัยร่างท้วมผู้เป็นแม่นม น้ำเสียงที่ถามออกไปจึงราบเรียบไม่บอกอารมณ์
“มีอะไรหรือครับนม?”
“มีแขกมาขอพบค่ะ” นางกลิ่นแก้วเอ่ยบอกผู้เป็นนายที่ตนเลี้ยงมาเองกับมือตั้งแต่แบเบาะด้วยรอยยิ้มอ่อน แม้น้ำเสียงที่ราเชนเอ่ยถามจะเรียบสนิท แต่แววตาและท่าทีนั้นปิดไม่มิดถึงอารมณ์หงุดหงิดที่ซ่อนอยู่
“ใครมาขอพบตอนนี้เนี่ย ไม่รู้จักเวล่ำเวลา”
“ฉันเองแหละ” อนาวิลโผล่หน้ามาพร้อมกับกระเป๋าสะพายหนึ่งใบที่โยนโครมลงตรงหน้าเพื่อน
“เฮ้ย! อะไรของนายวะไอ้นาวด์”
นางกลิ่นแก้วหลบฉากไปทันที ปล่อยให้สองเพื่อนสนิทพูดคุยกันตามประสา
“ก็ไม่อะไรหรอก แค่จะมาขอลี้ภัยสักพัก” อนาวิลบอกง่ายๆ แล้วก็สะบัดรองเท้าสำหรับใส่อยู่บ้านที่เพิ่งใส่มาจากหน้าบ้านออกไปคนละทิศละทาง ก่อนจะกระโดดขึ้นครองเตียงกว้างๆ ของราเชนราวกับว่ามันเป็นของตนมาก่อนกระนั้น
“ลี้ภัยอะไรของนาย แล้วทำไมต้องมาลี้ภัยที่บ้านฉันด้วย ที่นี่ไม่ใช่หลุมหลบภัยนะโว้ย ลุกขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” ราเชนเข้าไปลากตัวเพื่อนให้ลงจากเตียงของเขาจนสำเร็จ ก่อนจะตามเข้าไปตบที่นอนเหมือนไล่ฝุ่นอยู่หลายครั้ง
“อะไรจะขนาดนั้นวะ ตัวฉันสะอาดหรอก ไม่ได้สกปรกขนาดนั้น” อนาวิลเห็นท่าทางเหมือนรังเกียจของเพื่อนแล้วก็ทนไม่ได้ต้องร้องโวยวายออกมา
“ไม่ได้หรอก เตียงนี้ฉันยังไม่เคยพาใครมานอน กะเก็บไว้ให้เมียฉัน แต่นายดันมาเปิดซิงก่อนเมียฉันเสียนี่ เสียของหมด เห็นทีว่าพรุ่งนี้ฉันจะต้องยกเตียงนี้ทิ้งแล้วหามาเปลี่ยนใหม่” ราเชนบอกอย่างจริงจัง
“โว๊ะ! เพ้อเจ้ออะไรของนายวะ มงเมียอะไรเคยมีกับเขาด้วย” อนาวิลถึงกับต้องยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความงุนงง
“เรื่องของฉัน ว่าแต่นายเถอะ คิดจะมาลี้ภัยอะไรที่นี่ไม่ทราบ”
“ก็ยัยปลิงมหาภัยที่บ้านฉันน่ะสิ ขนาดจัดบ้านให้อยู่เป็นสัดเป็นส่วนยังไม่พอใจ ยังจะตามมารังควานฉันไม่เลิก เกาะฉันแจยังกะปลิงจริงๆ” อนาวิลเล่าไปก็ทำท่าสยองพองขนไป
“นี่นายกำลังพูดถึงเมียนายอยู่ใช่ไหม?”
“นี่! ก็บอกหลายครั้งแล้วว่าไม่ใช่เมีย นี่ถ้าขืนนายยังไม่เลิกพูดว่าหล่อนเป็นเมียฉันล่ะก็ ฉันอัดนายแน่” อนาวิลชูกำปั้นขู่
“ฮึ! กลัวจนตัวสั่นแล้ว” ราเชนบอกพร้อมกับเหยียดริมฝีปากให้อย่างหมิ่นๆ ท่าทางไม่ได้บอกว่ากลัวเลยสักนิด
“ก็อย่าให้ได้ยินอีกแล้วกัน” คนขู่ทำเสียงกำชับ
“เออๆ แล้วนี่จะมาลี้ภัยที่บ้านฉันเนี่ย หวังว่าคงไม่ทำบ้านฉันเป็นสมรภูมิรบแทนที่ลี้ภัยหรอกนะ เพราะถ้าหากว่าแม่ปลิงมหาภัยอะไรนั่นของนายจะตามมาถึงนี่ล่ะก็ บอกไว้ก่อนนะโว้ยว่าฉันไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้นถ้าจะมาก่อความวุ่นวายที่นี่” เราเชนชี้หน้าเตือน
“เชิญจัดการได้ตามสบายเลย ฉันจะไม่ว่านายสักคำ กับแม่คนนี้มันสุดจะทนจริงๆ ว่ะ” อนาวิลเอ่ยด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความรำคาญใจเป็นที่สุด
“ฉันจะจัดการนายน่ะสิ ตัวหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ จะไปจัดการผู้หญิงทำไม ฉันมันสุภาพบุรุษโว้ย ไม่ชอบทำร้ายผู้หญิง”
“โอ้โห จะว่าตัวเองแมนว่างั้นเถอะ ไม่ชอบทำร้ายผู้หญิงแล้วปล้ำเขาทำไมล่ะ คุณครูคนสวยคนนั้นน่ะ” อนาวิลเลยจี้ใจดำเข้าให้
“ไอ้เวร! ปากนายนี่” ราเชนคว้าแจกันที่ปลายเตียงได้ก็โยนโครมไปทางเพื่อน โชคดีที่อนาวิลหลบทันไม่อย่างนั้นหัวคงได้แตกกันไปข้าง
“เฮ้ยๆ เล่นของหนักเลยเหรอวะ แหม...พูดจริงทุกคำทำเป็นรับไม่ได้ อ้อ! แล้วนี่อย่าบอกนะที่บอกว่าเมียน่ะคือคุณไม้หอมคนนี้” แม้เพิ่งจะรอดจากแจกันเซรามิกมาได้อย่างหวุดหวิดอนาวิลก็หาได้กลัวเกรงเลยสักนิด ซ้ำยังกระเซ้าด้วยหน้าตาทะเล้นเสียอีก
“นายอย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย ถ้าแค่นอนด้วยคืนเดียวแล้วเรียกว่าเมียนะ ป่านนี้ฉันคงมีเมียเป็นร้อยแล้ว” ราเชนทำเสียงเข้มเข้าข่ม ทั้งที่ใจนั้นไหวยวบไปนานแล้วตั้งแต่ได้ยินชื่อสราวลี
“ถ้าฉันผู้ซึ่งเป็นเพื่อนที่รู้ใจนายมากที่สุดไม่รู้ แล้วใครจะรู้วะ ก็มันเห็นๆ กันอยู่ว่ามาขอเอาโทรศัพท์ไปส่งคืนเขาแทนเสียขนาดนั้น จะมาบอกว่าไม่มีอะไรได้ยังไง” อนาวิลกอดอกหรี่ตามองอย่างรู้ทัน
“ฉันก็แค่อยากเจอเขาเท่านั้น” ราเชนบอกส่งๆ
“เจอแล้วเป็นไง” อนาวิลกระชั้นถามต่ออย่างไม่ให้อีกฝ่ายได้มีเวลาตั้งตัวนัก
“ก็ไม่เป็นไง เจอแล้วก็ดี เขาสบายดีไม่ทุกข์ร้อนก็โอเค” ราเชนตอบเหมือนไม่มีอะไรในกอไผ่ และเหมือนมันธรรมดาเสียเหลือเกินที่เขาจะอยากเจอผู้หญิงที่บังเอิญว่ามีความสัมพันธ์ด้วยเพื่อจะรู้ว่าเจ้าหล่อนสบายดีไหม
“แหม...มีห่วงสารทุกข์สุกดิบกันด้วย ไม่ธรรมดานะเนี่ย” อนาวิลยังเย้าต่อ
“ไม่ธรรมดายังไง นี่ก็ธรรมดาที่สุดแล้ว หรือนายต้องการจะให้ฉันบอกอะไรนายไม่ทราบอนาวิล” ราเชนทำเสียงเหมือนโกรธที่ถูกเพื่อนกระเซ้าจนเกินพอดี
“เปล่าสักหน่อย แค่นี้ก็ต้องโกรธด้วย” อนาวิลหน้าจ๋อยไปเล็กน้อย แต่ใจนั้นนึกรู้ว่าเพื่อนไม่ได้โกรธจริงจังหรอก เพียงแต่เขาเองก็คร้านจะทู่ซี้ต่อ
“แล้วนี่จะมาอยู่บ้านฉันน่ะ งานการไม่ต้องทำหรือไง ไอ้รีสอร์ตนั่นตกลงว่าจะทิ้งใช่ไหม ฉันจะได้เซ้งต่อ”
“โห...นั่นมันรีสอร์ตน่ะโว้ย ไม่ใช่ร้านขายของชำจะได้มาเซ้งกันง่ายๆ ...ทำ! แต่ช่วงนี้งานไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ พอจะปลีกตัวได้”
“อย่านานล่ะ ฉันไม่อยากเลี้ยงนายให้เปลืองข้าวเปลืองน้ำเปล่าๆ”
“เออ! รู้น่า...แล้วนี่ตกลงจะหวงอีกนานไหมเตียงนอนน่ะ ฉันง่วงเต็มทีล่ะ ขับรถมาเหนื่อยจะแย่”
“ง่วงก็ไปนอนห้องอื่น เดี๋ยวฉันจะให้เด็กจัดการให้ รอก่อนแล้วกัน แต่ถ้ารอไม่ไหวก็เชิญหารูตรงไหนซุกไปก่อนก็ได้ แต่ห้ามขึ้นไปยุ่งบนเตียงฉันอีก เข้าใจนะ”
ราเชนสั่งกำชับเพราะเรื่องนี้เขาให้ความสำคัญอย่างที่สุด สำหรับคนอื่นอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับราเชน เขาไม่ชอบให้มีกลิ่นตัวของผู้ชายคนอื่นหรือไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามติดอยู่บนที่นอนนอกจากตัวเขา เพราะเขาไม่ต้องการให้ว่าที่ภรรยาในอนาคตได้กลิ่นของคนอื่นเวลานอนบนเตียงนี้ นอกจากกลิ่นของเขาเท่านั้น
รุ่งเช้าสราวลีตื่นแต่เช้าตรู่ โชคดีที่วันนี้ยังคงเป็นวันหยุดจึงไม่ต้องยุ่งยากโทรไปลากับทางโรงเรียน แต่เธอคิดว่าถึงวันนี้ไม่ได้ลา ไม่พรุ่งนี้หรือมะรื่นนี้ก็ต้องลาอยู่ดี เพราะถ้าหากมารดายังต้องเข้าเฝือกอยู่เป็นเดือนๆ ก็คงจะดูแลหมูหวานได้ลำบาก ลูกเธอยังเล็กมากหญิงสาวจึงนึกกลัวว่าหากต้องจ้างพี่เลี้ยงมาดูแลแทนก็อาจจะดูแลได้ไม่ดีนัก
สราวลีจัดการอาบน้ำให้ตัวเองพร้อมลูกสาวตัวน้อยจนตัวหอมฉุยไปด้วยกัน และเมื่อให้นมหมูหวานเสร็จเรียบร้อยแล้วก็อุ้มลงมายังชั้นล่าง เสียงโทรศัพท์ดังแว่วมาให้ได้ยินตรงบริเวณโฟซาห้องรับแขก นั่นแหละถึงเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองลืมโทรศัพท์มือถือเอาไว้ข้างล่างทั้งคืน
คุณแม่ลูกอ่อนอุ้มลูกสาวขึ้นพาดบ่าอย่างคล่องแคล้ว ก่อนจะใช้มืออีกข้างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายเมื่อเห็นว่าเป็นลภัสรดาก็ยิ่งร้อนใจ
“แม่เป็นอะไรหรือเปล่ารดา” เธอถามออกไปด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“เปล่า แม่ไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยวตอนส่ายๆ ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะ แต่ปัญหาก็คือว่าฉันดันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองติดนัดลูกค้าวันนี้น่ะสิ สำคัญเสียด้วย นี่ถ้าฉันเบี้ยวงานนี้นะคงโดนเจ้านายไล่ออกแน่ๆ ทีนี้ก็เลยอยากจะปรึกษาเธอว่าฉันควรจะทำยังไงดี” สุ้มเสียงของคนที่โทรมาฟังดูกลัดกลุ้มเหมือนหาทางออกไม่ได้จนต้องโทรมาปรึกษา
“ไม่เห็นต้องทำยังไงเลย มีนัดกับลูกค้าก็ไปสิ เดี๋ยวฉันจะไปรับแม่เอง”
“พูดเป็นเล่น จะมายังไงขับรถก็ไม่เป็นไม่ใช่หรือไง แล้วไหนจะยัยหมูหวานอีก จะกระเตงกันมายังไงล่ะ”
“เดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไปก็ได้” สราวลีไม่เห็นว่าจะลำบากตรงไหน มีเพียงลภัสรดาเท่านั้นที่ชอบคิดอะไรให้มันวุ่นวายตลอด
“โอ๊ย...จะไหวเรอะ ไม่ใช่ตัวคนเดียวนะเธอน่ะ” อีกฝ่ายก็ยังร้องท้วงขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย
“รู้...แต่ไม่ลำบากอะไรหรอก ดีกว่าให้แม่กลับมาคนเดียวนะ เดี๋ยวเกิดเป็นอะไรกลางทางขึ้นมาแล้วจะยุ่ง แล้วเราก็ไม่ได้มีทางเลือกมากหรอกนะรดา ยิ่งเวลาเกิดปัญหาขึ้นมาอย่างนี้เราก็ยิ่งต้องช่วยกันสิ”
“แต่ว่า...” ลภัสรดากำลังจะแย้งอีกแต่คนเป็นพี่ก็ขัดขึ้นเสียงดุเสียก่อน
“ไม่ต้องแต่เลยนะ มีงานก็รีบไปทำเสีย ก่อนที่มันจะไม่มีให้ทำ ถึงตอนนั้นใครจะช่วยฉันหาเงินเลี้ยงหมูหวานล่ะ”
“เฮ้อ!...โอเคๆ ถ้าคิดว่าไหวก็ลองดู” ลภัสรดาก็ต้องยอมแพ้อีกตามเคย
“แล้วนี่จะยังไง จะไปเลยใช่ไหม ฉันจะได้ออกจากบ้านตอนนี้เลย”
“ก็คงต้องไปเดี๋ยวนี้แหละ ต้องแวะเข้าไปเอาของที่บริษัทก่อนน่ะ นี่รถก็ยังจอดอยู่ที่บ้าน สงสัยฉันก็ต้องไปแท็กซี่เหมือนกัน ยังโชคดีนะว่าตอนตีห้าลุกมาอาบน้ำไปแล้วรอบหนึ่ง ไม่อย่างนั้นวันนี้ฉันคงต้องพาร่างเน่าๆ ของตัวเองไปพบลูกค้าแน่ๆ ยังไงก็ฝากเธอด้วยแล้วกันนะ เสร็จธุระแล้วจะรีบกลับ”
สราวลีได้ฟังลภัสรดาบ่นอะไรไปตามประสาอีกเล็กน้อยทางนั้นก็กดตัดสายไป และก่อนจะทันได้เหน็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกง สายตาก็พลันไปเห็นว่าหน้าจอปรากฏสายที่เธอไม่ได้รับอยู่หลายสายทีเดียว ซึ่งเมื่อกดเข้าไปดูแล้วก็พบว่าเป็นเบอร์ที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในเครื่อง แต่หญิงสาวยังไม่มีเวลามาตรวจสอบในตอนนั้นว่าเป็นเบอร์ของใครเพราะต้องรีบพาหมูหวานไปนอนเล่นที่เตียงคอกภายในห้องที่ติดกับห้องรับแขกก่อน เพื่อที่ตัวเองจะได้เตรียมของจำเป็นสำหรับลูกนำติดตัวไปด้วย และระหว่างที่กำลังวุ่นวายอยู่นั้นเสียงออดหน้าบ้านก็ดังขึ้น
ปิ้งป่อง...ปิ้งป่อง...
หญิงสาวต้องชะเง้อมองออกไปด้านนอกหน้าต่างผ่านทางห้องรับแขก เห็นเพียงด้านหลังของผู้ที่มาเยือนในยามเช้าตรู่เท่านั้น แต่ยังไม่ทันจะได้มองให้ถนัดเสียงร้องไห้จ้าของลูกสาวตัวน้อยก็ดังขึ้นเสียก่อน
“โอ๋ๆ หมูหวานของแม่ ร้องไห้ทำไมคะ” สราวลีต้องรีบวิ่งกลับเข้ามาในห้องเลี้ยงเด็กเพื่อดูลูกสาวก่อน แล้วก็พบว่าหมูหวานนั้นอึรดผ้าอ้อมจึงร้องไห้งอแงเพราะไม่สบายตัว
คุณแม่ยังสาวเริ่มละล้าละลัง สุดท้ายก็จำต้องปล่อยให้คนที่กำลังกดออดที่หน้าบ้านอย่างไม่ลดละนั้นรอไปก่อน เพราะวินาทีนี้คงไม่มีใครสำคัญไปกว่าหมูหวานตัวน้อยที่ฤทธิ์คงไม่น้อยเลยเพราะเล่นแผดเสียงร้องจ้าขู่คุณแม่เสียจนกลัวว่าลูกสาวจะขาดใจเสียก่อนหากไม่ยอมเปลี่ยนผ้าอ้อมให้
“ไม่เอาแล้วนะคะ คราวหน้าไม่ร้องไห้แบบนี้อีกแล้วนะ เพราะแม่จะขาดใจก่อนหนูอีกรู้ไหม” คนเป็นแม่อดที่จะเอ็ดลูกสาวออกไปไม่ได้หลังจากที่จัดการเปลี่ยนผ้าอ้อมผืนใหม่ให้เรียบร้อยแล้ว และตอนนี้แม่ลูกสาวตัวดีของเธอก็เลิกร้องเป็นปลิดทิ้ง แถมยังยิ้มแฉ่งจนเห็นเหงือกสีชมพูนั้นเสียอีก เล่นเอาโกรธกันไม่ลงเลยทีเดียว
สราวลีทำท่าว่าจะลืมผู้มาเยือนไปเสียแล้ว ถ้าหากว่าเสียงออดจะไม่ดังขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ก็มาเป็นจังหวะติดๆ กันเสียจนเธอต้องรีบอุ้มหมูหวานออกไปหน้าบ้านแทบจะทันที เพื่อจะดูให้แน่ใจว่าใครกันที่มารบกวนแต่เช้า ซ้ำยังไม่มีมารยาทรัวกดออดเสียจนเจ้าของบ้านแทบหูชาเสียอีก
แต่แล้วเท้าที่กำลังก้าวยาวๆ ตรงไปยังประตูรั้วบ้านของสราวลีก็มีอันต้องชะงักลงเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่มากดออดได้ถนัดตา หญิงสาวเผลอกอดลูกสาวแน่นขึ้นอีก ลมหายใจของเธอก็เหมือนจะติดขั้นขึ้นมาทันใดเมื่อเผลอมองสบกับดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นที่มีแววระยับแข่งกับแสงอาทิตย์ยามเช้าส่งมาที่เธอ
จากที่ห่างหายกันไปเสียนาน
รำพึงรำพันกันเสียจนกลายเป็นดองเค็ม
ตอนนี้รำพันเสน่หาก็ได้เวลาออกมาโลดแล่นอีกครั้งหนึ่งแล้วค่ะ
..................
***อ้อ วันนี้เอานิยายเรื่องใหม่ล่าสุด ในนามปากกา "กระต่ายหมายจันทร์"
เรื่อง "ประกาศิตนางฟ้า" มาแจกสองเล่มนะคะ
จะจับฉลากตามรายชื่อความเห็นทั้งหมดที่ปรากฏในตอนนี้ค่ะ
และจะประกาศผลที่ตอนถัดไปของเรื่องนี้นะคะ^^***
ขอบคุณสำหรับการติดตามที่ผ่านมา
และหวังว่าจะติดตามกันต่อไปค่ะ
....ญาณนันต์
บทที่ 4 สาวน้อยของสราวลี
สราวลีก้าวลงบันไดมาอย่างไม่รีบร้อน ไม่แสดงพิรุธใดๆ ให้ลภัสรดากับคุณวิกานต์ดาผิดสังเกตเมื่อตรงเข้าไปในห้องเลี้ยงเด็กอ่อนซึ่งเชื่อมกับห้องรับแขก ลภัสรดายังมีท่าทีมึนตึงใส่เธออยู่บ้างเมื่อยื่นมือเข้าไปขออุ้มคนตัวเล็กกระจ้อยที่หลับอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ซึ่งไม่ยอมวางลงในเตียงที่มีคอกกั้นสำหรับเด็กทารกแต่กลับอุ้มเอาไว้กับอกตัวเอง
“ลงมาได้แล้วสินะ” ลภัสรดาประชดเสียงเบาเพราะกลัวหนูน้อยจะตกใจตื่นขณะส่งให้สราวลีอุ้มแทน
“เฮ้อ...” สราวลีไม่พูดอะไรนอกจากพ่นลมหายใจออกมาพลางส่ายหน้าน้อยๆ เธอเขย่าอ้อมแขนพร้อมกับตบฝ่ามือลงที่ก้นของคนในอ้อมกอดเบาๆ เป็นการปลอบประโลมเมื่อแม่หนูทำท่าว่าจะตื่นเพราะแม้ลภัสรดาจะพูดเสียงเบาปานใดแต่การถูกเปลี่ยนมือคนอุ้มก็ทำให้คนที่หลับอยู่นั้นถูกรบกวนได้เหมือนกัน
“ถอนหายใจ! หมายความว่าไงไม้หอม” ลภัสรดาถลึงตาให้ขณะเอ่ยถามเสียงห้วนที่พยายามกดไว้ให้เบาที่สุด
“เบื่อน่ะสิ เบื่อคนขี้งอน” สราวลีตอบกลับเสียงเรียบไม่บอกอารมณ์
ลภัสรดาหน้าตึงขึ้นมาอีก ก่อนจะสะบัดหน้าพรืดออกจากห้องนั้นไปทันที สวนกับคุณวิกานต์ดาที่กำลังจะมาตามลูกสาวไปช่วยทำกับข้าวในครัวพอดี
“อ้าว...ไปไหนน่ะรดา ไม่ช่วยแม่ทำกับข้าวก่อนหรือ” คุณวิกานต์ดาร้องตามหลังลูกสาวเมื่อเห็นว่าเดินดุ่มๆ ขึ้นชั้นบนไปแล้ว
“ช่างเถอะค่ะแม่ เดี๋ยวหนูช่วยเอง” สราวลีบอกแล้วก็ทำท่าจะวางหมูหวานลงนอนในเตียงคอก แต่คุณวิกานต์ดากลับบอกปัดเสียก่อน
“ไม่ต้องหรอก แม่ทำคนเดียวก็ได้ เพราะเดี๋ยวหมูหวานก็ตื่นแล้ว ได้เวลากินของเขาแล้วนี่”
คุณวิกานต์ดายังพูดไม่ทันขาดคำคนที่ ‘ได้เวลากิน’ ก็ร้องไห้จ้าขึ้นมาราวกับถูกเปิดสวิตซ์ เล่นเอาผู้เป็นยายถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความขบขันระคนเอ็นดู
“นั่นไง เจ้าหมูหวานมันร้าย หิวทีไรร้องไห้อาละวาดทุกที” คนที่มีศักดิ์เป็นยายยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะปลีกตัวเขาครัวไป
“ไงคะสาวน้อยของแม่ ร้ายนักหรือเราน่ะหือ?” สราวลีก้มลงพูดกับคนตัวเล็กในอ้อมแขนเสียงอาทร ที่ตอนนี้ร้องไห้เสียจนน้ำตาเลอะเปรอะเปื้อนไปทั่วดวงหน้าซึ่งพอซุกไซ้ใบหน้าเจอสิ่งที่คุ้นเคยเท่านั้นก็เงียบกริบ
เสียงดูดจ๊วบๆ ดังขึ้นเมื่อปากน้อยๆ ดื่มกินน้ำนมจากทรวงอกของมารดา ดูท่าว่าสาวน้อยของสราวลีจะหิวเอามากทีเดียวเพราะเมื่อน้ำนมไหลไม่ทันใจก็แผดเสียงร้องออกมาอีกจนคนเป็นแม่ต้องรีบอุ้มเปลี่ยนข้างเป็นการด่วน
“ร้ายจริงด้วย เด็กดื้อ” สราวลีหัวเราะน้อยๆ เมื่อพูดกับหนูน้อยขณะลูบศีรษะเล็กที่ชื้นเหงื่อให้อย่างอ่อนโยน
ลูกเป็นสิ่งเดียวที่เป็นเครื่องช่วยต่อลมหายใจของเธอในแต่ละวัน หากไม่มีคนตัวเล็กในอ้อมกอดนี่ สราวลีก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร และอยู่ไปเพื่ออะไร ช่วงเวลาที่ผ่านมาคงต้องบอกว่าเธอเจ็บหนักเอาการทีเดียว มันสาหัสเสียจนแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ ถ้าหากว่าจะไม่มีชีวิตน้อยๆ ของลูกมาช่วยเยี่ยวยาเอาไว้ เธอก็คงตรอมใจตายไปตั้งนานแล้ว
สราวลีรักลูก แม้ว่าแกจะเกิดขึ้นจากความผิดพลาดก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าพ่อของหมูหวานเป็นใครแม้กระทั่งคุณวิกานต์ดากับลภัสรดา แน่ล่ะในเมื่อตอนนั้นเธอเองก็ยังไม่ทราบเสียด้วยซ้ำไปว่าคนที่ปล้นความสาวของตนไปนั้นมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร เพราะหลังจากเกิดเรื่องเธอก็ไม่เคยย้อนกลับไปที่โรงแรมแห่งนั้นอีกเลย
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอในคืนนั้นจนเมื่อสราวลีตั้งครรภ์เรื่องทุกอย่างที่ตั้งใจจะเก็บไว้กับตัวจนวันตายจึงได้เปิดเผยออกมา และมันก็เป็นเรื่องที่น่าสมเพชที่สุดเมื่อเธอท้องไม่มีพ่อ ยังโชคดีที่มีมารดากับลภัสรดาคอยให้กำลังใจและปลอบโยนกันเรื่อยมาถึงได้ผ่านช่วงเวลาที่แสนทุกข์ระทมนั้นมาได้ แต่ก็ยากเย็นเหลือเกิน
หญิงสาวคอยๆ ไล่สายตามองดูลูกน้อยอย่างเพ่งพินิจ ผิวพรรณนี่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโตขึ้นคงจะขาวกว่าเธอแน่ ดวงตากลมโตที่ล้อมด้วยแพขนตางอนยาวซึ่งเกาะกันเป็นกระจุกเพราะน้ำใสๆ นั้นจ้องเธอไม่กะพริบเหมือนกำลังสงสัยว่าแม่จะมองอะไรนักหนา จนเธอต้องยิ้มอ่อนโยนใส่ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น
หนูน้อยกะพริบตาสองสามทีแล้วก็หลุบเปลือกตาลงไม่สนใจผู้เป็นแม่อีกนอกจากอาหารชั้นเลิศที่อยู่ตรงหน้านี้ ซึ่งแม้หมูหวานจะย่างเข้า 6 เดือนแล้ว แต่สราวลีก็ยังคงให้ลูกกินนมแม่อยู่นั่นเอง แม้จะลำบากในช่วงตอนกลางวันที่เธอจะต้องปั๊มนมแทบทุก 3 ชั่วโมงเพื่อเก็บไว้เป็นนมสต๊อกให้ลูกกินตอนที่เธอออกไปสอนหนังสือก็ตาม แต่เพื่อลูกรักแล้วสราวลีก็ยังมีความพยายามที่จะให้ลูกกินนมแม่ต่อไป
ตอนกลางวันหมูหวานจะกินนมสต๊อกที่เธอปั๊มเอาไว้โดยมีคุณวิกานต์ดาเป็นคนดูแล ส่วนตอนกลางคืนหมูหวานจะอยู่ในความดูแลของเธอ และโชคยังดีที่หนูน้อยยังยอมกินนมจากอกของแม่ และเพราะเธอเลี้ยงลูกแบบนี้มาตั้งแต่ต้นคือกลางวันให้กินนมสต๊อก กลางคืนกินนมจากอกของเธอ หมูหวานจึงเกิดความเคยชิน ทำให้ไม่เป็นปัญหาเมื่อเธอต้องออกไปสอนหนังสือ หรือว่าไปสัมมนาที่ต่างจังหวัดเป็นเวลาหลายวันดังเช่นเมื่ออาทิตย์ก่อน จะลำบากก็แต่ตัวเธอที่ไปไหนมาไหนก็จะต้องหิ้วกระเป๋าเก็บความเย็นและเครื่องปั๊มนมติดตัวไปด้วยตลอด แต่เพื่อลูกลำบากแค่ไหนก็ยอมได้ทั้งนั้น
“ยัยหนู...แม่รักหนูมากรู้ใช่ไหมลูก” เธอรำพึงออกมาเบาๆ ขณะก้มลงจรดริมฝีปากที่หน้าผากเล็กนั่น ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อลูกสาวตัวน้อยทำเสียงอืออาพร้อมกับปัดแขนไปมาเหมือนรำคาญที่ถูกขัดจังหวะการกินที่แสนสุข
“โตขึ้นจะเป็นยังไงนะ ขี้หงุดหงิดจริงนะเรา ไม่รู้ว่าได้นิสัยเสียๆ แบบนี้มาจากใคร” คุณแม่ลูกอ่อนอดค่อนคนเป็นลูกไม่ได้แต่แววตาก็ยังคงทอดมองด้วยความอาทรอยู่นั่นเอง แต่พักเดียวริมฝีปากที่ยิ้มแย้มอยู่นั้นก็ต้องเม้มเข้าหากันแน่น เมื่อพาลคิดไปถึงใครบางคนที่อยากจะลืมอย่างที่สุด
แต่ทว่าคงจะยากเสียแล้ว ก็เพราะใบหน้าเล็กๆ ในอ้อมแขนที่กำลังซุกไซ้ดูดดื่มน้ำนมจากทรวงอกอุ่นของเธอนี่เองที่คอยแต่จะตอกย้ำอยู่ทุกวัน ยิ่งตอนที่ได้เห็นหน้าเขาชัดๆ นั่นเธอก็ยิ่งสะท้อนในอกเพราะว่าถอดแบบกันออกมาไม่ผิดเพี้ยนทีเดียว โดยเฉพาะไฝเม็ดเล็กๆ ตรงปลายจมูกนี่
ฮึ! ถ้ายัยหนูโตขึ้นเธอจะพาลูกไปจี้ออกดีไหมนะ เพราะเห็นแล้วมันตำตาเหลือทน
“หนูก็ไม่อยากได้ใช่ไหมคะ ไอ้ไฝเม็ดเนี้ย” เธอเอ่ยเย้าหมูหวานทั้งที่แววตาตัวเองนั้นหม่นแสงลงไปนานแล้ว แม้ลูกจะคือความสว่างไสวในชีวิต แต่ถ้าความมืดดำเช่นเขาจะยังคอยตามมาหลอกหลอนอยู่แบบนี้ แล้วชีวิตของเธอจะยังสว่างไสวอยู่ได้อย่างไร
สราวลียังคิดไม่ตกว่าจะจัดการกับเรื่องที่กำลังเผชิญอยู่นี้อย่างไรดี เมื่อจู่ๆ คนที่เคยเป็นอดีตก็ย้อนกลับเข้ามาในวงโคจรของชีวิตเธออีกครั้งจนได้ และดูท่าว่าเขาจะไม่ยอมออกไปง่ายๆ เสียด้วย เธอไม่แน่ใจว่าเขาต้องการอะไรกันแน่กับการกลับมาครั้งนี้ เขาอาจจะจำเรื่องราวในคืนนั้นได้หรือไม่ได้เธอไม่สนใจ แต่ถ้าจะให้ดีเธอก็ขอภาวนาว่าอย่าให้เขาจำได้
เธอผู้ซึ่งถูกกระทำอาจจะจำได้ แต่คนกระทำเช่นเขาที่ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรด้วย ก็คงไม่ต้องเก็บมานั่งจำให้เปลืองพื้นที่ในสมองหรอกกระมัง แต่สราวลีจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาจะจำเธอไม่ได้ เพราะถ้าหากเขาจำได้ขึ้นมาว่าเธอคือผู้หญิงคนนั้น แล้วหมูหวานก็เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในคืนนั้นแล้วเธอจะทำอย่างไร
ความเจ็บปวดถาโถมเข้าสู่กลางใจอย่างไม่อาจหลบเลี่ยง เมื่อสราวลีตระหนักได้ดีว่าเธอหนีความจริงที่ว่าเขาเป็นพ่อของหมูหวานไปไม่พ้น เขาเป็นพ่อของลูกเธอ ลูกที่เขาไม่ควรจะรู้ด้วยซ้ำว่าได้ก่อกำเนิดขึ้นบนโลกใบ แต่ความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ สักวันเขาคงต้องรู้ถ้าหากเขายังจะกลับมาที่นี่อีก ซึ่งสราวลีไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย เพราะสิ่งที่เธอกลัวที่สุดไม่ใช่การที่เขากลับเข้ามาในชีวิตเธออีกครั้ง แต่คือการที่เขาจะพรากชีวิตน้อยๆ นี้ไปจากเธอต่างหาก คือสิ่งที่สราวลีนึกกลัวที่สุด
“คนดี...ความลับนะคะ อย่าบอกใครนะว่าแม่กำลังกลัว แม่กลัวเขา” เธอก้มลงกระซิบกับลูกน้อยแผ่วเบา ก่อนจะเผลอกอดลูกแน่นขึ้นเมื่อเห็นแววตาไร้เดียงสานั้นส่งมาที่ตน
ไม่มีวันนั้นหรอก ไม่มีวันที่เขาจะพรากดวงใจดวงเล็กๆ แต่เป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของเธอดวงนี้ไปได้ ไม่มีวัน!
เพล้ง! โครม!
เสียงคึกโครมดังมาจากในครัวเรียกความสนใจของสราวลีให้หลุดออกจากภวังค์นึกคิดของตน เธอก้มมองคนในอ้อมแขนเล็กน้อยเห็นว่าหลับสนิทไปแล้วจึงอุ้มไปวางลงในเตียงคอก ห่มผ้าและเหน็บชายให้เรียบร้อยก็รีบเร่งออกไปดูทางต้นเสียง เป็นจังหวะเดียวกับที่ลภัสรดาก็วิ่งหน้าตื่นลงบันไดมาเพราะได้ยินเสียงเมื่อครู่แว่วขึ้นไปถึงชั้นบน
“แม่!”
สองสาวร้องขึ้นแทบจะพร้อมกันเมื่อตรงมาที่ครัวแล้วพบว่ามารดาล้มเค้เก้อยู่ที่พื้น รอบๆ มีเศษแก้วตกแตกเกลื่อนไปทั่วบริเวณ
“แม่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” สราวลีตั้งสติได้ก่อนรีบเข้าไปดูคุณวิกานต์ดาทันที ในขณะที่ลภัสรดานั้นมัวแต่ตกใจ อีกทั้งไม่ทันระวังเศษแก้วพอลนลานเข้ามาหามารดาจึงได้แผลที่เท้าไปเล็กน้อยเพราะโดนเศษแก้วตำเข้าให้
“เจ็บไปทั้งตัวเลยลูก” คุณวิกานต์ดาบอกเสียงครวญ
“รดา โทรเรียกรถพยาบาลสิ” สราวลีหันไปสั่งคนเป็นน้องที่ยังทำหน้าเหลอหลามองอยู่อย่างทำอะไรไม่ถูก
“ได้ๆ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ แต่เธออย่าให้แม่ขยับนะ เผื่อว่าจะมีกระดูกตรงไหนที่มันแตกหรือว่าหัก” ลภัสรดาบอกเสียงรนๆ ยังดีที่พอจะนึกขึ้นได้จึงสั่งเสียเอาไว้ก่อนจะเดินเขย่งปลายเท้าไปที่โทรศัพท์บ้านเพื่อเรียกรถพยาบาลอย่างเร่งด่วน
คุณวิกานต์ดาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยมีลภัสรดาตามไปดูแล ด้านสราวลีก็ทำได้เพียงรอคอยฟังข่าวอยู่ที่บ้านผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น เนื่องจากจะให้ทิ้งหมูหวานไปก็ไม่ได้ ครั้นจะพาไปด้วยก็คงจะยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ ลภัสรดาเองก็ไม่อยากให้พี่สาวต้องห่วงหน้าพะวงหลังจึงรับอาสาดูแลมารดาด้วยตัวเอง
สราวลีเดินเป็นหนูติดจั่นอยู่ภายในห้องรับแขก ตาก็คอยชำเลืองมองลูกสาวไปพลางสลับกับก้มมองโทรศัพท์ในมือด้วยความร้อนใจ จนเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจึงรีบกดรับสายในทันที
“แม่เป็นไงบ้างรดา” หญิงสาวกรอกเสียงถามไปอย่างร้อนรน
“แม่ปลอดภัยดี แต่แขนต้องเข้าเฝือกคุณหมอบอกว่ากระดูกร้าว แล้วก็ให้นอนโรงพยาบาลคืนหนึ่งเพื่อดูอาการ แต่เดี๋ยวฉันจะอยู่เฝ้าแม่เอง เธอไม่ต้องห่วงนะ”
“ไม่ห่วงได้ยังไง เข้าเฝือกเชียวนะ แล้วแม่ก็อายุมากแล้ว ถึงจะแค่กระดูกร้าวก็คงจะฟื้นตัวได้ไม่ดีเท่ากับคนอายุน้อยๆ หรอก นี่กว่าจะหายเป็นปกติคงร่วมเดือนแน่ๆ” สราวลีได้ฟังอาการของมารดาแล้วก็พอจะใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี
“คุณหมอก็ว่างั้นนะ แต่ก็ยังโชคดีที่เจ็บแค่แขน ศีรษะไม่ได้กระแทกอะไร ไม่อย่างนั้นคงแย่กว่านี้ น่า...ไม่ต้องห่วงหรอก รับรองว่าแม่ยังอยู่บ่นเราสองคนไปได้อีกนาน” ลภัสรดาเข้าใจคนรอฟังข่าวดีว่าเพราะไม่ได้มาเห็นกับตาว่าตอนนี้มารดานั้นปลอดภัยดีทุกอย่างแล้วก็คงจะยังกังวลอยู่ไม่เลิกจึงพูดปลอบใจออกไปด้วยน้ำเสียงติดตลกตามนิสัย
สราวลีถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างยอมรับว่าที่ลภัสรดาพูดนั่นก็ถูก โชคดีแล้วที่คุณวิกานต์ดาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่ากระดูกแขนร้าว
“เออ แล้วนี่เท้าเธอเป็นไงบ้าง?” คนเป็นพี่ถามออกไปเสียงอ้อมแอ้มเพราะนึกขึ้นได้ว่าเท้าของน้องสาวเองก็เจ็บ
“เท้าฉัน? อ๋อ...ก็ไม่เป็นไรมากหรอก แค่เศษแก้วตำนิดเดียว แผลเท่ามดเดี๋ยวก็หาย” ลภัสรดาตอบกลับมาเสียงเรียบจัด แต่ใบหน้านั้นอมยิ้ม
“ดูแลแม่แล้วก็ดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน” สราวลีทราบว่าน้องสาวหายงอนตนแล้วเพียงแต่ยังวางฟอร์มก็ส่ายหน้าน้อยๆ คล้ายระอา เพราะถ้าจะให้ง้อไปมากกว่านี้เธอก็ทำไม่เป็นเสียด้วย
“แล้วนี่อยู่กันได้นะ สองแม่ลูกน่ะ” ลภัสรดาถามกลับมาบ้าง
“อยู่ได้ ไม่ต้องห่วงหรอก”
“โอ๊ย...ใครเขาห่วงกัน” ลภัสรดาร้องโวยวาย เป็นห่วงแต่ก็ปากแข็ง
“ฮื่อ...ไม่ห่วงก็ดีล่ะ แล้วนี่จะกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือเปล่า ต้องนอนค้างนี่นา”
“ไม่ล่ะ ฉันอาบน้ำแล้ว” ลภัสราดาตอบกลับมาอย่างไม่ยี่หระ
“หา! อาบตอนไหน?” สราวลีเลิกคิ้วใส่โทรศัพท์ด้วยความสงสัย
“ก็ตอนขึ้นไปข้างบนนั่นแหละ ฉันอาบแล้ว และก็คงไม่ต้องอาบอีกหรอกมั้ง ตัวฉันยังหอมอยู่เลย”
สราวลีได้ยินเสียงฟุดฟิดของอีกฝ่ายดังมาตามสายหลังจากที่บอกว่าตัวเองนั้นยัง ‘หอม’ อยู่ก็อยากจะหัวเราะขัน หากไม่เกรงว่าอีกฝ่ายจะตะบึงตะบอนใส่เพราะแง่งอนเข้าให้อีก
“ก็ถ้ายังหอมอยู่จะไม่กลับมาอาบน้ำอีกรอบก็ตามใจ ยังไงก็เฝ้าแม่ดีๆ ล่ะ อย่าหลับเป็นตายเชียว แล้วถ้ามีอะไรรีบโทรหาฉันทันทีเลยนะ ดึกแค่ไหนก็ต้องโทร”
“รู้แล้วน่า...ระดับนี้แล้วไม่ต้องสั่งหรอก ฉันไม่ใช่เด็กนักเรียนของเธอนะ ถึงจะได้มาออกคำสั่งกับฉันเหมือนเด็กๆ น่ะ แค่นี้นะ ฉันจะได้รีบไปเฝ้าแม่ไม่ให้คลาดสายตา” คนเป็นน้องตอบกลับมาเสียงกระเง้ากระงอดติดจะประชดในที ก่อนจะตัดสายไป
“ฮึ! เรื่องประชดนี่เป็นที่หนึ่งไม่มีใครเกิน” สราวลีพึมพำกับโทรศัพท์ด้วยความเอือมระอาราวกับว่ามันคือใบหน้าทะเล้นๆ ของลภัสรดากระนั้น
หญิงสาววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะหน้าโซฟาด้วยความรู้สึกที่สงบและเบาโล่งกว่านาทีก่อนมาก เธอค่อยๆ ย่องกลับเข้าไปในห้องที่เจ้าหมูหวานกำลังนอนหลับพริ้มอยู่ อมยิ้มเอ็นดูกับท่านอนดูดนิ้วของลูกสาวตัวน้อย ก่อนจะเข้าไปขัดจังหวะอารมณ์สุนทรีของแม่หนูด้วยการยกขึ้นอุ้มแนบอกเพื่อจะพาขึ้นไปบนห้องนอนด้วยกัน เธอหมดอารมณ์ทานอาหารเย็นไปตั้งแต่ตอนที่เกิดอุบัติเหตุในห้องครัวของคุณวิกานต์ดาแล้ว ลภัสรดาเองก็คงจะเช่นเดียวกันถึงได้ไม่พูดถึงอาหารเย็นเลย เพราะปกติเรื่องกินสำหรับยัยคนนี้น่ะเรื่องใหญ่
สราวลีอุ้มหมูหวานพร้อมกับฮัมเพลงกล่อมเบาๆ ขณะพาเจ้าตัวน้อยก้าวขึ้นบันไดไป เธอเผลอทิ้งโทรศัพท์มือถือเอาไว้ในห้องรับแขก โชคดีที่คืนนั้นไม่มีสายเรียกเข้าจากลภัสรดาแม้แต่สายเดียว จะมีก็แต่สายนิรนามจากคนที่นอนกระสับกระส่ายเพราะโทรมาแล้วสาวเจ้าก็ไม่ยอมรับนั่นเอง
“นี่กะจะไม่รับสายกันเลยใช่ไหม ถ้าจะไม่รับก็น่าจะปิดเครื่องไปเลยนะ จะเปิดเครื่องไว้เหมือนให้ความหวังกันทำไมเนี่ย”
คนที่กดโทรศัพท์ยิกๆ บ่นพึมออกมาด้วยความหงุดหงิด เพราะโทรไปจนสายจะไหม้อยู่แล้วแต่กลับไม่มีสัญญาณตอบรับจากอีกฝ่าย ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้นอนหลับไปแล้วหรือว่าทำอะไรอยู่ก็ไม่ทราบ ส่วนตัวเขานั้นเห็นทีว่าคืนนี้จะนอนไม่หลับ เพราะว่าหลับตาลงคราวใดก็มักจะมีใบหน้าหวานๆ ของสราวลีลอยเข้ามาเสมอ
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก
“คุณเชนค่ะ...คุณเชน”
เสียงเคาะประตูพร้อมกับเสียงร้องเรียกที่ดังอยู่หน้าห้องนั้นทำให้ราเชนต้องวางโทรศัพท์ในมือลง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นแม่นมของตน ซึ่งหากเป็นคนอื่นเขาอาจจะพาลหงุดหงิดอาละวาดเอาได้ที่มาขัดจังหวะ แต่หญิงวัยกลางคนที่เลี้ยงเขามา และราเชนเองก็นับถือไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่ เขาจึงให้ความเคารพอยู่มาก
ดังนั้นเมื่อเปิดประตูต้อนรับหญิงสูงวัยร่างท้วมผู้เป็นแม่นม น้ำเสียงที่ถามออกไปจึงราบเรียบไม่บอกอารมณ์
“มีอะไรหรือครับนม?”
“มีแขกมาขอพบค่ะ” นางกลิ่นแก้วเอ่ยบอกผู้เป็นนายที่ตนเลี้ยงมาเองกับมือตั้งแต่แบเบาะด้วยรอยยิ้มอ่อน แม้น้ำเสียงที่ราเชนเอ่ยถามจะเรียบสนิท แต่แววตาและท่าทีนั้นปิดไม่มิดถึงอารมณ์หงุดหงิดที่ซ่อนอยู่
“ใครมาขอพบตอนนี้เนี่ย ไม่รู้จักเวล่ำเวลา”
“ฉันเองแหละ” อนาวิลโผล่หน้ามาพร้อมกับกระเป๋าสะพายหนึ่งใบที่โยนโครมลงตรงหน้าเพื่อน
“เฮ้ย! อะไรของนายวะไอ้นาวด์”
นางกลิ่นแก้วหลบฉากไปทันที ปล่อยให้สองเพื่อนสนิทพูดคุยกันตามประสา
“ก็ไม่อะไรหรอก แค่จะมาขอลี้ภัยสักพัก” อนาวิลบอกง่ายๆ แล้วก็สะบัดรองเท้าสำหรับใส่อยู่บ้านที่เพิ่งใส่มาจากหน้าบ้านออกไปคนละทิศละทาง ก่อนจะกระโดดขึ้นครองเตียงกว้างๆ ของราเชนราวกับว่ามันเป็นของตนมาก่อนกระนั้น
“ลี้ภัยอะไรของนาย แล้วทำไมต้องมาลี้ภัยที่บ้านฉันด้วย ที่นี่ไม่ใช่หลุมหลบภัยนะโว้ย ลุกขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” ราเชนเข้าไปลากตัวเพื่อนให้ลงจากเตียงของเขาจนสำเร็จ ก่อนจะตามเข้าไปตบที่นอนเหมือนไล่ฝุ่นอยู่หลายครั้ง
“อะไรจะขนาดนั้นวะ ตัวฉันสะอาดหรอก ไม่ได้สกปรกขนาดนั้น” อนาวิลเห็นท่าทางเหมือนรังเกียจของเพื่อนแล้วก็ทนไม่ได้ต้องร้องโวยวายออกมา
“ไม่ได้หรอก เตียงนี้ฉันยังไม่เคยพาใครมานอน กะเก็บไว้ให้เมียฉัน แต่นายดันมาเปิดซิงก่อนเมียฉันเสียนี่ เสียของหมด เห็นทีว่าพรุ่งนี้ฉันจะต้องยกเตียงนี้ทิ้งแล้วหามาเปลี่ยนใหม่” ราเชนบอกอย่างจริงจัง
“โว๊ะ! เพ้อเจ้ออะไรของนายวะ มงเมียอะไรเคยมีกับเขาด้วย” อนาวิลถึงกับต้องยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความงุนงง
“เรื่องของฉัน ว่าแต่นายเถอะ คิดจะมาลี้ภัยอะไรที่นี่ไม่ทราบ”
“ก็ยัยปลิงมหาภัยที่บ้านฉันน่ะสิ ขนาดจัดบ้านให้อยู่เป็นสัดเป็นส่วนยังไม่พอใจ ยังจะตามมารังควานฉันไม่เลิก เกาะฉันแจยังกะปลิงจริงๆ” อนาวิลเล่าไปก็ทำท่าสยองพองขนไป
“นี่นายกำลังพูดถึงเมียนายอยู่ใช่ไหม?”
“นี่! ก็บอกหลายครั้งแล้วว่าไม่ใช่เมีย นี่ถ้าขืนนายยังไม่เลิกพูดว่าหล่อนเป็นเมียฉันล่ะก็ ฉันอัดนายแน่” อนาวิลชูกำปั้นขู่
“ฮึ! กลัวจนตัวสั่นแล้ว” ราเชนบอกพร้อมกับเหยียดริมฝีปากให้อย่างหมิ่นๆ ท่าทางไม่ได้บอกว่ากลัวเลยสักนิด
“ก็อย่าให้ได้ยินอีกแล้วกัน” คนขู่ทำเสียงกำชับ
“เออๆ แล้วนี่จะมาลี้ภัยที่บ้านฉันเนี่ย หวังว่าคงไม่ทำบ้านฉันเป็นสมรภูมิรบแทนที่ลี้ภัยหรอกนะ เพราะถ้าหากว่าแม่ปลิงมหาภัยอะไรนั่นของนายจะตามมาถึงนี่ล่ะก็ บอกไว้ก่อนนะโว้ยว่าฉันไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้นถ้าจะมาก่อความวุ่นวายที่นี่” เราเชนชี้หน้าเตือน
“เชิญจัดการได้ตามสบายเลย ฉันจะไม่ว่านายสักคำ กับแม่คนนี้มันสุดจะทนจริงๆ ว่ะ” อนาวิลเอ่ยด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความรำคาญใจเป็นที่สุด
“ฉันจะจัดการนายน่ะสิ ตัวหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ จะไปจัดการผู้หญิงทำไม ฉันมันสุภาพบุรุษโว้ย ไม่ชอบทำร้ายผู้หญิง”
“โอ้โห จะว่าตัวเองแมนว่างั้นเถอะ ไม่ชอบทำร้ายผู้หญิงแล้วปล้ำเขาทำไมล่ะ คุณครูคนสวยคนนั้นน่ะ” อนาวิลเลยจี้ใจดำเข้าให้
“ไอ้เวร! ปากนายนี่” ราเชนคว้าแจกันที่ปลายเตียงได้ก็โยนโครมไปทางเพื่อน โชคดีที่อนาวิลหลบทันไม่อย่างนั้นหัวคงได้แตกกันไปข้าง
“เฮ้ยๆ เล่นของหนักเลยเหรอวะ แหม...พูดจริงทุกคำทำเป็นรับไม่ได้ อ้อ! แล้วนี่อย่าบอกนะที่บอกว่าเมียน่ะคือคุณไม้หอมคนนี้” แม้เพิ่งจะรอดจากแจกันเซรามิกมาได้อย่างหวุดหวิดอนาวิลก็หาได้กลัวเกรงเลยสักนิด ซ้ำยังกระเซ้าด้วยหน้าตาทะเล้นเสียอีก
“นายอย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย ถ้าแค่นอนด้วยคืนเดียวแล้วเรียกว่าเมียนะ ป่านนี้ฉันคงมีเมียเป็นร้อยแล้ว” ราเชนทำเสียงเข้มเข้าข่ม ทั้งที่ใจนั้นไหวยวบไปนานแล้วตั้งแต่ได้ยินชื่อสราวลี
“ถ้าฉันผู้ซึ่งเป็นเพื่อนที่รู้ใจนายมากที่สุดไม่รู้ แล้วใครจะรู้วะ ก็มันเห็นๆ กันอยู่ว่ามาขอเอาโทรศัพท์ไปส่งคืนเขาแทนเสียขนาดนั้น จะมาบอกว่าไม่มีอะไรได้ยังไง” อนาวิลกอดอกหรี่ตามองอย่างรู้ทัน
“ฉันก็แค่อยากเจอเขาเท่านั้น” ราเชนบอกส่งๆ
“เจอแล้วเป็นไง” อนาวิลกระชั้นถามต่ออย่างไม่ให้อีกฝ่ายได้มีเวลาตั้งตัวนัก
“ก็ไม่เป็นไง เจอแล้วก็ดี เขาสบายดีไม่ทุกข์ร้อนก็โอเค” ราเชนตอบเหมือนไม่มีอะไรในกอไผ่ และเหมือนมันธรรมดาเสียเหลือเกินที่เขาจะอยากเจอผู้หญิงที่บังเอิญว่ามีความสัมพันธ์ด้วยเพื่อจะรู้ว่าเจ้าหล่อนสบายดีไหม
“แหม...มีห่วงสารทุกข์สุกดิบกันด้วย ไม่ธรรมดานะเนี่ย” อนาวิลยังเย้าต่อ
“ไม่ธรรมดายังไง นี่ก็ธรรมดาที่สุดแล้ว หรือนายต้องการจะให้ฉันบอกอะไรนายไม่ทราบอนาวิล” ราเชนทำเสียงเหมือนโกรธที่ถูกเพื่อนกระเซ้าจนเกินพอดี
“เปล่าสักหน่อย แค่นี้ก็ต้องโกรธด้วย” อนาวิลหน้าจ๋อยไปเล็กน้อย แต่ใจนั้นนึกรู้ว่าเพื่อนไม่ได้โกรธจริงจังหรอก เพียงแต่เขาเองก็คร้านจะทู่ซี้ต่อ
“แล้วนี่จะมาอยู่บ้านฉันน่ะ งานการไม่ต้องทำหรือไง ไอ้รีสอร์ตนั่นตกลงว่าจะทิ้งใช่ไหม ฉันจะได้เซ้งต่อ”
“โห...นั่นมันรีสอร์ตน่ะโว้ย ไม่ใช่ร้านขายของชำจะได้มาเซ้งกันง่ายๆ ...ทำ! แต่ช่วงนี้งานไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ พอจะปลีกตัวได้”
“อย่านานล่ะ ฉันไม่อยากเลี้ยงนายให้เปลืองข้าวเปลืองน้ำเปล่าๆ”
“เออ! รู้น่า...แล้วนี่ตกลงจะหวงอีกนานไหมเตียงนอนน่ะ ฉันง่วงเต็มทีล่ะ ขับรถมาเหนื่อยจะแย่”
“ง่วงก็ไปนอนห้องอื่น เดี๋ยวฉันจะให้เด็กจัดการให้ รอก่อนแล้วกัน แต่ถ้ารอไม่ไหวก็เชิญหารูตรงไหนซุกไปก่อนก็ได้ แต่ห้ามขึ้นไปยุ่งบนเตียงฉันอีก เข้าใจนะ”
ราเชนสั่งกำชับเพราะเรื่องนี้เขาให้ความสำคัญอย่างที่สุด สำหรับคนอื่นอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับราเชน เขาไม่ชอบให้มีกลิ่นตัวของผู้ชายคนอื่นหรือไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามติดอยู่บนที่นอนนอกจากตัวเขา เพราะเขาไม่ต้องการให้ว่าที่ภรรยาในอนาคตได้กลิ่นของคนอื่นเวลานอนบนเตียงนี้ นอกจากกลิ่นของเขาเท่านั้น
รุ่งเช้าสราวลีตื่นแต่เช้าตรู่ โชคดีที่วันนี้ยังคงเป็นวันหยุดจึงไม่ต้องยุ่งยากโทรไปลากับทางโรงเรียน แต่เธอคิดว่าถึงวันนี้ไม่ได้ลา ไม่พรุ่งนี้หรือมะรื่นนี้ก็ต้องลาอยู่ดี เพราะถ้าหากมารดายังต้องเข้าเฝือกอยู่เป็นเดือนๆ ก็คงจะดูแลหมูหวานได้ลำบาก ลูกเธอยังเล็กมากหญิงสาวจึงนึกกลัวว่าหากต้องจ้างพี่เลี้ยงมาดูแลแทนก็อาจจะดูแลได้ไม่ดีนัก
สราวลีจัดการอาบน้ำให้ตัวเองพร้อมลูกสาวตัวน้อยจนตัวหอมฉุยไปด้วยกัน และเมื่อให้นมหมูหวานเสร็จเรียบร้อยแล้วก็อุ้มลงมายังชั้นล่าง เสียงโทรศัพท์ดังแว่วมาให้ได้ยินตรงบริเวณโฟซาห้องรับแขก นั่นแหละถึงเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองลืมโทรศัพท์มือถือเอาไว้ข้างล่างทั้งคืน
คุณแม่ลูกอ่อนอุ้มลูกสาวขึ้นพาดบ่าอย่างคล่องแคล้ว ก่อนจะใช้มืออีกข้างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายเมื่อเห็นว่าเป็นลภัสรดาก็ยิ่งร้อนใจ
“แม่เป็นอะไรหรือเปล่ารดา” เธอถามออกไปด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“เปล่า แม่ไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยวตอนส่ายๆ ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะ แต่ปัญหาก็คือว่าฉันดันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองติดนัดลูกค้าวันนี้น่ะสิ สำคัญเสียด้วย นี่ถ้าฉันเบี้ยวงานนี้นะคงโดนเจ้านายไล่ออกแน่ๆ ทีนี้ก็เลยอยากจะปรึกษาเธอว่าฉันควรจะทำยังไงดี” สุ้มเสียงของคนที่โทรมาฟังดูกลัดกลุ้มเหมือนหาทางออกไม่ได้จนต้องโทรมาปรึกษา
“ไม่เห็นต้องทำยังไงเลย มีนัดกับลูกค้าก็ไปสิ เดี๋ยวฉันจะไปรับแม่เอง”
“พูดเป็นเล่น จะมายังไงขับรถก็ไม่เป็นไม่ใช่หรือไง แล้วไหนจะยัยหมูหวานอีก จะกระเตงกันมายังไงล่ะ”
“เดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไปก็ได้” สราวลีไม่เห็นว่าจะลำบากตรงไหน มีเพียงลภัสรดาเท่านั้นที่ชอบคิดอะไรให้มันวุ่นวายตลอด
“โอ๊ย...จะไหวเรอะ ไม่ใช่ตัวคนเดียวนะเธอน่ะ” อีกฝ่ายก็ยังร้องท้วงขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย
“รู้...แต่ไม่ลำบากอะไรหรอก ดีกว่าให้แม่กลับมาคนเดียวนะ เดี๋ยวเกิดเป็นอะไรกลางทางขึ้นมาแล้วจะยุ่ง แล้วเราก็ไม่ได้มีทางเลือกมากหรอกนะรดา ยิ่งเวลาเกิดปัญหาขึ้นมาอย่างนี้เราก็ยิ่งต้องช่วยกันสิ”
“แต่ว่า...” ลภัสรดากำลังจะแย้งอีกแต่คนเป็นพี่ก็ขัดขึ้นเสียงดุเสียก่อน
“ไม่ต้องแต่เลยนะ มีงานก็รีบไปทำเสีย ก่อนที่มันจะไม่มีให้ทำ ถึงตอนนั้นใครจะช่วยฉันหาเงินเลี้ยงหมูหวานล่ะ”
“เฮ้อ!...โอเคๆ ถ้าคิดว่าไหวก็ลองดู” ลภัสรดาก็ต้องยอมแพ้อีกตามเคย
“แล้วนี่จะยังไง จะไปเลยใช่ไหม ฉันจะได้ออกจากบ้านตอนนี้เลย”
“ก็คงต้องไปเดี๋ยวนี้แหละ ต้องแวะเข้าไปเอาของที่บริษัทก่อนน่ะ นี่รถก็ยังจอดอยู่ที่บ้าน สงสัยฉันก็ต้องไปแท็กซี่เหมือนกัน ยังโชคดีนะว่าตอนตีห้าลุกมาอาบน้ำไปแล้วรอบหนึ่ง ไม่อย่างนั้นวันนี้ฉันคงต้องพาร่างเน่าๆ ของตัวเองไปพบลูกค้าแน่ๆ ยังไงก็ฝากเธอด้วยแล้วกันนะ เสร็จธุระแล้วจะรีบกลับ”
สราวลีได้ฟังลภัสรดาบ่นอะไรไปตามประสาอีกเล็กน้อยทางนั้นก็กดตัดสายไป และก่อนจะทันได้เหน็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกง สายตาก็พลันไปเห็นว่าหน้าจอปรากฏสายที่เธอไม่ได้รับอยู่หลายสายทีเดียว ซึ่งเมื่อกดเข้าไปดูแล้วก็พบว่าเป็นเบอร์ที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในเครื่อง แต่หญิงสาวยังไม่มีเวลามาตรวจสอบในตอนนั้นว่าเป็นเบอร์ของใครเพราะต้องรีบพาหมูหวานไปนอนเล่นที่เตียงคอกภายในห้องที่ติดกับห้องรับแขกก่อน เพื่อที่ตัวเองจะได้เตรียมของจำเป็นสำหรับลูกนำติดตัวไปด้วย และระหว่างที่กำลังวุ่นวายอยู่นั้นเสียงออดหน้าบ้านก็ดังขึ้น
ปิ้งป่อง...ปิ้งป่อง...
หญิงสาวต้องชะเง้อมองออกไปด้านนอกหน้าต่างผ่านทางห้องรับแขก เห็นเพียงด้านหลังของผู้ที่มาเยือนในยามเช้าตรู่เท่านั้น แต่ยังไม่ทันจะได้มองให้ถนัดเสียงร้องไห้จ้าของลูกสาวตัวน้อยก็ดังขึ้นเสียก่อน
“โอ๋ๆ หมูหวานของแม่ ร้องไห้ทำไมคะ” สราวลีต้องรีบวิ่งกลับเข้ามาในห้องเลี้ยงเด็กเพื่อดูลูกสาวก่อน แล้วก็พบว่าหมูหวานนั้นอึรดผ้าอ้อมจึงร้องไห้งอแงเพราะไม่สบายตัว
คุณแม่ยังสาวเริ่มละล้าละลัง สุดท้ายก็จำต้องปล่อยให้คนที่กำลังกดออดที่หน้าบ้านอย่างไม่ลดละนั้นรอไปก่อน เพราะวินาทีนี้คงไม่มีใครสำคัญไปกว่าหมูหวานตัวน้อยที่ฤทธิ์คงไม่น้อยเลยเพราะเล่นแผดเสียงร้องจ้าขู่คุณแม่เสียจนกลัวว่าลูกสาวจะขาดใจเสียก่อนหากไม่ยอมเปลี่ยนผ้าอ้อมให้
“ไม่เอาแล้วนะคะ คราวหน้าไม่ร้องไห้แบบนี้อีกแล้วนะ เพราะแม่จะขาดใจก่อนหนูอีกรู้ไหม” คนเป็นแม่อดที่จะเอ็ดลูกสาวออกไปไม่ได้หลังจากที่จัดการเปลี่ยนผ้าอ้อมผืนใหม่ให้เรียบร้อยแล้ว และตอนนี้แม่ลูกสาวตัวดีของเธอก็เลิกร้องเป็นปลิดทิ้ง แถมยังยิ้มแฉ่งจนเห็นเหงือกสีชมพูนั้นเสียอีก เล่นเอาโกรธกันไม่ลงเลยทีเดียว
สราวลีทำท่าว่าจะลืมผู้มาเยือนไปเสียแล้ว ถ้าหากว่าเสียงออดจะไม่ดังขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ก็มาเป็นจังหวะติดๆ กันเสียจนเธอต้องรีบอุ้มหมูหวานออกไปหน้าบ้านแทบจะทันที เพื่อจะดูให้แน่ใจว่าใครกันที่มารบกวนแต่เช้า ซ้ำยังไม่มีมารยาทรัวกดออดเสียจนเจ้าของบ้านแทบหูชาเสียอีก
แต่แล้วเท้าที่กำลังก้าวยาวๆ ตรงไปยังประตูรั้วบ้านของสราวลีก็มีอันต้องชะงักลงเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่มากดออดได้ถนัดตา หญิงสาวเผลอกอดลูกสาวแน่นขึ้นอีก ลมหายใจของเธอก็เหมือนจะติดขั้นขึ้นมาทันใดเมื่อเผลอมองสบกับดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นที่มีแววระยับแข่งกับแสงอาทิตย์ยามเช้าส่งมาที่เธอ
ญาณนันต์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ต.ค. 2556, 21:25:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ต.ค. 2556, 21:44:04 น.
จำนวนการเข้าชม : 3223
<< บทที่ 3 Love me love my dog | ตอนที่ 5 สารถีกิตติมศักดิ์ >> |
OhLaLa 5 ต.ค. 2556, 21:41:40 น.
ดีใจจังที่อัพเรื่องนี้ รออ่านอยู่นะคะ
ดีใจจังที่อัพเรื่องนี้ รออ่านอยู่นะคะ
เคสิยาห์ 5 ต.ค. 2556, 21:48:29 น.
ลืมชื่อนักเขียนไปเลย
ลืมชื่อนักเขียนไปเลย
นักอ่านเหนียวหนึบ 5 ต.ค. 2556, 22:20:10 น.
หมูหวานจะได้เจอปะป๋าแล้ววววว
หมูหวานจะได้เจอปะป๋าแล้ววววว
nasa 5 ต.ค. 2556, 22:49:14 น.
หายไปนานเกือบลืมเรื่องไปแล้ว ที่แท้ก็คุณครูถูกปล้ำน่ะเอง แซวค่ะ
ราเชนเห็นหมูหวานแล้วจะรู้มั้ยว่าเป็นลูกตัวเอง หน้าเหมือนกันซะขนาดนั้น
หายไปนานเกือบลืมเรื่องไปแล้ว ที่แท้ก็คุณครูถูกปล้ำน่ะเอง แซวค่ะ
ราเชนเห็นหมูหวานแล้วจะรู้มั้ยว่าเป็นลูกตัวเอง หน้าเหมือนกันซะขนาดนั้น
lovemuay 6 ต.ค. 2556, 06:34:17 น.
หายไปนาน คิดถึงจังเลยค่ะ
อยากให้พระเอกรู้นะคะ ว่ามีลูกแล้ว ยังไงพระเอกก็ต้องการทั้งแม่ทั้งลูกอยู่ดีนิคะ อิอิ
หายไปนาน คิดถึงจังเลยค่ะ
อยากให้พระเอกรู้นะคะ ว่ามีลูกแล้ว ยังไงพระเอกก็ต้องการทั้งแม่ทั้งลูกอยู่ดีนิคะ อิอิ
mhengjhy 6 ต.ค. 2556, 09:30:27 น.
รุกเชียวว
รุกเชียวว
ปารัณ 6 ต.ค. 2556, 10:55:00 น.
เกือบไม่เข้ามาอ่านในบ้านนี้ มิงั้น อดเล่นเกมแจกหนังสือ อิอิ
มาอัพไวๆน้าา พี่รอจนลืมว่าเรื่องนี้เป้นมายังไง จนต้องน้อนกลับไปอ่านอีกรอบ ฮ่าาาา
เกือบไม่เข้ามาอ่านในบ้านนี้ มิงั้น อดเล่นเกมแจกหนังสือ อิอิ
มาอัพไวๆน้าา พี่รอจนลืมว่าเรื่องนี้เป้นมายังไง จนต้องน้อนกลับไปอ่านอีกรอบ ฮ่าาาา
แสนรัก 6 ต.ค. 2556, 11:39:14 น.
เจอตัวแล้ว แถมรู้ว่าบ้านอยู่ไหนอีก ต่อไปคงรุกเต็มที่เลยสิน้า ราเชน :D
เจอตัวแล้ว แถมรู้ว่าบ้านอยู่ไหนอีก ต่อไปคงรุกเต็มที่เลยสิน้า ราเชน :D
อะไรก็ได้ 6 ต.ค. 2556, 13:18:37 น.
สนุกอ่าาาา มาอัพบ่อยๆน้า รออ่านเต็มที่
สนุกอ่าาาา มาอัพบ่อยๆน้า รออ่านเต็มที่
ButterflyB 6 ต.ค. 2556, 13:34:27 น.
มาอัพเร็วนะคะ
มาอัพเร็วนะคะ
nako 6 ต.ค. 2556, 14:57:46 น.
ว้าว ว้าว มาแล้ว
ว้าว ว้าว มาแล้ว
Zephyr 6 ต.ค. 2556, 16:50:22 น.
หงะ ป๊ะป๋ามาแล้ววววววว
โผหาเลยลูก หมูหวานนนน
ป๋าจะได้เอะใจ มะม้าหนูจะได้หน้าแตก คริครชอบแกล้งคน หุหุ
ราชรถมาเกย มิเหมือนแท็กซี่เน้อ.
นั่งแล้วนิ่มก้นกว่าเห็นๆ คนขับก็หล่อชัวร์ ไปเถอะๆๆๆๆ
ปล. ทำไมคนอ่านต้องเข้าข้างพระเอก นั่นสิ ทำไม???? ไม่เข้าใจ!!! เพราะเค้าก็.... เข้าข้างพระเอก ฮ่าๆๆๆๆ
หงะ ป๊ะป๋ามาแล้ววววววว
โผหาเลยลูก หมูหวานนนน
ป๋าจะได้เอะใจ มะม้าหนูจะได้หน้าแตก คริครชอบแกล้งคน หุหุ
ราชรถมาเกย มิเหมือนแท็กซี่เน้อ.
นั่งแล้วนิ่มก้นกว่าเห็นๆ คนขับก็หล่อชัวร์ ไปเถอะๆๆๆๆ
ปล. ทำไมคนอ่านต้องเข้าข้างพระเอก นั่นสิ ทำไม???? ไม่เข้าใจ!!! เพราะเค้าก็.... เข้าข้างพระเอก ฮ่าๆๆๆๆ
nongnong79 6 ต.ค. 2556, 19:39:20 น.
หมูหวานจะเจอพ่อแล้ว
หมูหวานจะเจอพ่อแล้ว
supayalak 6 ต.ค. 2556, 21:44:24 น.
หายไปนาน มาอีกทีนี่ทิ้งระเบิดให้ตามกู้กันทีเดียวน้า ว่าแต่คนมากกริ่งหนะใช่ป่ะป๋าของสาวน้อยไหมหนอ
หายไปนาน มาอีกทีนี่ทิ้งระเบิดให้ตามกู้กันทีเดียวน้า ว่าแต่คนมากกริ่งหนะใช่ป่ะป๋าของสาวน้อยไหมหนอ
nunoi 7 ต.ค. 2556, 10:55:33 น.
อย่าหายไปนานอีกนะคะ รอลุ้นว่าพ่อลูกอ่อนจะรู้หรือเปล่าว่าตัวเองมีลูกแล้วอ่ะ
อย่าหายไปนานอีกนะคะ รอลุ้นว่าพ่อลูกอ่อนจะรู้หรือเปล่าว่าตัวเองมีลูกแล้วอ่ะ