เงาจันทร์
สร้างจากเค้าโครงเรื่องสั้น (ของตัวเองเมื่อนานมาแล้ว)...และแรงบันดาลใจจากเพลง ‘งานเต้นรำคืนพระจันทร์เต็มดวง’


‘เขา’ พบ ‘เธอ’ ในช่วงเวลาที่แปลกประหลาด สถานที่แปลกประหลาด
‘เขา’ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเจอผู้หญิงคนนี้ ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมถึงเป็น ‘เขา’ ที่ได้เจอเธอ
ทำไม ‘เขา’ ถึงได้เจอ ‘เธอ’ เพียงคนเดียว...และทำไม ‘เธอ’ ถึงมาให้ ‘เขา’ เห็นเพียงคนเดียว!


‘เธอ’ เจ็บปวดกับรักครั้งแรกที่ถูกทรยศ
‘เขา’ พยายามตามหารักครั้งใหม่ที่จะไม่ทำให้เขาเจ็บปวดอีก

เมื่อหนึ่งคน หนึ่งวิญญาณมาเจอกันในวันพระจันทร์เต็มดวง
ความผูกพันจึงได้ก่อเกิด

นำทางเขาเข้าไปสู่ความรักครั้งเก่า ที่กลับกลายเป็น...ต้นตอของโศกนาฏกรรมในชีวิตเธอ

ทุกอย่างนี่...เพื่อเธอจะได้จากไปยังอีกโลกได้อย่างเป็นสุข

ทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้ความจริง...นั่นหมายความว่าเธอกำลังจะหลุดพ้นจากโลกนี้

…และหายไปจากชีวิตเขาตลอดกาล...
Tags: เงาจันทร์,วิญญาณ,ผี,รัก,ฆาตกรรม

ตอน: บทที่ 3 : สิตางค์ วรรณรส


“สิตางค์...เข้ามาใกล้ๆ แม่สิลูก”

น้ำเสียงแหบเครือดังแผ่วเบา หญิงสาวลุกจากเก้าอี้ข้างเตียงมานั่งตรงขอบเตียง ร่างบางโน้มลงไปหาร่างที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจับมือผอมบางมากุมอย่างระวัง

รอยยิ้มของเธอแตะแต้มใบหน้างาม รอยยิ้มนี้แม่ชอบนักหนา แม่เคยบอกว่าเธอยิ้มแล้วโลกของแม่สดใส โลกของแม่มีแต่เธอ และคุณพ่อเท่านั้น โลกของเธอก็เช่นกัน มีเพียงแม่และคุณพ่อเท่านั้น...

...หากโลกของคุณพ่อมิได้มีเพียงเธอและแม่เพียงสองคน...

แม่ของเธอล้มป่วยในวันหนึ่งหลังจากที่คุณพ่อพา ‘คุณแม่น้อย’ และลูกสาวของเธอเข้ามาในบ้าน ถึงแม้คุณแม่น้อยจะมิได้อยู่บนตัวตึกใหญ่ หากกลายเป็นคุณพ่อเอง...ที่หายไปจากตึกใหญ่ และไปขลุกอยู่กับแม่น้อยและลูกสาวในเรือนเล็ก นานๆ ทีจึงจะจำได้ว่าท่านยังมีแม่และเธอรออยู่ที่ตึกใหญ่อย่างเงียบเหงา

แม่เริ่มเหม่อลอย ผอมเซียวลง เล็บมือของแม่เริ่มเป็นสีออกเขียวอมม่วงหน่อยๆ หลวงแพทย์ที่มาดูอาการบอกเพียงแต่ว่าแม่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ประกอบกับแม่นั้นรับประทานอาหารได้น้อยลง ริมฝีปากเริ่มแตกระแหงอย่างที่ใช้สีผึ้งอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น ผมของแม่เริ่มร่วงหล่น จนกระทั่งเหลือปกคลุมศีรษะเพียงบางเบา และเส้นผมเหล่านั้นก็เปลี่ยนเป็นสีขาวอย่างรวดเร็ว

ตอนนั้นเองที่คุณพ่อเริ่มพาแม่น้อยกับลูกออกงานสังคม...แทนที่เธอและแม่...

เธอกุมมือแม่ แอบไล้ข้อมือผอมบางของแม่ ก่อนที่จะรู้สึกถึงความชื้นที่ดวงตา

“แม่อยากทานอะไรไหมคะ ประเดี๋ยวเดือนจะสั่งเด็กทำมาให้”

‘เด็ก’ ที่คอยรับใช้ในบ้านส่วนมากอยู่ที่เรือนเล็ก คอยรองมือรองเท้าแม่น้อยกับลูกสาว มีเพียงป้าจวง ป้าแก่ๆ ที่เป็นข้าเก่าของแม่เธอ ที่เคยหอบหิ้วกันมาจากเรือนของท่านเจ้าคุณตาเท่านั้นที่ยังคอยรับใช้อย่างภักดี ตอนนี้สิ่งใดที่เธอพอจะทำได้เธอจะลงมือทำเองทั้งสิ้น

“แม่ไม่หิว” มารดาเธอส่ายหน้าปฏิเสธ เส้นผมสีขาวร่วงลงบนหมอนสีขาวสะอาด สีที่เหมือนกันทำให้ยากที่จะสังเกตเห็น แต่เธอมองเห็นอย่างชัดเจน “เดือนลองถามคุณพ่อดูว่าท่านอยากรับทานอะไรหรือไม่ แล้วถ้าแม่ลุกไปได้แม่จะลงไปจัดการเอง”

เธออยากจะบอกกับแม่เหลือเกิน ว่าตอนนี้คุณพ่อคงสบายอยู่ในเรือนเล็กที่เพียบพร้อมไปด้วยข้าทาสบริวาร มีคนเอาอกเอาใจอย่างวิเศษจนลืมเลือนไปแล้วว่ามีลูกและเมียอยู่อีกทั้งคน

แต่เธอก็ทำได้เพียงตอบรับแผ่วเบา “ค่ะ เดือนจะดูแลเรื่องนี้เองค่ะ แม่ก็ต้องพักผ่อนมากๆ รอให้หายดีเสียก่อนค่อยลุกขึ้นมานะคะ”

ร่างบางทำท่าจะผละไป หากมารดากลับเรียกเธอเอาไว้ “เดือน...กาแฟของแม่”

“เดือนว่าแม่เลิกดื่มเถิดค่ะ มันแสลงไข้นะคะ”

“แม่เคยดื่มกับคุณพ่อทุกเช้า ตอนนี้ถึงแม้จะไม่ได้ดื่มด้วยกัน แต่แม่ก็เลิกไม่ได้หรอก ไปชงกาแฟมาให้แม่หน่อยนะ...”

เธอรับคำเบาๆ ก่อนออกมาจากห้องของมารดา

ตึกใหญ่โอ่อ่าหลังนี้ งดงามด้วยการตกแต่งแบบฝรั่งเศส คุณพ่อที่เคยไปเรียนเมืองนอกจำการตกแต่งแบบนี้มาจำลองไว้ที่บ้านของท่าน บ้านหลังนี้ของสิตางค์หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ‘คฤหาสน์วรรณรส’ จึงงดงาม สง่าภาคภูมิ และอัครฐานยิ่งกว่าบ้านหรือคฤหาสน์ของเสนาบดีใดๆ ที่รับราชการมาด้วยกัน

สิตางค์ก้าวเดินลงมาจากบันไดหินอ่อน สัมผัสเย็นเยียบใต้ฝ่ามือทำให้เธอตื่นตัวอยู่เสมอ เมื่อแม่น้อยมาอยู่ เธอซึ่งต้องกลายเป็นเจ้าบ้านฝ่ายหญิงในตึกใหญ่ต้อง ‘พร้อมรบ’ ทุกขณะจิต

หญิงสาวก้าวเข้าไปในครัว เมื่อตอนที่คุณพ่อไปขลุกอยู่ที่เรือนเล็กใหม่ๆ ท่านสั่งให้ส่งอาหารมาที่ตึกใหญ่ทุกมื้อ หากเมื่อท่านรู้ว่าเธอส่งกลับไปโดยที่ไม่แตะต้อง ท่านจึงเปลี่ยนมาส่งเครื่องครัวมาให้เธอแทน หนึ่งในสิ่งที่ท่านส่งมาให้ซึ่งน้อยลงไปทุกวัน คือกาแฟที่แม่ชอบ...จริงๆ เธอรู้ว่าแม่ไม่เคยชอบกาแฟ หากแต่ต้องดื่มเป็นเพื่อนเจ้าคุณพ่อทุกวันจนติดเป็นนิสัย ไม่ว่ารสชาติจะฝาดขมบาดลิ้นเช่นไร แม่ก็จะดื่มด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานเป็นเพื่อนเจ้าคุณพ่อเสมอ...

เธอเริ่มชงกาแฟให้แม่ด้วยท่าทางไร้ความรู้สึก...





“คุณว่าคุณแม่ของคุณมีอาการเล็บมือเปลี่ยนสี มือเท้าชา ริมฝีปากแห้ง ผอมลงและผมแห้งกรอบรวมทั้งหงอกก่อนวัยใช่ไหม...”

“ใช่...คุณแม่ท่านป่วยเรื้อรังด้วยอาการที่หลวงแพทย์เรียกว่า ‘ตรอมใจ’ ก่อนที่วันหนึ่งท่านจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก...”

มันไม่ใช่อาการตรอมอกตรอมใจอะไรหรอก...ชายหนุ่มเปลี่ยนท่าทางจากที่เอนหลังพิงต้นไม้มาเหยียดหลังตรง ใบหน้าคมเคร่งเครียดเมื่อคิดถึงอาการทั้งหมดที่เขาซึ่งเป็นต้องศึกษาสารพิษและการออกฤทธิ์ของมันนั้น บอกได้ทันทีว่าอาการทั้งหมดบ่งชี้ว่าคุณแม่ของวิญญาณตรงหน้าเขาตายด้วยการถูกวางยาพิษ

“แล้วคุณทำยังไงต่อไป...”

ร่างโปร่งจนมองทะลุได้ของหญิงสาวยังยืนอยู่เช่นเดิม ดวงตาสีดำสนิททอดมองไปข้างหน้า ตรงที่เขาเห็นเงาตะคุ่มๆ ของสิ่งก่อสร้างงดงามที่เห็นอยู่ไกลๆ

“ฉันหรือ...ฉันถูกไล่ออกจากบ้านหลังเสร็จงานศพของแม่” เธอเผยรอยยิ้มเยือกเย็น “ฉันไปอยู่เรือนเล็ก เขาเหล่านั้นย้ายไปอยู่ที่ตึกใหญ่”

“คุณพ่อของคุณไม่ช่วยอะไรคุณเลยเหรอ ขอโทษ...แม่น้อยที่คุณว่าหมายถึงภริยาน้อยของคุณพ่อคุณนี่ แล้วทำไมพ่อคุณถึงปล่อยให้เมียน้อยมาข่มลูกสาวได้ล่ะ?”

เป็นเขา...เขาคงตัดปัญหาทุกอย่างที่ต้นลม ด้วยการไม่มีเล็กมีน้อยไปเสียก็สิ้นเรื่อง ลูกเมียก็จะได้ไม่ต้องลำบากอย่างนี้ด้วย

“ฉันมีคนรัก” ประโยคนี้เธอนิ่งไปนานก่อนจะพูด “คุณพ่อคิดว่าจะให้เราแต่งงานกัน ท่านเลยไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากที่ฉันจะลงไปอยู่ที่เรือนเล็ก เพราะคิดว่าอย่างไรเสียอีกไม่นานฉันก็จะต้องย้ายไปอยู่บ้านสามีแล้ว”

“อย่างนั้นก็ดีสิ คุณจะได้ไม่ต้องอยู่ร่วมบ้านกับคนพวกนั้นไง”

ดนัยพยักหน้าหงึกๆ พลางออกความคิดเห็น “อยู่บ้านสามี อย่างน้อยเขาก็รักคุณ ต้องดูแลคุณได้ดีกว่าที่บ้านของคุณเป็นแน่”

รอยยิ้มน้อยๆ เยือกเย็นจากมุมปากของเธอเจือแววขัน “หากเรื่องเป็นเช่นนั้น ฉันจะมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้หรือ”

เออจริง...ชายหนุ่มโคลงศีรษะให้ตัวเองเล็กน้อย

ร่างสูงนั่งเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ริมลานกว้าง ชายหนุ่มกอดอกพลางฟังเสียงหวานหากเรียบเรื่อยของเธอเล่าเรื่องที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นโศกนาฎกรรมในชีวิตของเธอให้ฟัง เมื่อมานั่งฟังเธอเล่าเรื่องอย่างนี้ เขาก็รู้สึกว่าเธอไม่ต่างจากผู้หญิง ‘มีเลือดเนื้อ’ คนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย...

“คุณพ่อวางแผนให้ฉันแต่งงานออกไปหลังจากพ้นช่วงไว้ทุกข์ให้แม่แล้ว และกำหนดประกาศหมั้นในคืนงานเต้นรำที่บ้านของฉันจะจัดทุกปีในคืนพระจันทร์เต็มดวงในเดือนตุลาคม เดือนเกิดของคุณพ่อ...”





ครั้งแรกที่เจอเขา เธอกำลังเดินจากบันไดหินอ่อนลงมาสู่ห้องโถงของบ้าน

กลางงานเต้นรำหรูหราที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติให้แกคุณพ่อของเธอ เนื่องในวันคล้ายวันเกิดซึ่งท่านยึดถือเอาวันพระจันทร์เต็มดวงเป็นสำคัญ ห้องโถงจะถูกตกแต่งด้วยเครื่องประดับงดงาม แสงไฟจากแชนเดอร์เลียสว่างนวล เครื่องแก้วเจียระไนวางอยู่บนโต๊ะอาหารพร้อมเครื่องเงินวาววับ ดอกไม้ทั้งตูมและบานส่งกลิ่นหอมจรุง แว่วเสียงบรรเลงของวงเครื่องสายที่กำลังเล่นเพลงช้า อ่อนหวาน...สะกดหัวใจคนฟัง

และสะกดหัวใจของเธอ...

เขาแหงนเงยขึ้นสบตาเธอที่ปรายตามองลงมาพอดี ชั่วขณะหนึ่งที่เธอคิดว่ามีกระแสไฟฟ้าแล่นปราดมากระทบจนต้องแอบกัดด้านในริมฝีปากมิให้เผยอยิ้มออกมา

เธอในชุดราตรียาวสีม่วงเข้ม ตัวชุดด้านบนเป็นเกาะอกเข้ารูปทำให้เห็นเรือนร่างแบบบางงดงาม จับจีบตรงช่วงเอวก่อนที่จะปล่อยชายให้ยาวจรดพื้น ผ้าคลุมไหล่ผืนบางสีเดียวกับชุดคล้องไว้กับแขนทั้งสองข้าง เธอไร้ซึ่งเครื่องประดับใดๆ นอกจากสร้อยเพชรน้ำงามเพียงเส้นเดียวบนลำคอระหง ผมยาวสลวยสีดำสนิทเฉกเดียวกับนัยน์ตาถูกรวบมวยต่ำ มีเพียงดอกกุหลาบบางหอมกรุ่นสีขาวสะอาดเท่านั้นที่แซมอยู่บนมวยผม ปล่อยให้ลูกผมบางส่วนเคลียไล้กรอบหน้ารูปไข่อ่อนหวาน...งดงามจนคนมองแทบลืมหายใจ

เขาเหม่อมองเธอด้วยสายตาชื่นชมอย่างปิดไม่มิด และเมื่อเธอเดินลงมาถึงขั้นบันไดที่เขายืนรอรับอยู่ หญิงสาวก็แว่วเสียงเขาบอกแผ่วเบา

“ท่านให้ผมมารับคุณครับ”

‘ท่าน’ ของเขาก็คือบิดาของเธอนั่นเอง หญิงสาวมองพินิจถึงชายหนุ่มรูปร่างสูง ผิวค่อนข้างคล้ำตามแบบของทหาร เขาแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบปกติขาวของทหาร เครื่องประกอบยศและเหรียญตราต่างๆ วาววับอยู่บนหน้าอกผึ่งผาย ใบหน้าคมเข้มพอๆ กับดวงตาทรงอำนาจคู่นั้นสะกดให้เธอมิอาจละสายตาได้

เขายิ้มน้อยๆ ชั่วครู่หนึ่งเธอคิดว่าเธอเห็นประกายบางอย่างวาบขึ้นมาในดวงตาของเขา





“นั่นน่ะหรือการพบกันครั้งแรกของคุณกับแฟน...เอ้อ...คนรักของคุณ”

ดนัยขมวดคิ้ว ก่อนวิจารณ์ตรงๆ ลืมความกลัวจับจิตเมื่อครู่ไปชั่วขณะ “พบกันแบบนี้ สถานการณ์แบบนี้ แถมคุณพ่อคุณส่งมาหาอีก อีอย่างนี้เขาเรียกว่า ‘จับคู่ดูตัว’ ใช่ไหมล่ะ?”

หญิงสาวได้แต่หัวเราะแผ่ว ไม่ตอบคำถามของเขา

“ว่าแต่...” ร่างสูงที่พิงต้นไม้ยังถามต่อ “คุณรักเขาตั้งแต่แรกเห็นเลยอย่างนั้นเหรอ?”

“ใช้คำว่ารักคงหนักไป แต่ถ้าเป็นคำว่าชอบ...คำนี้น่าจะใช่กว่า” เสียงหวานตอบอย่างรำพึง

“เขาหล่อไหม...คนนั้นของคุณ”

“จัดว่าเป็นชายที่หน้าตาหล่อเหลามากเลยทีเดียว”

คราวนี้ดนัยทำเสียง ‘ฮึ’ ออกมาอย่างลืมตัว ทำให้เธอต้องหันกลับไปมองอย่างสงสัย “มีอะไรหรือ...”

“ไม่มีอะไร” ชายหนุ่มตอบเสียงห้วน ในใจอกนึกไปถึงโทรศัพท์เมื่อตอนเย็นที่พันทิวาโทรมาไม่ได้ แฟนของพันทิวาก็เป็นคนหน้าตาดีเช่นกัน ถ้าเป็นคนหน้าตาดี...ก็คงถูกทิ้งได้ยากกว่าสินะ ไม่ว่าใครก็คงให้อภัยคนหน้าตาดีทั้งนั้น ก็อย่างเขาว่ากัน...คนหน้าตาดีทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด...

ยิ่งคิดใบหน้าคมก็ยิ่งบูดบึ้งขึ้นเรื่อยๆ ...เหมือนแฟนใหม่ของวิยะดาอย่างไรเล่า...เธอก็ทิ้งเขาไปหาไอ้ผู้ชายคนนั้นที่หน้าตา หน้าที่การงาน ฐานะ สังคม ดีกว่าเขาเหมือนกัน...

ความรู้สึกเจ็บปวดที่เขาคิดว่าลืมไปนานแล้วค่อยๆ เอ่อล้นออกมาจนเต็มหัวใจ ดนัยก้มลงมองปลายเท้าตนเองเมื่อรู้สึกว่าทนมอง ‘ผู้หญิง’ อีกคนที่ชอบผู้ชายที่เห็นเพียงครั้งเดียวเพราะหน้าตาไม่ได้!

ร่างบางเพียงยืนมองเงียบๆ ก่อนเอ่ยขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

“เรื่องของฉันมีส่วนใดกระทบใจคุณหรือเปล่า?”

“จะว่ามีมันก็มี” ดนัยตอบเรียบๆ และเปลี่ยนเรื่องรวดเร็ว “คนรักของคุณเป็นคนดีหรือเปล่า?”

ดวงตาสีดำสนิทของหญิงสาวหันมาทางเขา อาจจะเป็นเพราะแสงจันทร์ถูกเมฆบดบัง มันจึงสลัวจนไม่อาจฉายส่องให้เห็นประกายในดวงตาของเธอได้...

น้ำเสียงหวานของเธอเย็นเยือกขึ้นเมื่อเอ่ย “เขาอาจจะเป็นคนดีในด้านอื่นๆ แต่ฉันคงไม่ใจกว้างถึงขนาดพูดว่าคนที่ทรยศต่อความรักของฉันเป็นคนดีหรอก”

“อย่างนั้นเราสองคนก็เป็นคนที่ถูกความรักทรยศด้วยกันทั้งคู่” ดนัยหัวเราะหึๆ ก่อนเอนกายลงพิงต้นไม้เช่นเดิม “ผมไม่เคยเข้าใจผู้หญิงเลยรู้ไหม เมื่อวานก่อนที่ผมจะเจอคุณ ผมเจอผู้หญิงคนหนึ่ง เธอกำลังจะถูกคนรักทำร้ายต่อหน้าผู้คน ผมเข้าไปช่วยเอาไว้”

ชายหนุ่มเล่าไปเรื่อยๆ ประหลาดใจตนเองเหมือนกันที่เขาสามารถพูดเรื่องราวในใจต่อหน้าเธอได้อย่างมากมาย

“เธอบอกผมว่าเธอจะลาออก เธอจะเลิกกับเขา แต่วันนี้เธอกลับบอกผมว่าเธอให้อภัยเขาแล้ว...”

“เธอรักผู้ชายคนนั้น” วิญญาณสรุปสั้นๆ

“รักเหรอ?” ชายหนุ่มทวนคำเสียงสูง “เธอจะรักผู้ชายคนนั้นได้ลงอยู่หรือ ทั้งๆ ที่เขาหยาบคาย ไม่ให้เกียรติเธอถึงขนาดนั้นน่ะนะ?”

คราวนี้ร่างโปร่งโคลงศีรษะอย่างเอ็นดูคนพูด “คุณเคยรักใคร ทั้งๆ ที่เขาคนนั้นทำร้ายคุณสารพัดไหม ทั้งๆ ที่เขาทำให้คุณเจ็บใจครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้สนใจใยดีหรือรับรู้เรื่องของคุณ แต่คุณก็ยังรัก...นี่อย่างไรอานุภาพของความรัก มันทำให้คนเราสามารถทำร้ายตัวเองอย่างถึงที่สุดได้ เพียงเพื่อได้รักคนๆ หนึ่งเท่านั้น”

ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปนาน หากหูยังได้ยินเสียงวิญญาณสาวพูดต่อไป “แต่สำหรับผู้หญิงที่คุณเล่าให้ฉันฟังเมื่อครู่ ที่คุณเดือดร้อนมากเมื่อเธอคืนดีกับคนรักของเธอ อาจจะเป็นเพราะลึกๆ แล้ว...คุณต้องการเธอคนนั้นกระมัง”

“ฮะ! ผม...เอ่อ...ผม...” ดนัยอ้าปากจะเถียง หากกลับคิดคำใดๆ ไม่ออกแม้แต่คำเดียว ไม่กล้ากระทั่งจะทบทวนเลยด้วยซ้ำไปว่าตกลงที่เธอพูดเมื่อครู่เป็นจริงหรือไม่

หมดทางเข้าชายหนุ่มก็ผุดลุก แหงนเงยมองแสงจันทร์ที่เริ่มเผยออกจากม่านเมฆเรื่อยๆ เริ่มส่องแสงสว่างไปทั่วบริเวณ วิญญาณสาวหลับตานิ่ง ก่อนเคลื่อนตัวออกไปยืนนิ่งใต้แสงจันทร์กลางลานกว้าง ร่างสูงเดินตามออกมายังกลางลานก่อนมองพระจันทร์อีกครั้งแล้วเอ่ยเบาๆ

“คงดึกมากแล้วสินะ”

หญิงสาวลืมตาขึ้น ก่อนเคลื่อนร่างมาหยุดอยู่ใกล้ๆ ตัวชายหนุ่ม กระแสอะไรบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวเธอ...เย็นยะเยือกดุจแสงจันทร์ และทำให้เขาเริ่มตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อครู่ที่เขาคุยกับเธอได้เป็นตุเป็นตะ อาจเป็นเพราะว่าเธอยืนอยู่ห่างๆ ทำให้เขาไม่รู้สึกถึงความเย็นที่แผ่ออกมาจากวิญญาณของเธอกระมัง เมื่อได้มาสัมผัสจึงเป็นสิ่งที่เตือนความทรงจำ ว่าร่างที่เขาเห็นอยู่นั้นไร้ซึ่งชีวิตเสียแล้ว

“ดึกแล้ว คุณกลับไปก่อนเถิด ไว้ค่อยคุยกันใหม่” แสงจันทร์แจ่มกระจ่างฉายส่องร่างบางของเธอเต็มๆ เผยให้เห็นเรือนร่างงดงามในชุดสีม่วงเข้มเกือบดำยาวจรดพื้น...

ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะออกเดินไปได้สองสามก้าว เมื่อหันกลับมาพบเธอกำลังเคลื่อนตัวช้าๆ ดุจกำลังอยู่บนฟลอร์เต้นรำใหญ่อีกครั้ง...เหมือนครั้งแรกที่เขาพบเธอ

“คุณ...” ดนัยเรียกเบาๆ หากเหมือนอีกฝ่ายไม่ได้ยิน เขาจึงเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อยก่อนจะบอก “คราวหน้า อย่าลืมบอกผมด้วยว่าคุณอยากให้ผมช่วยยังไง และคุณตายยังไงด้วยนะ”

ดวงตาสีดำสนิทที่ปิดอยู่เปิดพรึ่บ ก่อนที่ดนัยจะอุปาทานไปว่าดวงหน้าหวานซึ้งซีดเผือด...

“ฉันตายยังไง...ฉันตายยังไง...” ร่างบางเริ่มพึมพำ ก่อนจะหมุนตัวไปเรื่อยๆ “ฉันตายยังไง...ฉันตายยังไง...”

ลมพัดวูบหนึ่ง ชายหนุ่มถอยกรูด...ไม่เข้าใจว่าเมื่อครู่ยังคุยกันดีๆ ทำไมตอนนี้เธอถึงทำท่าเหมือนคนจำอะไรไม่ได้ หากบรรยากาศที่จู่ๆ เขาก็รู้สึกวังเวงนั้นเตือนให้ชายหนุ่มถอยไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด

แต่...ไม่ทัน...

ชั่วแวบเดียวที่เขาหันหลังกลับและตั้งท่าจะออกวิ่งไปที่บ้านให้เร็วที่สุด ร่างของวิญญาณสาวก็เคลื่อนมาหยุดเกือบชิดตัวเขา ดวงหน้าหวานที่เห็นได้ชัดเจนท่ามกลางแสงจันทร์ดูว่างเปล่า ขัดกับดวงตาสีดำสนิทที่เต็มไปด้วยน้ำตา...น้ำตาสีแดงที่เริ่มไหลริน!

“ไม่...ไม่นะ...”

“ฉันตายยังไง...ฉันไม่รู้ว่าฉันตายยังไง...” เธอพึมพำก่อนที่จะหันมาสบตาเขาอีกครั้ง แววตาว่างเปล่าของเธอช่างน่าขนลุก หยาดน้ำตาสีเลือดหยดต้องมือเขา รับรู้ได้ถึงสัมผัสเหนียวข้นและเย็นเยียบ

“คะ...คุณ...ไม่เป็นไร ผะ...ผมไม่อยากรู้แล้ว”

“ฉันจำไม่ได้ว่าฉันตายยังไง” เธอยิ้ม ไม่ว่าเขาจะหันไปทางไหนก็เจอเธอ...เธอ...และก็เธอที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขา “ฉันจำได้แต่ความรู้สึกนี้เท่านั้น”

“ไม่...ไม่...”

กองไฟลุกพรึ่บขึ้นท่วมร่างบาง ไอ้ร้อนแผดเผาจนดนัยผงะถอยออกมา ชายหนุ่มร้องอย่างเสียขวัญเมื่อเห็นมือของเธอที่มีไฟลุกติดยื่นตรงมาหาเขา ดวงหน้าในกองไฟนั้นก็ยังหันมองมาทางเขา หยาดน้ำตาสีแดงยังไหลรินเรื่อยๆ...

“ฉันจำได้เท่านี้จริงๆ...”


ไม่มีเสียงกรีดร้อง มีเพียงกองไฟที่ลุกท่วมเงียบๆ พร้อมเงาร่างทุรนทุรายในกองเพลิงร้อนระอุเท่านั้น

........................................
เรื่องนี้เม้นท์น้อยจัง 555+ ขอเม้นท์หน่อยนะคะ ^^



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.พ. 2556, 12:21:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.พ. 2556, 12:21:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1177





<< บทที่ 2 : หญิงสาวใต้เงาจันทร์   
Auuuu 13 ก.พ. 2556, 14:29:20 น.
โหหห วางยาพิษด้วยย วางยาพิษในกาแฟแน่เลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account