ปาฏิหาริย์แห่งรัก...บนผืนแผ่นทราย
เจ้าชาย มกุฎราชกุมารหนุ่มรูปหล่อแห่งราชอาณาจักร อาหรับสุไลมาน แห่งผืนทรายอาระเบียน ชีคนาสเซอร์ บิน คาลิฟาห์ บิน รามานห์ อัลฟาราห์ ได้สูญเสียชายาอันเป็นที่รัก และลูกน้อยที่ถือกำเนิดก่อนกำหนดก็ใกล้จะตาย ด้วยปาฏิหาริย์ได้ชักพาให้ลูกศิษย์สาวของน้องชาย คือจัสมิน พยาบาลสาวสวยชาวยิวแห่งนครเยรูซาเล็มมาช่วยกู้ชีวิตเจ้าหญิงองค์น้อย เขาได้พบกับเธอ ด้วยความประหลาดใจว่าเธอมีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับชายาเขาราวกับคนคนเดียวกัน
คู่พระนาง
ชีค นาสเซอร์ บิน คาลิฟาห์ บิน รามานห์ อัล ฟาราห์
เจ้าชายรูปงาม ร่างสูงโปร่ง เป็นมกุฎราชกุมารแห่ง ราชอาณาจักรอาหรับสุไลมาน เป็นชีคหนุ่มผู้แสนดี อ่อนโยน เจ้าน้ำตา แต่ไม่อ่อนแอ รักพี่น้อง มีความเป็นพ่อสูง มีความสามารถด้านกวี แต่ต้องสูญเสียชายาเอกไปก่อนวัยอันควร มีลูกสาว1 คนคือ เจ้าหญิงชิมาห์
จัสมิน
หญิงสาวชาวยิว จากนครเยรูซาเล็ม อ่อนหวาน อ่อนโยน แต่แฝงไปด้วยความฉลาด เข้มแข็ง กล้าหาญ เป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกเก็บมาจากทะเลทรายซีนาย ได้มาอาศัยอยู่กับแม่อธิการที่คอนแวนด์ ต่อสู้ชีวิต จนจบการศึกษาด้านพยาบาล จึงติดตามชีคกาลิด น้องช้ายชีคนาสเซอร์มาช่วยเหลือ เจ้าหญิงชีมาห์ ลูกสาวของชีคนาสเซอร์ที่คลอดก่อนกำหนดแล้วหัวใจล้มเหลว เธอมีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับ อมีนาห์ ชายาเอกของชีคนาสเซอร์ เพราะแท้จริงแล้ว เธอคือ เจ้าหญิง จัสมีนาห์ น้องสาวฝาแฝดของอมีนาห์ ที่ถูกลักพาตัวไปปล่อยกลางทะเลทรายซีนายตั้งแต่แรกเกิด
คู่พระนาง
ชีค นาสเซอร์ บิน คาลิฟาห์ บิน รามานห์ อัล ฟาราห์
เจ้าชายรูปงาม ร่างสูงโปร่ง เป็นมกุฎราชกุมารแห่ง ราชอาณาจักรอาหรับสุไลมาน เป็นชีคหนุ่มผู้แสนดี อ่อนโยน เจ้าน้ำตา แต่ไม่อ่อนแอ รักพี่น้อง มีความเป็นพ่อสูง มีความสามารถด้านกวี แต่ต้องสูญเสียชายาเอกไปก่อนวัยอันควร มีลูกสาว1 คนคือ เจ้าหญิงชิมาห์
จัสมิน
หญิงสาวชาวยิว จากนครเยรูซาเล็ม อ่อนหวาน อ่อนโยน แต่แฝงไปด้วยความฉลาด เข้มแข็ง กล้าหาญ เป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกเก็บมาจากทะเลทรายซีนาย ได้มาอาศัยอยู่กับแม่อธิการที่คอนแวนด์ ต่อสู้ชีวิต จนจบการศึกษาด้านพยาบาล จึงติดตามชีคกาลิด น้องช้ายชีคนาสเซอร์มาช่วยเหลือ เจ้าหญิงชีมาห์ ลูกสาวของชีคนาสเซอร์ที่คลอดก่อนกำหนดแล้วหัวใจล้มเหลว เธอมีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับ อมีนาห์ ชายาเอกของชีคนาสเซอร์ เพราะแท้จริงแล้ว เธอคือ เจ้าหญิง จัสมีนาห์ น้องสาวฝาแฝดของอมีนาห์ ที่ถูกลักพาตัวไปปล่อยกลางทะเลทรายซีนายตั้งแต่แรกเกิด
Tags: อาหรับ ทะเลทราย โรแมนติก
ตอน: จากเยรูซาเล็ม...สู่ดินแดนอาหรับสุไลมาน
รุ่งเช้าของนครเยรูซาเล็ม แสงตะวันเจิดจรัสสาดส่องผืนทะเลทรายเป็นประกายสีทอง
จัสมินสวมชุดอาบายาสีดำ คลุมฮิญาบสีเดียวกับชุดอาบายาเพื่อเตรียมตัวเดินทางสู่ดินแดนแห่งผืนทรายอาระเบียน หญิงสาวยืนล่ำลากำแพงร้องไห้ และวิหารของโบสถ์ยิวด้วยหยาดน้ำตาที่พรั่งพรู เธอจำต้องจากเยรูซาเล็มที่เธอแสนจะรักและผูกพัน เพื่อไปทำสิ่งที่หัวใจเธอต้องการ ที่ราชอาณาจักร อาหรับสุไลมาน
“ ลาก่อน เยรูซาเล็มที่รัก ลาก่อนกำแพงร้องไห้ คงอีกนานกว่าที่ฉันจะได้กลับมานั่งร้องไห้ตรงนี้ ฉันคงคิดถึงเทศกาลปูริมและเทศกาลเฉลิมฉลองของชาวยิวอีกนานแสนนาน”
หญิงสาวแตะกำแพงร้องไห้ ไปจนถึงโบสถ์ยิวอันศักดิ์สิทธิ์ ด้วยความอาลัย จากนั้น เธอจึงเข้าไปร่ำลาแม่อธิการในวิหาร ซึ่ง ชีคกาลิด และมารีย์รอเธออยู่ในวิหารแห่งนี้ จัสมิน และมารีย์ สองสาวที่คลุมชุดอาบายาสีดำจูบลาแม่อธิการด้วยน้ำตา
“ ขอพระยาห์เวห์พระเป็นเจ้าแห่งอิสราเอล ได้โปรดคุ้มครองลูกทั้งสองให้อยู่รอดปลอดภัยในดินแดนอาหรับ ไม่ว่าลูกทั้งสองคนจะอยู่ที่ไหน จงอย่าลืมว่า ลูกคือ ชาวยิว จงภูมิใจในชาติกำเนิดและถวายเกียรติแด่พระเป็นเจ้า ตลอดชั่วชีวิตของลูก ”
“ค่ะ ลูกทั้งสองจะจดจำและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของแม่อธิการอย่างเคร่งครัด ขอพระเจ้าคุ้มครองแม่อธิการด้วยเช่นกันค่ะ”
จัสมินและมารีย์จูบลาแม่อธิการด้วยน้ำตานองใบหน้า แม่อธิการจึงฝากฝังทั้งสองสาว ให้อยู่ในการดูแลของชีคกาลิด
เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าของเยรูซาเล็ม มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก จัสมินมองออกไปที่หน้าต่างเครื่องบิน เห็นทะเลทรายที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แสงตะวันสาดส่องพื้นทรายให้เป็นสีทองอร่าม ดูสวยงามเมื่อมองลงมาจากเครื่องบิน
นี่...คงจะเป็นทะเลทราย อาระเบียนสินะ
หญิงสาวคิดในใจ เพราะจากข้อมูลที่เธอเคยศึกษา ภูมิศาสตร์ของราชอาณาจักรอาหรับสุไลมาน เป็นประเทศเล็กๆในทะเลทรายอาระเบียน ทิศตะวันออกติดกับอ่าวเปอร์เซีย ทิศตะวันตกติดกับซาอุดิอาระเบีย ซึ่งจัดว่าเป็นเมืองเศรษฐีน้ำมันและมีผู้ปกครองนครที่ร่ำรวยมั่งคั่งแม้จะเป็นประเทศเล็กๆก็ตาม ภายในเครื่องบินผู้ร่วมโดยสารล้วนแต่มีสีหน้าที่บูดบึ้งราวกับโกรธกันมาหลายร้อยปี ผู้หญิงทุกคนต้องคลุมฮิญาบ ปิดบังใบหน้าทั้งหมด เหลือเพียงแต่ดวงตาเท่านั้นที่สามารถเปิดเผยได้ ดูแล้วรู้สึกอึดอัดอย่างบอก ไม่ถูก
“ จัสมิน มารีย์ เดี๋ยวเราจะต้องไปขึ้นเครื่องบินต่อที่นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย เธอสองคนจะต้องใช้ผ้าสีดำคลุมปิดใบหน้าของเธอด้วยนะ เพราะว่ามันเป็นกดของประเทศนี้”
ทั้งสองสาวพยักหน้า แล้วนำผ้าสีดำปิดบังใบหน้าแสนสวยของตนเอง ตามคำสั่งของชีคกาลิด เมื่อเครื่องบินร่อนลงจอดที่ท่าอากาศยานเมกกะ ภายในท่าอากาศยานเต็มไปด้วยชาวอาหรับที่เคร่งครัดในศาสนามากมาย ผู้ชายสวมชุดกันดูร่าเช่นเดียวกับที่ชีคกาลิดสวมใส่ คลุมศีรษะด้วยผ้ากัฟฟิเยห์ครอบเชือดสีดำสองเส้น ส่วนผู้หญิงนั้น แทบจะแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร เพราะสวมชุดอาบายาคลุมดำตั้งแต่หัวจรดเท้า ส่วนที่เปิดเผยได้คือดวงตาเท่านั้น เหล่าผู้ชายชนชาติอาหรับที่ดูจากการแต่งตัวเต็มยศ บ่งบอกได้ถึงความมั่งคั่ง ผู้หญิงต้องเดินตามหลังคอยรับใช้ประดุจเป็นทาส จัสมินกับมารีย์มองกันและกันผ่านผ้าคลุมหน้าสีดำแล้วจับมือกันแน่น ด้วยความไม่คุ้นชินกับสภาพสังคมในซาอุดิอาระเบีย เมืองที่เคร่งศาสนาจนทุกอย่างดูน่ากลัว
“ น่ากลัวจังเลย จัสมิน” มารีย์กระซิบบอกจัสมินเป็นภาษาฮีบรูพลางจับมือแน่น
“ ไม่ต้องกลัวนะ และระหว่างที่เราอยู่ในดินแดนอาหรับ เราจะไม่ใช้ภาษาฮีบรูกันนะ มารีย์ “
จัสมินกุมมือเพื่อนรัก พลางกระซิบบอกเป็นภาษาอารบิค ชีคหนุ่มเห็นสองสาวมีท่าทางตื่นกลัว จึงปลอบใจทั้งสองสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ ไม่ต้องกลัวนะ จัสมิน มารีย์ เธออาจจะไม่คุ้นชินที่ต้องคลุมหน้าคลุมตา แต่เมื่อไรที่เราเดินทางถึงราชอาณาจักรอาหรับสุไลมานแล้ว ก็จะไม่มีอะไรน่ากลัวอีกเลย ”
“ ท่านชีคเพคะ ที่ประเทศของท่านชีค เราสองคนต้องคลุมดำทั้งตัวหรือเปล่า”
มารีย์กระซิบถาม พลางมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดหวั่น ชีคหนุ่มหัวเราะเบาๆด้วยความเอ็นดู ในคำถามอันไร้เดียงสาของสาวสวยผู้ใสซื่อ
“ ก็คงไม่ถึงกับปิดหน้าปิดตาแบบที่ซาอุหรอกนะมารีย์ เพียงแต่แต่งกายให้เรียบร้อย คลุมศีรษะแบบเดียวกับที่เธอเคยปฏิบัติในเยรูซาเล็ม ประเทศของฉัน แม้จะขึ้นชื่อว่าเคร่งศาสนารองจากซาอุ แต่ก็ไม่ได้เข้มงวดจับผิดผู้หญิงเท่ากับที่นี่ ขอแค่เธอทั้งสองคน ปฏิบัติตัวภายใต้กรอบของศาสนา และวัฒนธรรมอันดีงาม และอีกอย่าง ประเทศของฉันเจริญมาก และไม่เข้มงวดกดขี่ผู้หญิง เธอจะมีเสรีภาพแน่นอน เพียงแต่ปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามกฎ เท่านี้ก็ไม่มีปัญหา”
ได้ยินรับสั่งของชีคกาลิด มารีย์จึงค่อยโล่งอกโล่งใจ เพราะหากต้องคลุมดำ และถูกจำกัดเสรีภาพ คงเป็นเรื่องที่อึดอัดน่าดู เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกับการที่ต้องอยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าอันแสนอึดอัดในประเทศซาอุดิอาระเบีย ชีคหนุ่มจึงพาสองสาวชุดดำขึ้นเครื่องบินจากนครเมกกะเพื่อไปลงสู่ท่าอากาศยานแห่งราชอาณาจักรอาหรับสุไลมาน เมื่อเครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพ้นจากเขตประเทศซาอุดิอาระเบีย สองสาวจึงรีบถอดผ้าคลุมหน้า และถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ ชีคกาลิดนึกเอ็นดูทั้งสองสาวน้อย มิตรภาพระหว่างเพื่อนของเธอทั้งสองช่างแน่นแฟ้น ไม่ยอมห่างจากกันเลย อยากจะรู้นักว่าหากถูกจับแยกกันจะเป็นอย่างไร คิดแล้วชีคหนุ่มก็หัวเราะด้วยความเอ็นดู เครื่องบินทะยานลงจอดที่ท่าอากาศยานราชอาณาจักรอาหรับสุไลมาน อย่างปลอดภัย นครแห่งนี้เป็นนครรัฐเล็กๆในทะเลทรายอาระเบียนที่มีความเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งด้วยทรัพยากรอันเลื่องชื่อ คือ บ่อน้ำมันดิบ แม้ในความเจริญรุ่งเรือง ชาวเมืองก็ยังอนุรักษ์วัฒนธรรมอันงดงาม ชาวเมืองแต่งกายด้วยชุดพื้นเมือง ภายในตัวเมืองมีสิ่งก่อสร้างที่ทันสมัยมากมาย และยังมีศาสนสถานที่งดงามตามแบบสถาปัตยกรรมอาหรับ เมื่อมาถึงที่เมืองนี้ จัสมินและมารีย์สามารถเปิดเผยใบหน้าอันงดงามแม้จะยังอยู่ในชุด อาบายาและฮิญาบสีดำก็ตาม ก็ไม่ได้ทำให้ความสวยงามของทั้งสองสาวลดน้อยลงเลย ท่าอากาศยานอาหรับสุไลมานถูกสร้างแบบทันสมัย แต่ก็ยังตกแต่งด้วยพรมเปอร์เซียคงความสวยงามแบบดั้งเดิม เหล่าชายชาวอาหรับผู้มั่งคั่ง สวมกันดูร่าคลุมมิชลาฮ์ สิดำขลิบทอง ยืนเรียงแถวต้อนรับเสด็จชีคน้อย รัชทายาทอันดับสองของอาหรับสุไลมานอย่างยิ่งใหญ่ รถพระที่นั่งจากวังสุไลมาน จึงรับชีคกาลิด และผู้ติดตามสองสาวสวย กลับไปยังวังสุไลมาน ขณะที่รถพระที่นั่งกำลังเดินทางกลับวังสุไลมาน จัสมินมองออกไปยังนอกหน้าต่างของรถยนต์คันหรู ท้องถนนของราชอาณาจักรอาหรับสุไลมานประดับประดาด้วยธงประจำชาติ สิ่งก่อสร้างที่ทันสมัยบ่งบอกถึงความมั่งคั่งของชาวเมือง ผู้คนที่เดินตามท้องถนนล้วนแต่เป็นกลุ่มชายฉกรรจ์ หากชายที่มีครอบครัวแล้ว เขาจะเดินนำหน้า ตามด้วย ลูกชาย ผู้หญิงจะต้องเดินตามหลัง น้อยนักที่จะเห็นกลุ่มผู้หญิงเดินตามท้องถนนกันตามลำพัง โดยไม่มีผู้ชายคอยดูแล เพราะกฎของเมืองนี้ก็เหมือนกับกฎของเมืองอาหรับทั่วไป คือ สตรีไม่สามารถเดินออกจากบ้านตามลำพังได้ หากต้องออกมาทำธุระนอกบ้าน ต้องเดินตามหลังพ่อ พี่ชาย น้องชาย สามี หรือลูกชายเท่านั้น สตรีที่แต่งงานแล้วเวลาออกจากบ้านต้องสวมอาบายาสีดำ ส่วนสตรีที่ยังไม่ได้แต่งงานก็จะสวมชุดอาบายาสีสันสวยงาม แต่ต้องปกปิดเส้นผมเงางามภายใต้ฮิญาบเช่นกัน แม้ไม่ได้ปกปิดใบหน้าเหมือนตอนอยู่ที่ซาอุดิอาระเบีย แต่จัสมินก็ยังรู้สึกว่า ขาดเสรีภาพต่างจากเยรูซาเล็มมาก จัสมินถอนใจ...แม้คิดถึงเยรูซาเล็มแทบขาดใจ แต่เธอตัดสินใจมาที่นี่แล้ว ก็ต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเอง เมื่อรถยนต์คันหรูแล่นมาถึงวังสุไลมาน หญิงสาวสวยนัยน์ตารูปเม็ดอัลมอนด์ มองความงดงามของวังสุไลมานผ่านแพขนตางอนงามด้วยความตื่นตาตื่นใจ วังแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยหินอ่อน เสาของวังมีลวดลายแกะสลักด้วยศิลปะอาหรับอันงดงาม พื้นของวังปูด้วยพรมอาหรับที่มีลวดลายน่ามอง ชีคกาลิดสั่งให้นางกำนัลในวังหลวงพาจัสมินและมารีย์เข้าที่พัก จากนั้นชีคหนุ่มจึงตรงไปยังท้องพระโรงของพระราชวัง ทำความเคารพองค์เอเมียร์คาลิฟาห์ผู้เป็นบิดาด้วยการจูบที่แก้มสองข้าง และโอบกอดผู้เป็นบิดาด้วยความรัก การกลับมาของชีคน้อย แห่งราชวงศ์อัลฟาราห์ สร้างความปีติยินดีกับทุกคนที่รอคอย
“ กาลิดลูกพ่อ พ่อดีใจยิ่งนักที่ลูกรีบกลับมา”
“ พอลูกทราบข่าวการตายของอมีนาห์ และอาการของหลานที่คลอดก่อนกำหนด ลูกก็รีบกลับมาทันที เป็นห่วงท่านพี่เหลือเกิน”
ชีคกาลิดห่วงใยพี่ชายคนโตที่ร่วมสายเลือดเดียวกัน ชีคนาสเซอร์ บิน คาลิฟาห์ บิน รามานห์ อัลฟาราห์ มกุฎราชกุมารรูปงามคมสัน โอรสองค์โตของเอเมียร์คาลิฟาห์ และรานีฟารีดา ชีคนาสเซอร์และชีคกาลิด เป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวสามารถตายแทนกันได้ ชีคกาลิดให้ความเคารพต่อเชษฐามาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ส่วนชีคนาสเซอร์ ก็รักน้องชายมาก คอยช่วยเหลือสนับสนุนส่งเสริมน้องในทุกด้าน และการที่ชีคกาลิด ไปเรียนต่อด้านการแพทย์ที่เยรูซาเล็มได้ ก็เพราะแรงสนับสนุนจากชีคนาสเซอร์ พระเชษฐาองค์เดียวของเขา แต่ ณ เวลานี้ ผู้เป็นพี่ชายได้สูญเสียชายาเอก อันเป็นที่รัก และลูกน้อยที่รอดมาได้ก็อยู่ในอาการสาหัส จะให้ผู้เป็นน้องอยู่เฉยได้อย่างไร
“ หลังจากที่ฝังศพ อมีนาห์ ชีมาห์ ฝาแฝดที่รอดมาได้ก็มีภาวะหัวใจเต้นอ่อนมาก นาสเซอร์พี่ชายของลูกก็โศกเศร้า จนล้มป่วยหนัก พ่อกลัว หากชีมาห์ต้องตาย พี่ชายของลูกจะตรอมใจตายไปอีกคน”
เอเมียร์คาลิฟาห์รับสั่งเสียงแผ่วเบา น้ำตาคลอ แม้จะเป็นเจ้าผู้ครองนครรัฐที่ร่ำรวยมั่งคั่ง ด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีค่าเทียบเท่ากับรัชทายาทหัวปี ผู้สืบทอดบัลลังก์อาหรับสุไลมานในอนาคต
“ โอ..ท่านพี่”
ชีคกาลิดครางด้วยความสะเทือนใจ น่าสงสารท่านพี่นาสเซอร์ แม้เป็นมกุฎราชกุมารผู้สืบทอดบัลลังก์ในอนาคตก็ ก็คงไม่สามารถเข้มแข็งได้ตลอดเวลา ยิ่งการสูญเสียลูกนั้นเป็นความเจ็บปวดที่แสนสาหัสสำหรับผู้เป็นพ่อ แม้ชีคกาลิดจะไม่เคยรับรู้ถึงความรู้สึกของความเป็นพ่อ ไม่เคยมีลูก แต่ก็เข้าใจหัวอกของผู้เป็นพี่ชายว่าหัวใจคงแทบสลาย หากสูญเสียลูกน้อยในสายเลือดของตน
“ ลูกเป็นห่วงท่านพี่ ได้โปรดพาลูกไปดูอาการของท่านพี่ด้วยเถิดครับ ท่านพ่อ”
ณ วังกุหลาบขาว ตำหนักใหญ่ของเจ้าชายมกุฎราชกุมาร เป็นตำหนักที่ ชีคนาสเซอร์ บิน คาลิฟาห์ บิน รามานห์ อัลฟาราห์ ได้รับเป็นของขวัญในวันอภิเษกสมรส กับ คือชีคคาอมีนาห์ บินติ ราฮิม อัลฟาราห์ เจ้าหญิงกุหลาบขาวผู้งดงามอ่อนหวาน เป็นธิดาของ ชีค ราฮิม บิน ราชิด อัลฟาราห์ องคมนตรีของนครรัฐ ซึ่งเอเมียร์ รามานห์ ผู้เป็นบิดาของเอเมียร์คาลิฟาห์ และ ชีคราชิด ผู้เป็นบิดาของชีคราฮิม เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกัน เอเมียร์คาลิฟาห์จึงหมั้นหมายกับอมีนาห์ ธิดาของชีคราฮิม ไว้กับชีคนาสเซอร์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ อมีนาห์มีน้องสาวฝาแฝดชื่อจัสมีนาห์ แต่ฝาแฝดอีกคนถูกลักพาตัวหายไปตั้งแต่ยังเป็นทารก จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีใครประสบพบเจอ ชีคนาสเซอร์ สมรสกับชีคคาอมีนาห์ผ่านไปได้ไม่ถึงหนึ่งปี ชีคคาอมีนาห์ก็ตั้งครรภ์ฝาแฝด เป็นที่ริษยาของเหล่านางสนมในฮาเร็มของมกุฎราชกุมาร มีหลายต่อหลายครั้ง ที่เหล่านางในฮาเร็มตามมาเกะกะระรานเธอ แต่เธอก็อยู่ในการปกป้องดูแลของพระสวามีอยู่เสมอ จนวันหนึ่งมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น คือ ขณะที่อมีนาห์ตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนเศษ เธอก็ตกเลือดอย่างหนักจนสิ้นใจก่อนไปถึงโรงพยาบาล แพทย์สามารถช่วยฝาแฝดให้รอดชีวิตมาได้ คือ ชีคคาชีมาห์ การตายของชายาเอกมกุฎราชกุมาร ไม่สามารถจับตัวคนผิดมาลงโทษได้ ผู้ที่ต้องสงสัยคือเหล่าสนมปลายแถวในฮาเร็ม ที่ไม่ได้รับการเหลียวแลจากมกุฎราชกุมาร เอเมียร์คาลิฟาห์จึงสั่งโบยและขับไล่นางบำเรอชั้นปลายแถวเหล่านั้นออกจากนครรัฐ เหลือสนมเอกและสนมรองเพียงสองคนไว้คือ นอร่าและอามีร่า ลูกสาวของนายพล ซัลมาล มหามนตรีด้านการทหาร จากนั้นมาก็ไม่มีการเรียกตัวหญิงสาวให้มาถวายตัวในฮาเร็มของมกุฎราชกุมารอีกเลย ในห้องบรรทมของมกุฎราชกุมาร ร่างสูงของบุรุษรูปงามวัยยี่สิบแปดปี นอนแน่นิ่งอยู่บนแท่น ใบหน้ารูปไข่อันคมเข้ม บัดนี้ดูซีดเชียวไร้เลือดฝาด ท่านหญิงฟาติมา แม่นมผู้เลี้ยงดูเจ้าชายทั้งสองมาตั้งแต่เยาว์วัยนั้น ใช้ผ้าชุบน้ำ เช็ดตามใบหน้าอันคมสันของเจ้าชายหนุ่มอย่างเบามือ ขณะที่รานีฟารีดาแสนงามผู้เป็นมารดาก็เฝ้าดูแลลูกชายคนโตไม่ห่าง
“ นาสเซอร์ ฟื้นขึ้นมาสักทีเถอะลูก.. แม่ใจจะขาดอยู่แล้ว ลูกเอ๋ย”
รานีฟารีดาร่ำไห้ราวกับจะขาดใจ เมื่อพระโอรสยังแน่นิ่ง ไม่ไหวติง
“ ท่านชีค มีไข้สูงมากเพคะ องค์รานี ”
ท่านหญิงฟาติมากราบทูลด้วยน้ำตานองหน้าเช่นกัน เป็นที่สะเทือนใจ ของเจ้าชายองค์เล็กที่ได้เข้ามาพบเห็นที่เห็นสภาพของเจ้าชายองค์ใหญ่แล้ว ถึงกับต้องหลั่งน้ำตา ท่านหญิงฟาติมา เห็นท่านชีคน้อยแห่งสุไลมานที่หล่อนเลี้ยงดูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออด แล้ว จึงโผเข้าไปกอดด้วยน้ำตานองหน้า
“ ท่านชีคน้อย...ท่านชีคน้อยของฟาติมา”
เมื่อเห็นร่างอันสูงโปร่งของโอรสองค์เล็ก และใบหน้าที่ถอดแบบโอรสองค์ใหญ่ในแบบเดียวกัน รานีฟารีดาถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความปลาบปลื้ม ความหวังนั้นเต็มเปี่ยม เพราะลูกชายคนเล็กจะกลับมาช่วยต่อชีวิตให้กับลูกชายคนโต
“กาลิด..ลูกแม่ ”
“ ท่านแม่..”
ชีคกาลิด คุกเข่า จูบที่ข้อมือของมารดาด้วยความรัก รานีฟารีดาจึงกุมมือบุตรชายคนเล็กแล้วร่ำไห้
“ กาลิดลูกแม่.. พี่ชายของลูกป่วยหนักตั้งแต่วันที่ฝังศพ อมีนาห์ นี่ก็ผ่านมาสามวันแล้ว ยังไม่ฟื้นเลย แม่กลัว...กลัวเหลือเกินว่าพี่ชายของลูกจะตรอมใจตาย ”
ชีคกาลิด คุกเข่าลงข้าง เตียงนอนของชีคนาสเซอร์ ชีคหนุ่มจับชีพจรที่ข้อมือ ข้อมือของชีคนาสเซอร์ถูกแทงด้วยเข็มน้ำเกลือจนห้อเลือด ชีพจรเต้นอ่อนมาก
“ โอ..ท่านพี่..เข้มแข็งไว้นะครับ.. ลูกสาวของท่านพี่ ต้องรอด”
ทันใดนั้นเอง มกุฎราชกุมารหนุ่มที่นอนไม่ได้สติอยู่นั้นก็เริ่มขยับร่างกายด้วยความอ่อนล้า น้ำตาไหลรินออกจากดวงตาอันคมกริบที่หลับพริ้มอยู่ ราวกับจะรับรู้ถึงการกลับมาของน้องชาย
“ท่านแม่ครับ ท่านพี่รู้สึกตัวแล้ว”
ดวงตาอันคมสวยที่หลับพริ้มอยู่นั้น เริ่มกระตุก น้ำตาไหลนองเต็มใบหน้าคมสัน มกุฎราชกุมารเริ่มพร่ำเพ้อถึงลูกน้อย ด้วยน้ำตาแม้ว่าดวงตาคมกริบนั้นจะยังหลับอยู่
“ ลูก...ลูกรักของพ่อ”
เสียงพร่ำเพ้อ แผ่วเบาปนเสียงสะอื้นเล็กน้อย เป็นที่สะเทือนใจของผู้ได้ฟัง ชีคผู้น้องรู้สึกปวดใจยิ่งยัก เมื่อเห็นความเจ็บปวดของชีคผู้พี่
“ ลูกพ่อ..”
ทุกครั้งที่เจ็บปวดมากจนไม่ได้สติ ชีคนาสเซอร์ มกุฎราชกุมาร มักจะร่ำร้องหาลูกน้อย รานีฟารีดาลูบศีรษะลูกชายด้วยความสงสาร ทันใดนั้นเองดวงตาคมกริบที่หลับอยู่จึงลืมตาขึ้น ภาพที่มองผ่านแพขนตานั้นดูเลือนรางเพราะฝ้าน้ำตา ชายหนุ่มกุมมือชีคผู้เป็นน้อง น้ำตาไหลพรากด้วยความปีติ น้องชายผู้เป็นความหวังสุดท้ายได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว
“ กาลิด..น้องพี่ ” สองพี่น้องจึงกอดกัน ชีคกาลิดหลั่งน้ำตาเช่นกัน
“ ท่านพี่ เข้มแข็งไว้นะครับ เข้มแข็งไว้”
ชีคนาสเซอร์ น้ำตานองหน้า จับมือน้องชายไว้แน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ น้องพี่...ลูก..ลูกของพี่กำลังจะตาย ”
มกุฎราชกุมารหนุ่มกุมมือ ชีคกาลิด แม้จะไม่ได้ฟูมฟาย คร่ำครวญ เพียงแค่น้ำตานั้นไหลริน แต่ผู้เป็นน้องย่อมรู้ดีว่าหัวใจของพี่ชายคงจะแทบสลาย หากต้องสูญเสียลูกน้อย
“ หากลูกของพี่ตาย..พี่คงสิ้นใจ ..กาลิดช่วยลูกของพี่ด้วยเถิด...พี่ใจจะขาดอยู่แล้ว”
ชีคหนุ่มรูปงามอ้อนวอนน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ชีคกาลิดจึงวางข้อมือของพี่ชายที่นอนเจ็บอยู่นั้น ไว้แนบลำตัว เพราะชีคนาสเซอร์นั้นเริ่มรู้สึกเจ็บปวดข้อมือที่ถูกแทงด้วยเข็มน้ำเกลือเต็มทีแล้ว
“ ครับ..ท่านพี่...หลานจะต้องปลอดภัย ผมพาลูกศิษย์ของผมที่เก่งที่สุดในเยรูซาเล็มมาด้วย พรุ่งนี้เราจะผ่าตัดหัวใจให้ชีมาห์... หลานน้อยจะต้องปลอดภัยครับ ท่านพี่...ผมสัญญา”
ชีคน้อยให้สัญญากับชีคผู้เป็นพี่อย่างหนักแน่น ชีคนาสเซอร์ยิ้มทั้งน้ำตานองหน้า ด้วยความซาบซึ้งใจ กาลิด น้องชายคนเดียวของเขา ความหวังเดียว ในการกู้ชีวิตลูกสาวตัวน้อยผู้เป็นแก้วตาดวงใจ
“ขอบใจมากกาลิด...วันพรุ่งนี้ พี่ขอตามไปด้วยนะ..”
“แต่...ท่านพี่ยังเจ็บอยู่” ชีคกาลิด แย้งขึ้นแต่มกุฎราชกุมารหนุ่มขอร้อง อ้อนวอนด้วยน้ำตา
“ กาลิด...อย่าห้ามพี่เลย...ขอพี่ตามไปดูลูกด้วยคนเถิด...พี่..เป็นห่วงลูกเหลือเกิน”
เมื่อมกุฎราชกุมารร้องขอ ชีคหนุ่มผู้เป็นน้องก็สุดที่จะทัดทานได้ จึงต้องยอม เพราะความรักของพ่อที่มีต่อลูกนั้นช่างยิ่งใหญ่ แม้ตนเองจะเจ็บปวดเพียงใด ก็ขอให้ได้พบหน้าลูก และรู้ว่าลูกจะรอดปลอดภัยก็เพียงพอ
ชีมาห์ ...ขอพ่อได้อยู่เคียงข้างลูก ...ยามที่ลูกเจ็บปวด
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...พ่อจะไม่ทอดทิ้งลูก..ลูกรักของพ่อ
จัสมินสวมชุดอาบายาสีดำ คลุมฮิญาบสีเดียวกับชุดอาบายาเพื่อเตรียมตัวเดินทางสู่ดินแดนแห่งผืนทรายอาระเบียน หญิงสาวยืนล่ำลากำแพงร้องไห้ และวิหารของโบสถ์ยิวด้วยหยาดน้ำตาที่พรั่งพรู เธอจำต้องจากเยรูซาเล็มที่เธอแสนจะรักและผูกพัน เพื่อไปทำสิ่งที่หัวใจเธอต้องการ ที่ราชอาณาจักร อาหรับสุไลมาน
“ ลาก่อน เยรูซาเล็มที่รัก ลาก่อนกำแพงร้องไห้ คงอีกนานกว่าที่ฉันจะได้กลับมานั่งร้องไห้ตรงนี้ ฉันคงคิดถึงเทศกาลปูริมและเทศกาลเฉลิมฉลองของชาวยิวอีกนานแสนนาน”
หญิงสาวแตะกำแพงร้องไห้ ไปจนถึงโบสถ์ยิวอันศักดิ์สิทธิ์ ด้วยความอาลัย จากนั้น เธอจึงเข้าไปร่ำลาแม่อธิการในวิหาร ซึ่ง ชีคกาลิด และมารีย์รอเธออยู่ในวิหารแห่งนี้ จัสมิน และมารีย์ สองสาวที่คลุมชุดอาบายาสีดำจูบลาแม่อธิการด้วยน้ำตา
“ ขอพระยาห์เวห์พระเป็นเจ้าแห่งอิสราเอล ได้โปรดคุ้มครองลูกทั้งสองให้อยู่รอดปลอดภัยในดินแดนอาหรับ ไม่ว่าลูกทั้งสองคนจะอยู่ที่ไหน จงอย่าลืมว่า ลูกคือ ชาวยิว จงภูมิใจในชาติกำเนิดและถวายเกียรติแด่พระเป็นเจ้า ตลอดชั่วชีวิตของลูก ”
“ค่ะ ลูกทั้งสองจะจดจำและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของแม่อธิการอย่างเคร่งครัด ขอพระเจ้าคุ้มครองแม่อธิการด้วยเช่นกันค่ะ”
จัสมินและมารีย์จูบลาแม่อธิการด้วยน้ำตานองใบหน้า แม่อธิการจึงฝากฝังทั้งสองสาว ให้อยู่ในการดูแลของชีคกาลิด
เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าของเยรูซาเล็ม มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก จัสมินมองออกไปที่หน้าต่างเครื่องบิน เห็นทะเลทรายที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แสงตะวันสาดส่องพื้นทรายให้เป็นสีทองอร่าม ดูสวยงามเมื่อมองลงมาจากเครื่องบิน
นี่...คงจะเป็นทะเลทราย อาระเบียนสินะ
หญิงสาวคิดในใจ เพราะจากข้อมูลที่เธอเคยศึกษา ภูมิศาสตร์ของราชอาณาจักรอาหรับสุไลมาน เป็นประเทศเล็กๆในทะเลทรายอาระเบียน ทิศตะวันออกติดกับอ่าวเปอร์เซีย ทิศตะวันตกติดกับซาอุดิอาระเบีย ซึ่งจัดว่าเป็นเมืองเศรษฐีน้ำมันและมีผู้ปกครองนครที่ร่ำรวยมั่งคั่งแม้จะเป็นประเทศเล็กๆก็ตาม ภายในเครื่องบินผู้ร่วมโดยสารล้วนแต่มีสีหน้าที่บูดบึ้งราวกับโกรธกันมาหลายร้อยปี ผู้หญิงทุกคนต้องคลุมฮิญาบ ปิดบังใบหน้าทั้งหมด เหลือเพียงแต่ดวงตาเท่านั้นที่สามารถเปิดเผยได้ ดูแล้วรู้สึกอึดอัดอย่างบอก ไม่ถูก
“ จัสมิน มารีย์ เดี๋ยวเราจะต้องไปขึ้นเครื่องบินต่อที่นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย เธอสองคนจะต้องใช้ผ้าสีดำคลุมปิดใบหน้าของเธอด้วยนะ เพราะว่ามันเป็นกดของประเทศนี้”
ทั้งสองสาวพยักหน้า แล้วนำผ้าสีดำปิดบังใบหน้าแสนสวยของตนเอง ตามคำสั่งของชีคกาลิด เมื่อเครื่องบินร่อนลงจอดที่ท่าอากาศยานเมกกะ ภายในท่าอากาศยานเต็มไปด้วยชาวอาหรับที่เคร่งครัดในศาสนามากมาย ผู้ชายสวมชุดกันดูร่าเช่นเดียวกับที่ชีคกาลิดสวมใส่ คลุมศีรษะด้วยผ้ากัฟฟิเยห์ครอบเชือดสีดำสองเส้น ส่วนผู้หญิงนั้น แทบจะแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร เพราะสวมชุดอาบายาคลุมดำตั้งแต่หัวจรดเท้า ส่วนที่เปิดเผยได้คือดวงตาเท่านั้น เหล่าผู้ชายชนชาติอาหรับที่ดูจากการแต่งตัวเต็มยศ บ่งบอกได้ถึงความมั่งคั่ง ผู้หญิงต้องเดินตามหลังคอยรับใช้ประดุจเป็นทาส จัสมินกับมารีย์มองกันและกันผ่านผ้าคลุมหน้าสีดำแล้วจับมือกันแน่น ด้วยความไม่คุ้นชินกับสภาพสังคมในซาอุดิอาระเบีย เมืองที่เคร่งศาสนาจนทุกอย่างดูน่ากลัว
“ น่ากลัวจังเลย จัสมิน” มารีย์กระซิบบอกจัสมินเป็นภาษาฮีบรูพลางจับมือแน่น
“ ไม่ต้องกลัวนะ และระหว่างที่เราอยู่ในดินแดนอาหรับ เราจะไม่ใช้ภาษาฮีบรูกันนะ มารีย์ “
จัสมินกุมมือเพื่อนรัก พลางกระซิบบอกเป็นภาษาอารบิค ชีคหนุ่มเห็นสองสาวมีท่าทางตื่นกลัว จึงปลอบใจทั้งสองสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ ไม่ต้องกลัวนะ จัสมิน มารีย์ เธออาจจะไม่คุ้นชินที่ต้องคลุมหน้าคลุมตา แต่เมื่อไรที่เราเดินทางถึงราชอาณาจักรอาหรับสุไลมานแล้ว ก็จะไม่มีอะไรน่ากลัวอีกเลย ”
“ ท่านชีคเพคะ ที่ประเทศของท่านชีค เราสองคนต้องคลุมดำทั้งตัวหรือเปล่า”
มารีย์กระซิบถาม พลางมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดหวั่น ชีคหนุ่มหัวเราะเบาๆด้วยความเอ็นดู ในคำถามอันไร้เดียงสาของสาวสวยผู้ใสซื่อ
“ ก็คงไม่ถึงกับปิดหน้าปิดตาแบบที่ซาอุหรอกนะมารีย์ เพียงแต่แต่งกายให้เรียบร้อย คลุมศีรษะแบบเดียวกับที่เธอเคยปฏิบัติในเยรูซาเล็ม ประเทศของฉัน แม้จะขึ้นชื่อว่าเคร่งศาสนารองจากซาอุ แต่ก็ไม่ได้เข้มงวดจับผิดผู้หญิงเท่ากับที่นี่ ขอแค่เธอทั้งสองคน ปฏิบัติตัวภายใต้กรอบของศาสนา และวัฒนธรรมอันดีงาม และอีกอย่าง ประเทศของฉันเจริญมาก และไม่เข้มงวดกดขี่ผู้หญิง เธอจะมีเสรีภาพแน่นอน เพียงแต่ปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามกฎ เท่านี้ก็ไม่มีปัญหา”
ได้ยินรับสั่งของชีคกาลิด มารีย์จึงค่อยโล่งอกโล่งใจ เพราะหากต้องคลุมดำ และถูกจำกัดเสรีภาพ คงเป็นเรื่องที่อึดอัดน่าดู เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกับการที่ต้องอยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าอันแสนอึดอัดในประเทศซาอุดิอาระเบีย ชีคหนุ่มจึงพาสองสาวชุดดำขึ้นเครื่องบินจากนครเมกกะเพื่อไปลงสู่ท่าอากาศยานแห่งราชอาณาจักรอาหรับสุไลมาน เมื่อเครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพ้นจากเขตประเทศซาอุดิอาระเบีย สองสาวจึงรีบถอดผ้าคลุมหน้า และถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ ชีคกาลิดนึกเอ็นดูทั้งสองสาวน้อย มิตรภาพระหว่างเพื่อนของเธอทั้งสองช่างแน่นแฟ้น ไม่ยอมห่างจากกันเลย อยากจะรู้นักว่าหากถูกจับแยกกันจะเป็นอย่างไร คิดแล้วชีคหนุ่มก็หัวเราะด้วยความเอ็นดู เครื่องบินทะยานลงจอดที่ท่าอากาศยานราชอาณาจักรอาหรับสุไลมาน อย่างปลอดภัย นครแห่งนี้เป็นนครรัฐเล็กๆในทะเลทรายอาระเบียนที่มีความเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งด้วยทรัพยากรอันเลื่องชื่อ คือ บ่อน้ำมันดิบ แม้ในความเจริญรุ่งเรือง ชาวเมืองก็ยังอนุรักษ์วัฒนธรรมอันงดงาม ชาวเมืองแต่งกายด้วยชุดพื้นเมือง ภายในตัวเมืองมีสิ่งก่อสร้างที่ทันสมัยมากมาย และยังมีศาสนสถานที่งดงามตามแบบสถาปัตยกรรมอาหรับ เมื่อมาถึงที่เมืองนี้ จัสมินและมารีย์สามารถเปิดเผยใบหน้าอันงดงามแม้จะยังอยู่ในชุด อาบายาและฮิญาบสีดำก็ตาม ก็ไม่ได้ทำให้ความสวยงามของทั้งสองสาวลดน้อยลงเลย ท่าอากาศยานอาหรับสุไลมานถูกสร้างแบบทันสมัย แต่ก็ยังตกแต่งด้วยพรมเปอร์เซียคงความสวยงามแบบดั้งเดิม เหล่าชายชาวอาหรับผู้มั่งคั่ง สวมกันดูร่าคลุมมิชลาฮ์ สิดำขลิบทอง ยืนเรียงแถวต้อนรับเสด็จชีคน้อย รัชทายาทอันดับสองของอาหรับสุไลมานอย่างยิ่งใหญ่ รถพระที่นั่งจากวังสุไลมาน จึงรับชีคกาลิด และผู้ติดตามสองสาวสวย กลับไปยังวังสุไลมาน ขณะที่รถพระที่นั่งกำลังเดินทางกลับวังสุไลมาน จัสมินมองออกไปยังนอกหน้าต่างของรถยนต์คันหรู ท้องถนนของราชอาณาจักรอาหรับสุไลมานประดับประดาด้วยธงประจำชาติ สิ่งก่อสร้างที่ทันสมัยบ่งบอกถึงความมั่งคั่งของชาวเมือง ผู้คนที่เดินตามท้องถนนล้วนแต่เป็นกลุ่มชายฉกรรจ์ หากชายที่มีครอบครัวแล้ว เขาจะเดินนำหน้า ตามด้วย ลูกชาย ผู้หญิงจะต้องเดินตามหลัง น้อยนักที่จะเห็นกลุ่มผู้หญิงเดินตามท้องถนนกันตามลำพัง โดยไม่มีผู้ชายคอยดูแล เพราะกฎของเมืองนี้ก็เหมือนกับกฎของเมืองอาหรับทั่วไป คือ สตรีไม่สามารถเดินออกจากบ้านตามลำพังได้ หากต้องออกมาทำธุระนอกบ้าน ต้องเดินตามหลังพ่อ พี่ชาย น้องชาย สามี หรือลูกชายเท่านั้น สตรีที่แต่งงานแล้วเวลาออกจากบ้านต้องสวมอาบายาสีดำ ส่วนสตรีที่ยังไม่ได้แต่งงานก็จะสวมชุดอาบายาสีสันสวยงาม แต่ต้องปกปิดเส้นผมเงางามภายใต้ฮิญาบเช่นกัน แม้ไม่ได้ปกปิดใบหน้าเหมือนตอนอยู่ที่ซาอุดิอาระเบีย แต่จัสมินก็ยังรู้สึกว่า ขาดเสรีภาพต่างจากเยรูซาเล็มมาก จัสมินถอนใจ...แม้คิดถึงเยรูซาเล็มแทบขาดใจ แต่เธอตัดสินใจมาที่นี่แล้ว ก็ต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเอง เมื่อรถยนต์คันหรูแล่นมาถึงวังสุไลมาน หญิงสาวสวยนัยน์ตารูปเม็ดอัลมอนด์ มองความงดงามของวังสุไลมานผ่านแพขนตางอนงามด้วยความตื่นตาตื่นใจ วังแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยหินอ่อน เสาของวังมีลวดลายแกะสลักด้วยศิลปะอาหรับอันงดงาม พื้นของวังปูด้วยพรมอาหรับที่มีลวดลายน่ามอง ชีคกาลิดสั่งให้นางกำนัลในวังหลวงพาจัสมินและมารีย์เข้าที่พัก จากนั้นชีคหนุ่มจึงตรงไปยังท้องพระโรงของพระราชวัง ทำความเคารพองค์เอเมียร์คาลิฟาห์ผู้เป็นบิดาด้วยการจูบที่แก้มสองข้าง และโอบกอดผู้เป็นบิดาด้วยความรัก การกลับมาของชีคน้อย แห่งราชวงศ์อัลฟาราห์ สร้างความปีติยินดีกับทุกคนที่รอคอย
“ กาลิดลูกพ่อ พ่อดีใจยิ่งนักที่ลูกรีบกลับมา”
“ พอลูกทราบข่าวการตายของอมีนาห์ และอาการของหลานที่คลอดก่อนกำหนด ลูกก็รีบกลับมาทันที เป็นห่วงท่านพี่เหลือเกิน”
ชีคกาลิดห่วงใยพี่ชายคนโตที่ร่วมสายเลือดเดียวกัน ชีคนาสเซอร์ บิน คาลิฟาห์ บิน รามานห์ อัลฟาราห์ มกุฎราชกุมารรูปงามคมสัน โอรสองค์โตของเอเมียร์คาลิฟาห์ และรานีฟารีดา ชีคนาสเซอร์และชีคกาลิด เป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวสามารถตายแทนกันได้ ชีคกาลิดให้ความเคารพต่อเชษฐามาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ส่วนชีคนาสเซอร์ ก็รักน้องชายมาก คอยช่วยเหลือสนับสนุนส่งเสริมน้องในทุกด้าน และการที่ชีคกาลิด ไปเรียนต่อด้านการแพทย์ที่เยรูซาเล็มได้ ก็เพราะแรงสนับสนุนจากชีคนาสเซอร์ พระเชษฐาองค์เดียวของเขา แต่ ณ เวลานี้ ผู้เป็นพี่ชายได้สูญเสียชายาเอก อันเป็นที่รัก และลูกน้อยที่รอดมาได้ก็อยู่ในอาการสาหัส จะให้ผู้เป็นน้องอยู่เฉยได้อย่างไร
“ หลังจากที่ฝังศพ อมีนาห์ ชีมาห์ ฝาแฝดที่รอดมาได้ก็มีภาวะหัวใจเต้นอ่อนมาก นาสเซอร์พี่ชายของลูกก็โศกเศร้า จนล้มป่วยหนัก พ่อกลัว หากชีมาห์ต้องตาย พี่ชายของลูกจะตรอมใจตายไปอีกคน”
เอเมียร์คาลิฟาห์รับสั่งเสียงแผ่วเบา น้ำตาคลอ แม้จะเป็นเจ้าผู้ครองนครรัฐที่ร่ำรวยมั่งคั่ง ด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีค่าเทียบเท่ากับรัชทายาทหัวปี ผู้สืบทอดบัลลังก์อาหรับสุไลมานในอนาคต
“ โอ..ท่านพี่”
ชีคกาลิดครางด้วยความสะเทือนใจ น่าสงสารท่านพี่นาสเซอร์ แม้เป็นมกุฎราชกุมารผู้สืบทอดบัลลังก์ในอนาคตก็ ก็คงไม่สามารถเข้มแข็งได้ตลอดเวลา ยิ่งการสูญเสียลูกนั้นเป็นความเจ็บปวดที่แสนสาหัสสำหรับผู้เป็นพ่อ แม้ชีคกาลิดจะไม่เคยรับรู้ถึงความรู้สึกของความเป็นพ่อ ไม่เคยมีลูก แต่ก็เข้าใจหัวอกของผู้เป็นพี่ชายว่าหัวใจคงแทบสลาย หากสูญเสียลูกน้อยในสายเลือดของตน
“ ลูกเป็นห่วงท่านพี่ ได้โปรดพาลูกไปดูอาการของท่านพี่ด้วยเถิดครับ ท่านพ่อ”
ณ วังกุหลาบขาว ตำหนักใหญ่ของเจ้าชายมกุฎราชกุมาร เป็นตำหนักที่ ชีคนาสเซอร์ บิน คาลิฟาห์ บิน รามานห์ อัลฟาราห์ ได้รับเป็นของขวัญในวันอภิเษกสมรส กับ คือชีคคาอมีนาห์ บินติ ราฮิม อัลฟาราห์ เจ้าหญิงกุหลาบขาวผู้งดงามอ่อนหวาน เป็นธิดาของ ชีค ราฮิม บิน ราชิด อัลฟาราห์ องคมนตรีของนครรัฐ ซึ่งเอเมียร์ รามานห์ ผู้เป็นบิดาของเอเมียร์คาลิฟาห์ และ ชีคราชิด ผู้เป็นบิดาของชีคราฮิม เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกัน เอเมียร์คาลิฟาห์จึงหมั้นหมายกับอมีนาห์ ธิดาของชีคราฮิม ไว้กับชีคนาสเซอร์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ อมีนาห์มีน้องสาวฝาแฝดชื่อจัสมีนาห์ แต่ฝาแฝดอีกคนถูกลักพาตัวหายไปตั้งแต่ยังเป็นทารก จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีใครประสบพบเจอ ชีคนาสเซอร์ สมรสกับชีคคาอมีนาห์ผ่านไปได้ไม่ถึงหนึ่งปี ชีคคาอมีนาห์ก็ตั้งครรภ์ฝาแฝด เป็นที่ริษยาของเหล่านางสนมในฮาเร็มของมกุฎราชกุมาร มีหลายต่อหลายครั้ง ที่เหล่านางในฮาเร็มตามมาเกะกะระรานเธอ แต่เธอก็อยู่ในการปกป้องดูแลของพระสวามีอยู่เสมอ จนวันหนึ่งมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น คือ ขณะที่อมีนาห์ตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนเศษ เธอก็ตกเลือดอย่างหนักจนสิ้นใจก่อนไปถึงโรงพยาบาล แพทย์สามารถช่วยฝาแฝดให้รอดชีวิตมาได้ คือ ชีคคาชีมาห์ การตายของชายาเอกมกุฎราชกุมาร ไม่สามารถจับตัวคนผิดมาลงโทษได้ ผู้ที่ต้องสงสัยคือเหล่าสนมปลายแถวในฮาเร็ม ที่ไม่ได้รับการเหลียวแลจากมกุฎราชกุมาร เอเมียร์คาลิฟาห์จึงสั่งโบยและขับไล่นางบำเรอชั้นปลายแถวเหล่านั้นออกจากนครรัฐ เหลือสนมเอกและสนมรองเพียงสองคนไว้คือ นอร่าและอามีร่า ลูกสาวของนายพล ซัลมาล มหามนตรีด้านการทหาร จากนั้นมาก็ไม่มีการเรียกตัวหญิงสาวให้มาถวายตัวในฮาเร็มของมกุฎราชกุมารอีกเลย ในห้องบรรทมของมกุฎราชกุมาร ร่างสูงของบุรุษรูปงามวัยยี่สิบแปดปี นอนแน่นิ่งอยู่บนแท่น ใบหน้ารูปไข่อันคมเข้ม บัดนี้ดูซีดเชียวไร้เลือดฝาด ท่านหญิงฟาติมา แม่นมผู้เลี้ยงดูเจ้าชายทั้งสองมาตั้งแต่เยาว์วัยนั้น ใช้ผ้าชุบน้ำ เช็ดตามใบหน้าอันคมสันของเจ้าชายหนุ่มอย่างเบามือ ขณะที่รานีฟารีดาแสนงามผู้เป็นมารดาก็เฝ้าดูแลลูกชายคนโตไม่ห่าง
“ นาสเซอร์ ฟื้นขึ้นมาสักทีเถอะลูก.. แม่ใจจะขาดอยู่แล้ว ลูกเอ๋ย”
รานีฟารีดาร่ำไห้ราวกับจะขาดใจ เมื่อพระโอรสยังแน่นิ่ง ไม่ไหวติง
“ ท่านชีค มีไข้สูงมากเพคะ องค์รานี ”
ท่านหญิงฟาติมากราบทูลด้วยน้ำตานองหน้าเช่นกัน เป็นที่สะเทือนใจ ของเจ้าชายองค์เล็กที่ได้เข้ามาพบเห็นที่เห็นสภาพของเจ้าชายองค์ใหญ่แล้ว ถึงกับต้องหลั่งน้ำตา ท่านหญิงฟาติมา เห็นท่านชีคน้อยแห่งสุไลมานที่หล่อนเลี้ยงดูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออด แล้ว จึงโผเข้าไปกอดด้วยน้ำตานองหน้า
“ ท่านชีคน้อย...ท่านชีคน้อยของฟาติมา”
เมื่อเห็นร่างอันสูงโปร่งของโอรสองค์เล็ก และใบหน้าที่ถอดแบบโอรสองค์ใหญ่ในแบบเดียวกัน รานีฟารีดาถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความปลาบปลื้ม ความหวังนั้นเต็มเปี่ยม เพราะลูกชายคนเล็กจะกลับมาช่วยต่อชีวิตให้กับลูกชายคนโต
“กาลิด..ลูกแม่ ”
“ ท่านแม่..”
ชีคกาลิด คุกเข่า จูบที่ข้อมือของมารดาด้วยความรัก รานีฟารีดาจึงกุมมือบุตรชายคนเล็กแล้วร่ำไห้
“ กาลิดลูกแม่.. พี่ชายของลูกป่วยหนักตั้งแต่วันที่ฝังศพ อมีนาห์ นี่ก็ผ่านมาสามวันแล้ว ยังไม่ฟื้นเลย แม่กลัว...กลัวเหลือเกินว่าพี่ชายของลูกจะตรอมใจตาย ”
ชีคกาลิด คุกเข่าลงข้าง เตียงนอนของชีคนาสเซอร์ ชีคหนุ่มจับชีพจรที่ข้อมือ ข้อมือของชีคนาสเซอร์ถูกแทงด้วยเข็มน้ำเกลือจนห้อเลือด ชีพจรเต้นอ่อนมาก
“ โอ..ท่านพี่..เข้มแข็งไว้นะครับ.. ลูกสาวของท่านพี่ ต้องรอด”
ทันใดนั้นเอง มกุฎราชกุมารหนุ่มที่นอนไม่ได้สติอยู่นั้นก็เริ่มขยับร่างกายด้วยความอ่อนล้า น้ำตาไหลรินออกจากดวงตาอันคมกริบที่หลับพริ้มอยู่ ราวกับจะรับรู้ถึงการกลับมาของน้องชาย
“ท่านแม่ครับ ท่านพี่รู้สึกตัวแล้ว”
ดวงตาอันคมสวยที่หลับพริ้มอยู่นั้น เริ่มกระตุก น้ำตาไหลนองเต็มใบหน้าคมสัน มกุฎราชกุมารเริ่มพร่ำเพ้อถึงลูกน้อย ด้วยน้ำตาแม้ว่าดวงตาคมกริบนั้นจะยังหลับอยู่
“ ลูก...ลูกรักของพ่อ”
เสียงพร่ำเพ้อ แผ่วเบาปนเสียงสะอื้นเล็กน้อย เป็นที่สะเทือนใจของผู้ได้ฟัง ชีคผู้น้องรู้สึกปวดใจยิ่งยัก เมื่อเห็นความเจ็บปวดของชีคผู้พี่
“ ลูกพ่อ..”
ทุกครั้งที่เจ็บปวดมากจนไม่ได้สติ ชีคนาสเซอร์ มกุฎราชกุมาร มักจะร่ำร้องหาลูกน้อย รานีฟารีดาลูบศีรษะลูกชายด้วยความสงสาร ทันใดนั้นเองดวงตาคมกริบที่หลับอยู่จึงลืมตาขึ้น ภาพที่มองผ่านแพขนตานั้นดูเลือนรางเพราะฝ้าน้ำตา ชายหนุ่มกุมมือชีคผู้เป็นน้อง น้ำตาไหลพรากด้วยความปีติ น้องชายผู้เป็นความหวังสุดท้ายได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว
“ กาลิด..น้องพี่ ” สองพี่น้องจึงกอดกัน ชีคกาลิดหลั่งน้ำตาเช่นกัน
“ ท่านพี่ เข้มแข็งไว้นะครับ เข้มแข็งไว้”
ชีคนาสเซอร์ น้ำตานองหน้า จับมือน้องชายไว้แน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ น้องพี่...ลูก..ลูกของพี่กำลังจะตาย ”
มกุฎราชกุมารหนุ่มกุมมือ ชีคกาลิด แม้จะไม่ได้ฟูมฟาย คร่ำครวญ เพียงแค่น้ำตานั้นไหลริน แต่ผู้เป็นน้องย่อมรู้ดีว่าหัวใจของพี่ชายคงจะแทบสลาย หากต้องสูญเสียลูกน้อย
“ หากลูกของพี่ตาย..พี่คงสิ้นใจ ..กาลิดช่วยลูกของพี่ด้วยเถิด...พี่ใจจะขาดอยู่แล้ว”
ชีคหนุ่มรูปงามอ้อนวอนน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ชีคกาลิดจึงวางข้อมือของพี่ชายที่นอนเจ็บอยู่นั้น ไว้แนบลำตัว เพราะชีคนาสเซอร์นั้นเริ่มรู้สึกเจ็บปวดข้อมือที่ถูกแทงด้วยเข็มน้ำเกลือเต็มทีแล้ว
“ ครับ..ท่านพี่...หลานจะต้องปลอดภัย ผมพาลูกศิษย์ของผมที่เก่งที่สุดในเยรูซาเล็มมาด้วย พรุ่งนี้เราจะผ่าตัดหัวใจให้ชีมาห์... หลานน้อยจะต้องปลอดภัยครับ ท่านพี่...ผมสัญญา”
ชีคน้อยให้สัญญากับชีคผู้เป็นพี่อย่างหนักแน่น ชีคนาสเซอร์ยิ้มทั้งน้ำตานองหน้า ด้วยความซาบซึ้งใจ กาลิด น้องชายคนเดียวของเขา ความหวังเดียว ในการกู้ชีวิตลูกสาวตัวน้อยผู้เป็นแก้วตาดวงใจ
“ขอบใจมากกาลิด...วันพรุ่งนี้ พี่ขอตามไปด้วยนะ..”
“แต่...ท่านพี่ยังเจ็บอยู่” ชีคกาลิด แย้งขึ้นแต่มกุฎราชกุมารหนุ่มขอร้อง อ้อนวอนด้วยน้ำตา
“ กาลิด...อย่าห้ามพี่เลย...ขอพี่ตามไปดูลูกด้วยคนเถิด...พี่..เป็นห่วงลูกเหลือเกิน”
เมื่อมกุฎราชกุมารร้องขอ ชีคหนุ่มผู้เป็นน้องก็สุดที่จะทัดทานได้ จึงต้องยอม เพราะความรักของพ่อที่มีต่อลูกนั้นช่างยิ่งใหญ่ แม้ตนเองจะเจ็บปวดเพียงใด ก็ขอให้ได้พบหน้าลูก และรู้ว่าลูกจะรอดปลอดภัยก็เพียงพอ
ชีมาห์ ...ขอพ่อได้อยู่เคียงข้างลูก ...ยามที่ลูกเจ็บปวด
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...พ่อจะไม่ทอดทิ้งลูก..ลูกรักของพ่อ
พลอยพัด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.พ. 2556, 13:47:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.พ. 2556, 13:47:31 น.
จำนวนการเข้าชม : 1890
<< บทที่ 2 ข่าวร้ายที่เกี่ยวพันกับบุคคลในความฝัน | ตอนที่5 ยอดดวงใจที่หวนกลับคืนมา >> |