ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 16


ร้านขายของชำร้านนั้นดูแปลกตากว่าร้านอื่นตรงที่เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว หลังคามุงด้วยหญ้าแห้ง ประตูด้านหน้าเปิดโล่ง มองเข้าไปเห็นกระสอบและลังไม้วางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ด้านข้างปิดทึบ บริเวณหน้าจั่วสูงขึ้นไปเกือบถึงหลังคาที่เว้นช่องลมเอาไว้พอให้อากาศถ่ายเทได้บ้าง

ที่เพิงเล็กๆ มุมร้านมีลังเปล่าและกระสอบเก่าๆ กองระเกะระกะอยู่ข้างรถเข็นสองล้อ ถัดไปไม่ไกลนักคือร่างของสตรีวัยกลางคนเจ้าของร้าน นางทำปากขมุบขมิบนับนิ้วอยู่ไปมา ก่อนจะหันไปใช้หินสีขาวขีดเขียนสัญลักษณ์บางอย่างบนแผ่นกระดานที่แขวนอยู่ตรงผนังข้างประตู

“สวัสดีครับท่านป้า”

เอลเดินเข้าไปใกล้พลางร้องทัก พยายามปั้นยิ้มหวานสุดชีวิตส่งไปให้แม่ค้าวัยกลางคน เมื่อมาอยู่ในระยะประชิดขนาดนี้ เขาจึงเห็นว่านางเป็นผู้หญิงอ้วนที่มีร่างกายสูงใหญ่ทีเดียว อาจจะไล่เลี่ยกับเขาเสียด้วยซ้ำ ที่สำคัญหน้าตาของนางดูบึ้งตึงไม่เป็นมิตรเสียจนชายหนุ่มนึกขยาด แต่จะหันหลังกลับตอนนี้ก็ทำไม่ได้ เพราะเจ้าคนในชุดนักบวชคอยจ้องเป๋งคุมเชิงอยู่ไม่ห่าง

“คือ.. ข้ามีเรื่องอยากจะรบกวนถามท่านสักหน่อย”

เขาเอ่ยต่อด้วยเสียงห้าวทุ้มที่ปรับจนนุ่มหูน่าฟัง รอยยิ้มทรงเสน่ห์ยังไม่เลือนหายไปจากใบหน้าหล่อเหลา

แม่ค้าร่างอ้วนจ้องมองหนุ่มหล่อต่างถิ่นที่ตรงรี่เข้ามาทักนางด้วยความสงสัยแกมไม่ไว้ใจ นางเลื่อนสายตาผ่านใบหน้าชวนมองของเขาไปจับอยู่ที่เสื้อกางเกงมอมไปด้วยฝุ่น ก่อนตวัดสายตากลับไปที่ใบหน้าอีกครั้ง ชั่งใจว่าควรจะเสียเวลาพูดด้วยดีหรือไม่ ริมฝีปากอวบหนายังคงหุบสนิท ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา

หนุ่ม ‘เสน่ห์แรง’ กลืนน้ำลายลงคอ บรรจงยิ้มอวดฟันขาวอีกรอบในขณะที่สมองเร่งคิดหาวิธีที่จะไม่ทำให้ตนเองถูกไล่ตะเพิดกลับไปเสียก่อน มันน่าโมโหเจ้านักบวชกำมะลอนักเชียวที่อยู่ดีๆ ก็ยัดเยียดภาระอันน่าอึดอัดใจนี้มาให้เขา

“เอ่อ... ข้าชื่อเอลนะครับท่านป้า ส่วนนั่นสหายของข้าชื่อเมล” ชายหนุ่มยกนิ้วโป้งชี้ไปด้านหลังแล้วพยายามอธิบายต่อ “เราสองคนเป็นนักเดินทาง เพิ่งมาที่เมืองนี้เป็นครั้งแรก ก็เลย...เอ่อ...หลงทางน่ะครับ ท่านป้าจะกรุณาช่วยเราหน่อยได้มั้ยครับ”

แม่ค้าวัยกลางคนเบนสายตาไปยังคนในชุดนักบวชที่ยืนอยู่เยื้องไปทางด้านหลังผู้พูด คิ้วที่ขมวดเข้าหากันค่อยคลายออกเล็กน้อย นางหันกลับมาพยักหน้าให้ชายหนุ่มนิดหนึ่งแทบสังเกตไม่เห็น

“เจ้าจะให้ข้าช่วยอะไรล่ะ”

“คือ ข้ากับเพื่อนได้ยินมาว่ามีวิหารแห่งหนึ่งอยู่แถวนี้ ชื่อวิหารรีอา ท่านป้าพอจะรู้จักมั้ยครับ”

ใบหน้าที่ขมวดบึ้งของผู้ฟังคลายออกทันที ความระแวงสงสัยเลือนหายไปจากแววตา พร้อมๆ กับที่เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังขึ้น

“โถ่เอ๊ย นึกว่าเรื่องอะไร รู้จักสิ คนเมืองนี้ไม่มีใครไม่รู้จักวิหารรีอาหรอกพ่อหนุ่ม”

“จริงหรือครับท่านป้า”

น้ำเสียงตื่นเต้นยินดีเหมือนเด็กๆ ของชายหนุ่มแปลกหน้า ทำให้ผู้สูงวัยกว่าอดยิ้มออกมาไม่ได้ หากประโยคต่อไปของเขากลับละลายรอยยิ้มนั้นลงไปกว่าครึ่ง

“ท่านพอจะบอกทางไปวิหารให้ข้าได้มั้ยครับ”

แม่ค้าร่างอ้วนจ้องมองหนุ่มหล่อต่างถิ่นด้วยสายตาพิกล

“เจ้าจะไปที่นั่นทำไม” เผลอหลุดปากถามออกไปแล้ว นางก็รีบกลบเกลื่อนด้วยการโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัล

“ช่างเถอะๆ ไม่ต้องตอบหรอก ข้าเองก็ไม่ได้อยากรู้ธุระของเจ้านัก แต่บอกไว้ก่อนว่าที่นั่นไม่ใช่สถานที่ที่ใครก็เข้าไปได้ง่ายๆ”

“ทำไมล่ะครับท่านป้า”

“ก็ที่นั่นมีแต่ผู้หญิง เจ้าไม่รู้หรือไงว่าถ้าไม่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษจากท่านหัวหน้านักบวชละก็ ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิเข้าไปในวิหารทั้งนั้น อีกอย่าง” ผู้พูดมีทีท่าลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อไปด้วยเสียงเบาแทบเป็นกระซิบ

“ลูกค้าอย่างพวกเจ้าก็ไม่ได้มีมาบ่อยๆ เสียด้วย”

“ลูกค้า” หนุ่มหล่อต่างถิ่นทวนคำงงๆ

“อ้าว ก็ใช่น่ะสิ หรือว่าเจ้าไม่ได้เป็นลูกค้าของวิหารกันล่ะ” ความหวาดระแวงในตัวชายหนุ่มตรงหน้าเริ่มหวนกลับมาอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะไปที่วิหารทำไม”

“เอ่อ...ข้าก็...ข้าเป็นลูกค้าสิครับท่านป้า เป็นลูกค้าของวิหารรีอาแน่นอน” เอลรีบตอบ แล้วฉีกยิ้มหวานกลบเกลื่อนอาการพิรุธถามต่อไปว่า

“ท่านป้าจะช่วยบอกทางไปที่นั่นให้ข้าทราบได้มั้ยครับ”

เมื่อเห็นหญิงกลางคนร่างอ้วนทำท่าคิด เอลก็รีบรุกด้วยวิธีถนัด

“รับรองว่าข้าไม่เอาเปรียบท่านป้าแน่ ขอเพียงแค่บอกทางไปวิหารรีอากับข้า ท่านป้าอยากได้อะไร ข้ายินดีมอบให้ทุกอย่าง”

ชายหนุ่มนึกไปถึงเหรียญทองในถุงข้างเอวที่คงจะต้องลดจำนวนลงอีก แต่ช่างเถอะ ถ้าแลกกับการที่ไม่ต้องคลำหาทางไปวิหารเอาเองก็นับว่าคุ้ม

แม่ค้าชาวบัลซาร์จ้องมองแผงอกกำยำและท่อนแขนแข็งแรงที่ซ่อนอยู่หลังเสื้อเชิ้ตเนื้อดีของหนุ่มหล่อตรงหน้านิ่งนาน ความพึงพอใจฉายชัดออกมาทางแววตาก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างบนริมฝีปากอวบหนา

“เจ้ายินดีให้ข้าทุกอย่างจริงๆ น่ะหรือพ่อหนุ่ม” นางถามย้ำ

“ครับ”

“ดี ถ้างั้นตามข้าเข้ามาข้างใน”

เอลยังไม่ทันจะได้ทำความเข้าใจกับคำสั่งที่เพิ่งได้ยินให้แน่ชัด ก็ถูกอุ้งมือใหญ่คว้าหมับที่ต้นแขน แล้วเจ้าของมือก็ใช้เรี่ยวแรงมหาศาลทำอาการคล้ายจะ ‘ยก’ ตัวเขาให้ลอยขึ้น ก่อนจะลากเข้าไปในร้านค้ามืดทึมอย่างง่ายดาย ทว่านางยังมีมารยาทดีพอที่จะหันไปขออนุญาตชายหนุ่มในชุดนักบวชที่ยืนยิ้มมองดูอยู่ด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“ท่านคงไม่ว่าอะไรนะคะท่านนักบวช ถ้าข้าจะขอยืมตัวสหายของท่านสักครู่”

“อ๋อ ตามสบายเลยครับท่านป้า” เมลิอานาร์ตอบกลั้วหัวเราะ หันไปส่งยิ้มกว้างพลางโบกไม้โบกมือให้เพื่อนร่วมทาง...ที่คงต้องแยกทางกันชั่วคราวแล้วตอนนี้

“โชคดีนะเอล ข้าจะกลับไปรอเจ้าที่ห้องพักก็แล้วกัน”

“เฮ้ย เดี๋ยวซี่ ท่านเมล..”

เอลพยายามร้องเรียก แต่สหายนักบวชของเขาไม่มีทีท่าว่าจะสนใจ พอพูดจบฝ่ายนั้นก็รีบหันหลังกลับ ฮัมเพลงไปตามทางอย่างอารมณ์ดี ปล่อยให้เสียงร้องตะโกนโหวกเหวกของชายหนุ่มค่อยๆ จางหายไปเองในสายลมเย็นต้นฤดูใบไม้ร่วง โดยที่ไม่คิดจะหันกลับมามองด้วยซ้ำว่าเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร



โชคยังดีที่เอลสามารถรอดชีวิตกลับมาถึงที่พักได้ในค่ำวันนั้น แม้ว่าสภาพจะสะบักสะบอมเอาการอยู่ก็ตาม

“โอ้โห นี่เจ้าไปรบกับใครมาหรือ ถึงได้ดูไม่จืดขนาดนี้”

เมลิอานาร์อดหัวเราะไม่ได้ เมื่อเดินไปเปิดประตูห้องพักแล้วเห็นสภาพหน้าเป็นมันไปด้วยเหงื่อ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ชายเสื้อหลุดลุ่ยออกมานอกขอบกางเกง ของผู้ที่เพิ่งก้าวเข้ามาภายใน เอลตวัดสายตาคล้ายจะค้อน เดินตรงไปยังเตียงนอนมุมห้องโดยไม่พูดไม่จา พอถึงก็ถอดรองเท้าออก ล้มตัวลงนอนแผ่หราอย่างเหนื่อยอ่อน

คนในชุดนักบวชปิดประตู หันกลับมาจับตามองอาการของสหายหนุ่มอย่างขำๆ ก่อนจะตั้งคำถามซ้ำอีกรอบ

“เป็นอะไรหรือเอล แล้วได้ความหรือเปล่าเรื่องวิหารน่ะ”

“ท่านก็ห่วงแต่เรื่องวิหารนั่นแหละ ไม่คิดจะห่วงสวัสดิภาพของข้าหรอก” เอลตัดพ้อราวกับผู้หญิงแสนงอน

“อ้าว ข้าก็ถามอยู่นี่ไงว่าเจ้าเป็นอะไร เจ้าไม่ตอบเองนี่นา”

ชายหนุ่มตวัดสายตาขุ่นขวางผ่านหน้าเจ้าของประโยคอีกครั้ง ตอบเสียงสะบัดว่า

“ข้าก็โดนยัยแม่มดจอมโหดคนนั้นใช้งานหนักจนปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัวน่ะซี แล้วดูท่านสิ มีอย่างที่ไหน ไปด้วยกันแท้ๆ กลับทิ้งกันได้ลงคอ”

เมลิอานาร์หัวเราะเฉยเสียไม่พูดอะไรอีก จะว่าไปนางก็จงใจแกล้งทิ้งเขาเอาไว้กับแม่ค้าหน้าดุคนนั้นจริงๆ นั่นแหละ ความรู้สึกผิดเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในใจทำให้หญิงสาวเดินไปคว้าย่ามส่วนตัวขึ้นมา ค้นหาอะไรกุกกักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินข้ามห้องไปหาชายหนุ่มพร้อมด้วยขวดแก้วเจียระไนทรงสูงในมือ ภายในบรรจุน้ำมันหนืดข้นสีเขียวใส

“เอ้า ถอดเสื้อออกสิเอล ข้าจะชโลมสมุนไพรแก้ปวดเมื่อยให้เจ้า”

ราชาแห่งกรีนแลนด์มองหน้าคนออกคำสั่งอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก แต่ก็ยอมขยับลุกขึ้นมาถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่สวมอยู่ออกแต่โดยดี แล้วพลิกตัวลงนอนคว่ำหน้า สอดแขนสองข้างไว้ใต้หมอนขนนกฟูนุ่ม เกยคางไว้ด้านบนด้วยท่าทางสบายๆ ปากก็บ่นต่อไปราวกับอัดอั้นตันใจมานาน

“ยัยป้าคนนั้นโหดชะมัดเลยท่านรู้มั้ย กว่าจะยอมบอกทางไปวิหารให้ นางก็ใช้ข้าแบกกระสอบข้าวสาลีกระสอบมันฝรั่งจนปวดไปหมดทั้งตัว เท่านั้นยังไม่พอ ยังใช้ให้ข้าตระเวนส่งของแทนลูกชายของนางอีกตั้งครึ่งค่อนวัน”

เมลิอานาร์ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างชายหนุ่ม บรรจงชโลมน้ำมันเหนียวข้นกลิ่นฉุนรุนแรงลงบนแผ่นหลังของเขา แล้วออกแรงนวดเพื่อคลายกล้ามเนื้อให้ด้วยความรู้สึกขบขันอย่างบอกไม่ถูก นางต้องพยายามกัดริมฝีปากสะกดกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้แทบตาย หากดูเหมือนไม่ค่อยได้ผล เพราะยังมีเสียงคิกๆ คักๆ เล็ดรอดออกมาให้คนนอนคว่ำหน้าได้ยินอยู่นั่นเอง

“หัวเราะอะไรของท่าน คนเค้าอุตส่าห์...โอ๊ย...เบาหน่อยได้มั้ย ท่านนี่มือหนักเป็นบ้า”

“เงียบเหอะน่ะ เจ้าไม่อยากหายปวดหรือไง น้ำมันสมุนไพรพวกนี้ทาแล้วก็ต้องนวดให้ซึมเข้าไปในกล้ามเนื้อทั้งนั้นแหละ”

“ท่านก็นวดให้มันนุ่มนวลกว่านี้หน่อยซี่ มือหนักอย่างนี้จะฆ่ากันหรือไง“

“เสียใจด้วยนะเอล มือข้ามันก็หนักอย่างนี้แหละ ถ้าอยากได้คนนวดมือเบาๆ เจ้าต้องไปใช้บริการของแม่สองสาวเอสเม่กับริต้าโน่น”

เอลยิ้มน้อยๆ กับน้ำเสียงประชดของอีกฝ่าย “ความคิดไม่เลวนี่ ว่าแต่ท่านจะไปพาพวกนางมานวดให้ข้าจริงหรือเปล่าล่ะ”

คำตอบนั้นทำให้แรงกดบนกล้ามเนื้อแข็งเกร็งของชายหนุ่มเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจนเจ้าตัวแทบสะดุ้ง

“เอ้า เสร็จแล้ว รับรองว่าพรุ่งนี้เช้าเจ้าจะหายปวดเป็นปลิดทิ้ง” คนนวดขยับถอยออกมายืนดูผลงานตาขุ่นอยู่ข้างเตียง

เอลลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือไปคว้าเสื้อเชิ้ตตัวเก่าขึ้นมาทำท่าจะสวม หากแล้วกลับชะงักไว้ หันไปจ้องหน้าหนุ่มหล่อในชุดนักบวชนิ่งด้วยดวงตาเป็นประกายระยับ ริมฝีปากได้รูปพราวยิ้มกรุ้มกริ่ม

“มีอะไรอีกล่ะ” ฝ่ายถูกจ้องชักระแวงขึ้นมาบ้าง

“แขนของข้า ท่านยังไม่ได้นวดน้ำมันให้เลย ข้าก็ปวดแขนจนแทบจะยกไม่ขึ้นเหมือนกันนะ”

“มากไปละเอล แขนเจ้าเจ้าก็นวดเองสิ เอื้อมถึงอยู่แล้วนี่ อีกอย่างคนมือหนักอย่างข้ายังไม่นึกอยากจะหักกระดูกใครตอนนี้ด้วย”

เมลิอานาร์โยนขวดน้ำมันในมือส่งให้เพื่อนร่วมห้อง ก่อนจะเดินกลับไปนั่งห้อยขาบนเตียงนอนของตนซึ่งตั้งอยู่ชิดผนังอีกด้าน จับตามองดูเอลค่อยๆ เทน้ำมันสมุนไพรลงบนแขนข้างซ้ายอย่างทุลักทุเล แล้วจู่ๆ คำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด

เอลเป็นใครกันแน่...

หน้าตาผิวพรรณของเขาดูดีเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา จะว่าเป็นทหารก็ไม่น่าใช่ แม้รูปกายภายนอกของเอลจะดูแข็งแรงบึกบึน แต่ท่าทางเขาไม่ใช่คนที่คุ้นเคยกับการทำงานหนักมาก่อน โดยเฉพาะงานแบกหามอย่างที่เขาต้องทำในวันนี้ ดูจากอาการปวดเมื่อยมากมายที่เกิดขึ้นก็พอจะเดาออก สงสัยว่าชีวิตที่ผ่านมาของชายหนุ่มคงมีแต่ความสุขสบายจนน่าหมั่นไส้เสียด้วยซ้ำ

นางยังจำถ้อยคำกำชับของเจ้าชายกันนาร์ตอนจะออกเดินทางจากกรีนแลนด์ได้ดี ดูเหมือนพระองค์ทรงเป็นห่วงสหายผู้นี้มากมายจนผิดสังเกต ถ้าหากเอลไม่ใช่หญิงคนรักของเจ้าชายกันนาร์อย่างที่นางเคยเข้าใจ บางทีเขาอาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์คนใดคนหนึ่งของกรีนแลนด์ก็ได้ พอคิดมาถึงตรงนี้ความสงสัยอีกประการก็ผุดซ้อนขึ้นในใจของหญิงสาวทันที

ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วเหตุใดเอลจึงต้องแสร้งทำตัวเป็นหญิงรับใช้ประจำวิหารด้วยเล่า

“...พอหรือยัง”

เสียงห้าวๆ ไม่สบอารมณ์ของคนถูกมองดังขึ้นขัดจังหวะความคิดหญิงสาว

“อะไรนะ”

“ข้าถามว่า ท่านวิเคราะห์ข้าพอหรือยัง เห็นจ้องข้าจนแทบจะทะลุไปถึงฝาห้องด้านหลังแล้ว”

เมลิอานาร์ยิ้มเก้อๆ

“วิเคราะห์ที่ไหนกัน ข้าก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย แล้วว่าไงล่ะเรื่องวิหารน่ะ เจ้ายังไม่เล่าให้ข้าฟังเลย”

เมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง เอลก็ไม่ได้ติดใจที่จะคาดคั้นอีก เขายักไหล่แล้วกล่าวด้วยเสียงเรียบเรื่อย ซ่อนความกังวลใจลึกๆ เอาไว้มิดชิด

“ก็ไม่มีอะไรมาก นางบอกว่าที่ด้านหลังหมู่บ้านมีทางเกวียนเล็กๆ อยู่ ถ้าขี่ม้าไปตามทางนั้นจนถึงชายป่าก็จะพบลำธารสายหนึ่ง ให้ขี่ม้าเลียบลำธารไปจนกระทั่งเจอเนินเขา พอขึ้นเขาไปสักพักก็จะเห็นวิหารตั้งอยู่ ท่าทางคงจะหาไม่ยากหรอก เพียงแต่ ข้าไม่คิดว่าเราจะถือตลับเดินดุ่มๆ เข้าไปเที่ยวถามใครต่อใครในวิหารได้เหมือนที่ถามริช ไคลี่ ถึงพวกนักบวชจะเคยเห็นตลับอันนี้และรู้เรื่องยาพิษ ก็คงไม่มีใครยอมบอก”

“นั่นสิ” คนฟังพยักหน้าเห็นด้วยทันที

“อีกอย่างนะท่านเมล” ชายหนุ่มพูดต่อ “ข้ายังติดใจเรื่อง ‘ลูกค้า’ ที่ท่านป้าคนนั้นพูดถึงไม่หาย นักบวชที่วิหารนั่นขาย ‘อะไร’ ให้ ‘ลูกค้า’ ของพวกนางกันแน่”

“ถ้าอยากรู้ก็มีทางเดียวคือเราต้องแอบเข้าไปข้างในวิหารให้ได้ ข้าสังหรณ์ใจว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวพันกับยาพิษในตลับนั่น ปัญหามันอยู่ที่ว่าพวกเราจะเข้าไปในนั้นได้ยังไงมากกว่า”

เมลิอานาร์ลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าเตียงด้วยท่าทางคิดหนัก สักพักก็หันกลับมาถามชายหนุ่มเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“ท่านป้าคนนั้นเคยไปที่วิหารบ่อยหรือเอล”

“ไม่รู้สิ ก็คงบ่อยมั้ง นางต้องขึ้นไปส่งของที่วิหารอยู่แล้วนี่”

“ส่งของ”

“ฮื่อ ก็พวกมันฝรั่ง ข้าวสาลี น้ำผึ้ง อะไรทำนองนี้แหละ นักบวชที่วิหารจะลงมาสั่งซื้อที่ร้านของนางประมาณสองเดือนครั้ง”

“งั้นแสดงว่านักบวชหญิงที่เราเห็นคุยอยู่กับท่านป้าเมื่อกลางวัน ก็มาสั่งซื้อของพวกนั้นน่ะสิ” ผู้พูดทบทวนเหตุการณ์ช้าๆ อย่างตรึกตรอง

“ก็คงใช่ ก่อนกลับมานี่ข้ายังถูกนางบังคับให้ช่วยขนของขึ้นบรรทุกเกวียนอยู่เลย เห็นว่าพรุ่งนี้นางจะนำไปส่งที่วิหารแต่เช้า”

“ถ้างั้นก็เหมาะ”

เมลิอานาร์ดีดนิ้วเสียงดังจนอีกฝ่ายต้องเงยหน้าขึ้นมอง ถามงงๆ

“อะไรเหมาะ”

หญิงสาวไม่ตอบ หากแต่ยิ้มกว้างเหมือนไม่ได้ยินคำถามนั้น นางรู้แล้วว่าจะแอบเข้าไปในวิหารรีอาได้อย่างไร



เกวียนขนของขนาดกลางคลุมด้วยผ้าเนื้อหนาอย่างมิดชิด แล่นไปตามถนนดินขรุขระ ผ่านเข้าไปในป่าโปร่งเลียบลำธารตั้งแต่แสงอรุณแรกเพิ่งทอทาบขอบฟ้า น้ำหนักตัวของสตรีร่างอ้วนใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านหน้าบวกกับน้ำหนักของสินค้าที่บรรทุกมานั้นคงจะมากเอาการ เกวียนเลยเคลื่อนที่ได้ค่อนข้างช้าไม่ทันใจเจ้าของ แส้หนังในมือนางจึงกระทบหลังเจ้าม้าแก่ผอมกะหร่องสองตัวอยู่บ่อยๆ สลับกับเสียงร้องเร่งอย่างใจร้อน

แม่ค้าชาวบัลซาร์อยากจะให้งานส่งของช่วงเช้าเสร็จสิ้นก่อนเที่ยงวัน เพราะตอนบ่ายนางยังต้องไปส่งของให้ลูกค้าอีกเจ้า จึงรีบขนของขึ้นบรรทุกเกวียนเตรียมไว้ตั้งแต่เย็นวาน โชคดีที่ได้หนุ่มต่างถิ่นมาช่วยทำให้เบาแรงไปมาก เช้านี้นางจึงเพียงแค่นำม้าสองตัวมาเทียมเข้ากับเกวียนก็สามารถออกเดินทางได้ทันที

หญิงกลางคนตวัดแส้ลงบนหลังม้าอีกครั้ง ส่งผลให้เกวียนพุ่งทะยานไปข้างหน้าเร็วขึ้นเล็กน้อย เพราะมัวแต่ใจจดใจจ่ออยู่กับจุดหมายปลายทางและจำนวนเงินที่จะได้รับ นางจึงไม่ทันสังเกตเห็นหลุมขนาดเล็กที่ขวางทางอยู่ ล้อเกวียนจึงกระแทกลงไปในหลุมนั้นโดยแรง โชคดีที่หลุมไม่ลึกมากจึงไม่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ เพียงแต่มีเสียงข้าวของกระทบกันกราวใหญ่แทรกด้วยเสียงคล้ายคนร้องอุทานอย่างตกใจดังมาจากท้ายเกวียน

คนเป็นแม่ค้าเหลียวมองรอบกายล่อกแล่กหาที่มาของเสียง หากพอตั้งใจฟังกลับไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงฝีเท้าม้าและเสียงล้อไม้หมุนบดพื้นถนนตามปกติ นางรู้สึกขนลุกขึ้นมาเฉยๆ จึงเร่งหวดแส้ลงบนหลังเจ้าสัตว์น่าสงสารทั้งสองตัวถี่ขึ้น เพื่อให้มันวิ่งไปสู่จุดหมายปลายทางโดยเร็ว มิได้นึกเฉลียวใจเลยสักนิดว่า เจ้าของเสียงอุทานที่นางได้ยินแล้วนึกว่าหูฝาดไปเองนั้น กำลังนอนคลำศีรษะป้อยอยู่ท่ามกลางกองกระสอบและลังไม้ภายใต้ผ้าคลุมผืนหนา ข้างหลังนางนี่เอง!






angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.พ. 2556, 07:26:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.พ. 2556, 07:28:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 1723





<< ตอนที่ 15   ตอนที่ 17 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account