ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 20


เสียงฝีเท้าม้าที่ดังไล่หลังมาติดๆ ทำให้เมลิอานาร์ต้องหันกลับไปมอง พอเห็นถนัดว่าคนบนหลังม้าเป็นชายฉกรรจ์จากกลุ่มที่ชุมนุมกันอยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน นางก็กระตุ้นเจ้าม้าดำให้เร่งความเร็วขึ้นอีก หญิงสาวพยายามนึกทบทวนเส้นทางที่เพิ่งผ่านมาเมื่อวันก่อน หากเปรียบเทียบกับภูมิประเทศแถบนี้ เงาทะมึนที่เห็นอยู่ทางด้านซ้ายมือน่าจะเป็นภูเขาอัลล์ ถ้ามุ่งหน้าต่อไปโดยยึดแนวเทือกเขาเป็นหลัก คงจะหาทางลัดเลาะกลับไปยังกรีนแลนด์ได้ไม่ยาก

แต่จะจัดการกับฝ่ายไล่ตามได้ยังไงนี่สิปัญหา...

หญิงสาวคิดหาทางออกอยู่ชั่วครู่ ก็ตัดสินใจหยุดม้ากระทันหันตรงทางโค้งที่มีแนวต้นไม้ขึ้นหนาทึบ พอจะอาศัยเป็นฉากกำบังตัวได้ชั่วคราว นางตวัดกายลงสู่พื้น หันไปช่วยพยุงเอลลงจากหลังม้า ใช้มีดสั้นกรีดปลายนิ้วชายหนุ่มให้โลหิตหยดลงบนอาน จากนั้นจึงกรีดปลายนิ้วตนเองปล่อยให้เลือดไหลผสมลงไป นางหลับตาเพื่อรวบรวมสมาธิ ร่ายคาถาเบาๆ ขณะลากนิ้วไปบนหยดเลือดวาดเป็นรูปสัญลักษณ์โบราณ เมื่อสิ้นเสียง บนหลังเจ้าม้าหนุ่มก็ปรากฏเงาร่างของคนสองคนนั่งซ้อนกันอยู่อย่างน่าอัศจรรย์

เมลิอานาร์ตบสะโพกเจ้าสัตว์แสนรู้เต็มแรงเร่งให้มันห้อตะบึงไปข้างหน้า นางมีเวลาแค่อึดใจเดียวที่จะผลักชายหนุ่มข้างกายให้หมอบราบลงกับพื้นแล้วทิ้งร่างตามลงไปติดๆ ก่อนที่ทหารทาเนียร์ทั้งสองจะควบม้าผ่านหน้าไปแบบเฉียดฉิว หญิงสาวรอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าม้าทั้งสามตัวเงียบหายไป จึงค่อยขยับลุกขึ้นยืน เพ่งสายตาฝ่าความมืดมองย้อนกลับไปตามถนน ครั้นแน่ใจว่าปลอดภัยดี ไม่มีใครตามมาอีก ก็หันไปช่วยประคองชายหนุ่มข้างกายให้ลุกขึ้น พยุงพาเขาก้าวเดินลึกเข้าไปในป่าอย่างทุลักทุเล โชคดีที่เอลยังพอมีสติหลงเหลืออยู่บ้าง หาไม่แล้วนางคงต้องใช้วิธี ‘ลาก’ เขาไป เพราะพ่อหนุ่มร่างยักษ์ตัวหนักเหลือเกิน

ทั้งคู่คลำทางไปข้างหน้าโดยอาศัยเพียงแสงจันทร์หรุบหรู่ส่องนำทาง เมลิอานาร์ไม่กล้าเสี่ยงใช้เวทมนตร์จุดไฟขึ้นมาเพราะเกรงว่าจะเป็นการบอกตำแหน่งของตนให้อีกฝ่ายรู้ ไม่นานนักนางก็พาเอลล่วงมาถึงบริเวณที่ราบเลียบริมน้ำ ด้านหนึ่งมีไม้ยืนต้นขึ้นอยู่ค่อนข้างบางตา อีกด้านเป็นลานดินเรียบโล่ง มีลำธารขนาดใหญ่ทอดขวางอยู่ กระแสน้ำเชี่ยวกรากในลำธารกระทบแสงจันทร์เป็นประกายสีเงินงดงาม ต้นหญ้าฉ่ำน้ำค้างระบัดใบครึ้มเป็นแนวยาวตลอดชายฝั่ง

เมลิอานาร์พยุงคนเจ็บให้นั่งพิงต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ ลำธาร นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจถอดชุดสาวใช้สกปรกมอมแมมออกจากร่างของเขา อดยิ้มไม่ได้เมื่อพบว่าเอลยังคงใส่เสื้อกางเกงตัวเดิมเอาไว้ข้างในครบชุด หญิงสาวปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่มีรอยขาดเป็นบางแห่งอย่างเบามือ นำเศษผ้าที่ฉีกจากชุดสาวใช้ไปชุบน้ำจากลำธารมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ชายหนุ่ม


สัมผัสเย็นๆ บนใบหน้าและแผงอกทำให้คนที่นั่งพิงต้นไม้หลับตานิ่งเริ่มรู้สึกตัว สติสัมปชัญญะที่เลื่อนลอยเพราะพิษไข้ค่อยกลับคืนมาอีกครั้ง หากบาดแผลอันเกิดจากคมธนูยังปวดแปลบ แขนซ้ายทั้งแขนหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยก้อนหิน พอชายหนุ่มทดลองขยับปลายนิ้ว ความเจ็บก็แล่นเป็นริ้วไปถึงปากแผลจนต้องส่งเสียงครางออกมาเบาๆ

“เป็นอะไรหรือเอล ข้ามือหนักไปหรือไง”

เพื่อนร่วมทางที่เขาชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าเป็นเพศเดียวกันชะงักมือ เงยหน้าขึ้นถาม ดวงตาสีน้ำเงินคู่ที่...สวยที่สุดในโลกละมั้ง...มีแววตระหนกฉายชัด

เอลอมยิ้มด้วยความเอ็นดู อยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มนวลที่มอมไปด้วยฝุ่นของคนตรงหน้าเล่น หากไม่กล้า ได้แต่เสมองไปทางอื่น ตอบงึมงำอยู่ในลำคอ

“ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่เพราะท่าน...ข้า..เอ่อ..ปวดแผลน่ะ”

“งั้นหันหลังมาให้ข้าดูหน่อย”

ชายหนุ่มทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย เขารู้สึกร้อนวูบที่ปากแผล จากนั้นก็เหมือนมีของเหลวอุ่นๆ ไหลริน ความรู้สึกเจ็บปวดจนยากจะบรรยายแผ่ซ่านไปทุกขุมขน ตามมาด้วยกลิ่นโลหิตคาวคลุ้งชวนคลื่นเหียน

เอลกัดฟันแน่น พยายามข่มเสียงร้องไม่ให้เล็ดลอดออกมา เหงื่อเม็ดโต ๆ ผุดพราวเต็มใบหน้า กล้ามเนื้อบนแผ่นหลังไหวระริกราวกับระลอกคลื่น

“อดทนอีกนิดนะ” เสียงนุ่มของคนข้างหลังกระซิบปลอบ

ชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงกระตุกน้อยๆ ที่กระดูกสะบัก แล้วความร้อนจนสุดทนก็พุ่งทะลุผิวหนัง แผดเผากล้ามเนื้อบริเวณนั้นจนแทบจะหลอมละลายเข้าด้วยกัน เป็นเวลาอึดใจใหญ่ทีเดียวกว่าความแสบร้อนทรมานจะคลายลง

“เอาละ เรียบร้อย”

เมลิอานาร์ลงมือฉีกชายกระโปรงของตนเองออกเป็นริ้ว นำมาพันทับบนบาดแผลที่ไหล่ของชายหนุ่ม พร้อมกับอธิบายแกมสั่งว่า

“ข้าผ่าเอาหัวธนูที่คาอยู่ออกให้และใช้คาถาช่วยสมานแผลให้แล้ว อีกไม่ช้าเจ้าก็จะรู้สึกดีขึ้นเอง เจ้าเสียเลือดไปมากเอล นอนพักซะ หลังจากนี้เรายังต้องเดินกันอีกไกล”

เอลพยักหน้ารับ หลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อนโดยไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายอย่างเคย เขาได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังขึ้นแผ่วเบา ก่อนที่เสียงฝีเท้าหนักๆ จะย่ำห่างออกไป


เมื่อชายหนุ่มลืมตาขึ้นอีกครั้งปรากฏว่าบาดแผลตามเนื้อตัวได้รับการพอกสมุนไพร พันผ้าเอาไว้อย่างเรียบร้อย เขากวาดสายตามองไปรอบกายอย่างระแวดระวัง เห็นเงาร่างแบบบางของสหายหนุ่มชาวแลมพ์ตันเคลื่อนไหวง่วนอยู่ข้างกองไฟขนาดเล็กห่างออกไปไม่ไกลนัก กลิ่นควันไฟปนกับกลิ่นอะไรบางอย่างหอมๆ อวลอยู่ในอากาศ พอเขาขยับตัว เงาร่างนั้นก็หันขวับมาทันทีราวกับรออยู่แล้ว

“เอ้ากินซะ นี่ส่วนของเจ้า”

เมลเดินเข้ามายื่นกิ่งไม้ที่มีปลาตัวเล็กย่างจนเกรียมเกินพอดีส่งให้เขา

นี่เองที่มาของกลิ่นหอม...

เอลรับอาหารมื้อแรกของวันมาจัดการอย่างไม่เกี่ยงงอน ในขณะที่อีกฝ่ายหันไปดับกองไฟ เกลี่ยดินจนเรียบ หาเศษใบไม้กิ่งไม้มาโรยทับเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอย เมื่อปลาหมดตัว ‘หลักฐาน’ ก็ถูกทำลายเสร็จเรียบร้อยพร้อมสำหรับการออกเดินทาง
เมลิอานาร์ขยับเข้ามาช่วยพยุงชายหนุ่มให้ลุกขึ้นยืน พอเห็นสีหน้าขมวดมุ่นของเขา ก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

“เป็นยังไงบ้าง ยังปวดแผลอยู่อีกหรือ”

“อื้ม...ก็..นิดหน่อย...”

“เดินไหวหรือเปล่า ต้องให้ข้าช่วยมั้ย”

เอลเกือบจะหลุดปากปฏิเสธออกไปอยู่แล้ว หากความคิดชั่วรายที่แว่บเข้ามาในสมองทำให้ชายหนุ่มเปลี่ยนใจ

“เอาสิ ก็ดีเหมือนกัน”

เขาตวัดท่อนแขนแข็งแรงพาดไปตามช่วงไหล่บอบบางของอีกฝ่ายในลักษณะของการโอบกอดมากกว่าจะอาศัยเป็นหลักพยุงกาย กว่าหนุ่มหล่อชาวแลมพ์ตันจะรู้ตัวว่าพลาดท่า ก็สายเกินกว่าจะคืนคำได้เสียแล้ว

หลังจากที่ทั้งสองออกเดินไปได้สักครู่ นกสีขาวตัวใหญ่ที่เกาะนิ่งจนแทบจะกลืนไปกับกิ่งไม้ข้างทางก็โผบินขึ้นบนฟ้า เฉียดศีรษะพวกเขาไปนิดเดียวก่อนจะหายลับไปกับความมืด เสียงร้องแหลมของมันสะท้อนก้องไปทั้งป่า

เมลิอานาร์หยุดชะงัก เหลียวมองรอบกายด้วยสัญชาตญาณระวังภัย หมู่ไม้ในป่ายังคงยืนต้นตะหง่านแลเห็นเป็นเงาตะคุ่มอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ซีดจาง สายลมเย็นพัดมาผะแผ่ว สลับกับเสียงกรีดปีกระงมของแมลงกลางคืน แม้ทุกอย่างจะดูเหมือนปกติ หากหญิงสาวกลับสัมผัสได้ถึงความ ‘ไม่ปกติ’ ที่ซ่อนเร้นอยู่ในบรรยากาศโดยรอบอย่างประหลาด

“มีอะไรหรือ” เอลถาม

“ไม่รู้สิ แต่รีบเดินเข้าเถอะ ข้ารู้สึกสังหรณ์ไม่ดี”

“เป็นเพราะเจ้านกตัวนั้นหรือไง”

“ก็อาจจะใช่ เจ้านกสีขาวนั้นไม่ใช่สัตว์ที่จะออกหากินตอนกลางคืน”

เอลพยักหน้ารับรู้ เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นตามคำแนะนำของสหายโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
เกือบสองชั่วยามทั้งคู่จึงล่วงพ้นแนวป่าออกมาสู่ลานโล่งอีกด้าน เสียงธารน้ำที่กลายสภาพเป็นน้ำตกไหลลงสู่แก่งหินเบื้องล่าง บอกให้รู้ว่าบริเวณนี้น่าจะอยู่สูงกว่าพื้นดินไม่มากก็น้อย เมลิอานาร์ปลดแขนคนเจ็บออกจากบ่า เดินไปสำรวจเส้นทางด้วยสีหน้าขมวดมุ่น

สุดปลายลานคือชะง่อนผา เบื้องล่างเป็นแอ่งน้ำกว้าง ด้านหนึ่งชิดเชิงผาอีกด้านเชื่อมต่อกับกระแสอันเชี่ยวกรากของแม่น้ำใหญ่ เส้นธารคดเคี้ยวทอประกายเลื่อมระยับยามต้องแสงจันทร์ ทอดยาวไปสู่เงาครึ้มทะมึนของภูเขาอัลล์เบื้องหน้าราวกับสายริบบิ้นสีดำ หญิงสาวลองหยิบก้อนหินแถวนั้นขึ้นมา เสกให้มันลุกติดไฟด้วยคาถาบทสั้นๆ ก่อนจะทิ้งลงไปเพื่อคะเนความสูง ภาพที่เห็นเพียงแวบเดียวก่อนที่ชิ้นศิลาจะตกกระทบผิวน้ำคือแผ่นผาชันตัดตรงเกือบตั้งฉาก ไม่สูงมาก หากยากเกินกว่าจะพาคนเจ็บปีนลงไปไหว

“สงสัยเราต้องย้อนกลับทางเก่า” นางพูดยังไม่ทันขาดคำ อีกฝ่ายก็ตอบสวนกลับมา

“ข้าว่าคงไม่ทันแล้วละท่านเมล”

สิ้นเสียงห้าวๆ ธนูดอกหนึ่งก็พุ่งลงปักที่พื้น เฉียดเท้าคนทั้งคู่ไปนิดเดียว

หญิงสาวหันขวับไปมองด้วยความตระหนก ในขณะที่ฝ่ายชายขยับถอยหลังตามสัญชาตญาณ สายตาคมดุจ้องเป๋งไปยังแนวไม้เบื้องหน้า

บริเวณชายป่าที่เคยมืดมิด บัดนี้ปรากฏแสงคบสว่างเรืองขึ้นเป็นแนวยาว ชายฉกรรจ์ในเครื่องแบบทหารไม่ต่ำกว่าสิบนาย ทยอยก้าวออกมาจากเงามืดทีละคนพร้อมด้วยอาวุธในมือ ม้าสองตัวทะยานออกมาจากกลุ่ม บุรุษบนหลังม้าง้างธนูเต็มล้าเตรียมเล็งเป้าหมาย

เมลิอานาร์ชักมีดสั้น...อาวุธเดียวที่มี ขึ้นมาถือในท่าเตรียมพร้อม นางก้าวไปยืนบังคนเจ็บเอาไว้พลางกระซิบถาม

“เอล ถ้าต้องว่ายน้ำตอนนี้ เจ้าไหวหรือเปล่า”

“ก็...พอได้”

“งั้นก็ดีแล้ว”

พอขาดคำลูกธนูของอีกฝ่ายก็พุ่งตรงมาอีก หญิงสาวใช้มีดสั้นปัดออกไปได้หวุดหวิด นางหยุดชั่งใจอยู่เพียงเสี้ยววินาทีก็ร่ายคาถาด้วยสำเนียงประหลาดพร้อมกับตวัดคมมีดกรีดท่อนแขนตนเองเป็นแนวยาว

“ทำอะไรน่ะท่านเมล”

เสียงเอลร้องถามอย่างตระหนก หากหญิงสาวไม่มีเวลาจะตอบ นางปล่อยให้โลหิตจากท่อนแขนไหลลงสู่พื้นดินขณะวาดมือเร็วๆ จนเกิดเป็นรูปสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ซ้อนกันสามวง ตรงกลางคืออักษรแทนพระนามของเทพผู้บัญชาไฟ เมื่อนางสะบัดข้อมือเป็นครั้งสุดท้าย เปลวเพลิงอันร้อนแรงก็ลุกท่วมผืนดินตรงหน้า กลายเป็นกำแพงสูงกั้นแบ่งเนินผาออกเป็นสองส่วน ทหารฝ่ายตรงข้ามที่พยายามจะรุกคืบเข้ามาถอยร่นกลับไปไม่เป็นขบวน ม้าทั้งสองตัวเริ่มออกอาการพยศเพราะตื่นไฟ

เมลิอานาร์ถือโอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังแตกตื่นชุลมุน รุนหลังชายหนุ่มข้างกายไปที่ริมผาพลางร้องสั่งด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“รีบโดดเร็วเข้า”

“หา!”

“ไม่ต้อง ‘หา’ ข้าบอกให้โดดก็โดดเถอะน่า”

“เอาจริงน่ะท่าน”

ขณะที่ชายหนุ่มยังลังเล นกสีขาวตัวเดิมก็โผล่ขึ้นเหนือเนินผา มันบินวนอยู่หลายรอบพลางส่งเสียงร้องแหลมเสียดแก้วหู และแล้วอาชาสีน้ำตาลตัวใหญ่ก็ทะยานพรวดข้ามกำแพงไฟเข้ามาหยุดอยู่ด้านหลังคนทั้งคู่ แรงสะเทือนบนพื้นดินที่เกิดขึ้นเรียกร้องให้เมลิอานาร์ต้องหันกลับไปมอง หญิงสาวชะงักงันไปอย่างคาดไม่ถึงเมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่มบนหลังม้า ยังไม่ทันที่นางจะได้อ้าปากร้องเตือนคนข้างกาย หอกซัดเงาวับจากมือของอีกฝ่ายก็พุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว

“เอลระวัง!”

หญิงสาวมีเวลาแค่โถมร่างเข้าผลักชายหนุ่มก่อนที่คมหอกของเจ้าชายดิเร็กซ์จะพุ่งทะลุร่างของเขาเท่านั้น แรงปะทะที่เกิดขึ้นส่งผลให้คนตัวโตกว่าเสียหลักร่วงละลิ่วลงสู่สายน้ำมืดมิดเบื้องล่าง พาให้ร่างของนางเซถลาตามติดลงไปเกือบจะพร้อมกัน

เจ้าชายแห่งทาเนียร์ทรงชักอาชาตามไปทอดพระเนตรจนชิดริมผา เปลวเพลิงที่ยังโชนแสงอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ช่วยให้มองเห็นหยดเลือดสีคล้ำบนแผ่นหินได้ไม่ยาก พระองค์คว้าคันธนูที่ห้อยอยู่กับอานม้า ยกลูกศรขึ้นพาดสายก่อนจะยิงลงไปสู่ความมืดมิดเบื้องล่างเพื่อให้แน่พระทัยว่า ‘เหยื่อ’ ทั้งสอง จะไม่มีวันรอดชีวิตไปได้ เมื่อลูกศรเกลี้ยงกระบอกเจ้าชายจึงขยับถอยออกมา รอยแย้มสรวลละมุนปรากฏขึ้นบนเรียวโอษฐ์ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสำรวลกึกก้อง



เอลจ้องมองร่างบางที่ร่วงลิ่วลงมากระแทกผืนน้ำพร้อมกับหอกซัดของเจ้าชายดิเร็กซ์ด้วยอาการตาค้าง หากยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว ชายหนุ่มก็ต้องรีบด่ำดิ่งลงไปใต้กระแสธารเพื่อหลบหลีกลูกธนูที่พุ่งลงมาราวห่าฝน เขากัดฟันแหวกว่ายสะเปะสะปะอยู่ในสายน้ำเย็นเฉียบโดยไม่รู้ทิศทาง ไหล่ข้างซ้ายปวดหนึบ ทำให้การพยุงตัวในน้ำเป็นไปอย่างทุลักทุเลเต็มทน ชายหนุ่มพยายามสอดส่ายสายตามองหาสหายชาวแลมพ์ตัน ไม่รู้ว่าหมอนั่นยังปลอดภัยดีอยู่หรือว่าต้องธนูของเจ้าชายดิเร็กซ์จมลงก้นธารไปเสียแล้ว

ระหว่างที่นึกเป็นห่วงอยู่นั้น นิ้วมือขาวซีดของใครคนหนึ่งก็เอื้อมมาสัมผัสที่ต้นแขน เอลเกือบสะบัดตัวหนีตามสัญชาตญาณ หากพอหันไปเห็นว่าเจ้าของมือเป็นใคร ใจก็ชื้นขึ้นเป็นกอง แม้จะอดรู้สึกไม่ได้ว่าท่าว่ายน้ำของอีกฝ่ายดูแปลกพิกล มือข้างขวากุมสีข้างอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่มือซ้ายยึดไหล่เขาแน่นเหมือนต้องการหลักพยุงกาย ทว่าเจ้าตัวยังสามารถสะบัดขาแหวกว่ายหลบหลีกลูกธนูจากเบื้องบนได้คล่องแคล่วราวกับปลา จนกระทั่งพาเขาเล็ดลอดออกมาพ้นเขตหน้าผาได้สำเร็จ

เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยจากระยะธนูและสายตาของฝ่ายตรงข้ามแล้ว หนุ่มหล่อชาวแลมพ์ตันก็ปล่อยมือจากเขา ถีบตัวลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ อ้าปากงับเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดอึกใหญ่ จากนั้นจึงร่ายเวทมนต์ด้วยสำเนียงแปลกหูอีกครั้ง คราวนี้เอลสามารถรับรู้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลของบรรยากาศรอบกายได้ชัดเจน สายลมพัดปั่นป่วนรุนแรง กระแสน้ำสั่นกระฉอก หากเพียงครู่เดียวทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมลหันมาส่งยิ้มเหนื่อยๆ ให้เขา พลางชี้มือไปยังเงาทะมึนที่ทอดรออยู่เบื้องหน้า

“ป่าวิเวก... เราต้องรีบไปให้ถึงที่นั่นก่อนที่มนตร์ลวงตาของข้าจะเสื่อม เร็วเข้าเถอะเอล”

พูดแล้วเจ้าตัวก็ออกว่ายน้ำนำไปก่อนโดยยึดเอาแนวเทือกเขาด้านซ้ายมือเป็นหลัก สายธารคดเคี้ยวหักอ้อมเชิงเขาพุ่งตรงเข้าสู่ผืนป่ากว้าง สองฟากฝั่งครึ้มทะมึนไปด้วยเงาของไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ กิ่งก้านอวบงามแผ่ปกคลุมลำน้ำทั้งสายราวกับเป็นหลังคาตามธรรมชาติ ไอหมอกเย็นชื้นลอยเรี่ยผิวน้ำคล้ายกลุ่มควันหนาทึบทำให้ยากจะมองเห็นเส้นทาง

หลังจากต้องแช่อยู่ในน้ำจนตัวแทบเปื่อย เอลก็มาถึงบริเวณที่ว่างลับตาคน ผืนดินส่วนนั้นเว้าลึกเข้าไปเป็นแอ่ง ด้านหน้าถูกปกคลุมด้วยกอกกหนาทึบจนยากจะมองทะลุเข้าไปเห็นหาดหินเรียบโล่งด้านใน เมื่อเห็นว่าเมลที่เดินลุยน้ำขึ้นไปก่อนลงนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ริมตลิ่งอย่างเหนื่อยอ่อน คนตามหลังอย่างเขาจึงต้องรับหน้าที่รวบรวมกิ่งไม้แห้งและเตรียมที่พักแรมโดยปริยาย

กองไฟขนาดย่อมถูกจุดขึ้น ไม่นานนักกระแสอบอุ่นก็แผ่ซ่านออกมาขับไล่ความยะเยือกเย็นของอากาศต้นฤดูใบไม่ร่วงให้บรรเทาลง หากคนที่นั่งหลับตานิ่งอยู่แทบโคนไม้ใหญ่ยังมีอาการหนาวสะท้านจนฟันกระทบกันกึกๆ ยิ่งเวลาผ่านเลยไปอาการหนาวสั่นของเจ้าตัวก็ยิ่งทวีขึ้น จนคนที่หันมาเห็นอดทักไม่ได้

“หนาวมากหรือท่านเมล กระเถิบเข้ามานั่งใกล้ๆ กองไฟนี่สิ จะได้อุ่นขึ้น”

หนุ่มหล่อเจ้าของชื่อค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน บาดแผลที่สีข้างเจ็บระบมจนเจ้าตัวไม่อยากแม้แต่จะกระดิกปลายนิ้ว หากภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำเอาเมลิอานาร์แทบจะลืมความเจ็บปวดไปเลย

“เอล นั่นเจ้าจะทำอะไรน่ะ” เสียงถามแหลมปรี๊ดจนคนฟังแทบสะดุ้ง

เอลชะงักมือที่กำลังปลดเชือกผูกกางเกง เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถามอย่างไม่เข้าใจ ร่างกายท่อนบนของชายหนุ่มเปลือยเปล่า เสื้อเชิ้ตเปียกโชกถูกถอดไปแขวนผึ่งอยู่บนกิ่งไม้ที่ปักไว้ข้างกองไฟเรียบร้อย ส่วนรองเท้าบู้ตทั้งสองข้างกลิ้งตะแคงอยู่ริมตลิ่งถัดออกไปไม่ไกล

“ก็จะถอดกางเกงน่ะสิ เปียกโชกออกอย่างนี้” ชายหนุ่มตอบเสียงเฉยอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด แล้วตั้งท่าจะทำตามที่พูดต่อไป

“เฮ้ยยย...” เมลิอานาร์รีบยกมือขึ้นปิดตาก่อนจะต้องเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นมากไปกว่านั้น “หยุดนะ ห้ามถอดเด็ดขาด”

“ทำไมล่ะ” เอลขมวดคิ้วด้วยความงุนงง

“ไม่ต้องมาถาม ข้าบอกว่าห้ามถอดก็ห้ามถอด”

“พิลึกจริงท่านนี่ ข้าจะถอดกางเกงไปผิงไฟให้แห้งก็มาห้าม เอ้า ไม่ถอดก็ได้ ว่าแต่ท่านเถอะ หนาวจนปากเขียวออกอย่างนั้นยังจะทนใส่เสื้อผ้าเปียกๆ อยู่อีกหรือ เดี๋ยวก็ได้จับไข้กันพอดี”

“ช่างข้า เจ้าไม่ต้องมายุ่ง ข้าไม่หนาว”

“ไม่หนาวอะไรกัน นั่งตัวสั่นเป็นลูกนกอยู่นี่ รีบๆ ถอดเสื้อออกมาผึ่งให้แห้งดีกว่า มา ข้าช่วย”

ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวยังเดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายเหมือนจะทำตามคำพูดจริงๆ เล่นเอาคนจะได้รับความช่วยเหลือกระถดตัวถอยหนีแทบไม่ทัน มือที่ปิดหน้าอยู่ลดลงมากอดอกแน่นพร้อมกับปฏิเสธเสียงเขียว

“ไม่ต้อง อย่ามายุ่งกับข้า เจ้าอยู่ตรงนั้นแหละ ห้ามเดินเข้ามา...” เสียงท้ายประโยคขาดหายไปเฉยๆ ร่างแบบบางงอลงเหมือนได้รับความเจ็บปวดสุดแสน

เอลเผ่นพรวดเดียวเข้าไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย เอ่ยถามอย่างร้อนใจ

“ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ มีน่าเล่าถึงว่ายน้ำด้วยท่าแปลกๆ ไหนให้ข้าดูสิ”

ชายหนุ่มยื่นมือออกไปข้างหน้า หากถูกปัดออกทันควัน

“ไม่ต้อง แผลแค่นี้ข้าจัดการเองได้ เจ้าไม่ต้องยุ่ง”

“ไม่ยุ่งได้ยังไง ท่านบาดเจ็บก็เพราะพยายามจะช่วยข้า จริงสิ ท่านใช้เวทมนตร์ได้นี่นา ทำไมไม่รีบรักษาตัวเองเสียล่ะ”

เมลิอานาร์ส่ายหน้าพลางหลับตาลงอีกครั้งอย่างอ่อนแรง

“ไม่จำเป็น แค่แผลถากๆ เท่านั้น ใส่ยานิดหน่อยก็หาย” อันที่จริง... นางไม่เหลือเรี่ยวแรงสำหรับร่ายคาถาอีกต่อไปแล้วต่างหาก

เอลเพิ่งสังเกตเห็นว่าใบหน้างดงามภายใต้กรอบผมเปียกลีบติดหนังศีรษะของคนตรงหน้าซีดเซียวจนแทบจะกลายเป็นสีขาว ยิ่งเลื่อนสายตาต่ำลงไปที่บาดแผลเขาก็ยิ่งรู้สึกใจคอไม่ดี รอยแผลถากๆ ที่เจ้าตัวว่า แท้จริงแล้วค่อนข้างลึกจนน่าเป็นห่วง โลหิตสีแดงเข้มยังคงไหลรินไม่หยุด เขาเคยได้ยินมาว่าการที่คนเราต้องเสียเลือดมากๆ จะทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งปล่อยเอาไว้นานก็ยิ่งมีโอกาสหมดสติสูง หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือถึงขั้นเสียชีวิต

ไม่...เขาไม่มีวันยอม!

เมลจะตายไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ต้องพาหมอนี่กลับไปลินเด็นด้วยกันให้ได้

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะห้ามเลือด ทำแผลให้ท่านเอง” ชายหนุ่มตัดสินใจ

“ไม่ต้องงงงง...”

หนุ่มหล่อชาวแลมพ์ตันรีบลืมตาขึ้นพร้อมกับปฏิเสธเสียงหลง ยกมือยันแผ่นอกของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะไม่ต้องการเห็นร่างเปลือยครึ่งท่อนในระยะประชิด สมองที่เริ่มจะเหนื่อยล้าจากการใช้คาถายากๆ ติดต่อกันหลายบทเร่งคิดหาทางออก

“เอ่อ...เอาอย่างนี้ ระหว่างที่ข้าห้ามเลือดเจ้าก็ไปหาสมุนไพรมาดีกว่า เรื่องทำแผลเดี๋ยวข้าจัดการเอง”

“ก็ได้ แล้วสมุนไพรที่ท่านต้องการหน้าตามันเป็นยังไงล่ะ”

เมลิอานาร์อธิบายลักษณะของสมุนไพรให้ชายหนุ่มฟังคร่าวๆ เอลพยักหน้ารับรู้ แล้วลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในในดงไม้ทันที ผืนดินในป่าแถบนี้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ เพียงเดินไปไม่ไกลชายหนุ่มก็พบกอหญ้าที่มีพืชล้มลุกขึ้นแซมอยู่ประปราย เขาใช้เวลาก้มๆ เงยๆ ค้นหาอยู่ไม่นานก็รวบรวมสมุนไพรที่มีใบกลมหยักเป็นแฉก กลิ่นฉุนจัด มาได้กำใหญ่ ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเดินย้อนกลับมายังลานดินริมลำน้ำด้วยความเป็นห่วงคนได้รับบาดเจ็บ

เมื่อมาถึงปรากฏว่าเมลหลับไปเสียแล้ว เอลค่อยๆ ย่องเข้าไปดูแหวกดูบาดแผลของสหายหนุ่ม พบว่าฝ่ายนั้นห้ามเลือดได้สำเร็จก็รู้สึกเบาใจขึ้นมาก เขายังไม่อยากปลุกอีกฝ่ายจึงเดินเลี่ยงไปจัดการกับสมุนไพรที่ได้มาอยู่เงียบๆ ข้างลำธาร พอเสร็จเรียบร้อยก็ขยับเข้าไปนั่งลงใกล้คนเจ็บพลางกระซิบเรียกชื่อ หากดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกตัว เอลใจหายวาบ รีบใช้นิ้วมือรอที่ใต้จมูกของฝ่ายนั้น ลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดแผ่วเบาบนปลายนิ้วทำให้ชายหนุ่มใจชื้นขึ้น หากพอเอื้อมมือไปสัมผัสที่ต้นแขนเล็กบางเขาก็แทบสะดุ้ง

เมลตัวร้อนราวกับไฟ!

“เจ้าคนดื้อเอ๋ย... ข้าบอกแล้วว่าเสื้อผ้าเปียกๆ จะทำให้เจ้าเป็นไข้ แล้วทีนี้เป็นไงล่ะ เดือดร้อนข้าอีก”

เอลบ่นอย่างหงุดหงิด แต่ยังมีแก่ใจช้อนร่างสั่นสะท้านของหนุ่มหล่อชาวแลมพ์ตันมาวางให้นอนราบลงข้างกองไฟ เขายืนหันรีหันขวางเหมือนทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจคว้าเสื้อเชิ้ตที่เกือบจะแห้งสนิทดีแล้วของตนมาฉีกส่วนแขนออก นำไปชุบน้ำที่ลำธารแล้วเอามาวางแปะไว้บนหน้าผากคนเป็นไข้ จากนั้นจึงลงมือปลดกระดุมชุดสาวใช้เปียกโชกของสหายหนุ่มออกทีละเม็ด

ทันทีที่ตัวเสื้อท่อนบนเลื่อนหลุดจากไหล่บอบบาง หัวใจของเอลก็เหมือนจะหยุดเต้นตามไปด้วย ภาพที่ปรากฏชัดแก่สายตาทำให้ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าร้อนซู่ รู้สึกขัดเขินกระอักกระอ่วนจนทำอะไรไม่ถูก ปริศนาเกี่ยวกับเพศของสหายชาวแลมพ์ตัน ได้รับคำตอบชัดเจนแบบไม่มีข้อกังขาใดๆ อีกแล้ว

เอลพยายามเรียกสติและความเป็นตัวของตัวเองกลับคืนมา เขาลงมือเช็ดทำความสะอาดบาดแผลให้อีกฝ่ายอย่างเงอะงะ โปะยาสมุนไพรที่บดเตรียมไว้ตามลงไป พันทับด้วยเศษผ้าที่ได้มาจากแขนเสื้อเชิ้ตอีกข้าง ก่อนจะรีบทบชายเสื้อของคนเจ็บกลับคืนเข้าหากัน โดยไม่ลืมที่จะยัดกล่องไม้แบนบางที่ถูกซ่อนไว้ในอกเสื้อใส่ลงไปที่เดิมด้วย หลังจากกลัดกระดุมครบเรียบร้อยเขาก็ถอยหลังกรูดไปนั่งพิงต้นไม้ มองดูเจ้าของร่างบางที่ยังคงนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่ห่างๆ ด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปนเปกันยุ่งเหยิงจนแยกไม่ออก





angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.พ. 2556, 09:43:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.พ. 2556, 09:43:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 2175





<< ตอนที่ 19   ตอนที่ 21 >>
ชลวารี 20 ก.พ. 2556, 16:13:19 น.
นางเอกของเราจะรู้มั้ยล่ะนี่ ว่าพระเอกกเรารู้แล้ว หรือพระเอกจะบอกไงเอ่ย ว่ารู้ได้ไงว่าเมลเป็นหญิง รออ่านตอนต่อไปนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account