ลุ้นรักให้ตรงใจ
เธอ... เจ้าของร้านกาแฟ
เขา... นายตำรวจหนุ่ม
เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ
ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น
แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ
แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
เขา... นายตำรวจหนุ่ม
เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันโดยบังเอิญ
ปฏิบัติการลุ้นรักของหญิงสาวให้ตรงใจกับชายหนุ่มจึงเริ่มขึ้น
แต่เมื่อทั้งคู่ใจเริ่มตรงใจ ดันมีเหตุอันตรายที่ทั้งคู่ต้องเผชิญ
แล้วแบบนี้รักครั้งนี้จะเป็นยังไงนะ
Tags: ตำรวจ ร้านกาแฟ
ตอน: บทที่ 11 (ตรงใจ... 2)
บทที่ 11
(ตรงใจ 2)
“พี่ข้าว พี่แยมเร็วค่ะ”
“ดลินาและรจนารีบเดินตามไปสมทบผกาวดีที่ยืนควักมือเรียกอยู่มุมหนึ่งของสวนแม่ฟ้าหลวง แปลงไม้ดอกหลากหลายพันธ์บานอวดสีสวย ศิวกรที่เดินตามมาไม่ห่างมองสามสาวผู้มีพลังเหลือเฝือ ตั้งแต่ออกจากบ้านพักมาทั้งสามยังคุยจ้อกันไม่หยุด เด็กสาวที่อายุน้อยสุดในกลุ่มผู้ร่าเริงตลอดเวลาไม่ว่าจะเห็นอะไรสองข้างทางก็เอาเป็นประเด็นพูดคุยได้อย่างสนุกสนาน
ตั้งแต่เดินเข้ามายังบริเวณพระตำหนักดอยตุงทุกมุมที่มีพื้นที่ว่างพอให้ยืนได้สามคน สามสาวไม่รอช้าเดินเข้าไปถ่ายรูปทันที ส่วนตากล้องอย่างทนงศักดิ์ก็ทำหน้าที่ได้ไม่ขนาดตกบกพร่อง แถมยังช่วยชี้มุมให้สามสาวได้ตั้งท่าถ่ายรูปกัน... เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกันเสียจริง
ผกาวดีอาศัยจังหวะที่เดินเข้ามาใกล้ทนงศักดิ์ก็แอบกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันสองคน
“พี่ศักดิ์คะ ถ่ายรูปพี่ศิลากับพี่ข้าวไว้เยอะๆ นะคะ จะได้มีรูปไว้ทำพรีเวดดิ้ง”
“โห... มองไกลขนาดนั้นเลยหรือเรา”
“ต้องวางแผนไว้ล่วงหน้าสิคะ เมื่อถึงเวลาจะได้ไม่ยุ่งยากมาก”
“ซนจริงๆ”
“ถือว่าเป็นคำชมนะคะ”
แล้วก็รีบเดินไปควงแขนระหว่างศิวกรและดลินาที่ยืนดูดอกไม้หลากสีจัดเป็นทรงสวย ทนงศักดิ์ส่ายหัวอมยิ้มอย่างตลกในความซุกซนของแม่จอมจุ้นคนนี้
“เป็นเด็กน่ารักนะครับ... นิสัยดีแบบนี้ไม่มีแฟนหรือครับ”
ทนงศักดิ์เอ่ยถามคุณหมอสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ รจนาใช้หางตามองเขาแต่ก็ยอมตอบคำถามนั้น น้ำเสียงติดประชดประชันเล็กน้อย
“ไม่มี... ไม่ใช่ว่าไม่มีคนมาจีบยายต้อมหรอกนะ แต่เจ้าตัวดูเหมือนจะสนใจเรื่องพวกนี้เองมากกว่า”
ทนงศักดิ์มองคุณหมอคนสวย วันนี้ก็ยังคงแต่งตัวได้น่ารักเหมือนเดิมเสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีน้ำตาลอ่อนตัวใหญ่ ใส่ทับเสื้อสีขาวแขนยาว สวมกางเกงยีนต์รองเท้าผ้าใบดูทะมัดทะแมง ใบหน้าเรียวใสไร้การตกแต่งมีเลือดฝาด ผมที่ดัดเป็นลอนสวยรวบเป็นหางม้าโชว์ลำคอระหง ทำให้รจนาดูเด็กลงพอสมควร
“อากาศเย็นผมว่าคุณใส่เสื้อน้อยไปนะครับ”
“ไม่เย็นขนาดทนไม่ได้เสียหน่อย”
“ดื้อ”
คนถูกดุเตรียมหันไปต่อว่าเขาแต่ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นใจสั่นแทนเมื่อชายหนุ่มสละผ้าพันคอสีน้ำตาลของตนมาพันรอบคอระหงให้
“เอาล่ะเรียบร้อย ไปดีกว่าครับ”
ทนงศักดิ์บอกกับคุณหมอสาวที่ยืนอึ้งเป็นหินอยู่ตรงนั้น แล้วเดินยิ้มหน้าบานไปรวมกลุ่มกับอีกสามที่ยืนรออยู่ไม่ไกลนัก
“เหนื่อยหรือยังครับ นั่งพักก่อนไหม หรือจะไปชิมกาแฟดี”
ดลินาละสายตาจากซุ้มไม้เลื้อย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มพราวระยับเพราะถูกใจกับประสบการณ์แปลกใหม่นี้
“อยากเดินดูให้ทั่วกว่านี้อีกหน่อยค่ะ ดอกไม้สวยๆ ทั้งนั้นเลย”
“ถ้าอย่างนั้นเดินไปที่ร่มกว่านี้ดีกว่าครับแดดเริ่มแรงแล้วเดียวคุณจะไม่สบาย”
ดลินาพยักหน้ารับก่อนจะควงแขนศิวกรเดินไปชมความสวยงามของดอกไม้สีสันสวยนานาชนิดอย่างตื่นตาตื่นใจ หญิงสาวชี้ชวนชายหนุ่มดูนู้นดูนี้ดูนั้น ส่วนศิวกรก็มองตามที่หญิงสาวชี้และฟังคนตัวเล็กพูดจ้ออย่างมีความสุข
“อยากชิมกาแฟแล้วค่ะ อยากรู้ว่าต้นตำหรับของฝีมือของข้าวใครจะรสดีกว่ากัน”
“ไปสิครับ ผมว่าคุณน่าจะชอบนะครับ”
“ตอนที่อยู่เชียงรายนี้ประจำอยู่ที่ไหนหรือคะ”
“ผมประจำอยู่ที่กองร้อยตรงอำเภอแม่จันครับ”
“หรือคะ... ไม่กลัวบ้างหรือคะเวลาออกลาดตระเวนตอนกลางคืน”
“ไม่กลัวหรอกครับ มันเป็นหน้าที่ผมต้องทำให้ดีที่สุด”
“เคยเจอสัตว์ป่าบ้างหรือเปล่าคะแบบที่ตัวใหญ่โตมโหฬาร”
ศิวกรมองหญิงสาวที่กำลังสนุกกับคำถามของตัว เหมือนเธอกำลังคิดเรื่องอะไรบางอย่างและดูเหมือนจะถูกใจตัวเองอย่างมาก
“คุณคงไม่ได้คิดว่าผมจะเดินหลงป่าเข้าไปถึงมรกตนครหรอกนะครับ”
เสียงหัวเราะร่วนอย่างถูกใจนั้นแทนคำตอบของเจ้าหล่อนได้เป็นอย่างดี
“ช่างคิดจังนะครับ จะให้ผมไปเดินตามสาวงามที่เมืองไหนครับ นิทรานครหรือมรกตนครดี”
“หัวไว... ใช้ได้”
เอ่ยชมพร้อมแจกรอยยิ้มหวานให้เป็นรางวัล ส่วนคนได้รับรางวัลก็ยิ้มหน้าบานหัวใจพอโตด้วยความปลื้มใจ
“นอกจากยิ้มหวานให้ ไม่มีรางวัลอื่นเพิ่มแล้วหรือครับ”
“แค่ยิ้มก็พอแล้วค่ะ... ได้คืบจะเอาศอก”
“ผมน่ะอุตส่าห์เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย พี่สาวคนสวยนั้นแหละใจร้าย”
“แน๊!”
เอาอีกแล้ว พอเริ่มไม่ได้ดั่งใจเขามักจะมีท่าทีเหมือนเด็กเข้าไปทุกวัน ผู้ชายตัวโตหน้าตาคมสันแต่มีกิริยาเหมือนเด็กน้อยเช่นนี้น่าจับมาตีเสียให้เข็ด
“ตัวก็โตแต่ขี้งอนใช่เล่น”
ดลินาพึมพำคนเดียว แต่มีหรือว่าคนหูดีข้างๆ จะไม่ได้ยิน
“ใช่สิครับผมมันขี้น้อยใจ”
“หัวล้านด้วยหรือเปล่าคะ”
ไม่ตอบแต่ก้มศีรษะลงมาให้ดลินาดู เส้นผมดกดำหยักศกเล็กน้อยเป็นเงาจนดลินาอิจฉา
“เป็นไงครับล้านหรือเปล่า”
“ยังไม่ล้านหนิคะ แต่ทำไมใจน้อยนักล่ะ”
“ที่ขี้งอนก็อยากให้มีคนง้อ พอมีคนง้อแล้วสุขใจครับ”
ดลินามองชายที่เดินเคียงข้างเธอไม่รู้ว่าจะดีใจหรือว่าจะร้องไห้ดี ตั้งแต่รู้จักกับศิวกรมาดลินาได้รับรู้ว่าบางครั้งผู้ชายเองก็ต้องการให้ผู้หญิงเข้าใจความรู้สึกของเขา พวกเขามีด้านที่อ่อนแอต้องการคำปลอบโยน ยามเหนื่อยล้าก็ต้องการกำลังใจ ความรักที่เขาต้องการไม่ใช่ความรักที่เป็นเพียงแค่ลมปาก แต่เป็นความรักที่ออกมาจากหัวใจ แต่ผู้ชายที่เจ้าชู้ประตูดินนี้ก็เหลือรับจริงๆ
“ไม่ง้อจริงๆหรือครับ”
พอเจอสายตาออดอ้อนดลินาแทบละลาย ทั้งที่อากาศก็หนาวเย็นแต่ทำไมเธอถึงได้รู้สึกร้อนไปทั้งหน้าแบบนี้นะ… เห็นแล้วแทบอดใจไม่ไหวมันน่านัก
“อยากให้ง้ออย่างไรล่ะคะ”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นก่อนจะก้มลงกระซิบที่ข้างหูของหญิงสาว
“แล้วผมจะรอนะครับ”
ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินไปรอหญิงสาวที่ร้านกาแฟ ส่วนคนที่ออกปากจะง้อยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน เพราะคำขอเมื่อสักครู่นั้นมัน.... อยากจะกรี๊ดเจ้าค่า!!! อ๋ายพูดมาได้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“แล้วก็นี้ซื้อมาด้วย แต๋นแต้น!! เมล็ดพันธุ์ดอกกุหลาบที่แสนงามของดอยตุง”
ผกาวดีผู้สดใสก็เป็นคนเดียวที่ตั้งแต่ขึ้นรถมาคุยจ้อพูดไม่หยุดอีกเช่นเดิม
“ต้อม... พี่ถามจริงๆ เถอะนะไปโด๊ปยาที่ไหนมา ทำไมคึกคักจริง”
“พี่แยมคะเขาเรียกสดใสร่าเริงค่ะ... ใช่หรือเปล่าคะพี่ชายทั้งสอง”
“คร๊าบ”
สองหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหน้าตอบกลับมาพร้อมกันทำเอาผกาวดีเชิดหน้าขึ้นอย่างลำพองใจ
“เห็นมั๊ยล่ะคะ... พี่ข้าวเป็นไรคะเห็นนั่งเงียบตั้งแต่ขึ้นรถแล้ว ไม่สบายหรือเปล่าคะหน้าแดงเชียว”
ผกาวดีเอ่ยถามหญิงสาวที่นั่งเงียบอย่างสงสัย แม้แต่รจนาที่นั่งอยู่เบาะหลังต้องชะโงกหน้ามามองเพื่อนรักหวังจะดูอาการว่าเพื่อนไม่สบายหรือเปล่า แต่เมื่อเห็นใบหน้ารูปหัวใจนั้นเป็นสีแดงระเรือ แววตาดูหลอกแหลกแบบนี้มันน่าสงสัย
ก่อนจะเงยหน้ามองสบตาของศิวกรที่มองผ่านกระจกมองหลังรจนาถึงกับร้องอ้อ... หัวเราะชอบอกชอบใจใหญ่ เพราะน่าจะรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นตัวการทำให้เพื่อนของเธอมีอาการเขินอายเช่นนี้ ไม่รู้ว่าตอนที่หายไปกันสองคนศิวกรไปทำอะไรกับเพื่อนของเธอ
“อะไร... แกหัวเราะอะไร”
คนหน้าแดงถามอย่างร้อนตัว เดาว่าอาการที่เธอเป็นอยู่นี้คงถูกคุณหมอจับได้เป็นแน่
“เปล่าไม่มีอะไรสักหน่อย... แกอย่าร้อนตัว”
“ใช่หรือเปล่าคะคุณศิลา”
ศิวกรไม่ตอบแต่ดูจากแววตาพราวระยับแล้ว... รับรองแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
“อะไรอ่ะ... มีอะไรกันทำไมต้อมตกข่าวอยู่คนเดียวล่ะ”
เสียงร้องโอดโอยของผกาวดีเรียกเสียงหัวเราะจากคนทั้งรถ ยกเว้นดลินาที่ยังเขินอยู่เลยไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับคนทั้งคัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อากาศยามเย็นบนเทือกเขานางนอนนับว่าอากาศเย็ดจัด ดลินาที่เพิ่งเคยได้มีโอกาสสัมผัสอากาศหนาวเย็นครั้งแรกก็มีอากาศจับไข้ เดือดร้อนถึงคุณหมอสาวคนเก่งได้ออกโรง รจนาเพียงตรวจดูอากาศป่วยของคนไข้ ยิบอะไรหยุกหยิกที่ล่วมยาที่เตรียมมาพร้อมสับ จัดยาให้เท่าที่จำเป็นโดยมีศิวกรยืนดูอยู่ไม่ห่าง
“นี่หมอแยม... ถ้ากินยาจะหายทันพรุ่งนี้หรือเปล่า”
“กินยาแล้วนอนพักรับรองหายทันแน่”
“จริงนะ”
คนที่นอนอยู่บนเตียงเอ่ยถามอย่างมีความหวัง ทั้งที่นี่เป็นครั้งแรกได้มีโอกาสมาเที่ยวแบบนี้ แต่ต้องมาเป็นไข้เพราะโดนอากาศเย็นครั้งแรกคิดแล้วดลินาก็เจ็บใจตัวเองนัก ศิวกรเห็นหญิงสาวนอนน้ำตาคลอแล้วใจแป๊ว พอจะเข้าใจว่าตอนนี้หญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวทานข้าวต้มให้เรียบร้อย แล้วก็ทานยามตามที่ฉันจัดไว้ให้ แล้วก็นอนพักจะได้หันทันเที่ยวพรุ่งนี้เข้าใจหรือเปล่า”
ดลินาพยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่อฟัง รจนาต้องเอาเรื่องเที่ยวมาหลอกร่อเพื่อนรัก ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมกินยา เพราะการบาดเจ็บครั้งนั้นดลินาคงเกลียดยาไปอีกนาน เมื่อเดินออกมาจากห้องพักก็เห็นผกาวดีกับทนงศักดิ์นั่งรออยู่ด้านนอก
“เป็นอย่างไรบ้างคะ พี่ข้าวเขาไม่สบายมากหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรน่าห่วงมากหรอกจ้ะ แค่มีอาการเหมือนจะจับไข้เท่านั้นทานยาแล้วนอนพักอาการก็จะดีขึ้นเอง”
“ดีจังเลย... ถ้าไม่สบายหนักอดเที่ยว พี่ข้าวคงเศร้าแย่”
“จ้ารู้แล้ว... นี่ต้อมคืนนี้เราไปนอนกันอีกห้องกันดีกว่า”
“หมายความว่าไงคะ”
“ก็แบบว่าคนป่วยก็ต้องมีคนเฝ้าไข้ไงจ๊ะ”
“อ๋อ! เข้าใจแล้วค่ะ จัดไปอย่าให้เสีย”
ผกาวดีออกอากาศดีใจอย่างชัดเจน และดูกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
“ทำแบบนี้จะดีหรือครับ”
“คุณนี่! ไม่เป็นไรหรอก ยังไงเขาก็เคยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันมาก่อน”
“แต่ถึงอย่างนั้นก็แยกห้องนอน แต่นี้คุณเล่นเอาเพื่อนใส่พานถวายศิลามันเลยนะครับ”
ทนงศักดิ์ไม่เห็นด้วยกับความคิดของสองสาวสักเท่าไหร่ รจนาเท้าเอวเริ่มออกอาการ
“คุณไม่เชื่อใจเพื่อนคุณหรืออย่างไรกัน เขาเป็นลูกผู้ชายมากพอ แล้วอีกอย่างเพื่อนฉันไม่สบายคุณศิลาคงไม่มีแก่จิตแก่ใจทำอะไรหรอก”
“ไอเชื่อใจก็เชื่อใจครับ แต่ทำแบบนี้มันออกจะเกินไปหน่อย”
“พี่ศักดิ์คะ ต้อมเชื่อว่าถึงพี่แยมไม่ทำแบบนี้พี่ศิลาเขาคงเสนอตัวเองแน่นอนค่ะ”
แล้วการโต้เถียงก็ถูกขัดลงเมื่อชายหนุ่มอีกคนเปิดประตูออกมานอกห้อง เห็นสามคนเหมือนกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่ได้แต่มองอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร
“คุณแยมครับ คือว่าผมอยากเฝ้าไข้ข้าวได้หรือเปล่าครับ”
เมื่อได้ยินคำขอร้องจากศิวกรสองสาวก็หันไปมองทนงศักดิ์ด้วยสายตาของผู้ชนะ ส่วนผู้แพ้จะทำอะไรได้นอกจากคอตกไปตามระเบียบ แถมยังแพ้แบบยังไม่ได้ลงมือสู้เลยด้วยซ้ำไป... ไอเพื่อนทรยศเห็นหญิงแล้วลืมเพื่อน
“หากดื้อไม่ยอมทานยาคงต้องให้รบกวนให้คุณศิลาเป็นคนจัดการแล้วค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
พูดจบก็หายเข้าไปในห้องอีกครั้ง
“เป็นไงล่ะฉันบอกคุณแล้ว”
“พี่ศักดิ์แพ้ราบคราบเลย”
“ครับๆ พี่แพ้แล้วครับไม่ต้องตอกย้ำก็ได้ ไหนๆ มื้อเย็นก็ทำข้าวต้มทานกันง่ายๆ ก็แล้วกันนะครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำมากมาย”
“ได้ค่ะไม่ว่ากัน พี่แยมโชว์ฝีมืออีกรอบสิคะ”
“ไม่กลัวท้องเสียหรือครับ”
“ถ้ากลัวท้องเสียก็ไม่ต้องกิน”
รจนาเริ่มโมโห ผู้ชายคนนี้มักกวนอารมณ์เธอให้ขุ่นได้ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วเธอไปทำอะไรผิดมาชาตินี้จึงต้องมีคนชื่อทนงศักดิ์มาเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธอกัน
“โอ๊ะ... อย่างเพิ่งโมโหโกรธาสิครับ มันไม่งามนะครับ”
“ไม่งามแล้วทำไม”
“ก็ไม่ทำไมหรอกครับ ก็แต่อยากจะบอกว่ายิ่งโมโหยิ่งแก่เร็วนะครับ ตีนกามันจะมาหาเร็ว”
“คุณ!”
รจนาชี้หน้าทนงศักดิ์ร้องแค่นั้นก่อนจะเดินลงเท้าไปที่ห้องครัว เดินไปก็บริภาษทนงศักดิ์ไปตลอดทาง ส่วนผู้แพ้หัวเราะในลำคอกับชัยชนะเล็กๆน้อยๆ ที่เพิ่งได้รับมา พอหันกลับมามองก็เห็นแม่จอมยุ่งมองเขาตาพราวระยับ
“ไม่ต้องเลยนะ เรื่องของพี่ไม่ต้องออกโรงช่วยเหมือนศิลามัน พี่ขอลุยของพี่เองเข้าใจหรือเปล่าครับ”
“นิดเดียวก็ไม่ได้หรอคะ”
“ไม่ได้ครับ”
“ก็ได้ค่ะ... สาบานไม่เข้าไปยุ่งแน่นอน แต่เอาใจช่วยอยู่ห่างๆ ก็แล้วกันนะคะ”
“ขอบคุณครับ น่ารักจริงๆ น้องสาวคนนี้”
“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้วค่ะ แต่ว่าไม่ตามไปหรอคะ”
ผกาวดีบุ๊ยปากไปทางที่รจนาเพิ่งเดินไปเมื่อสักครู่ ทนงศักดิ์หัวเราะในความทะเล้นของแม้น้องสาวตัวดี
“ขอกำลังใจหน่อยสิครับ”
“พี่ศักดิ์สู้ๆ”
ทำท่าประกอบอย่างสวยงาม ทนงศักดิ์เห็นแล้วกำลังใจมีขึ้นอีกอักโขก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าผิวปากตามรจนาเข้าไปที่ห้องครัวทันที ส่วนผกาวดีที่ถูกทิ้งให้ยืนอยู่คนเดียวก็กระโดดยิ้มอย่างดีใจตามสไตล์ของเจ้าตัว แล้วรีบไปจัดแจงเตรียมห้องนอนอีกห้องที่อยู่ฝั่งด้านซ้ายมือทันที... มางานนี้ไม่เสียเที่ยว ไม่ใช่แค่หนึ่งแต่เป็นสอง ดีใจเอ้ยดีใจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“เป็นยังไงบ้างครับ ปวดหัวมากหรือเปล่า”
ดลินาส่ายหน้าเป็นคำตอบ เธอกัดริมฝีปากล่างแน่น กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมาอย่างสุดความสามารถ เธอเจ็บใจตัวเองเหลือเกินทั้งที่คนอื่นเขาก็เผชิญอากาศเย็นเหมือนกันแต่ทำไมมีแต่เธอที่ไม่สบาย
“ไม่เอาสิครับอย่าทำหน้าอย่างนั้น ผมเห็นแล้วไม่สบายใจนะครับ”
“ทำไมถึงมีแต่ข้าวคนเดียวที่ไม่สบาย”
“ก็คุณไม่เคยเจออากาศเย็นจัดแบบนี้มาก่อนเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ร่างกายจะปรับตัวไม่ทัน”
เขากุมมือที่ร้อนเพราะพิษไข้ของหญิงสาวหวังส่งผ่านความห่วงใยไปให้เธอ
“ข้าวขอโทษที่ทำให้ทุกคนหมดสนุก”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ คุณแยมเขาก็บอกแล้วว่าแค่ทานยาแล้วก็นอนพักพรุ่งนี้ก็กลับมาแข็งแรงพร้อมเที่ยวเหมือนเดิมแล้ว”
เขาใช้มืออีกข้างปัดผมที่ลงมาปรกใบหน้าหญิงสาวให้อย่างอ่อนโยนเผยให้เห็นรอยแผลเป็นที่อยู่ตรงไรผมด้านซ้าย หลังจากที่ป้อนข้าวต้มหญิงสาวดูจนมั่นใจว่าเธอได้ทานยาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาจึงออกมาจากห้องเพื่อให้คุณหมอเช็ดเนื้อเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดลินารู้สึกสบายตัวขึ้น ส่วนเขาก็ถือโอกาสทำธุรส่วนตัวให้เรียบร้อยแล้วรีบมานั่งเฝ้าไข้ของหญิงสาว
ส่วนคนป่วยพอได้ทานยาก็เริ่มมีอาการง่วงงุน แต่ก็พยายามฝืนตาไม่ให้ปิด ศิวกรนั่งมองคนบนเตียงอย่างแสนสงสาร นาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียงบอกเวลา 21 นาฬิกา
“ถ้าง่วงก็หลับตาพักผ่อนเถอะครับ”
“ไม่เอาอยากคุยกับคุณอีกสักพัก”
น้ำเสียงอ่อนล้าเต็มที แต่ก็ไม่วายยังดื้อไม่ยอมหลับ ศิวกรจึงค่อยๆ สอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนหนาประคองร่างบางที่ตัวร้อนเล็กน้อยให้อยู่ในท่านอนที่สบาย ส่วนเขาก็นอนหนุนแขนตะแคง ประคองมือบางขึ้นมาจุมพิตที่หลังมือแล้วลูบไล้แผ่วเบา
“หลับนะครับ พักผ่อนให้มากจะได้หายไวๆ”
ผ้าห่มผืนหนายังไม่อุ่นเท่าไออุ่นจากร่างหนาที่นอนอยู่ใกล้ ดลินาเขยิบกายเข้าไปใกล้อกกว้างศิวกรระบายยิ้มอย่างสุขใจเมื่อร่างบางขยับเข้ามานอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา มือใหญ่ตบหลังหญิงสาวเบาราวกับขับกล่อมเด็กน้อยให้หลับใหล จนเวลาผ่านไปไม่นานลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะคงที่บ่งบอกว่าคนในอ้อมกอดหลับสนิท
เขาประทับริมฝีปากลงบนตำแหน่งรอยแผลเป็นตรงไรผมด้านซ้าย แววตาแสดงออกถึงคำว่ารักออกมาอย่างล้นใจ เขาชอบความรู้สึกนี้เหลือเกิน มันจะดีแค่ไหนที่ตอนนอนมีร่างนุ่มนิ่มหลับอยู่ในอ้อมแขน แล้วตื่นขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มมอบให้ในยามเช้า
มาเชียงรายครั้งนี้เขาไม่ได้ตั้งใจแค่พาหญิงสาวมาเที่ยว แต่มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่เช่นกัน ตอนแรกเขามั่นใจว่าตัวเองมีความกล้าสามารถทำได้แน่นอน แต่พอเอาเข้าจริงเขากลับใจฝ่อความกล้าที่พกมาเต็มกระเป๋าอันตรธานไปกับสายลม
“ตัวเล็กแค่นี้ แต่ทำให้ผมแพ้อย่างหมดท่าเลยนะครับ”
เสียงพูดแผ่วเบาไม่ต่างจากเสียงกระซิบ เขาจ้องมองใบหน้ายามหลับสนิทของหญิงสาวด้วยแววตามุ่งมั่น พอไม่ต้องสบตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นความกล้าดูเหมือนจะกลับมาอีกครั้ง ถึงแม้มันจะไม่เท่ห์ก็ตามแต่คงมีแค่ตอนนี้ที่เขากล้าพูดในสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง
“ข้าว... ผมรักคุณ แต่งงานกับผมนะ”
(ตรงใจ 2)
“พี่ข้าว พี่แยมเร็วค่ะ”
“ดลินาและรจนารีบเดินตามไปสมทบผกาวดีที่ยืนควักมือเรียกอยู่มุมหนึ่งของสวนแม่ฟ้าหลวง แปลงไม้ดอกหลากหลายพันธ์บานอวดสีสวย ศิวกรที่เดินตามมาไม่ห่างมองสามสาวผู้มีพลังเหลือเฝือ ตั้งแต่ออกจากบ้านพักมาทั้งสามยังคุยจ้อกันไม่หยุด เด็กสาวที่อายุน้อยสุดในกลุ่มผู้ร่าเริงตลอดเวลาไม่ว่าจะเห็นอะไรสองข้างทางก็เอาเป็นประเด็นพูดคุยได้อย่างสนุกสนาน
ตั้งแต่เดินเข้ามายังบริเวณพระตำหนักดอยตุงทุกมุมที่มีพื้นที่ว่างพอให้ยืนได้สามคน สามสาวไม่รอช้าเดินเข้าไปถ่ายรูปทันที ส่วนตากล้องอย่างทนงศักดิ์ก็ทำหน้าที่ได้ไม่ขนาดตกบกพร่อง แถมยังช่วยชี้มุมให้สามสาวได้ตั้งท่าถ่ายรูปกัน... เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกันเสียจริง
ผกาวดีอาศัยจังหวะที่เดินเข้ามาใกล้ทนงศักดิ์ก็แอบกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันสองคน
“พี่ศักดิ์คะ ถ่ายรูปพี่ศิลากับพี่ข้าวไว้เยอะๆ นะคะ จะได้มีรูปไว้ทำพรีเวดดิ้ง”
“โห... มองไกลขนาดนั้นเลยหรือเรา”
“ต้องวางแผนไว้ล่วงหน้าสิคะ เมื่อถึงเวลาจะได้ไม่ยุ่งยากมาก”
“ซนจริงๆ”
“ถือว่าเป็นคำชมนะคะ”
แล้วก็รีบเดินไปควงแขนระหว่างศิวกรและดลินาที่ยืนดูดอกไม้หลากสีจัดเป็นทรงสวย ทนงศักดิ์ส่ายหัวอมยิ้มอย่างตลกในความซุกซนของแม่จอมจุ้นคนนี้
“เป็นเด็กน่ารักนะครับ... นิสัยดีแบบนี้ไม่มีแฟนหรือครับ”
ทนงศักดิ์เอ่ยถามคุณหมอสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ รจนาใช้หางตามองเขาแต่ก็ยอมตอบคำถามนั้น น้ำเสียงติดประชดประชันเล็กน้อย
“ไม่มี... ไม่ใช่ว่าไม่มีคนมาจีบยายต้อมหรอกนะ แต่เจ้าตัวดูเหมือนจะสนใจเรื่องพวกนี้เองมากกว่า”
ทนงศักดิ์มองคุณหมอคนสวย วันนี้ก็ยังคงแต่งตัวได้น่ารักเหมือนเดิมเสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีน้ำตาลอ่อนตัวใหญ่ ใส่ทับเสื้อสีขาวแขนยาว สวมกางเกงยีนต์รองเท้าผ้าใบดูทะมัดทะแมง ใบหน้าเรียวใสไร้การตกแต่งมีเลือดฝาด ผมที่ดัดเป็นลอนสวยรวบเป็นหางม้าโชว์ลำคอระหง ทำให้รจนาดูเด็กลงพอสมควร
“อากาศเย็นผมว่าคุณใส่เสื้อน้อยไปนะครับ”
“ไม่เย็นขนาดทนไม่ได้เสียหน่อย”
“ดื้อ”
คนถูกดุเตรียมหันไปต่อว่าเขาแต่ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นใจสั่นแทนเมื่อชายหนุ่มสละผ้าพันคอสีน้ำตาลของตนมาพันรอบคอระหงให้
“เอาล่ะเรียบร้อย ไปดีกว่าครับ”
ทนงศักดิ์บอกกับคุณหมอสาวที่ยืนอึ้งเป็นหินอยู่ตรงนั้น แล้วเดินยิ้มหน้าบานไปรวมกลุ่มกับอีกสามที่ยืนรออยู่ไม่ไกลนัก
“เหนื่อยหรือยังครับ นั่งพักก่อนไหม หรือจะไปชิมกาแฟดี”
ดลินาละสายตาจากซุ้มไม้เลื้อย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มพราวระยับเพราะถูกใจกับประสบการณ์แปลกใหม่นี้
“อยากเดินดูให้ทั่วกว่านี้อีกหน่อยค่ะ ดอกไม้สวยๆ ทั้งนั้นเลย”
“ถ้าอย่างนั้นเดินไปที่ร่มกว่านี้ดีกว่าครับแดดเริ่มแรงแล้วเดียวคุณจะไม่สบาย”
ดลินาพยักหน้ารับก่อนจะควงแขนศิวกรเดินไปชมความสวยงามของดอกไม้สีสันสวยนานาชนิดอย่างตื่นตาตื่นใจ หญิงสาวชี้ชวนชายหนุ่มดูนู้นดูนี้ดูนั้น ส่วนศิวกรก็มองตามที่หญิงสาวชี้และฟังคนตัวเล็กพูดจ้ออย่างมีความสุข
“อยากชิมกาแฟแล้วค่ะ อยากรู้ว่าต้นตำหรับของฝีมือของข้าวใครจะรสดีกว่ากัน”
“ไปสิครับ ผมว่าคุณน่าจะชอบนะครับ”
“ตอนที่อยู่เชียงรายนี้ประจำอยู่ที่ไหนหรือคะ”
“ผมประจำอยู่ที่กองร้อยตรงอำเภอแม่จันครับ”
“หรือคะ... ไม่กลัวบ้างหรือคะเวลาออกลาดตระเวนตอนกลางคืน”
“ไม่กลัวหรอกครับ มันเป็นหน้าที่ผมต้องทำให้ดีที่สุด”
“เคยเจอสัตว์ป่าบ้างหรือเปล่าคะแบบที่ตัวใหญ่โตมโหฬาร”
ศิวกรมองหญิงสาวที่กำลังสนุกกับคำถามของตัว เหมือนเธอกำลังคิดเรื่องอะไรบางอย่างและดูเหมือนจะถูกใจตัวเองอย่างมาก
“คุณคงไม่ได้คิดว่าผมจะเดินหลงป่าเข้าไปถึงมรกตนครหรอกนะครับ”
เสียงหัวเราะร่วนอย่างถูกใจนั้นแทนคำตอบของเจ้าหล่อนได้เป็นอย่างดี
“ช่างคิดจังนะครับ จะให้ผมไปเดินตามสาวงามที่เมืองไหนครับ นิทรานครหรือมรกตนครดี”
“หัวไว... ใช้ได้”
เอ่ยชมพร้อมแจกรอยยิ้มหวานให้เป็นรางวัล ส่วนคนได้รับรางวัลก็ยิ้มหน้าบานหัวใจพอโตด้วยความปลื้มใจ
“นอกจากยิ้มหวานให้ ไม่มีรางวัลอื่นเพิ่มแล้วหรือครับ”
“แค่ยิ้มก็พอแล้วค่ะ... ได้คืบจะเอาศอก”
“ผมน่ะอุตส่าห์เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย พี่สาวคนสวยนั้นแหละใจร้าย”
“แน๊!”
เอาอีกแล้ว พอเริ่มไม่ได้ดั่งใจเขามักจะมีท่าทีเหมือนเด็กเข้าไปทุกวัน ผู้ชายตัวโตหน้าตาคมสันแต่มีกิริยาเหมือนเด็กน้อยเช่นนี้น่าจับมาตีเสียให้เข็ด
“ตัวก็โตแต่ขี้งอนใช่เล่น”
ดลินาพึมพำคนเดียว แต่มีหรือว่าคนหูดีข้างๆ จะไม่ได้ยิน
“ใช่สิครับผมมันขี้น้อยใจ”
“หัวล้านด้วยหรือเปล่าคะ”
ไม่ตอบแต่ก้มศีรษะลงมาให้ดลินาดู เส้นผมดกดำหยักศกเล็กน้อยเป็นเงาจนดลินาอิจฉา
“เป็นไงครับล้านหรือเปล่า”
“ยังไม่ล้านหนิคะ แต่ทำไมใจน้อยนักล่ะ”
“ที่ขี้งอนก็อยากให้มีคนง้อ พอมีคนง้อแล้วสุขใจครับ”
ดลินามองชายที่เดินเคียงข้างเธอไม่รู้ว่าจะดีใจหรือว่าจะร้องไห้ดี ตั้งแต่รู้จักกับศิวกรมาดลินาได้รับรู้ว่าบางครั้งผู้ชายเองก็ต้องการให้ผู้หญิงเข้าใจความรู้สึกของเขา พวกเขามีด้านที่อ่อนแอต้องการคำปลอบโยน ยามเหนื่อยล้าก็ต้องการกำลังใจ ความรักที่เขาต้องการไม่ใช่ความรักที่เป็นเพียงแค่ลมปาก แต่เป็นความรักที่ออกมาจากหัวใจ แต่ผู้ชายที่เจ้าชู้ประตูดินนี้ก็เหลือรับจริงๆ
“ไม่ง้อจริงๆหรือครับ”
พอเจอสายตาออดอ้อนดลินาแทบละลาย ทั้งที่อากาศก็หนาวเย็นแต่ทำไมเธอถึงได้รู้สึกร้อนไปทั้งหน้าแบบนี้นะ… เห็นแล้วแทบอดใจไม่ไหวมันน่านัก
“อยากให้ง้ออย่างไรล่ะคะ”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นก่อนจะก้มลงกระซิบที่ข้างหูของหญิงสาว
“แล้วผมจะรอนะครับ”
ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินไปรอหญิงสาวที่ร้านกาแฟ ส่วนคนที่ออกปากจะง้อยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน เพราะคำขอเมื่อสักครู่นั้นมัน.... อยากจะกรี๊ดเจ้าค่า!!! อ๋ายพูดมาได้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“แล้วก็นี้ซื้อมาด้วย แต๋นแต้น!! เมล็ดพันธุ์ดอกกุหลาบที่แสนงามของดอยตุง”
ผกาวดีผู้สดใสก็เป็นคนเดียวที่ตั้งแต่ขึ้นรถมาคุยจ้อพูดไม่หยุดอีกเช่นเดิม
“ต้อม... พี่ถามจริงๆ เถอะนะไปโด๊ปยาที่ไหนมา ทำไมคึกคักจริง”
“พี่แยมคะเขาเรียกสดใสร่าเริงค่ะ... ใช่หรือเปล่าคะพี่ชายทั้งสอง”
“คร๊าบ”
สองหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหน้าตอบกลับมาพร้อมกันทำเอาผกาวดีเชิดหน้าขึ้นอย่างลำพองใจ
“เห็นมั๊ยล่ะคะ... พี่ข้าวเป็นไรคะเห็นนั่งเงียบตั้งแต่ขึ้นรถแล้ว ไม่สบายหรือเปล่าคะหน้าแดงเชียว”
ผกาวดีเอ่ยถามหญิงสาวที่นั่งเงียบอย่างสงสัย แม้แต่รจนาที่นั่งอยู่เบาะหลังต้องชะโงกหน้ามามองเพื่อนรักหวังจะดูอาการว่าเพื่อนไม่สบายหรือเปล่า แต่เมื่อเห็นใบหน้ารูปหัวใจนั้นเป็นสีแดงระเรือ แววตาดูหลอกแหลกแบบนี้มันน่าสงสัย
ก่อนจะเงยหน้ามองสบตาของศิวกรที่มองผ่านกระจกมองหลังรจนาถึงกับร้องอ้อ... หัวเราะชอบอกชอบใจใหญ่ เพราะน่าจะรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นตัวการทำให้เพื่อนของเธอมีอาการเขินอายเช่นนี้ ไม่รู้ว่าตอนที่หายไปกันสองคนศิวกรไปทำอะไรกับเพื่อนของเธอ
“อะไร... แกหัวเราะอะไร”
คนหน้าแดงถามอย่างร้อนตัว เดาว่าอาการที่เธอเป็นอยู่นี้คงถูกคุณหมอจับได้เป็นแน่
“เปล่าไม่มีอะไรสักหน่อย... แกอย่าร้อนตัว”
“ใช่หรือเปล่าคะคุณศิลา”
ศิวกรไม่ตอบแต่ดูจากแววตาพราวระยับแล้ว... รับรองแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
“อะไรอ่ะ... มีอะไรกันทำไมต้อมตกข่าวอยู่คนเดียวล่ะ”
เสียงร้องโอดโอยของผกาวดีเรียกเสียงหัวเราะจากคนทั้งรถ ยกเว้นดลินาที่ยังเขินอยู่เลยไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับคนทั้งคัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อากาศยามเย็นบนเทือกเขานางนอนนับว่าอากาศเย็ดจัด ดลินาที่เพิ่งเคยได้มีโอกาสสัมผัสอากาศหนาวเย็นครั้งแรกก็มีอากาศจับไข้ เดือดร้อนถึงคุณหมอสาวคนเก่งได้ออกโรง รจนาเพียงตรวจดูอากาศป่วยของคนไข้ ยิบอะไรหยุกหยิกที่ล่วมยาที่เตรียมมาพร้อมสับ จัดยาให้เท่าที่จำเป็นโดยมีศิวกรยืนดูอยู่ไม่ห่าง
“นี่หมอแยม... ถ้ากินยาจะหายทันพรุ่งนี้หรือเปล่า”
“กินยาแล้วนอนพักรับรองหายทันแน่”
“จริงนะ”
คนที่นอนอยู่บนเตียงเอ่ยถามอย่างมีความหวัง ทั้งที่นี่เป็นครั้งแรกได้มีโอกาสมาเที่ยวแบบนี้ แต่ต้องมาเป็นไข้เพราะโดนอากาศเย็นครั้งแรกคิดแล้วดลินาก็เจ็บใจตัวเองนัก ศิวกรเห็นหญิงสาวนอนน้ำตาคลอแล้วใจแป๊ว พอจะเข้าใจว่าตอนนี้หญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวทานข้าวต้มให้เรียบร้อย แล้วก็ทานยามตามที่ฉันจัดไว้ให้ แล้วก็นอนพักจะได้หันทันเที่ยวพรุ่งนี้เข้าใจหรือเปล่า”
ดลินาพยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่อฟัง รจนาต้องเอาเรื่องเที่ยวมาหลอกร่อเพื่อนรัก ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมกินยา เพราะการบาดเจ็บครั้งนั้นดลินาคงเกลียดยาไปอีกนาน เมื่อเดินออกมาจากห้องพักก็เห็นผกาวดีกับทนงศักดิ์นั่งรออยู่ด้านนอก
“เป็นอย่างไรบ้างคะ พี่ข้าวเขาไม่สบายมากหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรน่าห่วงมากหรอกจ้ะ แค่มีอาการเหมือนจะจับไข้เท่านั้นทานยาแล้วนอนพักอาการก็จะดีขึ้นเอง”
“ดีจังเลย... ถ้าไม่สบายหนักอดเที่ยว พี่ข้าวคงเศร้าแย่”
“จ้ารู้แล้ว... นี่ต้อมคืนนี้เราไปนอนกันอีกห้องกันดีกว่า”
“หมายความว่าไงคะ”
“ก็แบบว่าคนป่วยก็ต้องมีคนเฝ้าไข้ไงจ๊ะ”
“อ๋อ! เข้าใจแล้วค่ะ จัดไปอย่าให้เสีย”
ผกาวดีออกอากาศดีใจอย่างชัดเจน และดูกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
“ทำแบบนี้จะดีหรือครับ”
“คุณนี่! ไม่เป็นไรหรอก ยังไงเขาก็เคยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันมาก่อน”
“แต่ถึงอย่างนั้นก็แยกห้องนอน แต่นี้คุณเล่นเอาเพื่อนใส่พานถวายศิลามันเลยนะครับ”
ทนงศักดิ์ไม่เห็นด้วยกับความคิดของสองสาวสักเท่าไหร่ รจนาเท้าเอวเริ่มออกอาการ
“คุณไม่เชื่อใจเพื่อนคุณหรืออย่างไรกัน เขาเป็นลูกผู้ชายมากพอ แล้วอีกอย่างเพื่อนฉันไม่สบายคุณศิลาคงไม่มีแก่จิตแก่ใจทำอะไรหรอก”
“ไอเชื่อใจก็เชื่อใจครับ แต่ทำแบบนี้มันออกจะเกินไปหน่อย”
“พี่ศักดิ์คะ ต้อมเชื่อว่าถึงพี่แยมไม่ทำแบบนี้พี่ศิลาเขาคงเสนอตัวเองแน่นอนค่ะ”
แล้วการโต้เถียงก็ถูกขัดลงเมื่อชายหนุ่มอีกคนเปิดประตูออกมานอกห้อง เห็นสามคนเหมือนกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่ได้แต่มองอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร
“คุณแยมครับ คือว่าผมอยากเฝ้าไข้ข้าวได้หรือเปล่าครับ”
เมื่อได้ยินคำขอร้องจากศิวกรสองสาวก็หันไปมองทนงศักดิ์ด้วยสายตาของผู้ชนะ ส่วนผู้แพ้จะทำอะไรได้นอกจากคอตกไปตามระเบียบ แถมยังแพ้แบบยังไม่ได้ลงมือสู้เลยด้วยซ้ำไป... ไอเพื่อนทรยศเห็นหญิงแล้วลืมเพื่อน
“หากดื้อไม่ยอมทานยาคงต้องให้รบกวนให้คุณศิลาเป็นคนจัดการแล้วค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
พูดจบก็หายเข้าไปในห้องอีกครั้ง
“เป็นไงล่ะฉันบอกคุณแล้ว”
“พี่ศักดิ์แพ้ราบคราบเลย”
“ครับๆ พี่แพ้แล้วครับไม่ต้องตอกย้ำก็ได้ ไหนๆ มื้อเย็นก็ทำข้าวต้มทานกันง่ายๆ ก็แล้วกันนะครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำมากมาย”
“ได้ค่ะไม่ว่ากัน พี่แยมโชว์ฝีมืออีกรอบสิคะ”
“ไม่กลัวท้องเสียหรือครับ”
“ถ้ากลัวท้องเสียก็ไม่ต้องกิน”
รจนาเริ่มโมโห ผู้ชายคนนี้มักกวนอารมณ์เธอให้ขุ่นได้ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วเธอไปทำอะไรผิดมาชาตินี้จึงต้องมีคนชื่อทนงศักดิ์มาเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธอกัน
“โอ๊ะ... อย่างเพิ่งโมโหโกรธาสิครับ มันไม่งามนะครับ”
“ไม่งามแล้วทำไม”
“ก็ไม่ทำไมหรอกครับ ก็แต่อยากจะบอกว่ายิ่งโมโหยิ่งแก่เร็วนะครับ ตีนกามันจะมาหาเร็ว”
“คุณ!”
รจนาชี้หน้าทนงศักดิ์ร้องแค่นั้นก่อนจะเดินลงเท้าไปที่ห้องครัว เดินไปก็บริภาษทนงศักดิ์ไปตลอดทาง ส่วนผู้แพ้หัวเราะในลำคอกับชัยชนะเล็กๆน้อยๆ ที่เพิ่งได้รับมา พอหันกลับมามองก็เห็นแม่จอมยุ่งมองเขาตาพราวระยับ
“ไม่ต้องเลยนะ เรื่องของพี่ไม่ต้องออกโรงช่วยเหมือนศิลามัน พี่ขอลุยของพี่เองเข้าใจหรือเปล่าครับ”
“นิดเดียวก็ไม่ได้หรอคะ”
“ไม่ได้ครับ”
“ก็ได้ค่ะ... สาบานไม่เข้าไปยุ่งแน่นอน แต่เอาใจช่วยอยู่ห่างๆ ก็แล้วกันนะคะ”
“ขอบคุณครับ น่ารักจริงๆ น้องสาวคนนี้”
“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้วค่ะ แต่ว่าไม่ตามไปหรอคะ”
ผกาวดีบุ๊ยปากไปทางที่รจนาเพิ่งเดินไปเมื่อสักครู่ ทนงศักดิ์หัวเราะในความทะเล้นของแม้น้องสาวตัวดี
“ขอกำลังใจหน่อยสิครับ”
“พี่ศักดิ์สู้ๆ”
ทำท่าประกอบอย่างสวยงาม ทนงศักดิ์เห็นแล้วกำลังใจมีขึ้นอีกอักโขก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าผิวปากตามรจนาเข้าไปที่ห้องครัวทันที ส่วนผกาวดีที่ถูกทิ้งให้ยืนอยู่คนเดียวก็กระโดดยิ้มอย่างดีใจตามสไตล์ของเจ้าตัว แล้วรีบไปจัดแจงเตรียมห้องนอนอีกห้องที่อยู่ฝั่งด้านซ้ายมือทันที... มางานนี้ไม่เสียเที่ยว ไม่ใช่แค่หนึ่งแต่เป็นสอง ดีใจเอ้ยดีใจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“เป็นยังไงบ้างครับ ปวดหัวมากหรือเปล่า”
ดลินาส่ายหน้าเป็นคำตอบ เธอกัดริมฝีปากล่างแน่น กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมาอย่างสุดความสามารถ เธอเจ็บใจตัวเองเหลือเกินทั้งที่คนอื่นเขาก็เผชิญอากาศเย็นเหมือนกันแต่ทำไมมีแต่เธอที่ไม่สบาย
“ไม่เอาสิครับอย่าทำหน้าอย่างนั้น ผมเห็นแล้วไม่สบายใจนะครับ”
“ทำไมถึงมีแต่ข้าวคนเดียวที่ไม่สบาย”
“ก็คุณไม่เคยเจออากาศเย็นจัดแบบนี้มาก่อนเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ร่างกายจะปรับตัวไม่ทัน”
เขากุมมือที่ร้อนเพราะพิษไข้ของหญิงสาวหวังส่งผ่านความห่วงใยไปให้เธอ
“ข้าวขอโทษที่ทำให้ทุกคนหมดสนุก”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ คุณแยมเขาก็บอกแล้วว่าแค่ทานยาแล้วก็นอนพักพรุ่งนี้ก็กลับมาแข็งแรงพร้อมเที่ยวเหมือนเดิมแล้ว”
เขาใช้มืออีกข้างปัดผมที่ลงมาปรกใบหน้าหญิงสาวให้อย่างอ่อนโยนเผยให้เห็นรอยแผลเป็นที่อยู่ตรงไรผมด้านซ้าย หลังจากที่ป้อนข้าวต้มหญิงสาวดูจนมั่นใจว่าเธอได้ทานยาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาจึงออกมาจากห้องเพื่อให้คุณหมอเช็ดเนื้อเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดลินารู้สึกสบายตัวขึ้น ส่วนเขาก็ถือโอกาสทำธุรส่วนตัวให้เรียบร้อยแล้วรีบมานั่งเฝ้าไข้ของหญิงสาว
ส่วนคนป่วยพอได้ทานยาก็เริ่มมีอาการง่วงงุน แต่ก็พยายามฝืนตาไม่ให้ปิด ศิวกรนั่งมองคนบนเตียงอย่างแสนสงสาร นาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียงบอกเวลา 21 นาฬิกา
“ถ้าง่วงก็หลับตาพักผ่อนเถอะครับ”
“ไม่เอาอยากคุยกับคุณอีกสักพัก”
น้ำเสียงอ่อนล้าเต็มที แต่ก็ไม่วายยังดื้อไม่ยอมหลับ ศิวกรจึงค่อยๆ สอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนหนาประคองร่างบางที่ตัวร้อนเล็กน้อยให้อยู่ในท่านอนที่สบาย ส่วนเขาก็นอนหนุนแขนตะแคง ประคองมือบางขึ้นมาจุมพิตที่หลังมือแล้วลูบไล้แผ่วเบา
“หลับนะครับ พักผ่อนให้มากจะได้หายไวๆ”
ผ้าห่มผืนหนายังไม่อุ่นเท่าไออุ่นจากร่างหนาที่นอนอยู่ใกล้ ดลินาเขยิบกายเข้าไปใกล้อกกว้างศิวกรระบายยิ้มอย่างสุขใจเมื่อร่างบางขยับเข้ามานอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา มือใหญ่ตบหลังหญิงสาวเบาราวกับขับกล่อมเด็กน้อยให้หลับใหล จนเวลาผ่านไปไม่นานลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะคงที่บ่งบอกว่าคนในอ้อมกอดหลับสนิท
เขาประทับริมฝีปากลงบนตำแหน่งรอยแผลเป็นตรงไรผมด้านซ้าย แววตาแสดงออกถึงคำว่ารักออกมาอย่างล้นใจ เขาชอบความรู้สึกนี้เหลือเกิน มันจะดีแค่ไหนที่ตอนนอนมีร่างนุ่มนิ่มหลับอยู่ในอ้อมแขน แล้วตื่นขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มมอบให้ในยามเช้า
มาเชียงรายครั้งนี้เขาไม่ได้ตั้งใจแค่พาหญิงสาวมาเที่ยว แต่มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่เช่นกัน ตอนแรกเขามั่นใจว่าตัวเองมีความกล้าสามารถทำได้แน่นอน แต่พอเอาเข้าจริงเขากลับใจฝ่อความกล้าที่พกมาเต็มกระเป๋าอันตรธานไปกับสายลม
“ตัวเล็กแค่นี้ แต่ทำให้ผมแพ้อย่างหมดท่าเลยนะครับ”
เสียงพูดแผ่วเบาไม่ต่างจากเสียงกระซิบ เขาจ้องมองใบหน้ายามหลับสนิทของหญิงสาวด้วยแววตามุ่งมั่น พอไม่ต้องสบตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นความกล้าดูเหมือนจะกลับมาอีกครั้ง ถึงแม้มันจะไม่เท่ห์ก็ตามแต่คงมีแค่ตอนนี้ที่เขากล้าพูดในสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง
“ข้าว... ผมรักคุณ แต่งงานกับผมนะ”
TooMMeng
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.พ. 2556, 21:11:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.พ. 2556, 21:11:44 น.
จำนวนการเข้าชม : 1435
<< บทที่ 11 (ตรงใจ... 1) |
Auuuu 15 ก.พ. 2556, 22:16:17 น.
ไม้เอก 16 ก.พ. 2556, 11:03:59 น.