ต้องมนต์ปรารถนา
เพียง "ชาร์ล" ผู้ปกครองหนุ่มใหญ่ พบ "หนูนิ่ม" เด็กในอุปการะครั้งแรกก็ราวต้องมนต์สะกดให้หลงใหลเธอ จนวาดหวังอยากได้มาเป็น "เมีย" วางแผนสารพัด ให้หญิงสาวพลัดตกหลุมรัก!
Tags: ปรารถนา,ต้องมนต์,ความรัก,โคแก่กินหญ้าอ่อน
ตอน: บทที่ 2 คุณท่านที่ฝันหา
บทที่ 2
ร่างบางในชุดเสื้อยืดสีขาวลายน่ารักกับกระโปรงยีนสั้นเหนือเข่าเล็กน้อยรีบวิ่งลงมาข้างล่างหลังจากที่ต้องอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ด้วยกลัวว่าหากเธอมัวแต่ชักช้า คุณท่านออกไปข้างนอกอีกล่ะ คงทรมานใจตายแน่ที่ไม่ได้พบหน้าผู้มีพระคุณเสียที
ด้วยความที่ไม่ได้ระมัดระวัง เมื่อวิ่งมาถึงมุมผนังที่เชื่อมระหว่างโถงกลางกับห้องอาหาร ร่างบางก็ปะทะเข้ากับอกกว้างแข็งแรงเข้าอย่างจัง ความแรงทำให้สาวน้อยเซซวนจะล้มลง โชคดีที่แขนกำยำเอื้อมคว้าเอวคอดกิ่วเอาไว้ มิรู้ว่าด้วยความตกใจหรือไร เจ้าของแขนแกร่งถึงรวบร่างเล็กเข้ามาแนบอก
“ว๊าย!”
วิรงรองร้องออกมา ตกใจที่ตัวเองจะล้มลงว่าแย่แล้ว แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือมือใหญ่และแขนกำยำกำลังรัดร่างของเธอแน่น ใบหน้าแทบจะแนบไปกับอกกว้างภายใต้เสื้อยืดสีขาวเนื้อบาง แลเห็นมัดกล้ามอันอุดมสมบูรณ์ชัดเจน กรุ่นกลิ่นอายที่ไม่เคยรู้จักนั้น หญิงสาวแทบจะหยุดหายใจด้วยเกิดความรู้สึกแปลกๆ ในอก อีกทั้งลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดหน้าผากก็ยังผลให้ตัวสั่น ใจหวิวไปหมด แก้มใสแดงเรื่อ
เธอไม่เคยใกล้ชิดผู้ชายมากขนาดนี้มาก่อน หัวใจเป็นอะไรไปนะ ทำไมถึงสั่นรัวแบบนี้
ดวงตาที่เบิกกว้างราวลูกกวางตื่นกลัวเงยหน้ามองเจ้าของการกระทำอุกอาจต่อร่างกายและหัวใจอย่างรวดเร็ว
ฝรั่ง...
หญิงสาวมองปราดเดียวก็รู้ว่าเจ้าของใบหน้าคมสันไม่ใช่คนไทย ผิวกายของเขาขาวผ่อง เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนตัดกับดวงตาสีเทาเข้มที่จับจ้องเรียบนิ่ง ไม่บ่งบอกความรู้สึกใด จมูกของเขาโด่งอย่างน่าอิจฉา เรื่อยมามองยังริมฝีปากแดงจัดราวอิสตรี หากยิ้มคงมีเสน่ห์เหลือร้าย แต่ติดที่ว่าขณะนี้ ชายหนุ่มเม้มปากด้วยความไม่พอใจอะไรสักอย่าง
วิรงรองมองตาค้างอยู่เป็นนาน จนท้ายที่สุดก็ต้องหลบสายตาไป เมื่อหัวใจหวิวไหวยากเกินควบคุม ต้นเหตุมาจากนัยน์ตาสีเทาเข้มที่ช่างมีอิทธิพลอย่างน่าประหลาด ทั้งที่เขามองมาอย่างเรียบเฉย ออกจะดูถือดีด้วยซ้ำไป แต่เธอกลับรู้สึกหวั่นไหว!
“ปล่อยนะ คุณเป็นใคร!” เธอร้องถามเสียงดุ พยายามดิ้นให้หลุดพ้นพันธนาการแต่ไม่สำเร็จ
เขามองเธอเงียบๆ ด้วยสายตาถือดีเช่นเดิม ราวกับไม่ได้ยิน ทำให้วิรงรองโกรธจัด!
“ฉันบอกให้ปล่อยไง”
อีกครั้งที่หญิงสาวร้องบอกเสียงแว๊ด แววตาเอาเรื่อง ยิ่งเห็นริมฝีปากที่กระตุกขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะเยาะว่าเธอไม่มีปัญญาพาตัวเองออกจากเขาได้ก็ยิ่งโมโห
หากให้เดา นายคนนี้ต้องเป็นลูกน้องของคุณท่านแน่ๆ บังอาจนัก คอยดู! เธอจะฟ้องคุณท่าน
“นี่แน่ะ!” มือบางกำแน่นก่อนจะทุบปั้กๆ ที่อกแกร่ง ไม่สนใจแล้วว่าใครจะอายุมากกว่า เขาอยากรัดตัวเธอเอาไว้ทำไมเล่า กะล่อนเสียจริง นายคนบ้า!
“พอใจเธอหรือยัง” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยสำเนียงไทยชัดเจนจนหญิงสาวเบิกตากว้าง
“ยัง ถ้ามีมีดอยู่ตรงนี้ ฉันจะเอามาฟันหน้าคุณ”
อวดเก่งเหลือเกินแม่คุณ...
“ยังจะมองหน้าอีก ฉันบอกให้ปล่อยเดี๋ยวนี้ ที่นี่มันบ้านของฉันนะ” เธออ้างสิทธิ์เพื่อเอาตัวรอด
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเบาๆ อย่างน่าหมั่นไส้ จนหญิงสาวแทบกรี๊ด
“นี่แน่ะ!”
ในเมื่อบอกดีๆ แล้วเขาไม่ยอมปล่อย ร่างบางจึงกระทืบเท้าเขาแรงๆ
“โอ๊ย! ฉันเจ็บนะแม่ตัวดี” เขากัดฟันดุ
หญิงสาวตัวแข็งทื่อด้วยความกลัวทั้งน้ำเสียงและแววตาลุ่มลึกคู่นั้น
“ก็ปล่อยฉันสิ คนฉวยโอกาส” เสียงบอกแผ่วลง
“ฉันช่วยประคองไม่ให้เธอล้มต่างหากเล่า เด็กโง่!”
“นายสิโง่ เห็นอยู่ทนโท่ว่าฉันยืนได้แล้ว ยังไม่ปล่อยอีก คิดจะฉวยโอกาสกับฉันล่ะสิ”
สิ้นเสียงแว๊ดๆ แขนแกร่งก็ปล่อยร่างเล็กทันที ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ใบหน้าเรียบเฉย ดวงตาคมกริบจับจ้องเธอนิ่งๆ
เมื่อยืนได้มั่นคงแล้ว สองมือน้อยก็ทำท่าปัดเนื้อปัดตัวราวกับรังเกียจคนตรงหน้าเสียเต็มประดา ไม่เพียงแค่นั้น ดวงตาคู่สวยยังปรายตามองด้วยความแค้นเคือง แถมเสียง ‘หึ’ ในลำคอเบาๆ ยั่วโมโหเขาอีก
“เป็นอะไร”
เขายังมีหน้ามาถาม
“คุณท่านอยู่ที่ไหน” เรื่องอะไรจะต้องตอบ ตอนนี้เธออยากเจอคุณท่านคนเดียวเท่านั้น
“คุณท่าน?”
“เจ้านายของนายไง อยู่ที่ไหน ฉันต้องการพบคุณท่านของฉัน”
“คุณท่านของฉัน?” หนุ่มร่างสูงทวนคำหญิงสาวอีกครั้งราวกับต้องการกวนประสาท ซึ่งก็เป็นผลเมื่อสาวน้อยตรงหน้าฮึดฮัดขัดใจ
“ใช่!” แขนเรียวยกขึ้นมากอดอกนิ่ง สะบัดหน้าไปอีกทางอย่างหยิ่งทะนงเต็มที่
“เธออยากพบคุณท่านมากหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันจะฟ้องคุณท่านด้วยว่านายลวนลามฉัน คอยดู!”
เด็กหนอเด็ก...
ชายหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ หญิงสาวเห็นด้วยหางตาถึงกับหันขวับมามองด้วยความไม่พอใจ แต่ก่อนที่คำพูดใดจะหลุดลอดออกมาจากริมฝีปาก เสียงของป้าบุญตาก็ดังขึ้นมา
“อ้าว! ตื่นกันแล้วเหรอคะ”
คล้ายป้าบุญตาเป็นระฆังช่วยชีวิต ร่างท้วมก้าวเข้ามายืนแทรกตรงหน้า คั่นสายตาที่กำลังจับจ้องกันอย่างไม่เป็นมิตร
“ป้าบุญตา” วิรงรองรีบปราดเข้าไปเกาะแขนหญิงวัยกลางคนทันที พร้อมทำหน้าตาออดอ้อนอย่างเคย เตรียมฟ้องเต็มที่
“ป้าบุญตาคะ นายคนนี้รังแกหนูนิ่มค่ะ” เธอฟ้อง
‘นายคนนี้’ ยืนส่ายหน้าช้าๆ พลางหัวเราะในลำคอตามแบบฉบับของเขา
“ต๊าย! หนูนิ่มคะ ไปเรียกเธออย่างนั้นได้ยังไงกันคะ เดี๋ยวจะโดนตี” ไม่ใช่เดี๋ยวจะโดนอย่างที่พูด แต่มืออวบฟาดมาที่เรียวแขนขาวผ่องเข้าให้แล้ว
“อูย...หนูนิ่มเจ็บนะคะ ตีหนูนิ่มทำไม โน่นค่ะ นายคนนี้ต่างหากที่รังแกหนูนิ่ม” เธอค้อนเขาตาคว่ำ
“ตายแล้วๆ หนูนิ่มเรียกคุณใหญ่แบบนี้ได้ยังไงกันคะ” ป้าบุญตาทำท่าจะเป็นลม
“ว่าไงนะคะ!” เธอเบิกตากว้างอย่างตกใจ มองหน้าป้าบุญตากับนายลูกน้องของคุณท่านสลับกันอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“นี่คือคุณใหญ่ค่ะ”
“คะ...คุณใหญ่” วิรงรองรำพึงออกมา หัวใจเต้นรุนแรงด้วยความตกใจ พร้อมกันนั้นก็ใจหายวูบ กลัวเขาจะโกรธเธอ...
“ใช่ค่ะหนูนิ่ม นี่ไงคะ คุณชาร์ล เรเซเดนเดียน” บุญตาแนะนำพลางยิ้มแป้น ผิดกับสาวน้อยที่หน้าหดเหลือแค่สองนิ้ว
เมื่อครู่เธอต่อว่าเขาว่าอะไรบ้างนะ คนฉวยโอกาส...หาว่าเป็นลูกน้องของคุณท่าน...ทุบเขา แถมยังปัดเนื้อตัวด้วยท่าทางรังเกียจอีก โอย...หนูนิ่มเอ๋ย ทำไมถึงได้มีตาหามีแววไม่ขนาดนี้นะ แต่ก็นั่นแหละ ใครจะไปรู้ว่าคุณท่านที่อุปการะ เธอมาตั้งแต่อายุแปดขวบจะยังหนุ่มขนาดนี้ วิรงรองเคยสร้างภาพท่านในใจ มีแต่ภาพหนุ่มวัยกลางคน อายุราวห้าสิบปี ท่าทางใจดี อ่อนโยนทั้งนั้น แต่ภาพของคุณท่านในความเป็นจริงผิดจากที่คิดสิ้นเชิง อายุของเขาน่าจะราวสามสิบต้นๆ ท่าทางก็ดูแข็งกระด้าง ดุ น่ากลัวเสียเหลือเกิน ต่อว่าเขาไปเสียมากมายอย่างนี้แล้ว หนูนิ่มจะเข้าหน้าท่านติดได้ยังไงล่ะคะ...
“เอ่อ...” หญิงสาวถึงกับพูดอะไรไม่ออก หน้าจ๋อยสนิท แต่ยังดีที่พอมีสติ พนมมือไหว้เขาอย่างนอบน้อม “สวัสดีค่ะ”
หนุ่มใหญ่ยกมือรับไหว้ช้าๆ ดวงตายังดุไม่เลิกรา วิรงรองสบตาเขาได้ครู่เดียวก็ต้องก้มหน้าหลบสายตาวูบ มือประสานกันอย่างคนรู้สึกผิด
“นี่แหละค่ะคุณใหญ่ หนูวิรงรอง”
“เดี๋ยวผมขอกาแฟสักแก้วนะครับป้าบุญตา” ชาร์ลเอ่ยเหมือนไม่ได้ฟัง ก่อนร่างสูงโปร่งจะก้าวอย่างมั่นคงหายลับขึ้นไปข้างบน
วิรงรองถึงกับคอตก หน้าเศร้า
“หนูนิ่มของป้า ทำไมไปเรียกท่านอย่างนั้นล่ะคะ”
“ก็คุณท่าน...” เธอไม่กล้าพูดว่าคุณท่าน...กอด
“ว่าไงคะ คุณใหญ่เธอทำอะไรหนูนิ่ม ถึงได้โกรธขนาดนั้น”
“เปล่าค่ะ แต่หนูนิ่มทำให้คุณท่านไม่พอใจ” เธออ้อมแอ้มบอก
“อ้าว! หนูนิ่มไปทำอะไรให้เธอล่ะคะ”
“ก็...หนูนิ่มไม่รู้จักคุณท่านนี่คะ ก็เลย...โวยวายใส่” ปลายเสียงอ่อนลง ใบหน้ายังเศร้าหมอง
ไม่น่าเลย...ทุกอย่างผิดจากที่ตั้งใจ แล้วคราวนี้จะทำยังไง ที่เธอปรารถนาจะได้ช่วยงานท่าน ตอบแทนพระคุณท่าน จะยังมีโอกาสนั้นอยู่ไหมนะ
“อ้าว!” แม่บ้านสูงวัยร้องอีกครั้ง หน้าตาเครียดหนักกว่า “แล้วคุณใหญ่ทำอะไรให้ล่ะคะ ถึงไปโวยวายใส่เธอ”
“ก็...ก็...” วิงรงรองไม่หาญกล้าพอที่จะตอบว่าคุณท่านฉวยโอกาสโอบกอดเธอ ที่จริงเธอคงคิดมากเกินไป อย่างคุณท่านน่ะหรือจะมาฉวยโอกาสแตะเนื้อต้องตัวคนอย่างเธอ ท่านคงอยากช่วยประคองไม่ให้ล้มเท่านั้นเอง
“อะไรล่ะคะ”
“หนูนิ่มไล่คุณท่านเพราะไม่รู้จักว่าเป็นใครน่ะค่ะ” สาวน้อยแกล้งตอบไปอีกเรื่อง ใบหน้าใสเริ่มเปล่งประกายอมชมพู
“โธ่!”
“ป้าบุญตาว่าหนูนิ่มควรจะทำยังไงดีคะ หนูนิ่มอยากรับใช้ท่าน ถ้าท่านยังโกรธแบบนี้คงไม่มีโอกาส”
“คุณใหญ่ใจดีค่ะ ประเดี๋ยวก็หายโกรธ”
ใจดี...วิรงรองทวนคำในใจ นึกอยากจะส่ายหน้า แต่ก็ไม่กล้า สำหรับเธอแล้ว คุณท่านทั้งดุ ทั้งน่ากลัว จนแทบไม่กล้าย่างกรายเข้าไปใกล้ แต่ก็ยังอยากเข้าไปช่วยงานเพื่อแทนคุณท่าน
“แล้วหนูนิ่มจะทำยังไงให้ท่านหายโกรธล่ะคะ”
“คุณใหญ่ชอบคนเอาใจ” ป้าบุญตาเอ่ยบอกพลางยิ้มอย่างคนรู้ใจเจ้านาย
“แล้ว...ยังไงหรือคะ”
“อ้าว! ก็ลองเอาใจเธอดู เผื่อจะหายโกรธยังไงล่ะคะ”
“จะได้ผลหรือคะ หนูนิ่มพูดจาแรงๆ กับเขาไปตั้งเยอะ” หญิงสาวยังกังวล
“ได้หรือไม่ได้ก็น่าลองดูก่อนไม่ใช่เหรอคะ”
“ก็จริงค่ะ ว่าแต่หนูนิ่มต้องเอาใจยังไงหรือคะ”
“โธ่! หนูนิ่มของป้า ต้องหัดเอาอกเอาใจไว้บ้างนะคะ อีกหน่อยก็ต้องแต่งงาน ถ้าไม่หัดเอาใจไว้ ผู้ชายหนีหายหมดแน่ๆ เลย”
“โอย...เอาเรื่องคุณท่านก่อนเถอะค่ะ เรื่องแต่งงานคงอีกไกล หนูนิ่มยังไม่ได้คิดหรอกค่ะ” หญิงสาวครวญ เธอร้อนใจเรื่องคุณท่านมากกว่า
“เดี๋ยวหนูนิ่มไปชงกาแฟกับปิ้งขนมปังให้คุณใหญ่ดีกว่าค่ะ คุณใหญ่ชอบทานกาแฟกับขนมปังปิ้งเป็นอาหารเช้าค่ะ เผื่อเธอจะอารมณ์ดีขึ้น”
“จะดีเหรอคะ” หญิงสาวถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ เธอยังกลัวเสียงดุๆ ใบหน้าเรียบนิ่งและดวงตาคมกริบไม่หาย
“ดีสิคะ”
“ก็ได้ค่ะป้าบุญตา”
เธอต้องกล้าสิ หากไม่กล้าวันนี้ ความสัมพันธ์ของเธอกับคุณท่านคงจะแย่ยิ่งกว่าเดิม ความฝันที่อยู่ในใจมาตลอดเป็นสิบปีคงพังทลายลง
หัวใจเต้นตึกตักๆ ขณะพาร่างอันเบาหวิวมาหยุดยืนที่หน้าประตูห้องทำงานของคุณท่าน มือบางเอื้อมแล้วเอื้อมอีกหลายครั้ง ถอนหายใจราวแบกภูเขาไว้บนอก หลับตาแน่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนรวบรวมแรงใจยกมือเคาะประตูสองครั้ง ให้ตายสิ! เสียงหัวใจยังจะดังเสียกว่า แต่หากให้เคาะอีกครั้งก็กลัวว่าคนข้างในจะไม่พอใจ ยืนรอคำเอ่ยอนุญาตอยู่นานจนหน้าเสีย กล้าๆ กลัวๆ นึกอยากจะเคาะอีกสักรอบ แต่ที่ต้องการมากกว่าคือหนีหายไปจากตรงนี้เสีย
คุณท่านโกรธหนูนิ่มจริงๆ ด้วย…
“เข้ามา!”
ใบหน้าเรียวแจ่มใสขึ้นเพียงได้ฟังคำอนุญาต ยิ้มหวานให้กำลังใจตัวเองนิดหนึ่งก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง ร่างบางก้าวเข้าไปยืนเคว้งอยู่ที่หน้าประตูอยู่เป็นนาน รู้สึกราวว่าเธอตัวเล็กจ้อย คุณท่านของเธอยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ที่โต๊ะอย่างไม่คิดจะหันมาเหลียวแลกันบ้าง
สาวน้อยถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกล้าก้าวเดินเข้าไปหา ยังไม่ทันถึงสองก้าว เสียงทุ้มเข้มก็ดังขึ้น
“วางถาดไว้ตรงนั้น แล้วมานี่”
วิรงรองสะดุ้งน้อยๆ รีบรนกระทำตามคำสั่ง พักเดียวก็พาตัวเองไปหยุดยืนตรงหน้าชายหนุ่มลูกครึ่งที่รูปร่างหน้าตาเอนเอียงไปทางยุโรปเสียมากกว่าทางเอเชีย นี่ถ้าป้าบุญตาไม่เคยเล่าให้ฟังว่าคุณท่านเป็นลูกครึ่งไทย – ฝรั่งเศส เธอคงคิดว่าเขาเป็นฝรั่งเต็มตัวอย่างที่คิดไปแล้วเมื่อครู่
“นั่งสิ” เขาเชิญ ปรายตามองสาวน้อยแวบหนึ่งก่อนก้มลงทำงานต่อ
ร่างเล็กก้าวช้าๆ เข้าไปนั่งเพียงริมเก้าอี้บุนวม ท่าทางเกร็งจนชายหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นมามองอีกครั้งนั้นถึงกับต้องละมือจากงานอย่างถาวร แล้วถอนหายใจแรงๆ
“นั่งถนัดหรือ”
“เอ่อ...” หญิงสาวตอบอะไรไม่ถูก แต่ก็ยอมเขยิบตัวเองไปจนสุดเก้าอี้ ขาเรียวชิดกันเพื่อความเรียบร้อย มือบางประสานกันบนหน้าตัก ใบหน้านวลใสก้มนิ่ง
“จะนั่งก้มหน้าอีกนานไหม” น้ำเสียงเรียบนิ่ง ดวงตาสีเทาเข้มล้ำลึกจับจ้องตรงๆ
“หนูนิ่มขอโทษค่ะ” หญิงสาวกลั้นใจเอ่ย
“ฉันไม่ได้ดุเธอสักนิด”
“หนูนิ่มขอโทษเรื่องที่ต่อว่าคุณท่านเมื่อครู่นี้ค่ะ คือ...หนูนิ่มไม่ทราบว่าเป็นคุณท่าน” วิรงรองพยายามอธิบายเสียงสั่น ปลายประโยคแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“งั้นหรือ...”
“ค่ะ” หญิงสาวอ้อมอ้อมพูด
“ไหนเธอว่าจะฟ้องอะไรฉัน ว่ามาสิ ฉันรอฟังอยู่”
“คุณท่าน!” วิรงรองเงยหน้าขึ้นมาอุทานเรียกเขาเสียงหลง ก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด
“ว่าไง จะฟ้องว่าใครลวนลามหรือ”
“หนูนิ่มขอโทษค่ะ” หญิงสาวเอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
ชาร์ลเพียงพยักหน้ารับ นานทีเดียวกว่าจะเอ่ยออกมาให้หญิงสาวคลายความอึดอัดใจ
“ดีแล้วที่เธอระวังตัว เห็นอย่างนี้ฉันก็เบาใจ”
“คะ...” สาวน้อยอึ้งกับคำตอบที่ได้รับ นี่คุณท่านต้องการทดสอบกิริยาของเธออย่างนั้นหรือ โอ...ความคิดช่างล้ำลึกอย่างน่ากลัว
“ฉันอาจจะดูเหมือนโจรร้ายไปหน่อย” เขาไม่ทวนคำพูดตามที่เธอร้องขอ ทว่ากลับเปรยเหตุการณ์เมื่อครู่ขึ้นมาดื้อๆ
“ไม่ค่ะ ไม่เลย หนูนิ่มผิดเองที่มีตาหามีแววไม่” หญิงสาวรีบปฏิเสธ
“ไม่จริงหรอกมั้ง ที่จริงเธอคิดว่าฉันเป็นยังไงหรือวิรงรอง”
คนถูกถามส่ายหน้าดิก ไม่กล้าตอบว่าคิดอย่างไร
“ส่ายหน้าเสียอย่างนั้น แล้วฉันจะรู้เรื่องไหม...หืม” น้ำเสียงอ่อนโยนมากขึ้น เสียงหัวเราะน้อยๆ ที่ปะปนมาทำให้วิรงรองค่อยใจชื้นและคลายอาการเกร็งลง
“หนูนิ่ม...”
“คิดว่าฉันแก่แล้วใช่ไหม”
สิ้นเสียง ใบหน้าใสก็พยักหงึกอย่างคนซื่อ พอรู้ตัวก็เบิกตาโต ยิ่งเห็นคุณท่านของเธอเลิกคิ้วสูงก็ยิ่งรู้ตัวว่าพลาดเสียแล้ว
“จริงๆ ฉันก็แก่แล้วอย่างที่เธอคิด”
“ไม่เลยค่ะ คุณท่านยังหนุ่ม ยัง...เอ่อ...ยังแข็งแรงอยู่เลยค่ะ”
“เอาเถอะ แล้วนี่เธอตกลงใจจะเรียกฉันว่าคุณท่านใช่ไหม”
“แล้วแต่คุณท่านจะกรุณาให้หนูนิ่มเรียกว่าอะไรค่ะ”
“ถึงอายุอานามของฉันจะมากกว่าเธอสิบกว่าปี แต่ก็ยังไม่อยากแก่ในสายตาเธอหรอกนะวิรงรอง”
“คะ..”
“เรียกฉันว่าคุณชาร์ล”
“ค่ะคุณชาร์ล”
“แล้วอยู่ที่นี่ เป็นยังไงบ้าง”
“สบายดีค่ะ”
“ป้าบุญตาบอกว่าเธอทำงานแล้ว ทำงานอะไร” เขาซัก จับจ้องใบหน้าอ่อนใสตรงๆ อย่างเอาคำตอบ ราวผู้ใหญ่กำลังสอบถามความประพฤติของเด็ก
“หนูนิ่มเป็นเลขาฯ ค่ะ”
“อืม...ดี” ชาร์ลพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ “แล้วเดินทางยังไง สะดวกไหม”
“หนูนิ่มขับรถไปเองค่ะ รถ...เอ่อ...รถในบ้านคุณชาร์ล” ปลายเสียงผะแผ่ว หญิงสาวไม่รู้ว่าสมควรหรือไม่ที่เอารถของเขาไปขับ เพราะเพียงแค่ให้อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ก็มากเกินพอแล้วสำหรับเด็กกำพร้าอย่างเธอ
“ฉันอนุญาต ทั้งเรื่องรถและเรื่องอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ แม้ว่าฉันจะกลับมาอยู่ที่นี่ แต่เธอก็ยังอยู่ที่นี่ได้เหมือนเดิม” ชายหนุ่มเอ่ยเหมือนรู้ทันความคิดของสาวน้อยตรงหน้า
“ถ้าหนูนิ่มโตกว่านี้ มีเงินมากกว่านี้ หนูนิ่มจะพยายามไปหาบ้านเล็กๆ อยู่ค่ะ” กระนั้นวิรงรองก็ไม่อยากเกาะเขากินไปจนวันตาย เท่าที่ชาร์ลอุปการะเรื่องเรียนที่ผ่านมาก็มากเกินพอ บัดนี้เธอสามารถหาเงินทองได้แล้วก็เห็นควรเสียทีที่จะโบยบินออกไปใช้ชีวิตด้วยตนเอง
“อวดดี!”
น้ำเสียงดุกร้าวจนร่างบางสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ นัยน์ตาคู่เทามองอย่างไม่พอใจ สาวน้อยรีบก้มหน้านิ่งพลางพึมพำขอโทษ
“เปล่านะคะ หนูนิ่มแค่กลัวว่าจะเป็นภาระคุณชาร์ล”
“ฉันบอกเธอสักคำหรือยังว่าเป็นภาระ”
“คุณชาร์ล...” เสียงสั่นเครือคล้ายจะร้องไห้ทำให้ชายหนุ่มต้องปรับอารมณ์โดยพลัน
“คราวหน้าอย่าพูดอย่างนี้อีก เธอต้องอยู่ที่นี่...กับฉัน”
“ถ้าอย่างนั้น คุณชาร์ลมีอะไรให้หนูนิ่มช่วยก็บอกได้เลยนะคะ หนูนิ่มอยากตอบแทนพระคุณคุณชาร์ลค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ...” ชายหนุ่มหรี่ตาประเมินสาวน้อยตรงหน้า
“ค่ะ” เสียงตอบไม่สู้จะมั่นใจนัก
“เป็นเด็กดีของฉันก็พอ”
จรดปลายรุ้ง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ก.พ. 2556, 08:31:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ก.พ. 2556, 08:31:49 น.
จำนวนการเข้าชม : 9683
<< บทที่ 1 โคแก่กินหญ้าอ่อน | บทที่ 3 กุหลาบรัก >> |
เคสิยาห์ 18 ก.พ. 2556, 11:44:21 น.
น้าน เข้าทางคนเกือบแก่
น้าน เข้าทางคนเกือบแก่
เจนิส 18 ก.พ. 2556, 18:17:39 น.
หวั่นไหวใช่มั้ยล่าคุณท่าน กลัวสาวว่าตัวแก่ล่ะซี๊... น่ารักมากค่ะ ติดตามอยู่นะ
หวั่นไหวใช่มั้ยล่าคุณท่าน กลัวสาวว่าตัวแก่ล่ะซี๊... น่ารักมากค่ะ ติดตามอยู่นะ
เทียนจันทร์ 19 ก.พ. 2556, 18:03:46 น.
ตามอยู่นะคะ แบบว่าชอบคนแก่
ตามอยู่นะคะ แบบว่าชอบคนแก่
ลิลลี่ 20 มี.ค. 2556, 17:42:51 น.
อ้ายยยยยย เป็นเด็กดีของฉันก็พอ
ตีขุมให้เด็กอยู่ที่นี่กับตัวเอง ร้ายนัก55555
อ้ายยยยยย เป็นเด็กดีของฉันก็พอ
ตีขุมให้เด็กอยู่ที่นี่กับตัวเอง ร้ายนัก55555