บ่วงรักแรงอธิษฐาน
รักในปัจจุบันผูกพันกับรักที่ปวดร้าวในอดีตชาติ
คำอธิษฐานและบุพเพสันนิวาสนำเขาและเธอกลับมาพบกันอีกครั้ง
แต่จะทำเช่นไรเมื่อหนึ่งคือเพื่อนรักที่ยอมสละชีพเพื่อเราและหนึ่งคือยอดดวงใจที่เฝ้ารักเฝ้ารอมาหลายภพชาติ
Tags: ย้อนอดีต ระลึกชาติ บุพเพสันนิวาส

ตอน: ตอนที่ 15 หัวใจกระซิบรัก


“เฮ้อ...ถึงเสียที ฝนอะไรจะตกทนตกนานขนาดนี้” สาวน้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามด้วยเสียงบ่นนิดหน่อย กับฝนเจ้ากรรมที่ตกยาวนานจนเกือบจะทั้งบ่าย คุณหญิงรำไพและท่านเจ้าคุณเฟื่องเดินออกมาที่ระเบียงตามเสียงนั้น

“อ้าว...ไปไหนกันมาน่ะลูก ดูซิเนื้อตัวเปียกมะลอกมะแลกเชียว รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวจะไม่สบายเอา เฮ้อ..ไม่รู้จักโตเสียที” คุณหญิงรำไพเอ็ดด้วยหางเสียง
“เนื้ออ่อนให้พี่กล้าพาไปเที่ยวตลาดเจ้าค่ะ แล้วก็ไปถวายเพลที่วัด ขากลับติดฝนกลางทาง เพิ่งมาได้นี่แหละเจ้าค่ะคุณแม่” รายงานกับคุณแม่เป็นฉากๆ ขณะตักน้ำในตุ่มหน้าบ้านล้างเศษโคลนที่เลอะเท้า

“ถอดเสื้อนั่นออกเดี๋ยวนี้นะไอ้กล้า!!”

ท่านเจ้าคุณสั่งเสียงเขียวเมื่อมองเห็นเสื้อใหม่ที่ชายหนุ่มสวมอยู่ คาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าเนื้ออ่อนคงจะซื้อให้เป็นแน่ ซึ่งนั่นทำให้ท่านเจ้าคุณไม่ชอบใจยิ่งนัก
“เจ้าคุณพ่อ!”
“คุณพี่คะ”
“กล้ากลับมาก็ดีแล้ว เรามีอะไรจะให้ช่วยสักหน่อย ต้นขอตัวซักประเดี๋ยวนะขอรับคุณอา...ไปกันเถอะกล้า...”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะไม่ค่อยดี เพื่อนรักต่างฐานะที่มานั่งรอนอนรอตั้งแต่สายก็รีบโอบไหล่เพื่อนที่กำลังตีหน้าไม่ถูกแยกจากไป ทิ้งให้ท่านเจ้าคุณเฟื่องกรุ่นๆ อยู่กับความขุ่นเคืองที่ยังไม่จางหายในทันที

“คุณพี่ก็ แค่เสื้อนะเจ้าคะจะไปพูดให้เด็กมันเสียใจทำไม”
“แต่พี่ไม่ชอบ ให้ลูกสาวเราเที่ยวซื้อของให้ผู้ชาย มันไม่งาม”

“โธ่ นึกว่าอะไรเสียอีก น้องว่าคิดมากเกินไปแล้วล่ะเจ้าค่ะ เนื้ออ่อนกับกล้าน่ะเห็นกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว กล้าเองก็เลี้ยงเนื้ออ่อนมากับมือ เด็กเขาจะมีน้ำใจซื้อของให้กันบ้างก็ไม่เห็นจะไม่งามตรงไหนเลยนี่เจ้าคะ คิดมากเดี๋ยวก็แก่ไวหรอกเฮ้อ..”
แล้วคุณหญิงรำไพก็ขึ้นเรือนไป ทิ้งให้ท่านเจ้าคุณเฟื่องยืนอารมณ์บูดอยู่คนเดียว แต่ก็คงจะว่าอะไรไม่ได้ และต้องขจัดอารมณ์ขุ่นมัวที่กำลังกรุ่นๆ นี้ให้หายไปด้วยตัวเอง ครั้นจะรอให้มีคนมาง้อก็คงป่วยการเพราะขนาดศรีภรรยาก็ยังเดินหนีไปแล้ว

“เจ้าคุณพ่อใจร้าย..”
อ้าปากยังไม่ทันจะพูดอะไร ลูกสาวคนโปรดก็หน้างอวิ่งขึ้นเรือนไปเสียอีกคน
หยาดน้ำฝนที่เกาะพราวบนพุ่มไม้ใบหญ้า สะท้อนแสงแดดยามเย็นเป็นประกายวาววับ ผีเสื้อสีสวยที่บินหยอกเย้ากันไปมาอย่างร่าเริงไม่อาจสร้างอารมณ์สุนทรีย์ให้เกิดขึ้นในใจของท่านเจ้าคุณเฟื่องได้ ความห่วงใยของคนเป็นพ่อมีมากเกินกว่าที่หลายคนจะเข้าใจ วัยเยาว์ที่เคยผ่านและประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชนตามประสาลูกผู้ชาย คอยสะกิดให้ท่านเจ้าคุณตระหนักอยู่เสมอว่า ไม่มีผู้ชายหน้าไหนในโลกที่ปลอดภัยสำหรับสตรี โดยเฉพาะในวัยหนุ่มสาว เนื้ออ่อนเองก็โตเป็นสาวแถมยังหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ย่อมทำให้รู้สึกเป็นห่วงมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

“ไม่มีเหตุผลเลย เจ้าคุณพ่อใจร้ายที่สุด”
ประตูห้องถูกลงดานเพื่อบอกให้รู้ว่าไม่อยากจะพบหน้า ไม่อยากจะพูดอะไรกับใครทั้งนั้น ร่างบางที่ยังอยู่ในแพรพรรณชื้นน้ำฝนซุกหน้ากับหมอนใบโตร้องไห้สะอึกสะอื้น มองไม่เห็นเลยสักนิดว่าการที่คนรู้จักมักคุ้นจะซื้อของให้กันเพื่อแสดงถึงน้ำใจไมตรี มันผิดตรงไหน และพี่กล้าก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นคนในบ้าน เป็นคนที่เนื้ออ่อนรักดังพี่ชายแท้ๆ

‘พี่กล้า...’ สีหน้าและแววตาของพี่กล้าเมื่อสักครู่ทำให้รู้สึกสะท้อนในหัวใจจนต้องปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น พี่กล้าจะน้อยใจจะเสียใจมากแค่ไหนที่เจ้าคุณพ่อแสดงอาการรังเกียจและแบ่งชนชั้นถึงเพียงนั้น ความรักความเคารพที่พี่กล้ามีให้ไม่อาจทำให้เจ้าคุณพ่อรู้สึกเมตตาได้เลยแม้แต่น้อยอย่างนั้นหรือ เป็นบ่าวแล้วยังไงเล่าจะต้องแบ่งแยกหรือเหยียบย่ำให้จมดินจึงจะแสดงถึงความเป็นนายเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่ ทำไมคนที่เป็นถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองถึงใจคอคับแคบนัก
“เนื้ออ่อนเกลียดเจ้าคุณพ่อ!”

มือของคนที่ตกเป็นจำเลยของสังคมต้องชะงัก เตรียมจะเคาะประตูเพื่อกล่าวคำขอโทษและปลอบใจ แต่...ลูก... ‘เนื้ออ่อนเกลียดเจ้าคุณพ่อ’

คนเป็นพ่อนิ่งอึ้ง ประโยคนั้นของลูกสาวสุดที่รักเหมือนมีใครสักคนเอาถ่านไฟร้อนๆ มากองสุมไว้ที่หัวใจ ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปก็เพราะความรักและห่วงใย ซึ่งมันอาจจะยากเกินกว่าที่คนยังอ่อนเยาว์จะเข้าใจ เหลือบไปมองประตูห้องนอนที่อยู่อีกด้านหนึ่งซึ่งกำลังถูกเปิดออก คุณหญิงรำไพนิ่งมองด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะปิดประตูกลับเข้าไปดังเดิม

‘หรือเราจะทำเกินไป’




สายฝนห่าใหญ่เมื่อตอนบ่าย นำพากลุ่มเมฆหนาให้จางไป คืนนี้ท้องฟ้าโปร่งมองเห็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวและหมู่ดาวประปราย ต้นกลับไปแล้วตั้งแต่เมื่อหัวค่ำ ท่ามกลางบรรยากาศภายในบ้านอันแสนจะอึมครึม กล้านั่งหย่อนขาเงียบๆ คนเดียวอยู่ที่ชานเรือนหลังเล็ก พยายามจะไม่คิดถึงเหตุการณ์เมื่อเย็นวันนี้ ชายหนุ่มพอจะเข้าใจในความห่วงใยลูกสาวของท่านเจ้าคุณ ผู้ชายย่อมเข้าใจความรู้สึกของผู้ชายด้วยกัน นับวันเนื้ออ่อนจะยิ่งโตเป็นสาวงามสะพรั่ง ท่านเจ้าคุณคงจะไม่สบายใจนักถ้าหากเขายังทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับเนื้ออ่อนเหมือนดังที่ผ่านมา

‘เนื้ออ่อน’ รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นจางๆ บนใบหน้าเมื่อเหลือบมองเสื้อสองตัวที่เนื้ออ่อนตั้งใจซื้อให้ คุณค่าทางใจนั้นมีมากกว่าราคาค่างวดของมันเป็นไหนๆ ตั้งแต่ไหนแต่ไรเนื้ออ่อนก็น่ารักกับพี่กล้าเสมอ และคงเพราะเหตุนี้กระมังที่ทำให้ชายหนุ่มพลั้งเผลอ ลืมที่จะควบคุมความรู้สึกที่สะท้อนออกมาจากส่วนลึกของหัวใจไปบ้างในบางครั้ง เพราะแค่เพียงคิดก็คงผิดแล้ว ที่หมาวัดจะหาญกล้าเอื้อมเด็ดดอกฟ้ามาเชยชม แค่จะมีเสื้อสวยๆ ใส่ก็ยัง...

นึกไม่ออกว่าจะจัดการกับชีวิตต่อไปยังไง เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย หากทิ้งระยะห่างกับเนื้ออ่อนให้มากกว่าเดิม ท่านเจ้าคุณคงสบายใจขึ้น แม้ส่วนลึกแล้วจะไม่อยากทำอย่างนั้นเลยแต่ก็คงมีเพียงวิธีนี้เท่านั้น จะเป็นห่วงก็แต่ความรู้สึกของเนื้ออ่อนที่อาจพลอยรู้สึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของพี่กล้าคนนี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร พี่กล้าก็อยากจะให้เนื้ออ่อนรู้อยู่เสมอว่า พี่กล้า..ยังรักและห่วงใยน้องสาวคนนี้อยู่ทุกลมหายใจ

“อ้าวกล้า ทำไมนั่งอยู่คนเดียวมืดๆ ล่ะ ยุงไม่กัดแย่รึ?”

“นั่งคิดอะไรเพลินๆ น่ะขอรับ คุณหญิงมีอะไรจะใช้กล้าหรือเปล่าขอรับ” ตอบพลางเงยหน้าขึ้นมองคุณหญิงรำไพที่เดินมานั่งลงใกล้ๆ ในมือหอบบางสิ่งและวางไว้บนตัก ใบหน้าเปี่ยมเมตตานั้นยิ้มน้อยๆ
“กล้าอย่าถือสาท่านเจ้าคุณเลยนะ คนเป็นพ่อก็คงห่วงลูกสาว ท่านก็ไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรกล้าหรอก แล้วก็อย่าคิดมาก กล้าเป็นสมาชิกของบ้านนี้ เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรานะ”
“กล้าเข้าใจขอรับคุณหญิง” มืออุ่นของคุณหญิงที่เอื้อมมาจับต้นแขนเบาๆ ทำเอาชายหนุ่มรู้สึกใจคอตีบตันขึ้นมาทันใด คุณหญิงเมตตาและอยู่ข้างกล้าเสมอ คอยปกป้องจากพายุร้ายของท่านเจ้าคุณที่ก่อตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในบางครั้ง ให้เกียรติและไว้เนื้อเชื่อใจเกินกว่าที่คนเป็นบ่าวคนหนึ่งจะพึงได้รับ

“ท่านเจ้าคุณหายโกรธหรือยังขอรับ แล้วเนื้ออ่อนล่ะขอรับยอมออกจากห้องแล้วหรือยังขอรับ”
“อ้อนี่” คุณหญิงหยิบบางสิ่งที่วางไว้บนตักส่งให้กล้าแทนคำพูดใด ซึ่งกล้าก็รีบยกมือไหว้และรับไว้โดยไม่ได้ถามอะไร สิ่งที่มาจากคุณหญิงเป็นสิ่งมีค่าเสมอสำหรับกล้า
“ท่านเจ้าคุณฝากมาให้กล้า เป็นเสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้ว หมู่นี้อ้วนขึ้นเสื้อผ้าพวกนี้ก็เลยต้องเก็บเข้าตู้ไว้ แล้วก็ฝากขอโทษด้วยที่พูดจาแรงไปเมื่อตอนเย็น”
“ไม่ต้องขอโทษกล้าหรอกขอรับ ถึงอย่างไรกล้าก็ไม่เคยโกรธท่านเจ้าคุณขอรับ กล้าเข้าใจ ส่วนเสื้อผ้า....” ก้มลงมองผ้าพับที่ถืออยู่ รู้สึกลังเลนิดหน่อย ใช่เพราะความน้อยเนื้อต่ำใจใดๆ ไม่ หากแต่มันคงดีเกินไปที่คนที่อยู่ในฐานะบ่าวจะสวมใส่
“ถ้ากล้าไม่รับ ท่านเจ้าคุณจะเสียใจนะ”

“ถ้าอย่างนั้น แล้วกล้าจะกราบขอบคุณท่านเจ้าคุณวันหลังขอรับ”
“อืม...ถ้าพรุ่งนี้ท่านเจ้าคุณเห็นกล้าใส่ก็คงดีใจนะ” คุณหญิงรำไพมองหน้าชายหนุ่มและยิ้มอย่างมีเมตตา ก่อนจะเดินจากไป

ท่านเจ้าคุณผละจากหน้าต่างหลังจากแอบฟังทั้งคู่สนทนากันได้ยินเพียงแว่วๆ อีกหน่อยคุณหญิงก็จะกลับขึ้นเรือนมาแล้วแกล้งหลับเลยก็แล้วกัน มันรู้สึกเสียหน้าไม่น้อยที่ผู้มีอำนาจสูงสุดในบ้านกลับต้องยอมอ่อนข้อให้กับภรรยาและลูกสาวซึ่งเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ นี่ยังดีที่ไม่ต้องบากหน้าไปกล่าวคำขอโทษด้วยตัวเอง

“เนื้ออ่อนรักเจ้าคุณพ่อที่สุดเลย” เสียงใสของลูกสาวที่หายงอนแล้วแว่วกังวานอยู่ในหู เรียกรอยยิ้มให้ปริ่มใบหน้าคนแกล้งหลับจนคุณหญิงรำไพอดขำไม่ได้ พวกผู้ชายนี่คิดมากกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง นึกถึงแต่ความรู้สึกและความพอใจของตนเป็นหลักจนบางครั้งก็ถึงกับลืมนึกถึงคุณค่าความเป็นคนของผู้อื่นไป หากตัดเรื่องเกียรติยศศักดิ์ศรีและทรัพย์สมบัติอันเป็นเพียงของนอกกายออกไปแล้ว ทุกคนก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่า “มนุษย์” เท่านั้นเอง นี่ถ้าไม่ใช้ไม้ตายพร้อมใจกันเงียบประท้วงแล้วละก็ ป่านนี้ก็คงยังไม่ได้นอนยิ้มอย่างสบายใจอยู่แบบนี้เป็นแน่



ชีวิตยังคงดำเนินไปจากวันเป็นเดือน เดือนเป็นปี และเมื่อสองปีผ่านไปสาวน้อยก็ได้เติบโตเป็นสาวเต็มตัวงามสะพรั่งยิ่งกว่า น่าทะนุถนอมยิ่งขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างพี่กล้าและเนื้ออ่อนก็ยังคงเป็นไปด้วยดี โดยมีท่านเจ้าคุณเฟื่องและคุณหญิงรำไพคอยดูอยู่ห่างๆ ไม่มีพายุร้ายโหมกระหน่ำในระหว่างนั้น แม้ไม่อาจข่มความรู้สึกในใจ แต่กล้าก็ไม่เคยกระทำสิ่งใดอันจะเป็นการทำให้ท่านเจ้าคุณต้องขุ่นเคือง

ต้นเองก็ยังไปมาหาสู่ ภายใต้การต้อนรับอย่างอบอุ่นของทุกคนในบ้าน ต่างรู้ดีว่าต้นรู้สึกอย่างไรต่อเนื้ออ่อน ซึ่งท่านเจ้าคุณเองก็แสดงท่าทีชัดเจนว่ายินดีและเต็มใจแค่ไหนหากทั้งสองจะลงเอยกันอย่างนั้นได้ แต่..มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนไม่อาจรู้ นั่นคือความรู้สึกที่แท้จริงในใจของเนื้ออ่อนนั่นเอง



“วันนี้พี่กล้าพาเนื้ออ่อนพายเรือไปเที่ยวท้ายคลองด้วยนะ”

หญิงสาวในชุดผ้าจีบสีชมพูสไบเฉียงเดินมากระซิบกับพี่กล้าที่กำลังนั่งซ่อมโต๊ะเก้าอี้อยู่ที่สนามหญ้าหลังเรือน เสื้อกระบอกแขนสามส่วนสีเดียวกันส่งให้ผิวที่ขาวผ่องเป็นยองไยดูนวลเนียนน่าสัมผัสยิ่งขึ้น ความเติบโตทางร่างกายไม่ได้พัดพาความรู้สึกแบบเด็กๆ ให้ห่างหายไปเลยแม้แต่น้อย แม้มีกรอบทางประเพณีมาเป็นข้อจำกัด แต่เมื่ออยู่กันสองต่อสองกับคนคุ้นเคย ความเป็นเด็กก็มักจะเล็ดลอดออกมาทำตามใจตัวเองอยู่บ่อยครั้ง

“ไปทำไมเหรอเนื้ออ่อน หน้าฝนน้ำหลากแบบนี้ออกไปล่องเรือมันไม่เหมาะนักนะ เกิดอะไรขึ้นจะไม่คุ้มนะพี่ว่า”
“ไปไม่นาน ไม่เป็นไรหรอกน่า...นะๆ” มองซ้ายทีขวาทีเมื่อเห็นว่าไม่มีใครหญิงสาวผู้เป็นกุลสตรี เรียบร้อยดังผ้าพับไว้ก็กลายร่างเป็นเด็กขี้อ้อน เกาะแขนพี่กล้าเขย่าๆ รู้ว่าอย่างไรเสียพี่กล้าก็ต้องตามใจเนื้ออ่อนอยู่แล้ว ชายหนุ่มวางมือจากงานชั่วครู่ พลางสอดส่ายสายตามองหาใครสักคน
“มะปรางหายไปไหนนะ ไม่รู้ว่างอยู่หรือเปล่า”

“อ้าว! อยู่กันที่นี่เอง กำลังจะไปไหนกันเหรอจ๊ะน้องเนื้ออ่อน” พี่ต้นนั่นเอง โผล่มาพร้อมน้ำเสียงก้อร่อก้อติกที่ทำอยู่ได้ทุกวี่ทุกวันไม่รู้เบื่อ ความรู้สึกและการแสดงออกบางอย่างเหมือนมีไว้เพื่อใครบางคน มันมักออกมาเองโดยไม่ต้องไปกำหนดกฎเกณฑ์อะไรเมื่ออยู่ต่อหน้าใครคนนั้น แต่กับคนอื่นๆ มักจะแสดงออกอีกอย่างในลักษณะที่ต่างออกไป
“อ้าว พี่ต้น สวัสดีเจ้าค่ะเดี๋ยวมะปรางไปเอาน้ำมาให้นะ”
“ขอบใจจ้า มะปรางคนสวย” เห็นไหม...ต่างกันมากเลย ก็คงมียกเว้นบ้างกรณีที่ตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นแบบนั้นโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
“เจ้าค่า...” แล้วมะปรางที่เดินออกมาพอดีก็ต้องเดินกลับเข้าไปอีกครั้งเพื่อยกน้ำรับแขกที่คุ้นเคย

“โอ้! พอดีเลยจ้ะน้องเนื้ออ่อน พี่ต้นกำลังอยากจะนั่งเรือเล่นอยู่พอดีเลย งั้นเราไปกันหมดนี้เลยคงสนุกดีนะ”
“ไปกันหมดเลยหรือเจ้าคะ”
“คะ เฉย ๆ ก็พอจ้ะน้องเนื้ออ่อน ไปกันหมดนี่แหละจ้ะสนุกดี ไปกล้า อ้าว..แล้ว..มะปรางล่ะ” พี่ต้นต้องกำชับ ก่อนจะหันไปเรียกหาเพื่อนสาวอีกคน
“มะปรางคงไปด้วยไม่ได้หรอกเจ้าค่ะพี่ต้น พอดีมีงานค้างอยู่ในครัวน่ะ พี่ต้นไปกันเถอะเจ้าค่ะ” มะปรางเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมขันน้ำฝน มะลิดอกน้อยลอยมาพองามเพื่อความเย็นชุ่มฉ่ำและหอมชื่นใจ ลำพังนั่งกันสองคนกาบเรือก็ปริ่มน้ำแล้ว หญิงสาวจึงขอสละสิทธิ์ปล่อยให้ไปกันสามคนหวังว่าเรือลำน้อยคงจะพอรับน้ำหนักไหว เมื่อพี่ต้นดื่มน้ำแล้วจึงเดินนำหน้าออกไปอย่างอารมณ์ดี




เรือลำน้อยที่บรรทุกคนสามคนค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ในลำคลองที่คดเคี้ยวยาวไกล ความกว้างของลำคลองแห่งนี้คงสักห้าถึงหกช่วงความยาวของเรือเห็นจะได้ บรรยากาศสองฟากฝั่งดูร่มรื่นยิ่งนัก พุ่มไม้ใบหญ้าเขียวขจีสลับไม้ดอกหลากสีที่ขึ้นเองตามธรรมชาติแต่งแต้มโลกสวยให้มีสีสัน พี่กล้ารับหน้าที่เป็นสารถี พี่ต้นนั่งยิ้มอยู่ตรงกลางเป็นเวลาที่มีโอกาสมองหน้าหญิงผู้เป็นที่รักใกล้ๆ และนานๆ ส่วนเนื้ออ่อนนั่งด้านหัวเรือหันหน้ากลับมาทางสองหนุ่ม ทอดสายตาออกไปชมทิวทัศน์สองฝั่งคลอง

สารถีหนุ่มลอบมองผ่านหัวไหล่เพื่อนผู้สูงศักดิ์ไปยังหญิงสาวที่หัวเรือเป็นระยะ แม้ในวันที่อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนก็ไม่อาจทำให้ความสดใสในตัวของหญิงสาวลดลงเลยแม้แต่น้อย สำหรับกล้าแล้วแม้ดอกไม้งามทั้งโลกมารวมกันอยู่ตรงหน้า ก็ไม่อาจเทียบได้กับความงามของหญิงสาวที่นั่งอยู่หัวเรือฝั่งตรงข้าม สองมือจ้วงพาย สองตาจับจ้อง รอยยิ้มปรากฏจางๆ บนใบหน้า แม้จะเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแต่ก็ไม่บ่อยนักที่จะได้นั่งมองนานๆ แบบนี้

รอยยิ้มเริ่มจางหาย เมื่อนึกถึงเพื่อนที่นั่งคั่นอยู่ตรงกลาง นี่คือชายผู้ที่ท่านเจ้าคุณหมายมั่นปั้นมือจะให้เป็นคู่ครองของเนื้ออ่อน แม้ไม่ได้เอ่ยปากแต่การแสดงออกก็เปิดเผยชัดเจนอยู่แล้ว และ คุณต้นเองก็มีคุณสมบัติเพียบพร้อมทุกอย่างอีกทั้งยังเป็นลูกชายของสหายรักของท่านเจ้าคุณอีกด้วย หันมามองตัวเองแล้วให้รู้สึกสะท้อนใจ

ผ่านระยะทางที่ยาวไกลมาถึงท่าน้ำกลางตลาด ผู้คนมากมายที่สัญจรไปมาส่งเสียงทักทายกันจอกแจกจอแจ รอยยิ้มคลี่คลายปรากฏที่ดวงหน้างาม ว่ากันว่าความสุขอย่างหนึ่งของผู้หญิงคือการได้เดินชมความหลากหลายของตลาด แม้สุดท้ายจะไม่ได้อะไรติดมือกลับบ้านแม้สักชิ้นเดียวก็ตาม เนื้ออ่อนเองก็เช่นกันอาจต่างไปบ้างตรงที่แค่ได้นั่งมองรอยยิ้มและความสุขของคนอื่นๆ เท่านั้นก็มีความสุขแล้ว

“เอ่อ...เรามาทำอะไรกันเหรอจ๊ะน้องเนื้ออ่อน แล้วนี่เราจะขึ้นไปเดินข้างบนกันรึเปล่าจ๊ะ”
มีเพียงยิ้มหยีที่หันมาแทนคำตอบอื่นใด
“อ้าว?...งั้นก็เทียบท่าเลยกล้า”
“เอ่อ...ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะพี่ต้น เนื้ออ่อนแค่อยากนั่งชมตลาดเท่านั้นเอง” หันมายิ้มกับพี่ต้นอีกครั้งก่อนจะผ่านสายตาไปทางอื่น โน้มตัวเอื้อมมือเรียวลงไปสัมผัสความเย็นฉ่ำของผิวน้ำ สายลมพัดแรงท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนเริ่มกระหน่ำลงมาแล้วที่ขอบฟ้าไกลๆ และคงจะโปรยปรายมาถึงที่ตรงนี้ในอีกไม่ช้า พ่อค้าแม่ขายต่างเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้านอย่างรีบเร่ง

“พี่ว่าเรารีบกลับกันดีกว่านะเนื้ออ่อนฝนจะมาแล้ว”
“เดี๋ยวก่อน...อยู่ต่ออีกหน่อยนะพี่กล้านะ” รีบออกปากคัดค้านแต่ก็รู้สึกกังวลกับดินฟ้าอากาศที่กำลังแปรปรวน น่าเสียดายจังฝนไม่น่าจะตกตอนนี้เลย สายลมที่พัดแรงพาผมสลวยปลิวสยาย ชายสไบที่ห่มโบกสะบัด เห็นที่จะเอ้อละเหยลอยชายไม่ได้จริงๆ แล้วกระมัง

“กลับกันเลยก็ได้พี่กล้า วันหลังค่อยมาใหม่ก็แล้วกัน” เนื้ออ่อนตะโกนแข่งกับเสียงลมเพื่อให้พี่กล้ากลับเรือ สายฝนเม็ดเล็กๆ ที่โปรยปรายผสมกับละออง จากผิวน้ำม้วนตัวกับสายลมที่กรรโชกเป็นระยะๆ ละลอกคลื่นเล็กๆ กระฉอกล้นกาบเรือเข้ามาทำเอาใจหายใจคว่ำไปตามๆ กัน

“หาที่หลบก่อนดีกว่า เนื้ออ่อนระวังนะ” สารถีหนุ่มตะโกนบอกทุกคนพลางจ้วงผีพายบังคับเรือให้ตรงเข้าเทียบท่าที่อยู่ไกลประมาณหลายช่วงเรือ จังหวะนั้นพายุและห่าฝนได้กระหน่ำลงมายกใหญ่ เรือลำเล็กโคลงเคลงและน้ำเข้าจวนเจียนจะล่ม
“เดี๋ยวต้นลงเอง คงพอช่วยได้บ้าง” พี่ต้นตัดสินใจลดภาระของเรือกระโดดลงน้ำทั้งชุดราชปะแตนและช่วยตีน้ำออกแรงดันเพื่อให้เรือถึงฝั่งเร็วขึ้น หญิงสาวใช้สองมือวิดน้ำออกจากเรือเป็นพัลวันแม้จะไม่ช่วยอะไรได้มากนัก

ครืน...เปรี้ยง!
เสียงฟ้าผ่าทำเอาอกสั่นขวัญแขวน และเมื่อลมกรรโชกมาอีกครั้งก็เกินที่เรือน้อยจะต้านทานไหว พลิกคว่ำลงไปกลางพายุที่โหมกระหน่ำ
“ว้าย...พี่กล้าช่วยเนื้ออ่อนด้วย”

“เนื้ออ่อน!”




ควับ! เผียะ!
“บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าเล่นอะไรให้ระวัง นี่ดีนะที่ลูกสาวข้าไม่เป็นอะไรมากไปกว่านี้”
หวายขนาดหัวแม่มือถูกกระหน่ำลงไปบนหลังเปล่าเปลือยของชายหนุ่มผู้ตกเป็นจำเลยครั้งแล้วครั้งเล่าในทันทีที่กลับถึงเรือนและรายงานทุกอย่างให้ท่านเจ้าคุณทราบ พายุที่เงียบสงบไปนานจากหัวใจของผู้เป็นพ่อกลับมาเกรี้ยวกราดอีกครั้ง และครั้งนี้ยากจะมีผู้ใดทัดทานหรือห้ามปรามได้ ความสะเพร่าและประมาทเลินเล่ออาจนำหายนะมาสู่ตัวเองและผู้อื่นได้ทุกเมื่อนั่นเป็นสิ่งที่ควรตระหนักและระลึกเอาไว้ในใจอยู่เสมอ ผลของความคิดอย่างมักง่ายว่า ‘ไม่เป็นไรกระมัง’ อาจเลวร้ายและรุนแรงเกินกว่าจะคาดคิด เมื่ออายุที่มากขึ้นไม่ได้ทำให้ความคิดนั้นเติบโตตาม ก็ต้องมีการลงโทษให้หลาบจำเผื่อจะได้สะกิดสำนึกดีให้เกิดขึ้นตามเวลาที่ควรจะเป็น รอยริ้วๆ บนแผ่นหลังมีเลือดไหลซิบๆ ชายหนุ่มนั่งนิ่ง ขบกรามแน่นเพื่อระงับความเจ็บแสบจากแรงโบยและรอยหวาย

“เจ้าคุณพ่อ พอได้แล้ว...เนื้ออ่อนเป็นคนชวนพี่กล้าออกไปเอง ฮือๆๆ”
หญิงสาวที่ร่างกายเปียกปอนต้องน้ำตาไหลพรากอย่างสุดกลั้น ความเจ็บปวดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจไม่น้อยไปกว่าคนที่ถูกโบยเลยสักนิด หรืออาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำเมื่อนึกว่าตัวเองคือต้นเหตุที่ทำให้พี่กล้าต้องถูกลงโทษอยู่ในขณะนี้ หากเนื้ออ่อนไม่อยากออกไปนั่งเรือเล่น หากเนื้ออ่อนไม่มัวแต่โอ้เอ้พี่กล้าก็คงไม่เจ็บตัวแบบนี้

“ลูกก็เหมือนกัน เอาไว้ทำโทษเจ้ากล้าก่อน แล้วจะลงโทษทีหลัง แม่รำไพพาลูกไป!” หันมาคาดโทษกับลูกสาวด้วยสีหน้าและแววตาดุดัน เห็นทีครั้งนี้คงไม่สามารถทำให้เจ้าคุณพ่อใจอ่อนได้ง่ายๆ เสียแล้ว
“เจ้าคุณพ่อ.. พี่กล้า.. เนื้ออ่อนขอโทษ”
“คุณพี่คะ..”
“พาลูกไป!” ไม่เว้นแม้แต่คุณหญิงรำไพที่ต้องโดนดุไปด้วย คุณหญิงจำต้องพาเนื้ออ่อนขึ้นเรือนไปอย่างเงียบๆ

“เอ่อ...เจ้าคุณอาขอรับ พอเถอะขอรับมันเป็นอุบัติเหตุ”
“พ่อต้นกลับไปก่อน เรื่องในบ้านอาจะจัดการเอง”
“แต่...”
“อาบอกให้กลับไปก่อน!”
“ขอรับ...” เมื่อไม่สามารถทัดทานอะไรได้ ก็จนปัญญา หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี การเชื่อฟังของต้น ถึงไม่อาจลดความเกรี้ยวโกรธของเจ้าคุณอาลงได้ แต่ก็เป็นการตัดโอกาสที่จะทำให้ยิ่งโมโหมากยิ่งขึ้น หากยังดื้อรั้นคนที่จะต้องทนรับเคราะห์ก็คือ กล้า นั่นเอง

“จำไว้อย่าทำอีก ไอ้สน โบยมันอีกยี่สิบไม้” พายุร้ายสงบลงบ้างแล้ว หากแต่เพียงน้อยนิดเท่านั้น ท่านเจ้าคุณกล่าวเสียงดัง พร้อมยื่นหวายต่อให้น้าสนที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ
“เอ่อ...คุณท่านขอรับ จะดีเหรอขอรับ แค่นี้เจ้ากล้ามันก็...”
“รึแกอยากจะโดนอีกคน!”
“ขอรับๆ”

คนเป็นบ่าว มีหน้าที่ต้องทำตามคำสั่งของเจ้านาย แม้จะรู้สึกค้านอยู่ในใจแต่ก็จำต้องทำ เจ้านายเป็นผู้มีพระคุณชุบเลี้ยงให้เติบโตมา ชีวิตทั้งชีวิตของบ่าวทุกคนย่อมพลีให้เจ้านายได้ วันนี้เจ้านายโกรธและต้องการโบยให้สาสมใจ สาสมกับสิ่งที่เจ้านายคิดว่าเป็นความผิด คนเป็นบ่าวก็ต้องน้อมรับอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ

ทุกครั้งที่ลงหวายน้าสนเองก็ปวดใจจนแทบน้ำตาร่วง เจ้ากล้าเป็นเด็กน่ารักว่านอนสอนง่าย เห็นกันมาตั้งแต่แบเบาะ แม้ไม่ใช่ก็ญาติก็เหมือนญาติ ไม่ใช่ลูกก็เหมือนลูก แต่..อดทนอีกหน่อยเถอะกล้า อีกไม่กี่ไม้ก็ครบแล้วละ

มะปรางยืนกอดแม่สีนวลร้องไห้อยู่ใกล้ๆ ทุกๆ ครั้งที่ได้ยินเสียงหวายกระทบเนื้อ หัวใจของมะปรางก็ดังโดนโบยไปด้วยเช่นกัน มันเจ็บปวดและทรมานเสียยิ่งกว่าอะไรดี แล้วทำไมมะปรางจะต้องรู้สึกเจ็บร้อนแทนพี่กล้าขนาดนี้

น้าสนเองก็สุดจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้เมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่รักดังลูกหลานสลบคาหวาย หวายที่หวดด้วยมือของคนที่เจ้ากล้ามันรักดังญาติผู้ใหญ่ของมันอีกคน

“พอแล้ว...น้าสนพอแล้ว พอแล้วเจ้าค่ะคุณท่าน มะปราง..ขอละ...” หญิงสาวสุดจะทนดูอีกต่อไป ผวาเข้ากอดใช้ตัวบังร่างที่แน่นิ่งไปแล้วของพี่กล้าเอาไว้ วันนี้...แม้จะตีให้ตายมะปรางก็จะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรพี่กล้าอีกแล้ว ก้มกอดแนบแน่นซบหน้าร้องไห้น้ำตาไหลริน นี่เป็นชายหนุ่มที่มะปรางใฝ่ฝันอยากจะกอดมานานแสนนานแล้ว ไม่นึกว่าโอกาสที่ได้กอดครั้งแรกจะเป็นการกอดที่น่าสงสารที่สุดอย่างนี้
“ถอยไป!”
“มะปรางผิดที่ไม่ได้ห้าม ถ้าจะตีก็ตีมะปรางด้วยเถอะเจ้าค่ะ แต่ขอละ..อย่าตีพี่กล้าอีกเลย”

“ดี! รักกันมาก ก็แบ่งกันไป โบยให้ครบด้วยนะ ไม่งั้นข้าจะโบยแกเองไอ้สน!”
หญิงสาวผู้ใช้ร่างกายปกป้องหัวใจรัก น้อมรับการลงทัณฑ์อย่างไม่เกรงกลัวความเจ็บปวดใดๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่แส้หวายกระทบแผ่นหลัง ความเจ็บแสบมันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งกาย แต่ยิ่งเจ็บมากเท่าไหร่หัวใจของมะปรางกลับเป็นสุขมากเท่านั้น เพราะมะปรางได้มีโอกาสปกป้องคนที่มะปรางหลงรักตลอดมา ‘มะปรางดีใจที่ได้ทำเพื่อพี่กล้า ถึงแม้พี่กล้าจะไม่ได้รับรู้ก็ตาม ต่อให้มากมายกว่านี้มะปรางก็...ยิน..ดี..’

“นังมะปรางมันสลบไปอีกคนแล้วนะขอรับคุณท่าน”

“เหลือเท่าไหร่ ก็โบยต้นเถอะขอรับเจ้าคุณอา จะให้ต้นเอาตัวรอดคนเดียวทิ้งให้เพื่อนอยู่ในสภาพนี้ ต้นทำไม่ได้ขอรับ”
ต้นกลับมาอีกครั้ง หากคนที่ได้ชื่อว่าเพื่อนรัก สามารถตัดใจทิ้งเพื่อนไปได้ในเวลาเช่นนี้ แล้วคนเราจะมีเพื่อนเอาไว้เพื่ออะไร ชายหนุ่มขบกรามแน่นแต่ไม่อาจสกัดกั้นน้ำตาลูกผู้ชายไม่ให้ไหลออกมาได้ หนึ่งคนคือเพื่อนรัก หนึ่งคนคือน้องสาวที่เล่นหัวกันมาตั้งแต่เด็ก นอนสลบกอดกันกลมอยู่อย่างนั้น เขาไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกแล้ว

“น้าสนโบย!” หันไปบอกน้าสนทั้งน้ำตา สองมือปลดกระดุมเสื้อและโยนมันทิ้งไป นั่งคุกเข่าโอบเพื่อนทั้งสองที่กอดกันสิ้นสติเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง “ต้นพร้อมแล้ว”
“แต่..คุณต้น...เอ่อ..คุณท่านขอรับ”
“ขอร้อง...ขอให้ต้นได้มองหน้าเพื่อนของต้นได้อย่างไม่ต้องนึกละอายด้วยเถอะขอรับ”
“ถ้าต้องการอย่างนั้น..แล้วอาจะอธิบายกับเจ้าคุณพ่อเอง โบย!”

เสียงแส้ที่กระหน่ำลง เจ็บแปลบเข้าไปถึงหัวใจของท่านเจ้าคุณเป็นจังหวะ ทำไมท่านเจ้าคุณจะไม่เข้าใจคนหนุ่มคนสาว แต่หากคนเป็นผู้ใหญ่ยอมอ่อนข้อ แล้วต่อไปจะปกครองคนในบ้านได้อย่างไร ไม่มีพ่อแม่หรือผู้ปกครองคนไหนอยากจะทำโทษเฆี่ยนตีลูกหลานหรือคนในปกครองให้ได้รับความเจ็บปวด แต่..หากไม่รักก็คงไม่... และที่สำคัญ ‘นี่ก็สาสมแล้ว’



ไอรายา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ค. 2554, 07:47:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ค. 2554, 07:47:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 2064





<< ตอนที่ 14 แหวนแทนใจ   ตอนที่ 16 เสียงเรียกร้องของหัวใจ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account