นิยามรักหัวใจร็อค ภาค 2 (นิยามรักของเจ้าชายเย็นชา)
เรื่องราวของอีริค หนุ่มลูกครึ่งฮ่องกงอังกฤษ ที่แสนจะเงียบขรึม คนที่เป็นหัวใจหลักของการทำงานดนตรีของ Evasion ผู้มีความหลังอันลึกลับ และขมขื่น ....
Tags: สิรินดา, นิยามรัก, หัวใจร็อค, แจ่มใส, ภาค 2,นิยาย, sirinda, jamsai, novels, love story, อีริค
ตอน: 32 : โอเคค่ะ ฉันจะไปกับคุณ
“นายแน่ใจนะ” อีวานถามย้ำอีกเป็นครั้งที่สาม เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงคนถามเครียดและเป็นกังวล
“แน่ใจ”
“แต่ว่า ฉันยังคิดว่า นายไม่ต้องทำอะไรขนาดนี้ก็ได้นะอีริค….”
“นายอย่าทำเสียงแบบนั้นสิ อยากให้นายรู้ว่าฉันไม่ได้กำลังเสียสละอะไรนะอีวาน การตัดสินใจครั้งนี้ฉันคิดดี รอบคอบแล้ว”
อีริคและอีวาน นั่งคุยกันอยู่ในสวน คนป่วยติดต่อขอให้ผู้จัดการวงมาพบตั้งแต่เช้า และบอกความต้องการของตนเองอย่างตรงไปตรงมาทันที
เขาต้องการออกจากโรงพยาบาลทั้งๆ ที่ผลการผ่าตัดยังไม่แน่ชัดว่าสายตาจะกลับมาใช้ได้อีกหรือไม่ เขาต้องการลาออกจากวง ไม่มีการขึ้นเวที ไม่มีการออกข่าว ไม่มีบทบาทใดๆ ในวงอีกเลยโดยเร็วที่สุด เรื่องนี้ถือเป็นเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายมาก และไม่อยู่ในแผนสำรองของอีวานเลย นั่นทำให้ผู้จัดการวงอึ้ง และเครียดขึ้นมาทันที
จากการที่ทำงานด้วยกันมานาน เขารู้ว่าอีริคเป็นคนจริงจัง พูดคำไหนคำนั้นเสมอ การบอกข่าวทั้งหมดมันหมายถึงการคิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้วมันหมายความว่า Evasion กำลังจะเสียมือกีตาร์คู่ใจไป
“ถ้านายลาออกแล้วใครจะเล่นกีตาร์ให้วงล่ะ”
“ฉันได้ข่าวว่ามีรุ่นน้องที่มีฝีมือหลายคนไม่ใช่รึ นายก็เลือกมาสักคนสิ ตอนนี้ถึงเวลาของรุ่นใหม่แล้วนะ”
คนฟังถอนหายใจ “มันไม่ใช่ใครก็ได้นะอีริค การเล่นมันต้องเข้าขากันด้วย ถ้าต้องเทรนคนใหม่ ก็คงนานกว่าจะเข้ากับทุกคนได้”
“ฉันเข้าใจ แต่…บางทีมันก็ต้องเป็นไปแบบนั้นว่ะ” คนพูดยังย้ำความคิดเดิม คือไม่เปลี่ยนใจ “ฉันคงต้องรักษาตัวอีกนาน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตาจะปกติ บางทีมันคงถึงเวลาที่ฉันจะพักอย่างจริงจังเสียที”
ผู้จัดการวงรู้ว่าคนเจ็บมีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ คงจะดูแลตัวเองได้ไม่ลำบาก
“นายไม่คิดถึงแฟนเพลงของนายรึ จำแฟนมีตติ้งที่เกาหลีไม่ได้รึไง แฟนๆ ของนายเยอะแค่ไหน พวกเขาจะ….”
“บางที การลงจากเวทีตอนนี้ อาจดีกว่าดันทุรัง ให้ทุกอย่างมันเลวร้ายกว่านี้นะ”
“แล้วใครจะดูแลนาย นายจะไปทำอะไร ยังไง ฉันเป็นห่วง พวกเราทุกคนในวงเป็นห่วงนายนะ”
“ฉันรู้…เรื่องฉันจะอยู่ที่ไหน อย่าเพิ่งถามตอนนี้ได้ไหม พร้อมแล้วจะติดต่อกลับมา”
คนฟังนิ่งอึ้ง
“นายคิดรอบคอบแล้วใช่ไหม”
อีริคพยักหน้า
ผู้จัดการวงสูดลมหายใจเข้าปอดลึก รู้สึกเหมือนสิ่งสำคัญในชีวิตสิ่งหนึ่งกำลังจะขาดหายไป
“สัญญาได้ไหมว่า ถ้านายอยากกลับเข้าวงการ นายจะติดต่อฉันเป็นคนแรก”
“….”
“อย่าบอกว่าจะไม่ เผื่อใจไว้หน่อย ได้ไหม” อีวานตบไหล่คนฟังเบาๆ
“ก็ได้” อีรีคพยักหน้า “ถ้าฉันอยากกลับมาทำเพลงอีก ฉันจะโทรหานายคนแรก”
“ดี” คนพูดนิ่งไปชั่ววินาทีเพราะคิดอะไรไม่ออก ข่าวที่ได้รับมันเร็วเกินไป “ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนี้ แต่ก็ยอมรับในการตัดสินใจของนายนะ”
“ขอบใจที่นายเข้าใจนะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว...นายพาฉันกลับห้องเถอะ”
“ได้” อีวานลุกขึ้น เข็นรถเข็นของอีริคไปยังทิศที่กลับไปยังห้องพักคนป่วย ถึงประตูทางออกจากสวน รมิดายืนรออยู่แล้ว
“กำลังคิดว่าจะเข้าไปตามเลยค่ะ อากาศเริ่มร้อนแล้ว เดี๋ยวคนป่วยจะเป็นอย่างอื่นนอกจากตาเจ็บ” คนพูดแตะแขนคนที่นั่งเก้าอี้รถเข็นอยู่ “คุณโอเคนะคะ”
“ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอกน่า” อีริคตอบยิ้มๆ เอามือตบฝ่ามือเล็กที่แตะแขนของเขาอยู่ แล้วบีบเบาๆ ก่อนจะปล่อยออก
อีวานขมวดคิ้ว น้ำเสียงคนป่วยไม่ได้แข็ง และดูห่างเหินไร้อารมณ์เหมือนที่เคย จริงสิ เขาลืมถามไปเลยว่าอีริคจะทำยังไงกับพยาบาลพิเศษคนนี้
……
อีวานกลับไปนานแล้ว รมิดากำลังนอนดูละครเกาหลียามบ่ายเมื่ออีริคเดินลงจากเตียงมานั่งข้างๆ เธอหันไป แอบชื่นชมในใจว่าคนป่วยมีสัมผัสที่ดีขึ้นมาก เขาสามารถเดินไปทั่วห้องโดยไม่สะดุดอะไร บอกได้ว่าเจ้าตัวจำได้ว่าเฟอร์นิเจอร์ตัวไหนตั้งอยู่ตรงไหน
ถ้าไม่มีผ้าปิดตาอยู่ ดูเหมือนเขามีอาการปกติทุกอย่างแล้ว
“นอนไม่หลับหรือคะ”
ปกติเวลานี้ อีริคจะพักผ่อนชั่วครู่ ก่อนที่พยาบาลจะมาพาไปทำกายภาพบำบัด
“ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
คนฟังขมวดคิ้ว
“ผมจะออกจากโรงพยาบาล ในวันสองวันนี้แล้ว”
รมิดาเข้าใจแล้วว่าอีวานมาคุยเรื่องอะไรกับเขาอยู่เป็นนานสองนาน
“ผมจะไปอยู่ที่ไกลๆ สักพัก” คนพูดอธิบายต่อ
“อาการป่วยของคุณละคะ...มันปลอดภัยเหรอคะหากจะไปอยู่ข้างนอก”
“ปรึกษาหมอแล้ว คิดว่ายังทำอะไรกับตาของผมไม่ได้ อย่างน้อยก็เดือนหนึ่ง”
“แล้วที่เพิ่งผ่าตัดละคะ”
คนฟังนิ่ง
“คะ หมายความว่ามันไม่ได้ผลหรือคะ คุณรู้ได้ยังไงเพิ่งผ่าตัดไปได้ไม่กี่วันเอง” รมิดาอดไม่ได้ที่จะจับต้นแขนของคนป่วยนับจากวันที่เธอร้องให้กับอกของเขา ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ดีขึ้นมาก อย่างน้อย เขาก็ให้เวลาพูดคุยกับเธอมากขึ้น บ่อยขึ้น
“คุณยังต้องอยู่ในการดูแลของคุณหมอนะคะ คุณคิดอะไร ทำไมถึงได้จะออกจากโรงพยาบาลตอนนี้”
“ผมเบื่อ”เขาตอบตรงไปตรงมา “เบื่อที่นี่เต็มทีแล้ว”
“แต่”
“ผมปรึกษาหมอแล้ว การผ่าตัดของผม เป็นการผ่าตัดประสาทตา ดังนั้น หากดีขึ้น อาการมันจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง หากแย่ลง มันก็จะรู้ภายในหนึ่งเดือน นั่นคือผมมองไม่เห็น แล้วคุณจะให้ผมนั่งๆ นอนๆ อยู่เฉยๆ อีกเป็นเดือนน่ะเรอะ ไม่ไหวหรอก แค่นี้ก็อยากโดดตึกตายวันละหลายรอบแล้ว เบื่อ”
นานๆ อีริคจะพูดอะไรยาวๆ แบบนี้เสียที คนฟังก็เลยอึ้งไปไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก
“ผมมาบอกเพราะอยากให้คุณเตรียมเก็บของ กลับบ้านได้แล้ว”
รมิดาอึ้งอีกเป็นสองเท่า เธอควรจะรู้สึกอย่างไรนะ ดีใจ หรือเสียใจ...
“ทำไมเงียบ”
“ก็…”
“ฝน” มือของคนป่วยทาบทับลงบนมือของหญิงสาวที่อยู่บนแขนของเขาก่อนหน้านั้น “ทำไมเงียบไป”
คนฟังส่ายหน้า “มันเร็วจนฉันตั้งตัวไม่ทันค่ะ ยังไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าเลยว่า ถ้าไม่ได้อยู่ดูแลคุณแล้ว เอ่อ ฉันจะทำอะไร”
จริงๆ รมิดาจะไปช่วยงานของพี่สาวก็ได้ แต่ตอนนี้ เธอรู้สึกแปลกๆ ที่จู่ๆ เขาก็จะหายไปจากชีวิตของเธอ และเธอไม่ต้องคอยดูแล คอยเป็นห่วงเขาอีก
“คุณจะไปอยู่ที่ไหนคะ กลับที่พักของคุณ ใครจะดูแลให้…อ้อ ลืมไป ค่ายคงจะจ้างพยาบาลพิเศษให้” ปลายประโยคเบา ไม่รู้จะไปห่วงเขาทำไม ค่ายต้องดูแลเขาดีที่สุดอยู่แล้ว
“เปล่า” คนฟังยิ้มน้อยๆ “ผมจะไปทะเล”
“คะ”
“ผมลาออกจากวงแล้ว จะไปอยู่นิ่งๆ ที่ไกลๆ ไม่มีใครรู้จักสักพัก อยากเปลี่ยนแปลง แต่ยังไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน เลยตั้งใจว่าจะไปคิดให้ออกว่าอยากทำอะไรกับชีวิตดี ถ้าสายตาใช้ไม่ได้อีกต่อไป” น้ำเสียงคนพูดเหมือนจะยอมรับต่อชะตากรรมของตนเองแล้ว
“โธ่คุณอีริค”
“อย่ามาสงสารผม” เขาตบหลังมือเล็กๆ ของหญิงสาวเบาๆ “เพราะผมไม่ได้สงสารตัวเองที่ทำแบบนี้ ผมแค่อยากเริ่มต้นใหม่ ในที่ใหม่”
กับการไม่มีใครเลยนี่นะ รมิดาบ่นในใจ ตัวโต เรื่องมาก และสายตาไม่ดีแบบนี้จะเอาตัวรอดได้ยังไง
“คุณจะไปเมื่อไหร่คะ วันนี้เลยหรือคะ” คนพูดดึงมือของตนเองออก แล้วเสลุกขึ้นไปชงชาให้ตัวเองที่โต๊ะซึ่งอยู่มุมห้อง “จะเอาชาร้อนสักแก้วไหม ฉันจะชงเผื่อ”
คนฟังส่ายหน้า “ผมอยากออกจากโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เท่าที่อีวานพาผมออกจากที่นี่ได้”
น้ำเสียงของคนพูดไม่ได้ดูสงสารตัวเองอย่างที่เขาบอกจริงๆ
“คุณคิดดีแล้วใช่ไหมคะ” คนพูดเติมนมมากเกินปกติ เพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่นมากกว่าการชงชาให้ตัวเอง
อีริคหัวเราะเบาๆ “คุณถามเหมือนผู้จัดการวงของผมเลย ให้ตายสิ”
รอยยิ้มของเขาอบอุ่น สบายๆ ไม่เครียดขึ้งแบบก่อนอีกแล้ว
“ฉันแค่ถามเพื่อความมั่นใจ”
“บอกแล้วว่าไม่ต้องสงสาร ผมดูแลตัวเองได้”
หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่ใช่สงสาร แต่เป็นห่วง” เธอตอบจริงจัง “ที่คุณจะออกจากโรงพยาบาลเพราะฉันหรือเปล่า คุณไม่อยากให้ฉันดูแลอีกแล้ว…ใช่ไหมคะ”
“เปล่า” คนพูดเอนหลังพิงพนักโซฟา
“ผมอยากเป็นอิสระ” คำนั้นกินความหมายลึกซึ้งกว่าคำว่า -อิสระ- เฉยๆ
“ฉันไม่เข้าใจคุณเลยจริงๆนะ”
เขาเป็นคนที่ไม่มีใครเข้าใจง่ายนักหรอก อีริคบอกตัวเอง แม้แต่ตัวของเขาเอง บางครั้งก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเลย
“ผมอยากให้คุณโทรหานายดินให้หน่อย มีเรื่องการลงทุนที่ต้องสั่งให้เขาจัดการแทนผมหลายเรื่องระหว่างที่ผมไม่อยู่ มันอาจต้องมาหาผมเย็นนี้”
“ได้ค่ะ” รมิดาผละไปหยิบโทรศัพท์แล้วกดหาเพื่อนสนิทของอีริค ก่อนจะเดินออกไปจากห้องเงียบๆ หลังจากอีริคคุยโทรศัพท์ไม่นาน พยาบาลก็มาพาตัวเขาไปทำกายภาพบำบัดประจำวัน นั่นทำให้เธอยังไม่มีโอกาสได้คุยกันอีก จนเวลาเย็นอีวานจึงได้โทรมายืนยันว่าหมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาล ระหว่างนั้นคนป่วยได้รับการตรวจอย่างละเอียดยิบอีกหลายรายการเพื่อให้หมอแน่ใจว่าคนไข้พร้อมออกไปดูแลตัวเองข้างน้องโรงพยาบาลจริงๆ
รมิดาใช้เวลาที่ต้องอยู่คนเดียวเก็บของอย่างเหงาๆ ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะเหงาไปไหนนักหนา
“เก็บของอยู่เหรอ” เสียงของคนป่วยดังขึ้นเบื้องหลัง หญิงสาวละมือจากกระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบย่อมของตัวเอง เขาคงเพิ่งกลับมา ร่างสูงเดินมาช้าๆ โดยไม่ต้องใช้รถเข็นแล้ว...
เขาไม่ได้ดูเป็นศิลปินเรื่องมาก ยากจะเข้าถึงอีกต่อไป เป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่มีมุมอบอุ่น อ่อนหวาน ภายใต้มาดนิ่งๆ ไร้อารมณ์เป็นนิจนั่นสำหรับเธอ
“ค่ะ คุณหิวไหมคะ”
“ไม่….”
“ถ้างั้น…คุณอยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”
คำถามนั้นทำให้ร่างสูงที่ยืนอยู่ค่อยๆ เดินมาหยุดหยู่ข้างเตียง ท่าทางของเขาดูแปลกไปมากสำหรับรมิดา เหมือนเขาจะกังวลอะไรสักอย่าง
"ผม..มีเรื่องอยากถามคุณ ว่าจะพูดตั้งแต่ก่อนไปทำกายภาพ แต่ก็..."
"ถามมาสิคะ"
“ผมอยากถามว่า…เอ่อ เรื่องที่ผมจะไปที่ไหนไกลๆ สักพักน่ะ คุณสนใจจะไปกับผมหรือเปล่า”
“….” ถ้าอีริคมีสายตาปกติ ตอนนี้เขาคงได้เห็นว่าอีกฝ่ายเบิกตากว้าง อ้าปากค้างเหมือนจะพูดตอบ แล้วก็ปิดปากเพราะไม่แน่ใจจะพูดอะไรดี ในขณะที่แววตาเรืองรองด้วยความรู้สึกดีใจ
แต่เพราะเขามองไม่เห็นจึงคิดว่าความเงียบนั้นแปลว่าปฏิเสธ แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร จึงถอยหลังไปสองก้าว “ขอโทษ ผมเพียงแค่…” จู่ๆ เขาก็รู้สึกต้องการใครสักคนขึ้นมาก คนพูดไม่ได้เอ่ยประโยคสุดท้ายออกไป
รมิดาผละจากกระเป๋าบนเตียง ก้าวเร็วๆ ตามมา และจับแขนเขาไว้ทันได
“คุณชวนฉันจริงๆ ใช่ไหมคะ”
อีริคชะงัก ก่อนจะพยักหน้า อมยิ้มนิดๆ แบบนี้คนตรงข้ามไม่เคยเห็นบ่อยหนัก “งั้นสิ ผมต้องมีใครสักคนดูแล ไม่อยากได้พยาบาล…ที่วันๆ เอาแต่จะจับผมกินยา”
เหตุผลดี หญิงสาวกลั้นยิ้ม
“ค่ะ ค่ะ คุณต้องมีใครสักคนดูแล จริงๆ ด้วย”
“ว่าไงล่ะ สนไหม ผมจ้างคุณ”
เธออยากถามว่าเพราะอะไร ทำไม แต่ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยใจเสียก่อน
“โอเคค่ะ โอเค ฉันจะไปกับคุณ”
น้ำเสียงละล่ำละลักนั่นทำให้คนฟังเปิดยิ้มกว้าง โล่งอก
"แต่…."
ร่างสูงหุบยิ้มทันได
"ฉัน...คุณพ่อ...เอ่อ...คุณ"
อีริคโบกมือห้าม
"ผมอยากลบอดีตของตัวเอง อยากเริ่มต้นไหม่ นั่นหมายความว่า" ชายหนุ่มค่อยๆ เดินมาหาเธอ ปลายนิ้วของเขาแตะที่เรื่อยๆ มาจนใกล้ตัวหญิงสาว เธอก้าวมาหยุดตรงหน้าเขา และจับต้นแขนของเขาไว้เพราะกลัวอีกฝ่ายสะดุดล้มไปเสียก่อน
"ถ้าคุณไปกับผม เราจะเป็นคนสองคนที่...ไม่มีอดีตอีกต่อไป"
คนพูดรวบปลายนิ้วของหญิงสาว ก่อนจะดึงร่างบางเข้าหาตัว เธอผ่อนลมหายใจ แล้วเอนตัวพิงอีกฝ่ายไว้ รับรู้ได้ว่าอ้อมแขนของชายหนุ่มโอบผ่านด้านหลัง
"ผมเหนื่อยเต็มที กับเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา"
รมิดานิ่งอยู่ในอ้อมก่อนอุ่นๆ นั่นได้พักใหญ่ ความรู้สึกหลากหลายประดังกันเข้ามาจนแทบตั้งตัวไม่ติด เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า เธอเพิ่งรู้สึกเหงา ว้าเหว่ ไร้ทิศทาง ไร้จุดหมาย
แต่ในวินาทีนี้...ทุกอย่างเปลี่ยนไปในพริบตา จนเจ้าตัวหวังว่า มันคงไม่ใช่เรื่องที่ฝันไปอีกเรื่อง....
xxxx
20/02/2013 เพิ่มเติมเนื้อเรื่องอีกนิดหน่อยเพื่อความสมบูรณ์ค่ะ
“แน่ใจ”
“แต่ว่า ฉันยังคิดว่า นายไม่ต้องทำอะไรขนาดนี้ก็ได้นะอีริค….”
“นายอย่าทำเสียงแบบนั้นสิ อยากให้นายรู้ว่าฉันไม่ได้กำลังเสียสละอะไรนะอีวาน การตัดสินใจครั้งนี้ฉันคิดดี รอบคอบแล้ว”
อีริคและอีวาน นั่งคุยกันอยู่ในสวน คนป่วยติดต่อขอให้ผู้จัดการวงมาพบตั้งแต่เช้า และบอกความต้องการของตนเองอย่างตรงไปตรงมาทันที
เขาต้องการออกจากโรงพยาบาลทั้งๆ ที่ผลการผ่าตัดยังไม่แน่ชัดว่าสายตาจะกลับมาใช้ได้อีกหรือไม่ เขาต้องการลาออกจากวง ไม่มีการขึ้นเวที ไม่มีการออกข่าว ไม่มีบทบาทใดๆ ในวงอีกเลยโดยเร็วที่สุด เรื่องนี้ถือเป็นเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายมาก และไม่อยู่ในแผนสำรองของอีวานเลย นั่นทำให้ผู้จัดการวงอึ้ง และเครียดขึ้นมาทันที
จากการที่ทำงานด้วยกันมานาน เขารู้ว่าอีริคเป็นคนจริงจัง พูดคำไหนคำนั้นเสมอ การบอกข่าวทั้งหมดมันหมายถึงการคิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้วมันหมายความว่า Evasion กำลังจะเสียมือกีตาร์คู่ใจไป
“ถ้านายลาออกแล้วใครจะเล่นกีตาร์ให้วงล่ะ”
“ฉันได้ข่าวว่ามีรุ่นน้องที่มีฝีมือหลายคนไม่ใช่รึ นายก็เลือกมาสักคนสิ ตอนนี้ถึงเวลาของรุ่นใหม่แล้วนะ”
คนฟังถอนหายใจ “มันไม่ใช่ใครก็ได้นะอีริค การเล่นมันต้องเข้าขากันด้วย ถ้าต้องเทรนคนใหม่ ก็คงนานกว่าจะเข้ากับทุกคนได้”
“ฉันเข้าใจ แต่…บางทีมันก็ต้องเป็นไปแบบนั้นว่ะ” คนพูดยังย้ำความคิดเดิม คือไม่เปลี่ยนใจ “ฉันคงต้องรักษาตัวอีกนาน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตาจะปกติ บางทีมันคงถึงเวลาที่ฉันจะพักอย่างจริงจังเสียที”
ผู้จัดการวงรู้ว่าคนเจ็บมีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ คงจะดูแลตัวเองได้ไม่ลำบาก
“นายไม่คิดถึงแฟนเพลงของนายรึ จำแฟนมีตติ้งที่เกาหลีไม่ได้รึไง แฟนๆ ของนายเยอะแค่ไหน พวกเขาจะ….”
“บางที การลงจากเวทีตอนนี้ อาจดีกว่าดันทุรัง ให้ทุกอย่างมันเลวร้ายกว่านี้นะ”
“แล้วใครจะดูแลนาย นายจะไปทำอะไร ยังไง ฉันเป็นห่วง พวกเราทุกคนในวงเป็นห่วงนายนะ”
“ฉันรู้…เรื่องฉันจะอยู่ที่ไหน อย่าเพิ่งถามตอนนี้ได้ไหม พร้อมแล้วจะติดต่อกลับมา”
คนฟังนิ่งอึ้ง
“นายคิดรอบคอบแล้วใช่ไหม”
อีริคพยักหน้า
ผู้จัดการวงสูดลมหายใจเข้าปอดลึก รู้สึกเหมือนสิ่งสำคัญในชีวิตสิ่งหนึ่งกำลังจะขาดหายไป
“สัญญาได้ไหมว่า ถ้านายอยากกลับเข้าวงการ นายจะติดต่อฉันเป็นคนแรก”
“….”
“อย่าบอกว่าจะไม่ เผื่อใจไว้หน่อย ได้ไหม” อีวานตบไหล่คนฟังเบาๆ
“ก็ได้” อีรีคพยักหน้า “ถ้าฉันอยากกลับมาทำเพลงอีก ฉันจะโทรหานายคนแรก”
“ดี” คนพูดนิ่งไปชั่ววินาทีเพราะคิดอะไรไม่ออก ข่าวที่ได้รับมันเร็วเกินไป “ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนี้ แต่ก็ยอมรับในการตัดสินใจของนายนะ”
“ขอบใจที่นายเข้าใจนะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว...นายพาฉันกลับห้องเถอะ”
“ได้” อีวานลุกขึ้น เข็นรถเข็นของอีริคไปยังทิศที่กลับไปยังห้องพักคนป่วย ถึงประตูทางออกจากสวน รมิดายืนรออยู่แล้ว
“กำลังคิดว่าจะเข้าไปตามเลยค่ะ อากาศเริ่มร้อนแล้ว เดี๋ยวคนป่วยจะเป็นอย่างอื่นนอกจากตาเจ็บ” คนพูดแตะแขนคนที่นั่งเก้าอี้รถเข็นอยู่ “คุณโอเคนะคะ”
“ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอกน่า” อีริคตอบยิ้มๆ เอามือตบฝ่ามือเล็กที่แตะแขนของเขาอยู่ แล้วบีบเบาๆ ก่อนจะปล่อยออก
อีวานขมวดคิ้ว น้ำเสียงคนป่วยไม่ได้แข็ง และดูห่างเหินไร้อารมณ์เหมือนที่เคย จริงสิ เขาลืมถามไปเลยว่าอีริคจะทำยังไงกับพยาบาลพิเศษคนนี้
……
อีวานกลับไปนานแล้ว รมิดากำลังนอนดูละครเกาหลียามบ่ายเมื่ออีริคเดินลงจากเตียงมานั่งข้างๆ เธอหันไป แอบชื่นชมในใจว่าคนป่วยมีสัมผัสที่ดีขึ้นมาก เขาสามารถเดินไปทั่วห้องโดยไม่สะดุดอะไร บอกได้ว่าเจ้าตัวจำได้ว่าเฟอร์นิเจอร์ตัวไหนตั้งอยู่ตรงไหน
ถ้าไม่มีผ้าปิดตาอยู่ ดูเหมือนเขามีอาการปกติทุกอย่างแล้ว
“นอนไม่หลับหรือคะ”
ปกติเวลานี้ อีริคจะพักผ่อนชั่วครู่ ก่อนที่พยาบาลจะมาพาไปทำกายภาพบำบัด
“ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
คนฟังขมวดคิ้ว
“ผมจะออกจากโรงพยาบาล ในวันสองวันนี้แล้ว”
รมิดาเข้าใจแล้วว่าอีวานมาคุยเรื่องอะไรกับเขาอยู่เป็นนานสองนาน
“ผมจะไปอยู่ที่ไกลๆ สักพัก” คนพูดอธิบายต่อ
“อาการป่วยของคุณละคะ...มันปลอดภัยเหรอคะหากจะไปอยู่ข้างนอก”
“ปรึกษาหมอแล้ว คิดว่ายังทำอะไรกับตาของผมไม่ได้ อย่างน้อยก็เดือนหนึ่ง”
“แล้วที่เพิ่งผ่าตัดละคะ”
คนฟังนิ่ง
“คะ หมายความว่ามันไม่ได้ผลหรือคะ คุณรู้ได้ยังไงเพิ่งผ่าตัดไปได้ไม่กี่วันเอง” รมิดาอดไม่ได้ที่จะจับต้นแขนของคนป่วยนับจากวันที่เธอร้องให้กับอกของเขา ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ดีขึ้นมาก อย่างน้อย เขาก็ให้เวลาพูดคุยกับเธอมากขึ้น บ่อยขึ้น
“คุณยังต้องอยู่ในการดูแลของคุณหมอนะคะ คุณคิดอะไร ทำไมถึงได้จะออกจากโรงพยาบาลตอนนี้”
“ผมเบื่อ”เขาตอบตรงไปตรงมา “เบื่อที่นี่เต็มทีแล้ว”
“แต่”
“ผมปรึกษาหมอแล้ว การผ่าตัดของผม เป็นการผ่าตัดประสาทตา ดังนั้น หากดีขึ้น อาการมันจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง หากแย่ลง มันก็จะรู้ภายในหนึ่งเดือน นั่นคือผมมองไม่เห็น แล้วคุณจะให้ผมนั่งๆ นอนๆ อยู่เฉยๆ อีกเป็นเดือนน่ะเรอะ ไม่ไหวหรอก แค่นี้ก็อยากโดดตึกตายวันละหลายรอบแล้ว เบื่อ”
นานๆ อีริคจะพูดอะไรยาวๆ แบบนี้เสียที คนฟังก็เลยอึ้งไปไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก
“ผมมาบอกเพราะอยากให้คุณเตรียมเก็บของ กลับบ้านได้แล้ว”
รมิดาอึ้งอีกเป็นสองเท่า เธอควรจะรู้สึกอย่างไรนะ ดีใจ หรือเสียใจ...
“ทำไมเงียบ”
“ก็…”
“ฝน” มือของคนป่วยทาบทับลงบนมือของหญิงสาวที่อยู่บนแขนของเขาก่อนหน้านั้น “ทำไมเงียบไป”
คนฟังส่ายหน้า “มันเร็วจนฉันตั้งตัวไม่ทันค่ะ ยังไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าเลยว่า ถ้าไม่ได้อยู่ดูแลคุณแล้ว เอ่อ ฉันจะทำอะไร”
จริงๆ รมิดาจะไปช่วยงานของพี่สาวก็ได้ แต่ตอนนี้ เธอรู้สึกแปลกๆ ที่จู่ๆ เขาก็จะหายไปจากชีวิตของเธอ และเธอไม่ต้องคอยดูแล คอยเป็นห่วงเขาอีก
“คุณจะไปอยู่ที่ไหนคะ กลับที่พักของคุณ ใครจะดูแลให้…อ้อ ลืมไป ค่ายคงจะจ้างพยาบาลพิเศษให้” ปลายประโยคเบา ไม่รู้จะไปห่วงเขาทำไม ค่ายต้องดูแลเขาดีที่สุดอยู่แล้ว
“เปล่า” คนฟังยิ้มน้อยๆ “ผมจะไปทะเล”
“คะ”
“ผมลาออกจากวงแล้ว จะไปอยู่นิ่งๆ ที่ไกลๆ ไม่มีใครรู้จักสักพัก อยากเปลี่ยนแปลง แต่ยังไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน เลยตั้งใจว่าจะไปคิดให้ออกว่าอยากทำอะไรกับชีวิตดี ถ้าสายตาใช้ไม่ได้อีกต่อไป” น้ำเสียงคนพูดเหมือนจะยอมรับต่อชะตากรรมของตนเองแล้ว
“โธ่คุณอีริค”
“อย่ามาสงสารผม” เขาตบหลังมือเล็กๆ ของหญิงสาวเบาๆ “เพราะผมไม่ได้สงสารตัวเองที่ทำแบบนี้ ผมแค่อยากเริ่มต้นใหม่ ในที่ใหม่”
กับการไม่มีใครเลยนี่นะ รมิดาบ่นในใจ ตัวโต เรื่องมาก และสายตาไม่ดีแบบนี้จะเอาตัวรอดได้ยังไง
“คุณจะไปเมื่อไหร่คะ วันนี้เลยหรือคะ” คนพูดดึงมือของตนเองออก แล้วเสลุกขึ้นไปชงชาให้ตัวเองที่โต๊ะซึ่งอยู่มุมห้อง “จะเอาชาร้อนสักแก้วไหม ฉันจะชงเผื่อ”
คนฟังส่ายหน้า “ผมอยากออกจากโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เท่าที่อีวานพาผมออกจากที่นี่ได้”
น้ำเสียงของคนพูดไม่ได้ดูสงสารตัวเองอย่างที่เขาบอกจริงๆ
“คุณคิดดีแล้วใช่ไหมคะ” คนพูดเติมนมมากเกินปกติ เพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่นมากกว่าการชงชาให้ตัวเอง
อีริคหัวเราะเบาๆ “คุณถามเหมือนผู้จัดการวงของผมเลย ให้ตายสิ”
รอยยิ้มของเขาอบอุ่น สบายๆ ไม่เครียดขึ้งแบบก่อนอีกแล้ว
“ฉันแค่ถามเพื่อความมั่นใจ”
“บอกแล้วว่าไม่ต้องสงสาร ผมดูแลตัวเองได้”
หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่ใช่สงสาร แต่เป็นห่วง” เธอตอบจริงจัง “ที่คุณจะออกจากโรงพยาบาลเพราะฉันหรือเปล่า คุณไม่อยากให้ฉันดูแลอีกแล้ว…ใช่ไหมคะ”
“เปล่า” คนพูดเอนหลังพิงพนักโซฟา
“ผมอยากเป็นอิสระ” คำนั้นกินความหมายลึกซึ้งกว่าคำว่า -อิสระ- เฉยๆ
“ฉันไม่เข้าใจคุณเลยจริงๆนะ”
เขาเป็นคนที่ไม่มีใครเข้าใจง่ายนักหรอก อีริคบอกตัวเอง แม้แต่ตัวของเขาเอง บางครั้งก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเลย
“ผมอยากให้คุณโทรหานายดินให้หน่อย มีเรื่องการลงทุนที่ต้องสั่งให้เขาจัดการแทนผมหลายเรื่องระหว่างที่ผมไม่อยู่ มันอาจต้องมาหาผมเย็นนี้”
“ได้ค่ะ” รมิดาผละไปหยิบโทรศัพท์แล้วกดหาเพื่อนสนิทของอีริค ก่อนจะเดินออกไปจากห้องเงียบๆ หลังจากอีริคคุยโทรศัพท์ไม่นาน พยาบาลก็มาพาตัวเขาไปทำกายภาพบำบัดประจำวัน นั่นทำให้เธอยังไม่มีโอกาสได้คุยกันอีก จนเวลาเย็นอีวานจึงได้โทรมายืนยันว่าหมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาล ระหว่างนั้นคนป่วยได้รับการตรวจอย่างละเอียดยิบอีกหลายรายการเพื่อให้หมอแน่ใจว่าคนไข้พร้อมออกไปดูแลตัวเองข้างน้องโรงพยาบาลจริงๆ
รมิดาใช้เวลาที่ต้องอยู่คนเดียวเก็บของอย่างเหงาๆ ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะเหงาไปไหนนักหนา
“เก็บของอยู่เหรอ” เสียงของคนป่วยดังขึ้นเบื้องหลัง หญิงสาวละมือจากกระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบย่อมของตัวเอง เขาคงเพิ่งกลับมา ร่างสูงเดินมาช้าๆ โดยไม่ต้องใช้รถเข็นแล้ว...
เขาไม่ได้ดูเป็นศิลปินเรื่องมาก ยากจะเข้าถึงอีกต่อไป เป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่มีมุมอบอุ่น อ่อนหวาน ภายใต้มาดนิ่งๆ ไร้อารมณ์เป็นนิจนั่นสำหรับเธอ
“ค่ะ คุณหิวไหมคะ”
“ไม่….”
“ถ้างั้น…คุณอยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”
คำถามนั้นทำให้ร่างสูงที่ยืนอยู่ค่อยๆ เดินมาหยุดหยู่ข้างเตียง ท่าทางของเขาดูแปลกไปมากสำหรับรมิดา เหมือนเขาจะกังวลอะไรสักอย่าง
"ผม..มีเรื่องอยากถามคุณ ว่าจะพูดตั้งแต่ก่อนไปทำกายภาพ แต่ก็..."
"ถามมาสิคะ"
“ผมอยากถามว่า…เอ่อ เรื่องที่ผมจะไปที่ไหนไกลๆ สักพักน่ะ คุณสนใจจะไปกับผมหรือเปล่า”
“….” ถ้าอีริคมีสายตาปกติ ตอนนี้เขาคงได้เห็นว่าอีกฝ่ายเบิกตากว้าง อ้าปากค้างเหมือนจะพูดตอบ แล้วก็ปิดปากเพราะไม่แน่ใจจะพูดอะไรดี ในขณะที่แววตาเรืองรองด้วยความรู้สึกดีใจ
แต่เพราะเขามองไม่เห็นจึงคิดว่าความเงียบนั้นแปลว่าปฏิเสธ แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร จึงถอยหลังไปสองก้าว “ขอโทษ ผมเพียงแค่…” จู่ๆ เขาก็รู้สึกต้องการใครสักคนขึ้นมาก คนพูดไม่ได้เอ่ยประโยคสุดท้ายออกไป
รมิดาผละจากกระเป๋าบนเตียง ก้าวเร็วๆ ตามมา และจับแขนเขาไว้ทันได
“คุณชวนฉันจริงๆ ใช่ไหมคะ”
อีริคชะงัก ก่อนจะพยักหน้า อมยิ้มนิดๆ แบบนี้คนตรงข้ามไม่เคยเห็นบ่อยหนัก “งั้นสิ ผมต้องมีใครสักคนดูแล ไม่อยากได้พยาบาล…ที่วันๆ เอาแต่จะจับผมกินยา”
เหตุผลดี หญิงสาวกลั้นยิ้ม
“ค่ะ ค่ะ คุณต้องมีใครสักคนดูแล จริงๆ ด้วย”
“ว่าไงล่ะ สนไหม ผมจ้างคุณ”
เธออยากถามว่าเพราะอะไร ทำไม แต่ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยใจเสียก่อน
“โอเคค่ะ โอเค ฉันจะไปกับคุณ”
น้ำเสียงละล่ำละลักนั่นทำให้คนฟังเปิดยิ้มกว้าง โล่งอก
"แต่…."
ร่างสูงหุบยิ้มทันได
"ฉัน...คุณพ่อ...เอ่อ...คุณ"
อีริคโบกมือห้าม
"ผมอยากลบอดีตของตัวเอง อยากเริ่มต้นไหม่ นั่นหมายความว่า" ชายหนุ่มค่อยๆ เดินมาหาเธอ ปลายนิ้วของเขาแตะที่เรื่อยๆ มาจนใกล้ตัวหญิงสาว เธอก้าวมาหยุดตรงหน้าเขา และจับต้นแขนของเขาไว้เพราะกลัวอีกฝ่ายสะดุดล้มไปเสียก่อน
"ถ้าคุณไปกับผม เราจะเป็นคนสองคนที่...ไม่มีอดีตอีกต่อไป"
คนพูดรวบปลายนิ้วของหญิงสาว ก่อนจะดึงร่างบางเข้าหาตัว เธอผ่อนลมหายใจ แล้วเอนตัวพิงอีกฝ่ายไว้ รับรู้ได้ว่าอ้อมแขนของชายหนุ่มโอบผ่านด้านหลัง
"ผมเหนื่อยเต็มที กับเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา"
รมิดานิ่งอยู่ในอ้อมก่อนอุ่นๆ นั่นได้พักใหญ่ ความรู้สึกหลากหลายประดังกันเข้ามาจนแทบตั้งตัวไม่ติด เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า เธอเพิ่งรู้สึกเหงา ว้าเหว่ ไร้ทิศทาง ไร้จุดหมาย
แต่ในวินาทีนี้...ทุกอย่างเปลี่ยนไปในพริบตา จนเจ้าตัวหวังว่า มันคงไม่ใช่เรื่องที่ฝันไปอีกเรื่อง....
xxxx
20/02/2013 เพิ่มเติมเนื้อเรื่องอีกนิดหน่อยเพื่อความสมบูรณ์ค่ะ
สิรินดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ก.พ. 2556, 23:39:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.พ. 2556, 15:12:23 น.
จำนวนการเข้าชม : 3999
<< 31 : ความปวดร้าว ก็ยังวนเวียน... | 33 : ก็แค่พระอาทิตย์ตกดิน >> |
สิรินดา 19 ก.พ. 2556, 23:41:23 น.
สั้นและอาจมีพิมพ์ผิด เพราะคนเขียนเริ่มง่วงแล้ว มีตรงไหนพลาด บอกกันบ้างเน้อ :)
สั้นและอาจมีพิมพ์ผิด เพราะคนเขียนเริ่มง่วงแล้ว มีตรงไหนพลาด บอกกันบ้างเน้อ :)
สิรินดา 19 ก.พ. 2556, 23:42:56 น.
เป็นเล่มแล้วค่อยใส่รายละเอียดนะตอนนี้ :) ขออภัยจริงๆ
เป็นเล่มแล้วค่อยใส่รายละเอียดนะตอนนี้ :) ขออภัยจริงๆ
Zephyr 19 ก.พ. 2556, 23:46:32 น.
ว้าว ต้องเป็นคนนี้เท่านั้นด้วย คริคริ
เริ่มมาแนวดีละ
แต่...เศร้า evasion จะไม่มีอีริค แงๆ
ว้าว ต้องเป็นคนนี้เท่านั้นด้วย คริคริ
เริ่มมาแนวดีละ
แต่...เศร้า evasion จะไม่มีอีริค แงๆ
kaelek 19 ก.พ. 2556, 23:55:56 น.
เก็บตังรออีริคนานแล้วค่า
เก็บตังรออีริคนานแล้วค่า
เจนิส 20 ก.พ. 2556, 00:13:28 น.
นึกว่าจะไม่พาไปด้วยซะแล้ว
นึกว่าจะไม่พาไปด้วยซะแล้ว
yayee62 20 ก.พ. 2556, 00:44:13 น.
ไม้ขีด 20 ก.พ. 2556, 03:46:05 น.
ผมปรึกษากับหมอแล้ว การ'ผ่าน'ตัดของผม << นิดนึงค่ะ เจอ
ผมปรึกษากับหมอแล้ว การ'ผ่าน'ตัดของผม << นิดนึงค่ะ เจอ
konhin 20 ก.พ. 2556, 05:32:14 น.
ว้าวว ไปไหนไปด้วยกัน น่ารักอ่ะ
ว้าวว ไปไหนไปด้วยกัน น่ารักอ่ะ
ree 20 ก.พ. 2556, 07:47:58 น.
จะได้มีโอกาสหวานกันซักทีนะ
จะได้มีโอกาสหวานกันซักทีนะ
ตุ๊งแช่ 20 ก.พ. 2556, 08:26:34 น.
คนแก่หลอกเด็ก เพราะติดใจเด็กป่าว อิอิ
คนแก่หลอกเด็ก เพราะติดใจเด็กป่าว อิอิ
supayalak 20 ก.พ. 2556, 09:40:37 น.
ต้องร้องเพลงนี้เลย พรุ่งนี้จะไปกับเธอของพี่โบว์-สุนิตา
ต้องร้องเพลงนี้เลย พรุ่งนี้จะไปกับเธอของพี่โบว์-สุนิตา
Zugart 20 ก.พ. 2556, 18:03:40 น.
พักรักษาตัวและดูแลรักษาหัวใจกันเนอะๆ
พักรักษาตัวและดูแลรักษาหัวใจกันเนอะๆ
รัชต์ 20 ก.พ. 2556, 19:23:06 น.
ความหมายลึกซึ้ง... เราสองคนจะไม่มีอดีตอีกต่อไป...
หมายถึงชวนกันไปทำปัจจุบันเพื่ออนาคตเหรอ..อิ อิ
ความหมายลึกซึ้ง... เราสองคนจะไม่มีอดีตอีกต่อไป...
หมายถึงชวนกันไปทำปัจจุบันเพื่ออนาคตเหรอ..อิ อิ
ชนาพัทธ์ 11 มี.ค. 2556, 22:07:33 น.
ปัจจุบันจะมีแค่เราสองคนสินะ หวานจัง ^^
ปัจจุบันจะมีแค่เราสองคนสินะ หวานจัง ^^