สนิมดอกรัก (ตีพิมพ์แล้ว - สนพ.อรุณ)
แพรวเพชร สิริณธรณ์ ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เมื่อเผ่าภาคินที่เธอเข้าใจว่าเสียชีวิตไปแล้วเกือบสี่ปี
จู่ๆจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
แถมยังมาในมาดมหาเศรษฐีหนุ่มรูปหล่อ ร่ำรวย
และโหดเหี้ยมเหมือนในนิยายเป๊ะ!
.
.
.
.
“เชิญกรอกข้อมูลส่วนตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะแนะนำรายละเอียดและขอบเขตการให้บริการให้ฟัง อ้อ...ต้องให้ดิฉันแจ้งค่าใช้จ่ายให้ทราบคร่าวๆก่อนไหมคะ เพราะค่าบริการของเราไม่แพงก็จริง แต่สำหรับคนกำลังเก็บเงินแต่งงาน มันก็...เป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลย”

“ดูเหมือนว่าเงินจะเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคุณเสมอเลยนะ คุณแพรวเพชร” เผ่าภาคินหยัน

“พูดอย่างกับว่ามันไม่สำคัญสำหรับคุณงั้นแหละ” หญิงสาวบิดริมฝีปากนิดๆอย่างดูถูก จากนั้นเดินไปยังโต๊ะที่วางชิดผนัง ดึงเอกสารแผ่นหนึ่งจากแท่นใสทรงกระบอกถือมากางตรงหน้าชายหนุ่ม พลางอธิบายด้วยท่าทีเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่สนใจแม้จะเห็นว่าสายตาที่จ้องเธอแทบจะแผดเผาลุกเป็นไฟ

“นี่ค่ะ อัตราค่าสมัครแรกเข้าสำหรับลงทะเบียนเป็นสมาชิกของคิวปิดฯ ส่วนคอร์สที่คุณจะเข้าใช้บริการแยกคิดเป็นรายครั้ง เรามีรายการให้คุณเลือกเยอะค่ะ ทั้งดำน้ำ วาดรูป อบรมบุคลิกภาพ เที่ยวพิพิธภัณฑ์ ทำบุญไหว้พระ ทำขนม อ้อ...แต่สุดท้ายนี่ฉันไม่แนะนำนะคะ เพราะคุณคงไม่อยากให้ครูคนนั้นรู้ว่ามาสมัครเป็นลูกค้าที่นี่”

“แล้วมีคอร์สสับรางไม่ให้รถไฟชนกันบ้างไหม หรือไม่ก็พวก...วิธีซ่อนชู้ ซ่อนกิ๊กอะไรแบบนี้น่ะ ผมสนใจเป็นพิเศษ และถ้าให้แนะนำ ผมว่าคุณน่ะเหมาะจะเป็นวิทยากรมาก ใช้ประสบการณ์ตรงมาสอนก็ได้ คงมีคนอยากเรียนกันเยอะแยะ”

แพรวเพชรหัวเราะขัน “แปลกนะคะ คุณพูดเองแท้ๆว่าฉันไม่ได้มีเกียรติ มีเสน่ห์ หรือว่ามีค่าพอให้คุณเสียดมเสียดายอะไรแล้ว แต่ไอ้ที่คุณพูดๆมาเนี่ย เหมือนว่า...คุณจะจำเรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉันได้แม่นยำจังเลย”

หญิงสาวดักคอและลอยหน้าเอ่ยประโยคต่อไปว่า “เอ...หรือว่าอันที่จริงแล้วคุณไม่ได้คิดอย่างที่พูด แต่กำลังเรียกร้องความสนใจจากฉัน หรือบางทีไอ้ที่บอกว่าจะแต่งงานกับคุณนวลนรีนั่นก็เป็นแค่การโกหก แกล้งทำเป็นโชว์ออฟ เพียงเพราะอยากให้ฉันรู้สึกรู้สาไปด้วยเท่านั้นเอง ประชด...อะไรทำนองนั้นน่ะเหรอคะ”

ปฏิกิริยาที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้าทำให้เผ่าภาคินค้นหาคำตอบโต้ไม่พบแม้แต่คำเดียว

แพรวเพชรแต้มยิ้มทำสีหน้าสมเพช จากนั้นก้าวเข้ามาใกล้ เอื้อมมือแตะแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบาหยอกเย้า “โถ...น่ารักจริง แต่ขอโทษด้วยที่ต้องทำให้ผิดหวัง ฉันแต่งงานแล้ว และก็ไม่เคยคิดนอกใจสามี เพราะเขาเป็นคนดีมาก ยิ่งเขาดีเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งนึกเสียดายที่เคยไปเกลือกกลั้วกับของสกปรกมาก่อน โชคดีที่เขาไม่ถือสาอดีตของฉัน ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่ได้เป็นผู้หญิงโชคดีอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”

ประโยคสุดท้ายทิ่มแทงหัวใจคนฟังจนแทบทนไม่ไหว และเพียงเสี้ยววินาทีที่เผ่าภาคินปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความควบคุม อุ้งมือแข็งแรงก็ตวัดคว้าต้นแขนหญิงสาวพร้อมทั้งบีบรุนแรง กระแสบางอย่างที่แล่นปราดผ่านปลายนิ้วทำให้ชายหนุ่มเกือบจะปล่อยมือ แต่เขาก็ฝืนกำมือแน่น เค้นเสียงลอดไรฟันเอ่ยคำถัดมา

“ใช่ ฉันมันเลว ชั่ว แต่ก็สมกันดีแล้วไม่ใช่เหรอ ผู้ชายสกปรกกับผู้หญิงที่น่าขยะแขยงน่ะ แพรวเพชรคนอ่อนโยนไร้เดียงสาที่ฉันเคยรู้จัก มาวันนี้กลับกลายเป็นผู้หญิงกร้านโลก หลายใจ น่ารังเกียจไปแล้ว ทุเรศที่สุด”

“ในเมื่อพี่เผ่าคนที่ฉันเคยรู้จักตายไปแล้ว แพรวเพชรคนที่คุณเคยรู้จักก็สมควรจะตายไปได้แล้วเหมือนกัน ถือว่าเราเสมอกันไงคะ” หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างสะใจ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เนื้อหาทั้งหมดที่ปรากฎบนหน้าเพจนี้สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช ๒๕๓๗ ห้ามมิให้ทำการคัดลอก ดัดแปลง หรือแก้ไข บทความเพื่อนำไปใช้ก่อนได้รับการอนุญาต

หากฝ่าฝืน สิริณ จะดำเนินการทางกฎหมายทั้งจำและปรับ โดยไม่มีการประนีประนอมใดๆทั้งสิ้น

ผู้ใดชี้เบาะแสการคัดลอก สิริณ มีรางวัลนำจับให้ด้วยนะคะ ^^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ ๒

เลกซัสสีขาวเคลื่อนช้าๆเข้ามาจอดยังลานด้านหลังร้านเบเกอรี่ อิงอรุณพับสมุดจดใส่ลงในกระเป๋ายี่ห้อหรูใบใหญ่ เตรียมเปิดประตูลงจากรถ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเพื่อนรักซึ่งทำหน้าที่ขับรถถอนหายใจเฮือก จึงถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรหรือเปล่าน่ะเพชร”

แพรวเพชรสะดุ้ง ใบหน้าที่หันมาแต้มยิ้มกลบเกลื่อนความรู้สึกแนบเนียน “เราไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

“อิงเห็นนะว่าเพชรทำแบบทดสอบในผู้ช่วยกามเทพแทน ‘คนนั้น’ น่ะ” อิงอรุณโพล่งขึ้นกลางคัน

คนฟังหันขวับมาทันที สีหน้ามีรอยตระหนก

อิงอรุณจึงเอ่ยต่อ “ไหนว่าลืมเรื่องที่เคยเกิดขึ้นหมดแล้วไง ทำไมเพชรยังลองใส่ชื่อตัวเองในโปรแกรมกับเขาอีก เขา ‘ไม่อยู่’ แล้วนะเพชร ยังลืมเขาไม่ได้อีกหรือ”

“นี่อิงแอบดูข้อมูลในเครื่องเราเหรอ” แพรวเพชรทำเสียงดังกลบเกลื่อน

“ไม่ต้องแอบก็เห็น เพชรไม่ได้ปิดโปรแกรม” อิงอรุณอธิบายเสียงเรียบ เลื่อนมาจับมือเธอไปบีบเบาๆ “เพชร...ท่องไว้ว่าเพชรมีพี่นรากับหนูกานที่ต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกในชีวิตแล้วนะ เรื่องเก่าๆพวกนั้นน่ะ ลืมมันเสียเถอะ จะมานึกถึงให้ตัวเองเป็นทุกข์ทำไม”

แพรวเพชรหลุบตาลงมองแหวนเพชรน้ำงามที่นิ้วนางข้างซ้ายนิ่ง ดวงตากะพริบปริบเพื่อไล่รอยร้อนๆซึ่งรื้นขึ้นมาออตรงขอบตา

ทั้งที่ทุกรายละเอียดในชีวิตกำลังไปได้สวย นับจากหนังสือพิมพ์และนิตยสารทยอยลงข่าวการเปิดตัวบริษัทจับคู่ของสองสาว ไม่ว่าคิวปิดแอสซิสแทนซ์จะประกาศโครงการอะไรออกมา บรรดาลูกค้าใหม่ซึ่งกำลังตื่นเต้นกับการได้พบปะหนุ่มสาวโสดที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน ก็จะพร้อมใจกันสมัครคอร์สต่างๆจนเต็มอย่างรวดเร็ว ทั้งการวาดรูปสีน้ำ ทัวร์ไปชมแกลเลอรีศิลปะ หรือแม้แต่รายการไหว้พระเก้าวัด

แต่น่าแปลกที่หลายวันมานี้เธอกลับบ่อน้ำตาตื้นผิดปกติ สิ่งรอบตัวชวนให้หดหู่อย่างบอกไม่ถูก ขนาดเวลาอยู่กับนราธิปก็ยังคล้ายยาวนานกว่าเคยเป็น ไม่ใช่ความผิดของสามี ถ้าจะมีใครสักคนที่ต้องโทษ คนคนนั้นก็คือเธอ

คงเพราะภาพวอบแวบที่เห็นเมื่อวันแถลงข่าว เงาจางๆซึ่งคล้ายกับใครบางคนทำให้เธอหวนนึกถึงผู้ชายคนที่เคยสำคัญที่สุดในชีวิตเธอ ใคร...คนที่ยังคงฝังตรึงอยู่ในหัวใจไม่รู้วาย

“อยากร้องไห้ไหม” อิงอรุณถามอย่างรู้ใจ

แพรวเพชรสูดหายใจเข้าลึก กลืนรอยอาดูรลงในใจ ฝืนยิ้มแล้วหันมาทางเพื่อน “เราไม่เป็นไรแล้วอิง เตรียมตัวเข้าไปเจรจากับเจ้าของร้านเบเกอรี่นี่ดีกว่า”

“อยากหลอกตัวเองว่ายังไหวก็ตามใจนะ” อิงอรุณยักไหล่แล้วก้มดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ “งั้นเข้าไปข้างในดีกว่า อิงนัดคุณนวลนรีไว้ตอนบ่ายสอง ใกล้ได้เวลาแล้ว”

แพรวเพชรรีบหยิบกระเป๋า เปิดประตู ก้าวลงจากรถ ทำทุกอย่างให้เหมือนปกติที่สุด ไม่เช่นนั้นละครฉากใหญ่และหน้ากากแห่งความสุขที่เธอสวมไว้ตลอดเกือบสี่ปีที่ผ่านมา อาจภินท์พังและไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง!
.
.
.
.
.
ร้านเค้กหวานซึ่งสองสาวตั้งใจมาเจรจาธุรกิจแบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจน ด้านหน้าตกแต่งด้วยเครื่องเรือนสีขาวโดยมีข้าวของจุกจิกชิ้นเล็กๆสีสันสดใสน่ารักประดับเป็นระยะ มีตู้แช่และชั้นโชว์วางขายทั้งเค้ก ขนมปัง ขนมอบ และขนมหวานแบบไทยชนิดต่างๆ โดยมีโต๊ะเก้าอี้จัดไว้เป็นกลุ่มสำหรับให้ลูกค้าหย่อนอิริยาบถ ลึกเข้าไปเป็นกระจกใสกั้นแบ่งให้เห็นห้องเรียนทำอาหารและขนม มีเคาน์เตอร์ยาวเรียงเป็นแถว เจาะช่องเป็นระยะติดตั้งอ่างล้างจาน เบื้องบนคือราวยาวขนานไปกับเคาน์เตอร์ตลอดแนวสำหรับแขวนเครื่องครัวที่จำเป็น

เมื่อแพรวเพชรและอิงอรุณก้าวเข้ามาภายใน เจ้าของร้านซึ่งกำลังตกแต่งหน้าเค้กปอนด์ใหญ่อยู่หลังเคาน์เตอร์ก็เงยขึ้นเล็กน้อย เพียงเห็นสองสาวจึงยิ้มกว้างพร้อมเอ่ยทักทาย

“สวัสดีค่ะคุณแพรวเพชร คุณอิงอรุณ เชิญนั่งก่อนค่ะ ขอเวลานวลจัดการเค้กนี่แป๊บนึงนะคะ”

เจ้าของบริษัทคิวปิดแอสซิสแทนซ์เลือกโต๊ะขนาดสี่ที่นั่งข้างผนังกระจกที่มองออกไปยังนอกร้านได้เป็นทำเลนั่งคอย แนวรั้วพันด้วยดอกไม้ใบหญ้าสีเขียวขจีเบื้องนอกช่วยกรองแสงและความร้อนไม่ให้เข้ามารบกวนคนในร้าน ทั้งยังให้ความสดชื่นสบายตาอีกด้วย

เกือบสิบนาทีถัดมา นวลนรีซึ่งถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินเข้ามาสมทบ หลังจากแนะนำตัวกันอีกครั้งคร่าวๆก็ได้เวลาเกริ่นเข้าเรื่อง

“ก็อย่างที่อิงส่งอีเมลมาให้คุณนวลนรีดูน่ะค่ะ เราอยากซื้อคอร์สเรียนทำขนมของร้านเค้กหวานเพื่อให้ลูกค้ามาทำกิจกรรมร่วมกัน อิงอยากทราบข้อบังคับของทางร้านว่าจะทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหนน่ะค่ะ”

“อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะคะ นวลดูรายละเอียดในเว็บไซต์ของคุณสองคนแล้ว แต่ยังนึกภาพไม่ออกอยู่ดีว่าบริษัทจับคู่จะมาเกี่ยวข้องกับคอร์สทำขนมของร้านเค้กหวานได้ยังไง”

“ขอเพชรอธิบายให้ฟังนะคะ ลูกค้าของคิวปิดแอสซิสแทนซ์จะต้องลงทะเบียนเพื่อเป็นสมาชิกของบริษัท ซึ่งเราคิดค่าธรรมเนียมการเป็นสมาชิกเบื้องต้นจำนวนนึง จากนั้นลูกค้าก็เลือกคอร์สที่ตัวเองสนใจ โดยกิจกรรมพวกนี้จะทำให้ลูกค้าได้พบปะกับคนที่มีความสนใจในแบบเดียวกัน ได้เริ่มต้นทำความรู้จักกันไงคะ”

นวลนรีพยักหน้ารับรู้ แต่ยังอดสงสัยไม่ได้ “พอพวกเขารู้จักแล้วแลกเบอร์กัน จากนั้นบริษัทคุณก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วน่ะสิคะ”

“นั่นเป็นสิทธิ์ของเขาที่จะทำให้ตัวเองตกอยู่ในความเสี่ยงค่ะ เพราะเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าคนที่มาสมัครเป็นลูกค้าของคิวปิดฯจะใช้ข้อมูลจริงทั้งหมดหรือเปล่า อาจจะมีมิจฉาชีพ พวกคนมักมาก หรือไม่ก็พวกทำอาชีพพิเศษแฝงมาก็ได้ ดังนั้นเราจึงเสนอให้ทุกคนใช้นามแฝงและงดเว้นการพบปะกันนอกรอบเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกหลอก ซึ่งในสัญญาของเราครอบคลุมไว้ว่าลูกค้าจะได้รับความปลอดภัยทั้งกายและใจหากทำกิจกรรมในขอบเขตที่บริษัทจัดให้ แต่หากไปติดต่อนัดหมายกันนอกรอบแล้วเกิดมีเหตุไม่คาดฝันใดๆเกิดขึ้น บริษัทจะไม่รับผิดชอบค่ะ”

“โอ้โห...รอบคอบจัง คุณเพชรกับคุณอิงดูเป็นมืออาชีพมากเลยนะคะนี่ นวลไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีเรื่องที่ต้องระวังมากขนาดนี้ ว่าแต่...เปิดคอร์สทำขนมเนี่ย ก็คงจะมีแต่ผู้หญิงมาสมัครน่ะสิคะ”

แพรวเพชรยิ้มสมใจ “คุณนวลพูดถูกค่ะ และนั่นเป็นเหตุผลดีๆที่ผู้ชายอยากจะมาสมัครลงเรียนคอร์สนี้...ว่าไหมคะ และเพื่อไม่ให้คอร์สนี้มีเพศใดเพศหนึ่งมากเกินไป เราเลยกำหนดไว้ว่าในแต่ละคอร์สที่เปิด เราจะรับสมาชิกเป็นชายและหญิงอย่างละครึ่งเท่านั้น”

นวลนรีตาโต “ต๊าย! แยบยลจัง นวลคิดไม่ถึงเลย แหม...จะมีแฟนทั้งทีนี่ยากไม่ใช่เล่นนะเนี่ย”

“ขออนุญาตละลาบละล้วงนิดนึงนะคะ คุณนวลมีแฟนหรือยังคะ” แพรวเพชรถามตรงๆ

คนถูกถามหน้าแดงก่ำทันที “อุ๊ย! ถามอะไรอย่างนั้นคะ นวลยังไม่มีแฟนหรอกค่ะ”

“งั้นก็เหมาะเลย คุณนวลมาสมัครเป็นลูกค้าของคิวปิดแอสซิสแทนซ์ไหมคะ เดี๋ยวอิงยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้าให้” อิงอรุณรีบเสนอ

“ว้าย! ไม่เอาค่ะ” นวลนรีโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน

“ทำไมล่ะคะ อย่าบอกนะว่าคุณนวลเกลียดผู้ชายน่ะ” แพรวเพชรเดา

“ไม่ใช่ค่ะ แต่...นวล...” นวลนรีอึกอัก “จะพูดยังไงดี คือ...นวลไม่คิดว่าตัวเองสิ้นไร้ไม้ตอกถึงขนาดต้องพึ่งพาบริการประเภทนี้น่ะค่ะ”

สองสาวหัวเราะคิก แพรวเพชรส่ายหน้าพลางอุทาน “ตายแล้ว! นี่คุณนวลคิดว่าคิวปิดแอสซิสแทนซ์เป็นบริษัทจับคู่แบบสมัยโบราณหรือคะ เราแค่เป็นตัวกลางให้หนุ่มสาวมีโอกาสได้พบปะและรู้จักกันต่างหาก บางคนมาสมัครเพราะอยากมีเพื่อนก็มี ไม่ได้บังคับว่าทุกคนจะต้องออกจากบริษัทพร้อมกับจูงมือแฟนไปด้วยหรอกนะคะ”

“แต่นวลยังมีความสุขกับชีวิตโสดอยู่เลยค่ะ”

“ธรรมชาติสร้างให้ผู้หญิงกับผู้ชายเกิดมาคู่กันนะคะ แล้วมนุษย์ก็เป็นสัตว์สังคมด้วย การบอกว่ามีความสุขกับชีวิตโสด บางทีมันแค่เป็นเพียงข้ออ้างที่เราเอาไว้ปลอบใจตัวเองเวลาเห็นคนอื่นมีคู่เท่านั้นเอง” แพรวเพชรค้าน

“เพชรพูดถูกนะคะคุณนวลลองเปิดใจให้หนุ่มๆเข้ามาทำความรู้จักบ้างสิคะ อย่าคิดแต่ว่าเป็นโสดแล้วมีความสุขดี บางครั้งกว่าเราจะรู้ตัวว่าเหงา ถึงตอนนั้นอาจจะสายเกินกว่าจะเริ่มต้นทำความสนิทสนมคุ้นเคยกับใครแล้วก็ได้” อิงอรุณเสริม

“ถูกสองสาวผู้ช่วยกามเทพกดดันแบบนี้ นวลจะมีโอกาสเถียงชนะไหมเนี่ย” นวลนรีเปรยขำๆ

แพรวเพชรครุ่นคิด “เอ...ดูท่าทางคุณนวลแล้วไม่เหมือนคนที่บอกว่าชอบเป็นโสดเพื่อปิดบังปมด้อยตัวเองเลยนะ หรือว่า...ความจริงแล้วที่คุณนวลไม่อยากถูกใครจับคู่ให้ เป็นเพราะคุณนวลแอบปิ๊งใครบางคนอยู่แล้วคะ”

“ไม่มีค่ะ” นวลนรีปฏิเสธทันควัน

“แน่ะ! มีพิรุธนะคะ” อิงอรุณเริ่มนึกสนุก อาชีพที่ต้องพบปะผู้คนมากมายทำให้กามเทพสาวทั้งสองเชี่ยวชาญในการสร้างความสนิทสนมกับคนแปลกหน้า “เป็นไปได้ยังไงคะ ที่ผู้หญิงสวยหวานน่ารักอย่างคุณนวลจะไม่ปิ๊งใครบ้างเลย”

ถูกต้อนมากเข้า สุดท้ายนวลนรีจึงอุบอิบสารภาพ “ความจริง...คนที่นวลปิ๊งก็พอจะมีอยู่บ้างแหละค่ะ”

“แล้วเขารู้ไหมคะว่าคุณนวลปลื้มเขาอยู่” อิงอรุณกระตือรือร้น

“นวลก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่าตัวเองปลื้มเขาขนาดนั้นหรือเปล่า คือคุณแม่เรารู้จักกันน่ะค่ะ คุณเพชรกับคุณอิงคงเดาได้ ว่าพอเริ่มแบบนี้ก็คล้ายๆว่าท่านเชียร์ นวลเลยชักลังเลว่าตัวเองชอบเขาจริงๆหรือว่าแค่เพราะแรงยุ”

“แล้วเขามีท่าทีกับคุณนวลยังไงบ้างคะ” อิงอรุณโยนหินถามทาง

“บอกไม่ถูกค่ะ เขาสุภาพ ใจดี เป็นผู้ใหญ่ แล้วก็อบอุ่นมาก เวลาอยู่ใกล้ๆแล้วสบายใจน่ะค่ะ ใจนึงนวลก็ชอบเขานะ แต่อีกใจก็หวั่นๆอยู่ว่าเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรด้วย แค่เอ็นดูเห็นนวลเป็นน้องสาวเท่านั้นเอง”

“แหม...อย่างนี้ต้องหาวิธีงัดปากหรือไม่ก็พิสูจน์ความรู้สึกของฝ่ายชายนะคะ” อิงอรุณทำท่าครุ่นคิดแล้วหันไปปรึกษาเพื่อน “เพชรว่าแผนหลอกให้หึงใช้กับกรณีนี้ได้ไหม”

“ใช้ได้ แต่ไม่ดี” แพรวเพชรตอบ ไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยต่อ “บางทีที่พี่ชายคุณนวลคนนี้ไม่ยอมแสดงออก อาจเพราะขี้อายก็ได้ แล้วถ้าเกิดเขาเข้าใจผิดว่าคุณนวลมีคนมาจีบ เขาอาจจะเผ่นหนีไปเลย เดี๋ยวจะยิ่งวุ่นเข้าไปใหญ่ เพชรว่า...”

ยังไม่ทันเอ่ยจบ นวลนรีก็เย้า “คุณสองคนนี่สมแล้วที่เปิดบริษัท ท่าทางจะชอบจับคู่จริงๆนะคะเนี่ย”

สองกามเทพสาวหน้าม้าน หัวเราะหึๆ แพรวเพชรเป็นคนอธิบายก่อนว่า “เมื่อก่อนเป็นไม่มากหรอกค่ะ แต่หลังๆมานี้ พอเห็นคนรักกันแล้วเพชรว่ามันมีความสุขดีออก”

อิงอรุณแก้เก้อบ้าง “แหม...เสียดายนะคะที่เราไม่มีโอกาสได้พบกับหนุ่มคนนี้ของคุณนวล เพราะถ้าได้เจอกันสักครั้ง เราอาจจะช่วยบอกได้ว่าเขาคิดกับคุณนวลแค่น้องสาวจริงหรือเปล่า”

“อะไรกันคะ แค่มอง คุณสองคนก็ดูออกเลยเหรอ”

แพรวเพชรพยักหน้า “ค่ะ...ถึงจะรับรองผลไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่บอกแนวโน้มได้ค่ะ สายตาคนเราน่ะซ่อนความรู้สึกกันไม่ได้หรอก”

อาจเพราะตัวเองก็อยากรู้ด้วยส่วนหนึ่ง กอปรกับอยากทดลองว่าสองสาว ‘เก่ง’ ถึงเพียงนั้นจริงหรือ นวลนรีจึงเปรย “วันนี้ใครคนที่ว่าจะมารับเค้กที่สั่งเอาไว้ คุณเพชรกับคุณอิงจะลองอยู่พบเขาไหมคะ เผื่อจะบอกได้ว่านวลมีลุ้นหรือเปล่า”

เพียงขาดคำ เสียงกรุ๋งกริ๋งของกระดิ่งลมจากภายนอกก็ดังมาแผ่วเบา บอกให้รู้ว่ามีคนเปิดประตูร้านเข้ามา เจ้าของร้านช้อนสายตามองไปทางเบื้องหลังของสองสาวกามเทพ แล้วแต้มยิ้ม “แน่ะ! อายุยืนเสียด้วย พูดถึงก็มาเลย เดี๋ยวนวลขอตัวสักครู่นะคะ” เอ่ยจบนวลนรีก็ลุกขึ้นก้าวเร็วๆไปหาผู้มาใหม่ทันที

แพรวเพชรและอิงอรุณมองตามไป ทันเห็นแค่ด้านหลังของชายหนุ่มที่เดินเคียงข้างเจ้าของร้านไปทางเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ผู้ชายคนนั้นแต่งกายด้วยเชิ้ตสีดำพับแขนเสื้อกองอยู่ใต้ข้อศอกกับกางเกงสแล็คสีเดียวกัน แม้จะแลเรียบง่าย แต่จากเนื้อผ้าและรูปทรงที่เข้ากับเรือนร่างสูงและช่วงไหล่ผึ่งผายพอดิบพอดี ก็ทำให้พอเดาได้ว่าคงจะเป็นเสื้อผ้ายี่ห้อดังราคาสูงแน่นอน เขายืนหันหลังให้สองสาวโดยไม่ตั้งใจ และทั้งที่อยู่ไกลเกินกว่าได้ยินบทสนทนาซึ่งทั้งคู่เจรจากัน กระนั้นสองสาวก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องที่พูดคุยคงเป็นที่ถูกใจคนฟัง เพราะนวลนรียิ้มหวาน มีท่าทีเขินอายนิดๆ

เจ้าของบริษัทจับคู่พยักพเยิดให้กันอย่างขันๆ

“คุณนวลเงยหน้าตั้งใจฟังคุณพี่ชายพูดซะขนาดนั้น แถมยังสบตานิ่งๆ แต้มยิ้มไว้ตลอดอีก อิงว่าคุณนวลน่ะไม่ใช่ไม่กล้าชอบหรอก แต่ความจริงน่าจะชอบไปแล้วมากกว่า” อิงอรุณตั้งข้อสังเกต

“ฝั่งผู้ชายก็สัญญาณดีนะอิง ดูสิ เขาเอียงตัวเข้าไปใกล้คุณนวลนิดนึงด้วย เป็นเครื่องหมายบอกว่ายินดีให้คุณนวลเข้ามาใกล้ในพื้นที่ส่วนตัวได้ แสดงว่าสนใจและใส่ใจสิ่งที่คุณนวลพูด เราว่างานนี้คุณนวลมีลุ้น” แพรวเพชรวิเคราะห์ตามหลักจิตวิทยาที่ร่ำเรียนมา

เพียงนวลนรีเหลือบมาทางสองสาว แพรวเพชรและอิงอรุณก็รีบหันหน้ากลับมานั่งตัวตรงดังเดิม เป็นผลให้ชายหนุ่มเหลียวมองตามสายตาของคู่สนทนาบ้าง แต่ก็พบแค่ด้านหลังของผู้หญิงสองคนเท่านั้น

“ใครหรือนวล” ชายหนุ่มถามเจ้าของร้านด้วยความฉงน

“อืม เรียกว่าอะไรดี ลูกค้าละกัน พวกเธอมาขอซื้อคอร์สทำขนม จะเอาไว้ให้ลูกค้ามาทำกิจกรรมน่ะค่ะ”

“ขายคอร์สแบบนี้ นวลจะมีรายได้สักเท่าไหร่กันเชียว” คนพูดส่ายหน้าระอา ก่อนจะเสริมต่อด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ถ้านวลยอมแต่งงานกับพี่ ปิดร้านนี้แล้วให้พี่เลี้ยงนวลอย่างเดียวยังได้เลย”

นวลนรีหัวเราะหึๆ “ที่ชวนนวลแต่งงานนี่ชวนจริงหรือชวนเล่นๆคะ อ้อ...ต้องถามให้ครบด้วยว่าชวนเองหรือคุณแม่สั่งให้มาชวน”

“นวลจะคาดคั้นคำตอบไปทำไม ในเมื่อผลลัพธ์สุดท้ายก็เหมือนกัน คือพี่กำลังขอนวลแต่งงานอยู่”

“ขอหน้าเคาน์เตอร์คิดเงินโดยที่นวลมีลูกค้ารอเจรจาธุรกิจอยู่ด้วยเนี่ยนะ อย่างน้อยถ้าพี่ฝืนใจทำก็น่าจะให้แนบเนียนหน่อย มีดอกไม้สักช่อ กินข้าวด้วยกันสักมื้อ หรือรอให้เราอยู่กันตามลำพัง ไม่ใช่ป่าวประกาศ พูดจาเหมือนบังคับให้นวลรับปากอย่างนี้” นวลนรีตอกหน้าตรงๆ “ถ้าพี่ทำได้ดีที่สุดแค่นี้ คำตอบของนวลก็คือไม่ตกลงค่ะ”

หญิงสาวนำเค้กซึ่งตรวจตราความเรียบร้อยแล้วจัดใส่กล่องแพ็คพร้อมน้ำแข็งแห้ง บรรจุใส่ถุงกระดาษ แล้วเลื่อนมาตรงหน้าผู้ชายที่เพิ่งขอเธอแต่งงานไปแหม็บๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลตามปกติ “นี่ค่ะ เค้กที่คุณป้าสั่งไว้ ท่านชำระยอดเต็มจำนวนไว้แล้ว พี่รับไปได้เลยค่ะ”

ชายหนุ่มหน้าเสีย รับถุงใส่เค้กมาถือ ทำเสียงอ่อนรู้สึกผิด “นวล...พี่ขอโทษ”

“ให้อภัยค่ะ” นวลนรียิ้มแย้มด้วยไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ จากนั้นจึงออกปากชวน “บริษัทพี่พัฒนาระบบคอลเซ็นเตอร์ ถ้ายังไงเข้าไปทำความรู้จักกับลูกค้าของนวลไว้หน่อยไหมคะ คุณเพชรกับคุณอิงเป็นไฮโซ เผื่อจะพอแนะนำใครๆมาเป็นลูกค้าของพี่ได้บ้าง”

คนฟังสะดุดหูทันที เขาเอี้ยวตัวไปมองสองสาวนั่นอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่ามิได้ยินอะไรแปลกหู กรามทั้งคู่ขบกันรุนแรง ขณะมือทั้งสองข้างกำแน่นโดยไม่รู้ตัว

“คุณเพชรกับคุณอิงงั้นเหรอ” เสียงงึมงำดังแทบไม่พ้นลำคอ มีวี่แววไม่แน่ใจแฝงอยู่บางเบา

“ค่ะ คุณแพรวเพชรกับคุณอิงอรุณ เธอเปิดบริษัทจับคู่น่ะค่ะ”

“หึ! บริษัทจับคู่ นวลไปคบกับคนอะไรเนี่ย ไม่น่าไว้ใจเลย ดีไม่ดีอาจจะเป็นพวกมิจฉาชีพหลอกผู้หญิงไปขายหรือเปล่าก็ไม่รู้” ชายหนุ่มเหยียดริมฝีปาก เค้นคำตำหนิเสียงเข้ม

“วุ้ย! คงไม่ขนาดนั้นหรอกมั้งคะ นวลเข้าไปดูเว็บไซต์บริษัทของเขาแล้ว สองคนนี้เขาเป็นไฮโซ คงไม่ทำอะไรเสื่อมเสียชื่อเสียงตัวเองอย่างนั้นหรอก”

“นวลไว้ใจคนง่ายเกินไป” ชายหนุ่มหน้ายุ่ง “ถ้าเขาเป็นไฮโซ งั้นก็คงเป็นคนเดียวกับที่พี่เคยอ่านข่าว ทำตัวเหลวแหลก พ่อแม่ส่งไปเรียนเมืองนอก ดั๊นหอบลูกจูงผัวกลับมาหน้าตาเฉย อยู่ห่างๆคนแบบนี้ไว้ดีกว่านะนวล”

“นวลไม่ได้สนิทสนมกับเขาสักหน่อย แค่ขายคอร์สให้เขาเอง นอกจากจะได้ลูกค้ามาเรียนทำขนมแล้ว ยังถือเป็นการขยายฐานลูกค้าไปในหมู่หนุ่มสาวโสดด้วย นวลว่ารู้จักกันไว้ก็ไม่เสียหายอะไร ไปทักทายเขาหน่อยเถอะค่ะ นะคะ...”

“อย่าเลย...” เขาขยับจะปฏิเสธด้วยเหตุผลอื่น แต่ช้าไปเสียแล้ว เพราะนวลนรีหนีบแขนเสื้อดึงเขาเดินไปยืนข้างๆโต๊ะที่สองสาวนั่งอยู่ แล้วแนะนำด้วยท่าทีและน้ำเสียงแจ่มใส

“คุณเพชร คุณอิงคะ ขออนุญาตแนะนำให้รู้จักกับพี่เผ่า พี่ชายนวลเองค่ะ”

เจ้าของบริษัทจับคู่ยืนขึ้น หันกลับมาพนมมือทำความเคารพโดยพร้อมเพรียง แต่แล้วทันทีที่เห็นผู้ชายตรงหน้าเต็มตา แพรวเพชรก็ตะลึงตัวแข็ง หัวใจราวกับจะหยุดเต้น เลือดในกายเย็นเฉียบ ลมหายใจสะดุดจนเกือบลืมหายใจ ทั้งที่เสียงดังแจ้วของนวลนรีอธิบายอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย แต่ในภวังค์ของเธอกลับรู้สึกว่าบรรยากาศนั้นเงียบกริบ จนราวกับว่าแม้เพียงปุยสำลีตกลงบนพื้นก็อาจดังเป็นเสียงก้องชัดเจนแน่นอน

ไม่จริง! นี่ต้องเป็นความฝันแน่ คนที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อสี่ปีก่อนจะมาอยู่ตรงหน้าเธอได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้!

หญิงสาวรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก พื้นที่เหยียบยืนอยู่ละม้ายกลับกลายเป็นหุบเหวลึก ดูดกลืนเธอลงสู่ความมืดอนธกาลที่หนาวเหน็บและเยือกเย็น สายตาว่างเปล่าที่ทอดมองมาคล้ายน้ำแข็งค่อยๆรินรดลงมาในหัวใจทีละนิด ทั้งเจ็บและชืดชาจนแทบไร้ความรู้สึก

“คุณ...” อิงอรุณคราง พลางผวาเข้ามาบีบแขนเธอไว้แน่นด้วยอาการตกใจไม่แพ้กัน

แพรวเพชรพยายามสูดหายใจเข้า แต่กลับรู้สึกละม้ายมีก้อนอะไรสักอย่างตื้ออยู่ในลำคอ กีดขวางลมหายใจไว้ ปลายเล็บจิกลงในอุ้งมือเย็นเฉียบเพื่อให้มั่นใจว่ามิได้กำลัง...ฝันไป!

แพรวเพชรไม่กล้าถามตัวเองด้วยซ้ำว่า สมองเธอว่างเปล่าหรือที่แท้แล้วกำลังถูกภาพความทรงจำมหาศาลโถมถาลงมาให้ระลึกถึงกันแน่ อาการชาหนึบหนักอึ้งแล่นทั่วสรรพางค์กาย เกือบจะเท่าๆกับที่เบาโหวงไร้เรี่ยวแรง ดวงตาคู่สวยทอดแววลึกล้ำ ฉายแสงเจ็บปวดชอกช้ำที่ปิดซ่อนไว้ไม่มิด ไม่มีคำพูด ไม่มีรอยน้ำตา มีเพียงร่องรอยบางเบาที่กลิ้งวาวคลอหน่วยตาเท่านั้น

หญิงสาวกลืนน้ำลายด้วยความยากเย็น ตรวจสอบภาพตรงหน้าเพื่อให้แน่ใจว่านี่คือความจริง เจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่ช่างคุ้นตานัก ทั้งเรือนผมสีน้ำตาลเข้มที่เสยขึ้นจนหมด เผยดวงตาเรียว จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากบางเฉียบบนเครื่องหน้าชัดเจน ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่คุ้นเคยหัวใจยิ่ง แม้เครื่องแต่งกายราคาแพง มาดสุขุม ท่าทางภูมิฐาน รวมถึงสายตาเกลียดชังของเขาจะแปลกตาไปมากจนแทบจะไม่เหลือเค้าของผู้ชายคนที่เธอรู้จัก แต่...ใครบ้างจะลืมคนในอดีตของตัวเองได้!

แพรวเพชรเพิ่งประจักษ์ชัดในวินาทีนั้น เงารางเลือนของคนที่เฝ้ากลบฝังไว้ลึกที่สุดในซอกความทรงจำ ที่แท้ยังตรึงแน่นอยู่ในใจราวกับไม่เคยพรัดพรากจากกันสักวินาที ทุกรอยประทับติดตรึงอยู่ตรงโน้นตรงนี้ไม่เสื่อมคลาย น้ำหนักความทรงจำบางเบาเทียมปุยนุ่น หากถ่วงทิ้งราวกับหินผาอันถมทับอยู่ในห้วงลึกที่สุดของหัวใจ
ครั้งหนึ่งเธอเคยรู้จักเขาดีที่สุด แต่วันนี้กลับเชื่อว่าตนเองกำลังยืนอยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น!

หญิงสาวรู้สึกราวหัวใจจะขาดรอนลงช้าๆ ถ้าเขามิได้เสียชีวิตเพราะเหตุการณ์นั้น แล้วไฉนชายหนุ่มจึงไม่กลับมาหาเธอ ทำไมเขาจึงทิ้งขว้างกันราวกับว่าเธอมิใช่คนรักของเขาแล้ว ทำไม...

“คุณเพชรคะ คุณอิง มีอะไรหรือเปล่า ทำไมเงียบไปอย่างนี้” เสียงที่เรียกอยู่ข้างๆฉุดสองสาวให้ได้สติอีกครั้ง

“เอ้อ...คุณนวลว่ายังไงนะคะ” แพรวเพชรหาคำพูดของตัวเองพบก่อน

“นวลบอกว่าพี่เผ่าเป็นเจ้าของบริษัททำระบบคอลเซ็นเตอร์ที่ออสเตรเลีย ซึ่งตอนนี้มาเปิดสาขาเพิ่มที่เมืองไทยค่ะ เผื่อว่าคุณเพชรกับคุณอิงรู้จักใครที่กำลังมองหาระบบแบบนี้อยู่ แนะนำมาให้พี่เผ่าบ้างนะคะ รับรองว่าคนนี้ทำงานดีมาก แล้วก็คิดไม่แพงค่ะ”

แพรวเพชรกะพริบตาถี่ๆคล้ายเรียกสติ “คุณ...คุณเผ่าอย่างนั้นหรือคะ”

เป็นเขาจริงๆ! เป็นไปได้ยังไง ก็ไหนทั้งตำรวจทั้งเจ้าหน้าที่ชันสูตรต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเผ่าภาคินตายแล้ว!

“ดูคุณแพรวเพชรจะรังเกียจที่พบผมนะครับ” น้ำเสียงห้าวคุ้นหูนั้นเป็นยิ่งกว่าคำยืนยันว่านี่คือผู้ชายที่เธอรักจริงๆ แต่ถ้อยคำที่เขาเอ่ยกลับแปร่งหูเหลือเกิน

“เพชร...คือ...คุณเข้าใจผิดแล้วละค่ะ เพชรแค่กำลัง...ตะ...ตกใจ” หญิงสาวพยายามต่อบทสนทนาอย่างเงอะงะ

“ตกใจที่นวลขอให้คุณช่วยแนะนำลูกค้าให้น่ะเหรอ นวลเขาก็พูดไปอย่างนั้นเอง คุณไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นจริงๆหรอกครับ เพราะผมหาลูกค้าเองได้” ชายหนุ่มบอกน้ำเสียงเย็นชา “นวลเขาชอบเป็นห่วงเกินไป คงกลัวผมไม่มีงาน เดี๋ยวจะสะสมเงินมาขอเขาไม่ครบเสียที”

แพรวเพชรหน้าถอดสี ริมฝีปากสั่นระริกทั้งที่พยายามซ่อนกิริยาเต็มที่ คงเป็นโชคดีที่อิงอรุณบีบแขนเธอไว้ เรียกให้หญิงสาวตั้งสติ เธอกำมือแน่นยิ่งเข้าไปอีก สั่งตัวเองให้เข้มแข็งไว้ ทั้งที่แข้งขาไร้เรี่ยวแรงจนแทบจะร่วงลงไปกองกับพื้นอยู่แล้ว

“เพชร...” แพรวเพชรพยายามฝืนยืนตัวตรง กัดฟันข่มความรู้สึกทุกประการที่เอ่อท้นขึ้นในอก ยกริมฝีปากแย้มอย่างยากเย็น “คุณเผ่ากำลังจะมีข่าวดีกับคุณนวลหรือคะ งั้นก็เอ่อ...ยินดีด้วยนะคะ”

“พี่เผ่าพูดเล่นค่ะคุณเพชร คุณอิง” นวลนรีหันไปขึงตาใส่คนข้างกาย

“เรื่องอย่างนี้ล้อเล่นได้ที่ไหนกันล่ะนวล” ชายหนุ่มติง มือข้างที่ว่างอยู่เลื่อนมาคว้ามือนวลนรีไปจับไว้หลวมๆอย่างให้เกียรติ “พี่ขอไปแล้ว ตอนนี้ก็รอแค่ว่าเมื่อไหร่นวลจะยอมใจอ่อนตอบตกลงเท่านั้นเอง”

ถ้อยคำนั้นมิใช่แค่หลาวแหลมที่ปักลงตรงหัวใจแพรวเพชร แต่ยังเป็นคล้ายหินก้อนใหญ่ที่ทุ่มใส่ศีรษะจนสมองเธอมึนชา คิดอ่านสิ่งใดไม่ออกอีกเลย ปากทำได้แค่พร่ำเอ่ยคำพูดเดิมซ้ำ “ยินดีด้วยนะคะ”

“คุณนวลมีแขก เอาไว้อิงนัดเข้ามาคุยรายละเอียดกันใหม่อีกทีดีกว่าค่ะ” อิงอรุณตัดบท หันไปคว้ากระเป๋าสะพายของตัวเองและของเพื่อนขึ้นมาถือ

“เดี๋ยวสิคะคุณอิง อีกสักครู่พี่เผ่าจะกลับแล้ว เราคุยกันต่อเลยก็ได้” นวลนรีค้าน

“เอาไว้โอกาสหน้าดีกว่าค่ะ พอดีวันนี้เราสองคนมีธุระต่อด้วย” อิงอรุณยืนกรานความตั้งใจ

“ได้ยินจากนวลว่าคุณนัดคุยเรื่องงานกัน เพิ่งรู้ว่ามีธุระอื่นที่สำคัญกว่าด้วย” ชายหนุ่มแทรกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ทว่าคนฟังกลับจับสำเนียงเยาะหยันที่เจืออยู่ในนั้นได้ชัดเจน

แพรวเพชรสบตาชายหนุ่มนิ่งๆ ขณะเอ่ยคำถัดไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้เป็นปกติที่สุด “ใกล้เวลาเลิกเรียนแล้ว ดิฉันต้องไปรับ ‘ลูก’ ที่โรงเรียนน่ะค่ะ” คนพูดเจตนาย้ำเสียงหนักบางคำ ลึกที่สุดในใจมีแค่เธอและอิงอรุณเท่านั้นที่จับสำเนียงสะใจซึ่งแทรกอยู่ในนั้นได้

และคนที่สองสาวหวังให้เกิดปฏิกิริยากับคำพูดนั้นมากที่สุดก็แสดงอาการสมใจ แม้ชายหนุ่มจะมิได้มีท่าทีชัดเจน แต่ถ้าสังเกตดีๆก็จะพอมองเห็นว่าเขาหน้าถอดสีไปเช่นกัน!

“ไว้อิงจะนัดมาใหม่นะคะคุณนวล” อิงอรุณไม่รอให้ใครปฏิเสธ รีบคว้ามือแพรวเพชรก้มศีรษะให้นวลนรีและ ‘พี่ชาย’ อย่างรวดเร็ว “ลาละค่ะคุณนวล คุณเผ่าภาคิน”

นวลนรีมองตามเจ้าของบริษัทจับคู่ลากข้อมือกันจ้ำออกจากร้านด้วยความงุนงง สายตาที่สบสานกับชายหนุ่มแฝงความฉงน “แปลกจัง เมื่อกี้นวลแนะนำชื่อจริงของพี่เผ่ากับคุณเพชรคุณอิงหรือเนี่ย ทำไมไม่เห็นจำได้เลย”

เผ่าภาคินฝืนยิ้ม ไม่ตอบอะไร ไม่ยอมรับกระทั่งว่าบางถ้อยคำของ ‘ผู้หญิงคนนั้น’ กรีดรอยริษยาลงในหัวใจเช่นกัน แผล...ที่เคยคิดว่าไม่รู้สึกรู้สากับมันแล้ว ที่แท้กลับเป็นประหนึ่งแผลสด แตะนิดต้องหน่อยก็ยังเจ็บปวดเจียนตายเหมือนครั้งแรกที่ลิ้มรสความทรมานนั้น

ชายหนุ่มเสเบือนสายตาไปนอกร้าน มือขวายกขึ้นไล้รอยนูนเป็นขีดยาวใต้อกเสื้อช้าๆ ขณะดวงตาเขม้นมองผู้หญิงตัวเล็กกว่าคว้าข้อมือลาก ‘ผู้หญิงคนนั้น’ ไปเปิดประตูให้นั่งยังฝั่งข้างคนขับ เพียงชั่วครู่เลกซัสสีขาวก็เคลื่อนจากไปช้าๆ แม้มองจากระยะไกลเขาก็ ‘เห็น’ คนบนรถชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีผู้ที่นั่งนิ่งเป็นสิงโตหิน ดวงหน้าที่เห็นผ่านกระจกหน้ารถบอกทุกความรู้สึกโดยไม่ปิดบัง

ตระหนก เจ็บปวด และผิดหวังงั้นเหรอ

เผ่าภาคินขบกรามแน่นโดยไม่รู้ตัว เมื่อภาพใครคนหนึ่งผุดขึ้นจากความทรงจำทาบทับกับภาพตรงหน้าโดยมิได้รับเชิญ ทั้งที่พยายามกลบฝังทุกอย่างลงในซอกลึกสุดของหัวใจ แต่เพียงพบเธอฉาบฉวย ตะกอนทุกอย่างก็ฟุ้งกระจายรวดเร็วเกินกว่าจะห้ามปรามได้ทัน

วันนั้น...เมื่อเกือบเจ็ดปีที่แล้ว ในดินแดนแห่งทุ่งหญ้า สายลม แสงแดดและทะเลทราย ณ มหาวิทยาลัยกลางเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เขาพบกับเด็กสาวสูงเพรียวผู้มีเรือนผมยาวตรงสีดำราวกับขนนกกาน้ำ ผิวขาวจัดราวกับเครื่องกระเบื้องเนื้อดีทำให้เธอดูราวตุ๊กตาญี่ปุ่นที่มีชีวิต ทั้งความสวย น่ารัก ล้วนแล้วแต่เสริมส่งให้เธอเด่นสะดุดตาแตกต่างจากคนโดยรอบ อาจเพราะสีผม อาจเพราะสีผิว อาจเพราะเครื่องแต่งกาย หรือบางทีอาจเพราะกิริยาอ่อนโยนนุ่มนวลสบายตาแบบที่เขาไม่ได้เห็นนานแล้ว ยิ่งท่าทีที่ผู้ชายรูปหล่อสมาร์ทคนนั้นเฝ้าประคบประหงมรับส่งหญิงสาวถึงห้องเรียนแทบทุกวัน ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนเธอเป็นตุ๊กตาแก้วเจียระไนที่น่าทะนุถนอมเข้าไปใหญ่

เขาเพิ่งรู้ว่าเธอไม่ใช่สาวญี่ปุ่นตอนที่บังเอิญเข้าเรียนวิชาเดียวกัน ชื่อมิสสิริณธรณ์ท่ามกลางไมเคิล, แมรี่, โรเบิร์ต หรือเทเรซ่า สะดุดหูทันที แต่เขาก็มิได้ปรี่เข้าไปทำความรู้จักตามประสาคนไกลบ้านที่โหยหาคนชาติเดียวกัน

เผ่าภาคินยังคงเป็นเด็กหลังห้อง เข้าเรียนบ้างโดดบ้างตามประสา แม้จะใช้เวลาในรั้วมหาวิทยาลัยมาเกือบหกปีแล้ว แต่เขายังเก็บหน่วยกิตไปไม่ถึงไหน ก็ในเมื่อมหาวิทยาลัยใจกว้างให้ระยะเวลาค่อยๆเรียนไปได้สูงสุดถึงสิบปี เขาจึงตั้งใจว่าคงจะต้องใช้สิทธิ์นั้นให้คุ้มค่า

ชายหนุ่มหัวหกก้นขวิด เที่ยวบ้าง เรียนบ้าง รับจ้างล้างจานบ้าง ตามประสาเด็กหนุ่มที่เพิ่งเคยมีอิสรภาพ ช่วงปีแรกๆจึงผ่านพ้นไปโดยเขาแทบไม่เข้าห้องเรียนเลย เพราะทำงานพิเศษส่งตัวเองเรียน ทั้งยังพอจะเจียดเงินบางส่วนส่งกลับไปให้มารดาที่เมืองไทยเป็นประจำ เขาจึงไม่รู้สึกผิดที่จะใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงตามลำพังกลางเมืองใหญ่อย่างคุ้มค่า ระยะหลังๆเขายิ่งไม่สนใจการเรียนหนักข้อ ที่ลงทะเบียนรายวิชาไว้ในแต่ละเทอมก็เพียงเพื่อจะได้มีหลักฐานไปยื่นต่ออายุวีซ่านักเรียนอยู่ในประเทศต่อ และรับจ้างทำงานตามร้านอาหารได้โดยถูกกฎหมายเท่านั้น บางครั้งเขาคิดลาออกจากมหาวิทยาลัยให้รู้แล้วรู้รอด แล้วหันไปทำงานเสิร์ฟอาหารเต็มตัวด้วยซ้ำ แม้ต้องเสี่ยงกับการที่วีซ่าขาดอายุและต้องลักลอบอยู่ในประเทศอย่างผิดกฎหมาย แต่ค่าตอบแทนก็คุ้มค่ากับการลอง เพราะอย่างไรเสีย...ปริญญาก็ไม่ใช่เป้าหมายในชีวิตของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!

ไม่รู้เหมือนกันว่าใครข้างบนจัดฉากชีวิตให้เขาเข้าไปพัวพันกับเธอ เมื่อวันหนึ่ง ‘มิสสิริณธรณ์’ สาวไทยที่เรียนเก่งจนศาสตราจารย์ชาวออสเตรเลียชมเชย ถูกเพื่อนๆที่มีคะแนนสอบกลางภาควิชาจิตวิทยาพื้นฐานร่อแร่ขอร้องให้ช่วยติวหนังสือหลังเลิกเรียน แม่ตุ๊กตาญี่ปุ่นแสนงามซึ่งไม่เคยพูดกับเขาสักคำจึงถามเขาเป็นภาษาไทยง่ายๆว่า...

‘พี่เป็นคนไทยใช่ไหมคะ เพชรได้ยินเพื่อนบอกว่าพี่คะแนนไม่ค่อยดี ถ้าพี่ไม่ถือ มาติวด้วยกันไหมคะ’
แล้วเขาก็ตอบรับคำชวนนั้นโดยง่าย เพราะเขามันโง่เองที่คิดว่านั่นคือน้ำใจ

โง่...ที่หลงเชื่อใบหน้าสวยๆนั้นจนหมดหัวใจ

กว่าจะรู้ตัวอีกครั้ง หัวใจทั้งดวงก็ถูกขยี้จนแหลกยับไม่เหลือชิ้นดีเสียแล้ว และก็เกือบจะต้องสังเวยความโง่นั้นด้วยชีวิตเช่นกัน!



สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.พ. 2556, 00:16:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.พ. 2556, 00:20:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 2324





<< ตอนที่ ๑   ตอนที่ ๓ >>
สิริณ 21 ก.พ. 2556, 00:24:30 น.
ขอบคุณทุกท่านที่ให้การต้อนรับ สนิมดอกรัก อย่างน่าปลาบปลื้มค่ะ
สิริณชื่นใจมากจริงๆนะ

ตอนนี้ก็...จัดหนักปูพื้นตัวละครกันอย่างรวดเร็ว
จะไ้ด้เข้าเรื่องไวๆเนอะ 55555

ตามเคยค่ะ อ่านจบแล้ว ขอแรงกดไล้ค์กันคนละทีด้วยน้า
เวลาเห็นคำว่า "มีคนชอบตอนนี้ 23 คน"
หัวใจพองฟู หายนอยด์ไปเยอะเลยค่ะ
เขียนหนังสือมาสิบกว่าปี
แต่ยังลุ้นทุกครั้ง ว่าคนอา่นจะชอบหรือเปล่า
ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงเกินไป
ขอไล้ค์ด้วยน้า ให้คนเขียนอมยิ้มอยู่คนเดียวบ้างนะคะ ^^


Auuuu 21 ก.พ. 2556, 00:36:59 น.
น่าจะเข้าใจผิดอะไรบางอย่างกันแน่เลย ลูกนี่ลูกนางเอกกับพระเอกป่าวหว่า สงสัยๆ


พันธุ์แตงกวา 21 ก.พ. 2556, 10:16:20 น.
มันอะไรกันนี่ โอ้ว!อยากฮู้ๆ


supayalak 21 ก.พ. 2556, 11:04:08 น.
รอตอนต่อไปจ้า ลุ้น ลุ้น ลุ้น


หมูอ้วน 21 ก.พ. 2556, 13:59:55 น.
เกิดอะไรขึ้นหนอ อยากรู้ ๆ


coonX3 21 ก.พ. 2556, 18:19:10 น.
มีปมอดีตอะไรน้าที่ทำให้คนรักต้องเกลียดกัน จะรอติดตามตอนต่อไปนะคะ


ม่านฝัน 21 ก.พ. 2556, 23:06:43 น.
แล้วจะเป็นไงต่อ


nunoi 21 ก.พ. 2556, 23:47:03 น.
ลุ้นๆ


violette 22 ก.พ. 2556, 00:44:50 น.
ตอนนี้อยากสะสมหลายๆตอนมากค่ะ สะสมแล้วจะกลับมาเม้นนะคะ คุณสิริณ


wane 26 ก.พ. 2556, 00:26:47 น.
เกิดอะไรขึ้นเนี่ย


ทราย 14 มี.ค. 2556, 18:32:40 น.
ชอบค่ะ ลุ้นไปทุกตอนเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account