สนิมดอกรัก (ตีพิมพ์แล้ว - สนพ.อรุณ)
แพรวเพชร สิริณธรณ์ ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เมื่อเผ่าภาคินที่เธอเข้าใจว่าเสียชีวิตไปแล้วเกือบสี่ปี
จู่ๆจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
แถมยังมาในมาดมหาเศรษฐีหนุ่มรูปหล่อ ร่ำรวย
และโหดเหี้ยมเหมือนในนิยายเป๊ะ!
.
.
.
.
“เชิญกรอกข้อมูลส่วนตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะแนะนำรายละเอียดและขอบเขตการให้บริการให้ฟัง อ้อ...ต้องให้ดิฉันแจ้งค่าใช้จ่ายให้ทราบคร่าวๆก่อนไหมคะ เพราะค่าบริการของเราไม่แพงก็จริง แต่สำหรับคนกำลังเก็บเงินแต่งงาน มันก็...เป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลย”

“ดูเหมือนว่าเงินจะเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคุณเสมอเลยนะ คุณแพรวเพชร” เผ่าภาคินหยัน

“พูดอย่างกับว่ามันไม่สำคัญสำหรับคุณงั้นแหละ” หญิงสาวบิดริมฝีปากนิดๆอย่างดูถูก จากนั้นเดินไปยังโต๊ะที่วางชิดผนัง ดึงเอกสารแผ่นหนึ่งจากแท่นใสทรงกระบอกถือมากางตรงหน้าชายหนุ่ม พลางอธิบายด้วยท่าทีเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่สนใจแม้จะเห็นว่าสายตาที่จ้องเธอแทบจะแผดเผาลุกเป็นไฟ

“นี่ค่ะ อัตราค่าสมัครแรกเข้าสำหรับลงทะเบียนเป็นสมาชิกของคิวปิดฯ ส่วนคอร์สที่คุณจะเข้าใช้บริการแยกคิดเป็นรายครั้ง เรามีรายการให้คุณเลือกเยอะค่ะ ทั้งดำน้ำ วาดรูป อบรมบุคลิกภาพ เที่ยวพิพิธภัณฑ์ ทำบุญไหว้พระ ทำขนม อ้อ...แต่สุดท้ายนี่ฉันไม่แนะนำนะคะ เพราะคุณคงไม่อยากให้ครูคนนั้นรู้ว่ามาสมัครเป็นลูกค้าที่นี่”

“แล้วมีคอร์สสับรางไม่ให้รถไฟชนกันบ้างไหม หรือไม่ก็พวก...วิธีซ่อนชู้ ซ่อนกิ๊กอะไรแบบนี้น่ะ ผมสนใจเป็นพิเศษ และถ้าให้แนะนำ ผมว่าคุณน่ะเหมาะจะเป็นวิทยากรมาก ใช้ประสบการณ์ตรงมาสอนก็ได้ คงมีคนอยากเรียนกันเยอะแยะ”

แพรวเพชรหัวเราะขัน “แปลกนะคะ คุณพูดเองแท้ๆว่าฉันไม่ได้มีเกียรติ มีเสน่ห์ หรือว่ามีค่าพอให้คุณเสียดมเสียดายอะไรแล้ว แต่ไอ้ที่คุณพูดๆมาเนี่ย เหมือนว่า...คุณจะจำเรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉันได้แม่นยำจังเลย”

หญิงสาวดักคอและลอยหน้าเอ่ยประโยคต่อไปว่า “เอ...หรือว่าอันที่จริงแล้วคุณไม่ได้คิดอย่างที่พูด แต่กำลังเรียกร้องความสนใจจากฉัน หรือบางทีไอ้ที่บอกว่าจะแต่งงานกับคุณนวลนรีนั่นก็เป็นแค่การโกหก แกล้งทำเป็นโชว์ออฟ เพียงเพราะอยากให้ฉันรู้สึกรู้สาไปด้วยเท่านั้นเอง ประชด...อะไรทำนองนั้นน่ะเหรอคะ”

ปฏิกิริยาที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้าทำให้เผ่าภาคินค้นหาคำตอบโต้ไม่พบแม้แต่คำเดียว

แพรวเพชรแต้มยิ้มทำสีหน้าสมเพช จากนั้นก้าวเข้ามาใกล้ เอื้อมมือแตะแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบาหยอกเย้า “โถ...น่ารักจริง แต่ขอโทษด้วยที่ต้องทำให้ผิดหวัง ฉันแต่งงานแล้ว และก็ไม่เคยคิดนอกใจสามี เพราะเขาเป็นคนดีมาก ยิ่งเขาดีเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งนึกเสียดายที่เคยไปเกลือกกลั้วกับของสกปรกมาก่อน โชคดีที่เขาไม่ถือสาอดีตของฉัน ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่ได้เป็นผู้หญิงโชคดีอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”

ประโยคสุดท้ายทิ่มแทงหัวใจคนฟังจนแทบทนไม่ไหว และเพียงเสี้ยววินาทีที่เผ่าภาคินปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความควบคุม อุ้งมือแข็งแรงก็ตวัดคว้าต้นแขนหญิงสาวพร้อมทั้งบีบรุนแรง กระแสบางอย่างที่แล่นปราดผ่านปลายนิ้วทำให้ชายหนุ่มเกือบจะปล่อยมือ แต่เขาก็ฝืนกำมือแน่น เค้นเสียงลอดไรฟันเอ่ยคำถัดมา

“ใช่ ฉันมันเลว ชั่ว แต่ก็สมกันดีแล้วไม่ใช่เหรอ ผู้ชายสกปรกกับผู้หญิงที่น่าขยะแขยงน่ะ แพรวเพชรคนอ่อนโยนไร้เดียงสาที่ฉันเคยรู้จัก มาวันนี้กลับกลายเป็นผู้หญิงกร้านโลก หลายใจ น่ารังเกียจไปแล้ว ทุเรศที่สุด”

“ในเมื่อพี่เผ่าคนที่ฉันเคยรู้จักตายไปแล้ว แพรวเพชรคนที่คุณเคยรู้จักก็สมควรจะตายไปได้แล้วเหมือนกัน ถือว่าเราเสมอกันไงคะ” หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างสะใจ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เนื้อหาทั้งหมดที่ปรากฎบนหน้าเพจนี้สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช ๒๕๓๗ ห้ามมิให้ทำการคัดลอก ดัดแปลง หรือแก้ไข บทความเพื่อนำไปใช้ก่อนได้รับการอนุญาต

หากฝ่าฝืน สิริณ จะดำเนินการทางกฎหมายทั้งจำและปรับ โดยไม่มีการประนีประนอมใดๆทั้งสิ้น

ผู้ใดชี้เบาะแสการคัดลอก สิริณ มีรางวัลนำจับให้ด้วยนะคะ ^^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ ๔

ห้องประชุมขนาดเล็กนั้นตกแต่งสบายตา ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกฝ้าเจาะช่องประตูที่มองเห็นเพียงเงาวอบแวบด้านนอก ขณะอีกสามด้านที่เหลือปิดด้วยวอลล์เปเปอร์สีฟ้าอ่อน ฟากหนึ่งมีลายเส้นสายสีฟ้าเข้มวาดเป็นลวดลายคล้ายต้นไม้ โดยมีกรอบไม้สีขาวติดรูปคู่รักเรียงรายคล้ายดอกผลที่แตกแขนงจากต้นไม้นั้น ทำเป็นหอประกาศความสำเร็จดังที่เคยเห็นผ่านตาในนิตยสารแฟชั่น ด้านหนึ่งของห้องคือโต๊ะทำจากโครงโลหะสีขาวทรงสี่เหลี่ยม วางกระจกใสไว้ด้านบน เก้าอี้ไม่มีพนักเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ส่วนขาเป็นไม้สีขาว ขณะเบาะเป็นกำมะหยี่

แขกเพียงคนเดียวในห้องเลือกนั่งบนชุดโซฟากำมะหยี่สีฟ้าอมเขียวซึ่งวางชิดผนังอีกด้าน หยิบกรอบรูปบนโต๊ะเตี้ยโครงโลหะฉลุฉลักลวดลายโปร่งทาสีขาวขึ้นมาพิจารณาอย่างครุ่นคิด

รูปเด็กสาวสองคนในชุดครุยสีดำขอบเป็นกำมะหยี่สีเขียวใบไม้ ขลิบด้วยไหมสีงาช้างอันเป็นสีประจำของบัณฑิตคณะจิตวิทยา กอดกันถ่ายรูปด้วยใบหน้าแจ่มใส รอยยิ้มทั้งบนใบหน้าและในดวงตาไร้เดียงสา ละม้ายไม่รับรู้ว่าการจบการศึกษาเป็นเพียงก้าวแรกที่จะพาชีวิตเข้าสู่ถนนสายใหม่ ยังมีสิ่งเลวร้ายอีกมากมายรอคอยอยู่ในวันหน้า

เสียงหัวเราะสดใสในวันนั้นยังก้องอยู่ในหูไม่รู้วาย รสจุมพิตหวานละมุนที่เขามอบให้เป็นรางวัลแก่บัณฑิตสาวยังซ่านติดปลายลิ้นคล้ายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เขาจำทุกวินาทีนั้นได้ชัดเจนใจ ก็เขามิใช่หรือ...ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของเลนส์ เขาเอง...คนที่ถ่ายรูปนี้ให้แพรวเพชรกับอิงอรุณ!

น่าขัน...ความรู้สึกที่ต้องเห็นมันอีกครั้งในวันนี้กลับตาลปัตรจากวันนั้นโดยสิ้นเชิง

รอยขมขื่นรื้นขึ้นอย่างรุนแรงในเสี้ยววินาที เผ่าภาคินกระแทกกรอบรูปวางคืนที่อย่างรวดเร็ว ความรู้สึกนุ่มนวลเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นปลิดปลิวหายไปประดุจน้ำค้างต้องแสงตะวัน

และแค่ตวัดตาขึ้น ชายหนุ่มก็พบว่าบัดนี้เขามิได้อยู่ลำพังอีกต่อไป ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้า เธอมีท่าทีตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะวางสีหน้าเรียบเฉยได้อย่างน่าอัศจรรย์

“สวัสดีค่ะคุณเผ่าภาคิน” น้ำเสียงเย็นชานั้นเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับปฏิกิริยาที่เขาเห็นเมื่อวานจากหน้ามือเป็นหลังมือ เธอช่างปั้นหน้าไร้อารมณ์ได้เก่งเหลือเชื่อ

“สวัสดีครับคุณแพรวเพชร สิริณธรณ์” เขาแสร้งอ้ำอึ้ง “เอ...หรือผมควรจะเรียกว่าคุณนายเทียมสุบรรณดี”

“เรียกอะไรก็ได้ค่ะ ตามแต่คุณสะดวกเถอะ” เจ้าของบริษัทก้าวเข้ามานั่งลงบนโซฟาอีกตัวที่ถูกคั่นไว้ด้วยโต๊ะเตี้ย “ตอนที่ลูกค้าโทร.มานัดว่าจะเข้ามาสมัครใช้บริการกับคิวปิดแอสซิสแทนซ์ คาดไม่ถึงเลยนะคะว่าจะเป็นคุณ”

“ไม่ได้สิ ในฐานะคนเคยคุ้นกัน เมื่อคุณเปิดบริษัท ผมก็น่าต้องมาอุดหนุนสักหน่อย”

“ขอบคุณที่กรุณาให้เกียรติถึงเพียงนั้น แต่ดิฉันไม่บังอาจเป็นคนเคยคุ้นของคุณหรอกค่ะ” ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงสดขยับขึ้นลงรวดเร็ว

ถ้อยคำโต้แย้งไร้เยื่อใยทำให้ชายหนุ่มเม้มปากแน่น ข่มกลั้นความรู้สึกที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรไว้อย่างยากเย็น

“เข้าใจผิดแล้วมั้งครับ ผมไม่เคยคิดจะให้เกียรติคนไร้เกียรติอยู่แล้ว ที่ผมบอกว่าคนเคยคุ้นน่ะ แปลว่า ‘เคย’ คุ้น แต่เดี๋ยวนี้ไม่คุ้นแล้ว” เผ่าภาคินเหยียดหยัน ริมฝีปากแทบจะเป็นเส้นตรง เน้นบางคำเสียงหนักเพื่อประหัตประหารความรู้สึกอีกฝ่ายโดยไม่ถนอมน้ำใจคนฟังเช่นกัน

และเขาก็สะใจนักที่เห็นเธอสะอึกอึ้งไปชั่วขณะ แม้แพรวเพชรจะแต้มยิ้มไว้บนใบหน้าในวินาทีถัดมา แต่เขาก็รู้...นั่นเป็นแค่หน้ากาก

“คุณมาที่นี่ มาทำแบบนี้ทำไมคะ” แพรวเพชรสบตาเขานิ่ง จู่โจมด้วยคำถามตรงไปตรงมา

“นั่นเป็นคำถามที่ลูกค้าทุกคนต้องตอบหรือเปล่า”

“ไม่ค่ะ ฉันถามคุณเป็นการเฉพาะเจาะจงเท่านั้น จะว่าไปแล้วฉันแปลกใจด้วยซ้ำที่พบว่าคุณยังมีชีวิตอยู่”

“แค่แปลกใจเองเหรอ ผมนึกว่าคุณคงผิดหวังที่ผมน่าจะตายๆไปซะตั้งนานแล้ว”

“ตำรวจบอกว่าคุณเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ” เธอหมายถึงเหตุการณ์เพลิงไหม้อพาร์ตเมนต์ของเผ่าภาคิน ค่ำคืนของวันที่ทั้งสองทะเลาะกันใหญ่โตจนเป็นเหตุผลของการเลิกรา!

“คงเป็นโชคดีของผม แต่เป็นคราวซวยของคุณมั้ง ที่บังเอิญผมหัวแข็ง ตายยาก ก็เลยรอดมาให้คุณรำคาญตาเล่นอยู่นี่ไง”

“ถ้าคุณรอด แล้วศพที่ตำรวจพบเป็นใคร” เผ่าภาคินไม่มีวันเชื่อเด็ดขาดว่าน้ำเสียงห่วงใยนั้นเกิดจากความรู้สึกแท้จริงของเธอ!

“ถามสามีคุณสิ เขาอาจจะตอบถูกก็ได้นะ”

“อย่าพาดพิงถึงสามีฉัน”

เผ่าภาคินยักไหล่ไม่ยี่หระ “โอ้...รักและเทิดทูนกันซะด้วย ช่างเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมไร้ที่ติจริงๆ”

เพียงเห็นไหล่บอบบางสะท้อนขึ้นลงแรงๆ ชายหนุ่มก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธ และนั่นทำให้เขายิ่งพอใจมากขึ้นกับชัยชนะในเกมนี้ "ไหนๆคุณก็เก่งจิตวิทยาออกขนาดนี้ ถามหน่อยเถอะว่าเคยตรวจตัวเองบ้างหรือเปล่าว่าอาการฮิสทีเรีย น่ะ...ไปถึงขั้นไหนแล้ว”

“คุณเผ่าภาคิน จะพูดจาอะไรกรุณาให้เกียรติกันบ้าง คุณกำลังหมิ่นประมาทฉันอยู่”

“ผู้หญิงที่มีคู่หมั้นอยู่แล้ว แต่ยังเสแสร้งทำตัวไร้เดียงสาหลอกล่อผู้ชายอื่นให้มาพะเน้าพะนอเอาใจ แล้วสุดท้ายก็เฉดหัวทิ้ง กลับไปกกกอดอยู่กับคู่หมั้น เห็นกันอยู่ว่าตามทฤษฎีแล้วมันเข้าข่ายฮิสทีเรียชัดๆ อย่างนี้แล้วจะเรียกว่าหมิ่นประมาทได้ยังไง”

แพรวเพชรกัดริมฝีปากชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจ เอ่ยประโยคถัดไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “โอเค...ถ้ามันจะทำให้คุณสบายใจขึ้น ฉันอาจจะเป็นฮิสทีเรียจริงๆก็ได้ พอใจหรือยังคะ”

ชายหนุ่มอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อเธอไม่ตอบโต้อย่างที่คาด แต่เพียงเสี้ยววินาทีเขาก็ยกมุมปากขึ้นเหยียดหยัน “นี่จะเล่นบทโศกเรียกร้องความเห็นใจแล้วหรือ”

“ในเมื่อคุณยินดีที่จะให้ทุกคนเข้าใจว่าตายไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนนั้น แล้ววันนี้คุณกลับมาแสดงตัวที่นี่...มากวนตะกอนให้น้ำขุ่นอีกทำไม”

“กวนตะกอนเชียวหรือ” เขาส่ายหน้าจุปากอย่างขันๆ “นี่สำคัญตัวเองผิดไปหรือเปล่าคุณแพรวเพชร คุณไม่ได้มีค่ามากพอให้ผมเสียดมเสียดายจนต้องหวนกลับมารื้อฟื้นอะไรนั่นหรอก ขอโทษด้วยถ้าการที่ผมโผล่มาที่นี่จะทำให้คุณคิดเข้าข้างตัวเองไปไกลขนาดนั้น”

เมื่อได้รับอาการนิ่งแทนคำตอบ ชายหนุ่มจึงผุดลุกขึ้นจนเต็มความสูง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “ผมคงมาผิดที่ เพราะคิดว่าคุณจะให้บริการแบบมืออาชีพเสียอีก แต่อย่างว่าละนะ บริษัทบ้าๆนี่ก็คงจะเป็นเรื่องสนุกฆ่าเวลาอีกเรื่องนึง ที่คุณมีไว้บอกใครๆว่ามีงานการทำพอเก๋ๆเท่ๆไว้หาผู้ชายเข้าสังกัดมาประคบประหงมรุมรักรุมชื่นชมคุณ อีกไม่นานคุณก็คงเบื่อเหมือนกับ ‘ของเล่น’ ชิ้นอื่นๆ” เขาหัวเราะหึๆ หมุนกายเดินทอดน่องไปยังประตูอย่างอ้อยอิ่ง

“เดี๋ยวค่ะ”

เผ่าภาคินซึ่งแตะมืออยู่ตรงคันเปิดประตูชะงัก รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏบนริมฝีปากแวบหนึ่ง และจางหายไปทันทีที่เขาหันกลับมาสบตากับหญิงสาว คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย

“แล้วคุณนวลนรีล่ะคะ คุณมีคนรักอยู่แล้ว คิวปิดแอสซิสแทนซ์คงไม่สามารถรับคุณเป็นลูกค้าได้ เพราะบริการของเรามีเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ ไม่ใช่ทำลาย”

“โอ้...มีอุดมการณ์เสียด้วย น่าทึ่งเหลือเกิน นี่ผมคิดว่าบริษัทของคุณมีหน้าที่หา ‘ผู้หญิง’ ให้ผมเสียอีก”

คนฟังชักสีหน้า “ที่นี่เป็นบริษัทให้บริการในการผูกสร้างความสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่ซ่อง!”

“อ๋อเหรอ” เขาลากเสียงยาว ก้มศีรษะลงนิดๆ เจตนาแสดงให้เห็นว่าจำใจ “ขอโทษจริงๆนะ ผมเข้าใจผิดมาตลอดเลยนะเนี่ย”

“คุณ!” หญิงสาวผวาลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเขา ดวงตาที่จ้องมองมาสบกันวาวจ้าคล้ายมีกองเพลิงลุกฮืออยู่ในนั้น “คุณกำลังหมิ่นประมาทฉัน ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้นะ”

“พระพุทธเจ้าบอกว่า คำกล่าวหาที่ได้ยินเนี่ย ถ้ามันไม่ใช่ความจริง ก็ไม่จำเป็นต้องไปเป็นทุกข์ เพราะมันไม่ใช่ความจริง หรือถ้าบังเอิญว่ามันดันเป็นจริง คุณก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทุกข์อีกเหมือนกันนั่นแหละ เพราะมันจริงไง อย่างนี้แล้วจะเครียดไปทำไมล่ะคุณผู้หญิง” เผ่าภาคินทำเสียงขบขัน เลื่อนสายตากวาดมองตลอดทั่วทั้งร่างหญิงสาวอย่างดูถูก “ถามจริง มายืนเชิดหน้าอวดเชปทำท่าว่าโกรธอยู่อย่างนี้เนี่ย คิดว่าทำแล้วดูดีหรือไง โทษทีนะคุณ อะไรๆก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว เสน่ห์ที่เคยผูกใจใครต่อใครไว้ได้ ถึงตอนนี้มันไร้ประสิทธิภาพแล้ว”

ไหล่บอบบางนั้นไหวระริก บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังข่มกลั้นความโกรธเกรี้ยวสุดความสามารถ นาน...กว่าเธอจะเค้นคำพูดนั้นออกมา “คุณต้องการอะไรกันแน่”

เผ่าภาคินยักไหล่ “ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากจะมาบอกให้คุณรู้เท่านั้นแหละ จะได้เข้าใจตรงกันว่า ผู้ชายโง่ๆที่คุณเขี่ยทิ้งไว้ข้างหลังเหมือนเศษผ้าเก่าๆคนนั้นมันตายไปแล้ว”

“ชัดเจนดีค่ะ ขอบคุณที่กรุณาให้ความกระจ่าง” แพรวเพชรรับคำเสียงเรียบ

“ในเมื่อเราเข้าใจตรงกันแล้ว งั้นคุณคงไม่มีปัญหาที่จะรับผมเป็นลูกค้า”

“แล้วคุณนวลนรี...” หญิงสาวขยับจะถามต่อ แต่ก็ช้ากว่าอีกฝ่ายที่แทรกขึ้น

“นโยบายของบริษัทคุณบอกไว้ว่า จะไม่มีการเปิดเผยความลับและตัวตนของลูกค้าให้บุคคลภายนอกรู้ไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้นนวลไม่มีวันรู้เรื่องนี้หรอก ถ้าไม่มีใครหวังดีไปบอกน่ะ จริงไหม เอ...หวังว่าผมคงไม่ได้ชี้โพรงให้กระรอกหรอกนะ”

แพรวเพชรเม้มปากนิดๆ สายตาที่มองผู้ชายมักมากตรงหน้าบอกความขยะแขยงโดยไม่ปิดบัง เธอย่อตัวลงวางกระดานเหน็บกระดาษใบสมัครในมือไว้บนโต๊ะเตี้ยข้างกายรุนแรง แสดงความรังเกียจอย่างเปิดเผย “คุณมั่นใจได้ว่าเรื่องที่มาเป็นลูกค้าของเราจะไม่มีวันเล็ดลอดไปถึงบุคคลภายนอกแน่นอน เชิญกรอกข้อมูลส่วนตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะแนะนำรายละเอียดและขอบเขตการให้บริการให้ฟัง อ้อ...ต้องให้ดิฉันแจ้งค่าใช้จ่ายให้ทราบคร่าวๆก่อนไหมคะ เพราะค่าบริการของเราไม่แพงก็จริง แต่สำหรับคนกำลังเก็บเงินแต่งงาน มันก็...เป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลย”

“ดูเหมือนว่าเงินจะเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคุณเสมอเลยนะ คุณแพรวเพชร” เผ่าภาคินหยัน

“พูดอย่างกับว่ามันไม่สำคัญสำหรับคุณงั้นแหละ” หญิงสาวบิดริมฝีปากนิดๆอย่างดูถูก จากนั้นเดินไปยังโต๊ะที่วางชิดผนัง ดึงเอกสารแผ่นหนึ่งจากแท่นใสทรงกระบอกถือมากางตรงหน้าชายหนุ่ม พลางอธิบายด้วยท่าทีเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่สนใจแม้จะเห็นว่าสายตาที่จ้องเธอแทบจะแผดเผาลุกเป็นไฟ

“นี่ค่ะ อัตราค่าสมัครแรกเข้าสำหรับลงทะเบียนเป็นสมาชิกของคิวปิดฯ ส่วนคอร์สที่คุณจะเข้าใช้บริการแยกคิดเป็นรายครั้ง เรามีรายการให้คุณเลือกเยอะค่ะ ทั้งดำน้ำ วาดรูป อบรมบุคลิกภาพ เที่ยวพิพิธภัณฑ์ ทำบุญไหว้พระ ทำขนม อ้อ...แต่สุดท้ายนี่ฉันไม่แนะนำนะคะ เพราะคุณคงไม่อยากให้ครูคนนั้นรู้ว่ามาสมัครเป็นลูกค้าที่นี่”

“แล้วมีคอร์สสับรางไม่ให้รถไฟชนกันบ้างไหม หรือไม่ก็พวก...วิธีซ่อนชู้ ซ่อนกิ๊กอะไรแบบนี้น่ะ ผมสนใจเป็นพิเศษ และถ้าให้แนะนำ ผมว่าคุณน่ะเหมาะจะเป็นวิทยากรมาก ใช้ประสบการณ์ตรงมาสอนก็ได้ คงมีคนอยากเรียนกันเยอะแยะ”

แพรวเพชรหัวเราะขัน “แปลกนะคะ คุณพูดเองแท้ๆว่าฉันไม่ได้มีเกียรติ มีเสน่ห์ หรือว่ามีค่าพอให้คุณเสียดมเสียดายอะไรแล้ว แต่ไอ้ที่คุณพูดๆมาเนี่ย เหมือนว่า...คุณจะจำเรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉันได้แม่นยำจังเลย”

หญิงสาวดักคอและลอยหน้าเอ่ยประโยคต่อไปว่า “เอ...หรือว่าอันที่จริงแล้วคุณไม่ได้คิดอย่างที่พูด แต่กำลังเรียกร้องความสนใจจากฉัน หรือบางทีไอ้ที่บอกว่าจะแต่งงานกับคุณนวลนรีนั่นก็เป็นแค่การโกหก แกล้งทำเป็นโชว์ออฟ เพียงเพราะอยากให้ฉันรู้สึกรู้สาไปด้วยเท่านั้นเอง ประชด...อะไรทำนองนั้นน่ะเหรอคะ”

ปฏิกิริยาที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้าทำให้เผ่าภาคินค้นหาคำตอบโต้ไม่พบแม้แต่คำเดียว

แพรวเพชรแต้มยิ้มทำสีหน้าสมเพช จากนั้นก้าวเข้ามาใกล้ เอื้อมมือแตะแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบาหยอกเย้า

“โถ...น่ารักจริง แต่ขอโทษด้วยที่ต้องทำให้ผิดหวัง ฉันแต่งงานแล้ว และก็ไม่เคยคิดนอกใจสามี เพราะเขาเป็นคนดีมาก ยิ่งเขาดีเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งนึกเสียดายที่เคยไปเกลือกกลั้วกับของสกปรกมาก่อน โชคดีที่เขาไม่ถือสาอดีตของฉัน ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่ได้เป็นผู้หญิงโชคดีอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”

ประโยคสุดท้ายทิ่มแทงหัวใจคนฟังจนแทบทนไม่ไหว และเพียงเสี้ยววินาทีที่เผ่าภาคินปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความควบคุม อุ้งมือแข็งแรงก็ตวัดคว้าต้นแขนหญิงสาวพร้อมทั้งบีบรุนแรง กระแสบางอย่างที่แล่นปราดผ่านปลายนิ้วทำให้ชายหนุ่มเกือบจะปล่อยมือ แต่เขาก็ฝืนกำมือแน่น เค้นเสียงลอดไรฟันเอ่ยคำถัดมา

“ใช่ ฉันมันเลว ชั่ว แต่ก็สมกันดีแล้วไม่ใช่เหรอ ผู้ชายสกปรกกับผู้หญิงที่น่าขยะแขยงน่ะ แพรวเพชรคนอ่อนโยนไร้เดียงสาที่ฉันเคยรู้จัก มาวันนี้กลับกลายเป็นผู้หญิงกร้านโลก หลายใจ น่ารังเกียจไปแล้ว ทุเรศที่สุด”

“ในเมื่อพี่เผ่าคนที่ฉันเคยรู้จักตายไปแล้ว แพรวเพชรคนที่คุณเคยรู้จักก็สมควรจะตายไปได้แล้วเหมือนกัน ถือว่าเราเสมอกันไงคะ” หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างสะใจ ปลดมือเขาออกจากต้นแขนเธอด้วยกิริยาสบายๆ แล้วชี้กระดานที่วางไว้บนโต๊ะเตี้ย “ถ้ายังไงเชิญกรอกข้อมูลไปพลางๆก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมโปรแกรมไว้ให้คุณทำแบบทดสอบ ขอตัวสักครู่ค่ะ”

แพรวเพชรก้มศีรษะนิดๆเป็นเชิงลุแก่โทษ แล้วยืดตัวตรง หมุนกายก้าวออกจากห้องด้วยมาดสง่างาม แต่หากสังเกตอย่างละเอียดจะเห็นว่ามือทั้งสองข้างนั้นสั่นระริก และถ้าใครหงายมือเธอดูก็จะเห็นว่าบัดนี้ ฝ่ามือขาวถูกจิกด้วยปลายเล็บย้ำซ้ำๆจนเป็นรอยพร้อยไปทั่ว!
.
.
.
.
.
“คุณเพชรว่างอยู่หรือเปล่า” น้ำเสียงนุ่มนวลถามประชาสัมพันธ์หน้าบริษัทเหมือนทุกครั้งที่แวะมารับภรรยา

“คุณเพชรต้อนรับลูกค้าอยู่ที่ห้องทิฟฟานี่ค่ะ” หญิงสาวหันไปทางคอมพิวเตอร์ กดหาข้อมูลชั่วครู่แล้วรายงาน “เช็กจากข้อมูลที่ส่งผลคะแนนเข้าระบบส่วนกลางแบบอัตโนมัติ อีกเดี๋ยวคุณเพชรก็คงจะเสร็จธุระแล้วละค่ะ เพราะลูกค้าทำแบบทดสอบเกือบครบแล้ว”

“ขอบใจ” นราธิปก้มลงไปหาเด็กหญิงตัวเล็กจ้อยที่ยืนจูงมือเขาอยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนุงหนิงอ่อนโยน “เราไปรอแม่ที่ห้องทำงานกันนะหนูกาน”

ดวงหน้ากลมแป้นล้อมกรอบด้วยผมเส้นเล็กละเอียดสีน้ำตาลอ่อนยาวระดับบ่า พยักเร็วๆแทนการรับคำ นราธิปขยับจะเอ็ด แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ทำเพียงยักไหล่จูงเด็กหญิงเดินมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานส่วนตัวของแพรวเพชรช้าๆ ขณะอีกมือหิ้วกระเป๋าผ้าใบโตบรรจุของใช้ส่วนตัวของลูกสาว

ทว่าเพียงเดินมาได้ครึ่งทาง ประตูห้องประชุมเล็กที่อยู่ด้านในสุดก็เปิดกว้าง ผู้ชายคนหนึ่งก้าวออกมาก่อน ตามด้วยเจ้าของบริษัท

เมื่อเห็นมารดา เด็กหญิงปล่อยมือนราธิป เดินแกมวิ่งถลาเข้าไปหาหญิงสาว ปากก็พร่ำ “สวัสดีค่ะแม่”

“อย่าเพิ่งกอดแม่อย่างนี้สิหนูกาน คุณแม่ทำงานอยู่นะคะ” แพรวเพชรก้มลงส่งยิ้ม พลางแตะบ่ากานติมาที่โผเข้ามากอดขาเธอไว้ รุนออกห่างเล็กน้อย แล้วชี้ไปทางผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ

“หนูกานธุคุณลุงก่อนสิคะลูก”

เด็กหญิงประนมมือกลมป้อมขึ้นระดับอกอย่างอ่อนช้อย ปากเล็กๆสีสดแจ้วเจรจาหนุงหนิง “ธุค่ะคุณลุง”

แพรวเพชรแต้มยิ้มด้วยความภูมิใจขณะเอ่ยปากแนะนำให้ ‘ลูกค้า’ ได้รู้จักกับผู้มาใหม่

“นี่กานติมากับคุณนราธิป เทียมสุบรรณ ลูกสาวและสามีของดิฉันเองค่ะ” หญิงสาวสังเกตสีหน้าของนราธิปที่เพิ่งมาสมทบอย่างตั้งใจ เมื่อเห็นเขามีท่าทีปกติก็ค่อยโล่งอก เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มจำเผ่าภาคินไม่ได้ และเธอก็ไม่คิดจะรื้อฟื้นความทรงจำของเขาด้วยเช่นกัน

แพรวเพชรผายมือมาที่เผ่าภาคิน “พี่นราคะ นี่ลูกค้าใหม่ของเพชร คุณเขาเลือกนามแฝงว่าจันทโครพค่ะ”

นราธิปก้มศีรษะเล็กน้อย “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณจันทโครพ ผมต้องสารภาพว่าชื่อที่คุณใช้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจจริงๆ รับรองว่าสาวๆคงติดหูชื่อคุณแน่นอน”

“ผมไม่ได้คาดหวังถึงผลในเชิงนั้นหรอกครับ ที่เลือกชื่อนี้เพราะมีความหลังนิดหน่อยน่ะ เคยรู้จักนางโมราหลายใจที่ยื่นพระขรรค์ให้โจรป่าฆ่าผม ก็เลยอยากจะใช้ชื่อนี้ไว้เตือนความจำ จะได้ไม่หลงไว้ใจคนผิดอีกน่ะครับ”

“ผมหวังว่าจะเป็นแค่คำเปรียบเทียบนะ” นราธิปอมยิ้ม “ถ้าคุณเคยเจอเรื่องแย่ๆมาและกำลังจะมองหาความสัมพันธ์ใหม่ที่ยั่งยืนละก็ ผมบอกได้เลยว่าคุณมาถูกที่แล้ว รับรองว่าบริการของคิวปิดแอสซิสแทนซ์จะทำให้คุณได้เรียนรู้ความต้องการของตัวเอง และพบกับชิ้นส่วนที่หายไปซึ่งเหมาะสมกับตัวเองที่สุดอย่างแน่นอน”

“คุณนราธิปนี่เป็นกองเชียร์ที่ดีจริงๆเลยนะครับ ช่วยโปรโมตกิจการของภรรยาเต็มที่ ทั้งที่ด้วยฐานะของคุณแล้ว ต่อให้คุณแพรวเพชรไม่มีลูกค้าเลย ก็ยังไม่กระทบกระเทือนความเป็นอยู่ของคุณสักนิด”

“เพชรเขาตั้งใจแล้วก็ลงแรงกับงานนี้ไปมาก มันเป็นความภาคภูมิใจของเธอเลยนะ ถึงคุณจะเป็นลูกค้าของคิวปิดฯ แต่ผมแนะนำว่าอย่าพูดแบบนี้ให้เธอได้ยินอีกเด็ดขาดเลยนะครับ คุณคงไม่อยากเห็นตอนที่เธอโกรธแน่ๆ”

แพรวเพชรนึกโกรธนักที่สามีรู้ไม่ทันถ้อยคำกระทบกระเทียบของอีกฝ่าย ทั้งยังตอบพาซื่ออีกด้วย เสียงหัวเราะเบาๆของเผ่าภาคินบอกให้รู้ว่า เขาไม่เชื่อในสิ่งที่นราธิปเพิ่งพูดจบเลยแม้เพียงครึ่งคำ!

หญิงสาวฝืนแต้มยิ้ม ตวัดตาค้อนสามีอย่างมีจริต พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน...กว่าปกติ “นี่ใจคอพี่นราจะนินทาเพชรต่อหน้าเลยเหรอคะ เดี๋ยวลูกค้าเพชรตกใจ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นกันพอดี เพชรน่ะยังต้องการคำติชมอีกมากนะคะ จะได้นำมาปรับปรุงบริการของบริษัทให้มีคุณภาพยิ่งๆขึ้น”

ปรามนราธิปแล้วแพรวเพชรก็ส่งมือลูกสาวคืนให้ชายหนุ่ม “พี่นราพาหนูกานไปรอเพชรที่ห้องก่อนนะคะ เดี๋ยวเพชรส่งคุณจันทโครพเรียบร้อยแล้วจะไปสมทบค่ะ”

“โอ้...ไม่ต้องรบกวนคุณแพรวเพชรขนาดนั้นหรอกครับ ทางออกอยู่แค่นี้เอง ผมเดินไปเองได้ ไม่หลงหรอกครับ” ลูกค้าหมาดๆของเธอปฏิเสธ

“ถ้าอย่างนั้นดิฉันขออนุญาตไม่เกรงใจแล้วนะคะ ขอบคุณมากค่ะที่มาสมัครใช้บริการกับคิวปิดแอสซิสแทนซ์ ขอให้สนุกกับคอร์สที่เลือกไว้นะคะ” เธอก้มศีรษะนิดๆแทนการบอกลาเป็นทางการ ทอดเวลาสักครู่แล้วจึงย่อตัวลงตรงหน้าบุตรสาวอย่างแช่มช้อยเป็นธรรมชาติ

“ไหนใครบอกว่าคิดถึงแม่น้า สงสัยต้องพิสูจน์แล้วว่าคิดถึงจริงหรือเปล่า” แพรวเพชรเอียงแก้มให้กานติมา ขณะดวงตาช้อนขึ้นจิกมอง ‘คนนอก’ ด้วยสายตาท้าทาย

สัมผัสนุ่มๆที่พวงแก้มพร้อมกับกลิ่นแป้งเด็กที่รวยระรินแตะแต้มฆานประสาท ทำให้จิตใจที่ร้อนเร่าทั้งด้วยความเกลียดชังและความขมขื่นของหญิงสาวค่อยสงบลง

แพรวเพชรละความสนใจจากสิ่งรอบกาย รวบตัวลูกสาวเข้ามากอดแล้วจูบแก้มยุ้ยๆนั้นอย่างแสนรัก

เด็กหญิงหัวเราะคิกคักด้วยความจั๊กจี้ เมื่อมารดาส่ายหน้าเร็วๆไซ้จมูกโด่งไปบนพุงกลมๆ เสียงหัวเราะใสกังวานดังก้องไปทั่วโถงทางเดินแคบๆ ฉุดรั้งแพรวเพชรจากห้วงแห่งความทรงจำเก่าๆ ปล่อยใจเพลินไปกับโลกใบเล็กที่มีเพียงเธอและบุตรี

เสียงกระดิ่งลมที่แขวนอยู่หน้าประตูสำนักงานดังมาให้ได้ยินแผ่วๆ เรียกให้แพรวเพชรกลับคืนสู่ปัจจุบันอีกครั้ง

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเพื่อจะพบว่า เบื้องหน้าของเธอ...เหลือนราธิปยืนอยู่เพียงลำพัง กำลังส่งยิ้มมาให้

ริมฝีปากนั้นแย้มออกกว้าง ขับให้ดวงหน้าเขาแจ่มใส อ่อนเยาว์ และมีชีวิตชีวา ขณะดวงตาที่ทอดมองมายังเธอสองแม่ลูกฉายแววเอื้อเอ็นดูเต็มเปี่ยม และแน่นอน...เธอเห็นความรัก ความภักดีที่ประกาศตัวอยู่ในแววตาคู่นั้น

เป็นสายตาแบบเดียวกับเมื่อเกือบสี่ปีก่อน

สายตา...ที่ทำให้เธอไม่เคยนึกเสียใจกับการตัดสินใจในครั้งนั้นแม้เสี้ยววินาที!



สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.พ. 2556, 22:44:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.พ. 2556, 23:30:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1880





<< ตอนที่ ๓   ตอนที่ ๕ >>
สิริณ 27 ก.พ. 2556, 22:45:26 น.
อ่านจบแล้ว อย่าลืมคอมเม้นต์นะคะ
เดี๋ยวหนังสือพิมพ์เสร็จ สิริณจะเอาชื่อมาจับสลากแจกหนังสือค่ะ

อ้อ...ตามธรรมเนียมคนขี้อ้อน
ขอแรงกดไล้ค์คนละทีด้วยเน้อ คนเขียนจะได้มีกำลังใจ
แอบเอาไปอมยิ้มปลื้มคนเดียวก็ได้ ว่ามีคนชอบบบบบบบ อิอิ


tayakey 27 ก.พ. 2556, 23:16:55 น.
เรื่องนี้ ทุกคนน่าสงสารหมดเลยยย


พันธุ์แตงกวา 27 ก.พ. 2556, 23:45:01 น.
บีบคั้นหัวใจ


Auuuu 28 ก.พ. 2556, 00:19:11 น.
งานนี้คุณสามีสร้างเรื่องแน่เล้ยยย


bsirirata 28 ก.พ. 2556, 00:20:14 น.
น่าติดตามมากค่ะ มาอัพบ่อยๆนะคะ ^^


sai 28 ก.พ. 2556, 03:31:55 น.
แอบคิดเหมือนคุณAuuuu เลย คนที่นิ่งๆเนี่ยแหละตัวดีเลย


Pampam 28 ก.พ. 2556, 04:50:59 น.
อยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง
กดไลค์ให้แล้วนะคะคนเขียนจะได้ยิ้มแก้มตุ่ย
มาอัพอีกนะคะ ถ้ามาอัพทุกวันจะกดไลค์ให้ทุกวันจะได้แก้มตุ่ยทุกวันไงคะ


รอให้เป็นเล่ม 28 ก.พ. 2556, 08:09:42 น.
เกิดอะไรขึ้นกันแน่...


เดิมเดิม 28 ก.พ. 2556, 08:11:44 น.
กดไลค์ให้แล้วค่ะ


nunoi 28 ก.พ. 2556, 15:42:06 น.
คุณนราธิป เป็นคนจัดฉากทั้งหมดหรือเปล่าน๊า


ทราย 14 มี.ค. 2556, 18:54:02 น.
น่าติดตามมากค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account