สนิมดอกรัก (ตีพิมพ์แล้ว - สนพ.อรุณ)
แพรวเพชร สิริณธรณ์ ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เมื่อเผ่าภาคินที่เธอเข้าใจว่าเสียชีวิตไปแล้วเกือบสี่ปี
จู่ๆจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
แถมยังมาในมาดมหาเศรษฐีหนุ่มรูปหล่อ ร่ำรวย
และโหดเหี้ยมเหมือนในนิยายเป๊ะ!
.
.
.
.
“เชิญกรอกข้อมูลส่วนตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะแนะนำรายละเอียดและขอบเขตการให้บริการให้ฟัง อ้อ...ต้องให้ดิฉันแจ้งค่าใช้จ่ายให้ทราบคร่าวๆก่อนไหมคะ เพราะค่าบริการของเราไม่แพงก็จริง แต่สำหรับคนกำลังเก็บเงินแต่งงาน มันก็...เป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลย”

“ดูเหมือนว่าเงินจะเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคุณเสมอเลยนะ คุณแพรวเพชร” เผ่าภาคินหยัน

“พูดอย่างกับว่ามันไม่สำคัญสำหรับคุณงั้นแหละ” หญิงสาวบิดริมฝีปากนิดๆอย่างดูถูก จากนั้นเดินไปยังโต๊ะที่วางชิดผนัง ดึงเอกสารแผ่นหนึ่งจากแท่นใสทรงกระบอกถือมากางตรงหน้าชายหนุ่ม พลางอธิบายด้วยท่าทีเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่สนใจแม้จะเห็นว่าสายตาที่จ้องเธอแทบจะแผดเผาลุกเป็นไฟ

“นี่ค่ะ อัตราค่าสมัครแรกเข้าสำหรับลงทะเบียนเป็นสมาชิกของคิวปิดฯ ส่วนคอร์สที่คุณจะเข้าใช้บริการแยกคิดเป็นรายครั้ง เรามีรายการให้คุณเลือกเยอะค่ะ ทั้งดำน้ำ วาดรูป อบรมบุคลิกภาพ เที่ยวพิพิธภัณฑ์ ทำบุญไหว้พระ ทำขนม อ้อ...แต่สุดท้ายนี่ฉันไม่แนะนำนะคะ เพราะคุณคงไม่อยากให้ครูคนนั้นรู้ว่ามาสมัครเป็นลูกค้าที่นี่”

“แล้วมีคอร์สสับรางไม่ให้รถไฟชนกันบ้างไหม หรือไม่ก็พวก...วิธีซ่อนชู้ ซ่อนกิ๊กอะไรแบบนี้น่ะ ผมสนใจเป็นพิเศษ และถ้าให้แนะนำ ผมว่าคุณน่ะเหมาะจะเป็นวิทยากรมาก ใช้ประสบการณ์ตรงมาสอนก็ได้ คงมีคนอยากเรียนกันเยอะแยะ”

แพรวเพชรหัวเราะขัน “แปลกนะคะ คุณพูดเองแท้ๆว่าฉันไม่ได้มีเกียรติ มีเสน่ห์ หรือว่ามีค่าพอให้คุณเสียดมเสียดายอะไรแล้ว แต่ไอ้ที่คุณพูดๆมาเนี่ย เหมือนว่า...คุณจะจำเรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉันได้แม่นยำจังเลย”

หญิงสาวดักคอและลอยหน้าเอ่ยประโยคต่อไปว่า “เอ...หรือว่าอันที่จริงแล้วคุณไม่ได้คิดอย่างที่พูด แต่กำลังเรียกร้องความสนใจจากฉัน หรือบางทีไอ้ที่บอกว่าจะแต่งงานกับคุณนวลนรีนั่นก็เป็นแค่การโกหก แกล้งทำเป็นโชว์ออฟ เพียงเพราะอยากให้ฉันรู้สึกรู้สาไปด้วยเท่านั้นเอง ประชด...อะไรทำนองนั้นน่ะเหรอคะ”

ปฏิกิริยาที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้าทำให้เผ่าภาคินค้นหาคำตอบโต้ไม่พบแม้แต่คำเดียว

แพรวเพชรแต้มยิ้มทำสีหน้าสมเพช จากนั้นก้าวเข้ามาใกล้ เอื้อมมือแตะแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบาหยอกเย้า “โถ...น่ารักจริง แต่ขอโทษด้วยที่ต้องทำให้ผิดหวัง ฉันแต่งงานแล้ว และก็ไม่เคยคิดนอกใจสามี เพราะเขาเป็นคนดีมาก ยิ่งเขาดีเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งนึกเสียดายที่เคยไปเกลือกกลั้วกับของสกปรกมาก่อน โชคดีที่เขาไม่ถือสาอดีตของฉัน ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่ได้เป็นผู้หญิงโชคดีอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”

ประโยคสุดท้ายทิ่มแทงหัวใจคนฟังจนแทบทนไม่ไหว และเพียงเสี้ยววินาทีที่เผ่าภาคินปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความควบคุม อุ้งมือแข็งแรงก็ตวัดคว้าต้นแขนหญิงสาวพร้อมทั้งบีบรุนแรง กระแสบางอย่างที่แล่นปราดผ่านปลายนิ้วทำให้ชายหนุ่มเกือบจะปล่อยมือ แต่เขาก็ฝืนกำมือแน่น เค้นเสียงลอดไรฟันเอ่ยคำถัดมา

“ใช่ ฉันมันเลว ชั่ว แต่ก็สมกันดีแล้วไม่ใช่เหรอ ผู้ชายสกปรกกับผู้หญิงที่น่าขยะแขยงน่ะ แพรวเพชรคนอ่อนโยนไร้เดียงสาที่ฉันเคยรู้จัก มาวันนี้กลับกลายเป็นผู้หญิงกร้านโลก หลายใจ น่ารังเกียจไปแล้ว ทุเรศที่สุด”

“ในเมื่อพี่เผ่าคนที่ฉันเคยรู้จักตายไปแล้ว แพรวเพชรคนที่คุณเคยรู้จักก็สมควรจะตายไปได้แล้วเหมือนกัน ถือว่าเราเสมอกันไงคะ” หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างสะใจ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เนื้อหาทั้งหมดที่ปรากฎบนหน้าเพจนี้สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช ๒๕๓๗ ห้ามมิให้ทำการคัดลอก ดัดแปลง หรือแก้ไข บทความเพื่อนำไปใช้ก่อนได้รับการอนุญาต

หากฝ่าฝืน สิริณ จะดำเนินการทางกฎหมายทั้งจำและปรับ โดยไม่มีการประนีประนอมใดๆทั้งสิ้น

ผู้ใดชี้เบาะแสการคัดลอก สิริณ มีรางวัลนำจับให้ด้วยนะคะ ^^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ ๑๑

เสียงจ้อกแจ้กดังขึ้นจากรอบด้าน ขณะกลางสนามหญ้าซึ่งแบ่งส่วนหนึ่งเป็นบ่อทรายมีเด็กหญิงชายวัยไม่เกินห้าขวบหลายสิบคนแบ่งเป็นกลุ่มเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนาน บ้างเล่นกองทราย บ้างก็เพลิดเพลินอยู่กับเครื่องเล่นอันประกอบไปด้วยชิงช้า ไม้กระดก และกระดานลื่น โดยมีคุณครูคอยกำกับดูแลความเรียบร้อยใกล้ชิด

แพรวเพชรยืนกอดอกมองภาพตรงหน้าอย่างมีความสุข รู้ว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าคุณครูจะพากานติมาออกมาส่งเช่นเคย หญิงสาวนึกถึงกล่องของเล่นที่เพื่อนเพิ่งจะหิ้วจากฮ่องกงมาฝากหลานแล้วอดใจไม่ไหว ต้องยิ้มกว้างๆ เดาได้เลยว่าเพียงยายตัวซนเห็น จะต้องกรี๊ดกร๊าดดีอกดีใจแน่นอน

ทั้งที่กานติมาเป็นหลานสาวคนเดียวของตระกูลเทียมสุบรรณ เจ้าของอาณาจักรเครื่องดื่มชูกำลังที่ขายดีเป็นอันดับต้นๆของประเทศ มีทั้งปู่และย่าที่พร้อมจะบันดาลทุกสิ่งให้เด็กหญิงได้ด้วยการแค่ชี้นิ้ว แต่แพรวเพชรก็ยืนกรานให้ลูกสาวเติบโตขึ้นอย่างเด็กธรรมดามากกว่า ของเล่นทุกชิ้นที่ซื้อให้ลูกจะต้องผ่านการพิจารณาจากคนเป็นแม่แล้วว่ากานติมากระทำตัวน่ารักสมควรที่จะได้รับรางวัล

หญิงสาวไม่อยากให้ลูกเสพติดกับความสะดวกสบายหรือหรูหรา แพรวเพชรอยากให้ลูกมีภูมิคุ้มกันกับสัจธรรมของชีวิต รู้จักอดทน รู้จักรอคอย ทั้งยังต้องมีความพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการด้วย

หลายหนที่มารดาของนราธิปหงุดหงิดกับวิธีการเลี้ยงลูกของเธอ แต่แพรวเพชรก็แสร้งตีหน้าซื่อทำไม่รู้ไม่ชี้ ท่านบ่นไม่นาน สุดท้ายก็ยอมโอนอ่อนต่อความตั้งใจของเธออยู่ดี อิงอรุณเคยมากระซิบให้ฟังว่า แม่สามีก็แค่บ่นเธอตามธรรมเนียม ไม่ให้ลูกสะใภ้ได้ใจเท่านั้นเอง ความจริงแล้วท่านเห็นด้วยกับวิธีการอบรมกานติมาของเธอเช่นกัน

มีเหตุผลอันเกี่ยวเนื่องกับกานติมาเพียงประการเดียวที่ท่านไม่เคยยอมรับได้ และเธอเองก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนความตั้งใจของตัวเองเช่นกัน...เรื่องนามสกุลของกานติมา!

ขณะยืนปล่อยใจลอยไปกับความคิด เงาดำๆก็ทาบทับมาจากเบื้องหลัง บดบังแสงแดดที่ตกลงต้องผิวเนื้อ พร้อมกับที่ลมเย็นวูบพัดมากระทบผิว แพรวเพชรได้สติรีบขยับตัว ด้วยเข้าใจว่าตนเองยืนขวางทางเดินอยู่ ทว่าเหมือนเงานั้นจะมิได้ผ่านไปแต่อย่างใด หญิงสาวเอี้ยวตัวเหลียวไปมองด้านหลังด้วยความฉงน แล้วก็ลิ้นแข็งพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เมื่อผู้ชายที่ยืนซ้อนอยู่เบื้องหลังกำลังก้มหน้ามองลงมาโดยมีรอยยิ้มกว้างประดับบนริมฝีปาก ในมือข้างหนึ่งของเขาถือร่มคันโตกางบังแดดให้เธออยู่

เขายืนอยู่ใกล้มากจนเธอรู้สึกได้ถึงไออุ่นที่ส่งผ่านจากเรือนร่างสูงใหญ่ แวบหนึ่งที่แพรวเพชรมองเห็นบรรยากาศรอบด้านเป็นเพียงภาพเบลอซ้อนทับกับเหตุการณ์หนึ่งในความทรงจำ

แตกต่างกันตรงวันนั้นไม่มีแสงแดดเจิดจ้า มีเพียงสายฝนหล่นพรำอยู่รอบกาย และผู้ชายที่กางร่มให้เธอก็คือนราธิป

“พะ...พี่...คุณเผ่าภาคิน!” แพรวเพชรเกือบเรียกเขาด้วยสรรพนามติดปากแล้ว

“ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งว่าชอบให้เพชรเรียกว่าพี่เผ่ามากกว่า” เสียงเขานุ่มนวล ไม่มีร่องรอยประชดประชันจนน่าแปลกใจ!

หญิงสาวช้อนสายตาขึ้นสบสานกับเขาด้วยความคลางแคลง “คุณมาที่นี่ได้ยังไง”

“เพชรหลบหน้าพี่ พี่โทร.เข้าออฟฟิศ เพชรก็ไม่รับสาย อ้างว่าติดประชุม แล้วก็โน่นนี่อีกสารพัด พี่เลยไปดักรอที่หน้าสำนักงานคิวปิดฯ เห็นเพชรเลี้ยวรถออกมาพอดี ก็เลยขับตามมา”

“เราไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องพบกันนะคะคุณเผ่าภาคิน”

“มีสิ...มีมากด้วย เพชรคิดว่าพี่จะยอมให้เพชรเดินออกจากชีวิตพี่ไปง่ายๆอย่างนั้นเหรอ สำหรับสี่ปีก่อนน่ะใช่ วันนั้นพี่ยอมเพราะรู้ว่าตัวเองไม่มีปัญญาทำให้เพชรสุขสบาย มีความสุขได้เหมือนไอ้หมอนั่น แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว พี่ให้เพชรได้ทุกอย่าง ให้ได้มากกว่าที่เพชรได้จากเขา พี่ถึงอยากขอโอกาสจากเพชรอีกครั้ง”

“ดิฉันไม่มีโอกาสเหลือไว้มอบให้ใครแล้วค่ะ ดิฉันแต่งงานแล้ว” แพรวเพชรข่มเสียงไม่ให้สั่น ยืนยันด้วยการเชิดหน้า พยายามแสดงความเชื่อมั่นออกมาทั้งบนใบหน้าและกิริยาท่าทางนั้น

แต่แล้วผู้ชายตรงหน้าก็ทำให้ทุกกำแพงที่แพรวเพชรก่อขึ้นกีดกั้นเขาไว้นอกเส้นรอบวงชีวิตถึงกับพังทลาย ด้วยการยกมือขึ้นมาบีบจมูกเธอเบาๆอย่างล้อเลียน!

“รู้ไหม...นี่เป็นมุมที่เพชรไม่เคยทำมาก่อนเลยนะ ไอ้ท่าทางหนักแน่นมั่นคง เป็นสาวใจเด็ดแบบนี้น่ะ พี่เพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่าทำไมพวกพระเอกในละครถึงได้ชอบปราบพยศผู้หญิงดื้อๆกันนัก”

“พี่! คุณเผ่าภาคิน!” แพรวเพชรละล่ำละลักโวยวาย เดินถอยหลังสองสามก้าวเพื่อรักษาระยะห่าง

ชายหนุ่มไม่ขยับตาม แค่ยื่นแขนออกมาอีกนิดเพื่อให้ร่มเงาบังแดดให้หญิงสาว เพราะ ‘เคย’ คุ้นกันมาก่อน แพรวเพชรจึงรู้ดีว่ารอยยิ้มบนใบหน้าเขาประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่าเจ้าตัวจะไม่ยอมไปจากตรงนี้ ไม่ว่าเธอจะอ้อนวอนเพียงใดก็ตาม

ดวงตาคู่งามเผลอไล่สำรวจดวงหน้าอีกฝ่ายช้าๆ ทั้งปาก แก้ม คิ้ว คาง ทุกส่วนบนใบหน้านั้นช่างคุ้นเคยจนน่ารำคาญใจ นอกจากริ้วรอยเล็กๆตรงหางตาและหน้าผาก กับไรเขียวจางรอบริมฝีปากที่เพิ่มขึ้นมาแล้ว เขาแทบไม่เปลี่ยนไปเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...รอยบุ๋มเล็กๆตรงมุมปากที่มักจะเด่นชัดขึ้นทุกครั้งที่เจ้าตัวกำลังยิ้มด้วยความพอใจอย่างลึกซึ้ง!

สายตาที่เผ่าภาคินมองตอบกลับมาทอดแววละห้อยโหยวิงวอนเหมือนวันนั้น...วันที่เธอหันหลังให้เขา ก้าวออกจากอพาร์ตเมนต์หลังนั้นตลอดกาล โดยมีนราธิปกางร่มเดินแกมวิ่งตามมาติดๆ

แพรวเพชรไม่หันกลับไปมองคนที่ถูกทิ้งอยู่เบื้องหลังสักนิด หลายครั้งที่เธออยากย้อนเวลากลับไปตรงนั้น อยากรู้...อยากเห็นว่าเผ่าภาคินมีปฏิกิริยาใดกับการตัดสินใจของเธอ

ทว่าจากสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็อธิบายในสิ่งที่เธอสงสัยได้ดีไม่แพ้คำพูดถัดมาของเขา

“เกือบสี่ปีแล้ว เป็นสี่ปีที่พี่ไม่เคยรักเพชรน้อยลงสักนิด พี่พยายามบอกตัวเองให้เกลียดเพชรแล้ว แต่ไม่เคยทำสำเร็จเลยสักครั้ง พี่เคยทำใจ นึกว่าเราจะไม่มีวันได้เจอกันอีก แต่แค่เรากลับมาพบกันครั้งแรกนั่น พี่ก็รู้แล้วว่าทำไมหลายปีที่ผ่านมาถึงไม่เคยมีความสุขเลย นั่นเพราะไม่มีอะไรจะมาเติมเต็มชีวิตของพี่เหมือนที่เพชรทำได้เลย”

เพียงเสี้ยววินาทีที่แพรวเพชรปล่อยความทรงจำย้อนกลับไปยังวันวาน ตะกอนของทุกๆความรู้สึกก็ถูกรบกวนจนน้ำใสเบื้องบนขุ่นข้น หญิงสาวพบว่ามีความอาวรณ์ตกหล่นอยู่ในระยะทางระหว่างคนสองคนมากมายอย่างเหลือเชื่อ

ภาพนั้นยังแจ่มชัดในความทรงจำ เธอรักเขามากเพียงนั้น จากผู้หญิงหัวโบราณที่ไม่เคยยอมจับมือถือแขนกับใครแม้กระทั่งคู่หมั้น เธอกลับเต็มใจนักในอันที่จะมอบจูบแรกให้ผู้ชายคนนี้ ชายหนุ่มสอนให้เธอรู้จักอารมณ์สะบัดร้อนสะบัดหนาว เนื้อตัวร้อนเร่าด้วยแรงเสน่หาอย่างที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน นั่นกระมังคือเหตุผลที่ใครๆก็บอกกันว่าคงไม่มีวันลืมความรู้สึกจากจูบแรกได้ลง

ตลอดเวลาที่คบหากับเผ่าภาคิน หญิงสาวใช้หัวใจมากกว่าสมอง ทำทุกอย่างด้วยความรักโดยไม่สนใจเหตุผล หลงเพริดไปกับชีวิตตื่นเต้นหวือหวาที่เขามอบให้ แล้วสิ่งที่ชายหนุ่มตอบแทนกลับมาก็ทำให้รู้ว่าเธอประเมินน้ำใจผู้ชายที่ตัวเองรักสูงเกินไป ขณะเดียวกันก็ตีคุณค่าน้ำใจของผู้ชายคนที่รักเธอ...ต่ำเกินไป และเพราะความอ่อนโยนเสมอต้นเสมอปลายของคู่หมั้นนั่นเอง ทำให้ทุกครั้งที่เธอเสียขวัญ คนแรกที่นึกถึงก็คือ...นราธิป!

เหตุการณ์ซ้ำๆที่เห็นผู้หญิงคนหนึ่งลักลอบพบกับคนรักตอนที่เธอไม่อยู่ หย่อนรอยหวาดระแวงลงในใจวันละนิด จากบันไดอพาร์ตเมนต์ แพรวเพชรแอบเห็นเผ่าภาคินกอดผู้หญิงผอมบางคนแทบจะปลิวลมคนนั้นที่หน้าห้อง ก่อนฝ่ายนั้นจะยัดกระดาษใส่กระเป๋าเสื้อให้เขา แพรวเพชรคอยจนเจ้าของห้องไปทำงาน ถือโอกาสขณะทำความสะอาดบ้านแอบค้นลิ้นชักเก็บของสำคัญของคนรัก แล้วเช็คเงินสดที่พบก็ทำให้เรื่องร้ายๆสารพัดประดังกันเข้ามาในจินตนาการ ความหวั่นไหวคลางแคลง กังวลว่าอีกฝ่ายนอกใจ ยังไม่รุนแรงในอารมณ์เท่ากับความหวาดกลัวว่าเขาอาจจะทิ้งเธอไปหาผู้หญิงอีกคน เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวคนนั้นอายุน้อยกว่าเธอ มีเงินมาปรนเปรอให้เขาใช้แทบไม่ขาด และที่สำคัญ...เธออาจไม่ใช่หนังสือที่เขาต้องการค้นหาอะไรอีกแล้ว

นับจากวันนั้นแพรวเพชรไม่เคยให้อภัยตัวเองที่เลือกความรักมาก่อนความถูกต้องเลย...

เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะตกลงในบ่อน้ำแห่งความทรงจำ หญิงสาวรีบสูดหายใจเข้าลึกๆ เสเบือนหน้าหลบตาอีกฝ่าย “เราตายจากกันทางความรู้สึกไปนานแล้วค่ะคุณเผ่าภาคิน แพรวเพชรของคุณไม่มีอยู่บนโลกนี้แล้ว เหมือนกับที่พี่เผ่าของฉันก็ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้แล้ว คุณเป็นแค่ใครอีกคนที่รูปร่างหน้าตาเหมือนคนที่ฉันเคยรัก...ก็เท่านั้นเอง”

“เพชรยังไม่หายโกรธที่พี่พูดไม่ดีวันที่ไปสมัครเป็นลูกค้าของคิวปิดแอสซิสแทนซ์หรือ พี่...ขอโทษ พี่ยอมรับนะว่าทำตัวทุเรศมาก แต่...เป็นใครก็ต้องทำแบบนั้น เราเพิ่งเจอกันหนที่สองเอง ขืนพี่ไปหาเพชรแล้วอ้อนวอนอย่างที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ เพชรคงสมเพชพี่เท่าๆกับที่พี่เวทนาตัวเอง อีกอย่าง...สารภาพนะว่าพี่กลัวเสียฟอร์ม”

หญิงสาวผงกศีรษะขึ้นอีกครั้งด้วยความแปลกใจ เสียฟอร์ม! คนอย่างเผ่าภาคินเนี่ยนะจะยอมรับออกมาตรงๆว่ากลัวเสียฟอร์ม!

“ฉันมารับลูก คุณอย่ามารบกวนเวลาส่วนตัวของฉันกับครอบครัวเลย” เมื่อจนด้วยหนทางที่จะต่อสู้กับความต้องการลึกๆในใจ แพรวเพชรจึงหยิบเอาเกราะคุ้มกันสุดท้ายเท่าที่เธอยังพอมีเหลือขึ้นมาสวม

ท่องไว้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงตัวเปล่า เธอมีลูกและสามี มีครอบครัวที่ต้องประคับประคอง

“พี่ไม่ได้รบกวน แค่...ขอเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเพชรเท่านั้นเอง”

“ฉันไม่ต้องการให้คุณเป็นส่วนไหนในชีวิตทั้งนั้น” เธอตัดบทรวดเร็ว ก่อนที่ตัวเองจะไม่เหลือความกล้า

“เพชรก็ห้ามไปสิ แต่สิทธิ์ที่จะทำตามหรือเปล่า เป็นส่วนที่พี่จะตัดสินใจนะ”

“ที่นี่ไม่มีอะไรที่คุณต้องการหรอก ไปซะเถอะ ขอร้องละค่ะ” แพรวเพชรก้มหน้าไม่สบตาคนฟัง

“สิ่งที่พี่ต้องการที่สุดอยู่ตรงหน้าแล้วต่างหาก และการที่เราเอื้อมมือไปคว้าไม่ได้ทั้งที่อยากได้ใจจะขาดน่ะ เพชรไม่มีวันเข้าใจหรอกว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน”

“ไม่มีใครได้ทุกอย่างที่ต้องการหรอกนะคะ”

“นั่นคนอื่น แต่สำหรับพี่ พี่สูญเสียมามากเกินไปแล้ว ในเมื่อวันวานพี่ขาด พี่แพ้ พี่ก็ยอมรับ แต่วันนี้พี่มีทุกอย่างที่พร้อมจะเอาชนะ พี่จะไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว”

“จะเอาให้ได้ทั้งที่ต้องทำลายครอบครัวคนอื่นน่ะเหรอคะ”

“ไม่ใช่ครอบครัวคนอื่น พี่กำลังจะแย่งชิงเพื่อเอาครอบครัวของ ‘ตัวเอง’ กลับคืนมาต่างหาก เพชรเป็นผู้หญิงของพี่” น้ำเสียงนั้นมุ่งมั่นเสียจนคนฟังขนลุกเกรียวด้วยความกังวล

“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงของคุณ ฉันเป็นภรรยาของพี่นรา”

“ก็เป็นไปสิ พี่ไม่แคร์ เพชรไม่ได้รักมันเหมือนที่รักพี่หรอก”

“อะไรๆก็เปลี่ยนไป ฉันมีลูกแล้ว คุณแค่ต้องการจะเอาชนะพี่นราเพื่อแก้แค้นที่เคยแพ้เขาก็เท่านั้นเอง”

“เพชรรักใคร พี่ก็รักคนนั้น ลูกเพชรพี่ก็ไม่รังเกียจ ขอแค่ให้เพชรกลับมาหาพี่ก็พอแล้ว”

“คุณพูดเรื่องไร้สาระ เป็นไปไม่ได้ และฉันก็จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นด้วย” แพรวเพชรอยากจะกรีดร้องนัก

“ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอกแพรวเพชร สี่ปีที่แล้วเพชรก็คงคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าพี่จะมีวันนี้”

หญิงสาวถอนหายใจ “พูดกันไปมาเหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง วนเวียนกลับมาที่เดิม คุณกลับไปซะ ฉันไม่อยากให้ลูกพบคุณ”

“ทำไม...กลัวลูกสาวเพชรเอาไปฟ้องพ่อเหรอว่าพี่มาหาเพชรน่ะ”

“พี่นราเชื่อใจฉัน เขาไม่มีวันหวั่นไหวกับอะไรทั้งนั้น”

เผ่าภาคินยักไหล่ “อืม...พี่ไม่ใช่คนเชื่ออะไรง่ายๆเสียด้วย งั้นสงสัยคงต้องพิสูจน์แล้วละว่าสามีเพชรเขาหนักแน่นมั่นคงดั่งภูผาจริงหรือเปล่า”

“คุณ!” แพรวเพชรจนด้วยคำพูด เมื่อผู้ชายที่ประชดประชัน เหน็บแนมเธอแทบจะคำต่อคำในคราพบกันตอนไปสมัครเป็นลูกค้าที่บริษัท มาวันนี้กลับใจเย็นเหลือเชื่อ ไม่เต้นไปตามถ้อยคำที่เธอพยายามกวนอารมณ์สักคำ

หญิงสาวไม่พูดอะไร ก้าวเท้ายาวๆไปตามทางเดิน ตั้งใจหนีเข้าไปในอาคารเพื่อรอรับลูกสาวจากหน้าห้องแทนการคอยอยู่ด้วยความอึดอัดใจเช่นนี้ แต่แล้วเธอจึงรู้ว่าดำเนินกลยุทธ์ผิดพลาด เพราะคนตัวสูงถือร่มกางตามมาไม่ลดละ ชนิดที่คนภายนอกมองมาคงรู้สึกถึงความประดักประเดิดแน่นอน!

“เอ๊ะ! คุณจะเดินตามฉันมาทำไม” เมื่อเกือบถึงห้องเรียนของลูกสาวเธอจึงหันไปโวย

“พี่ไม่ได้ตามเพชร พี่เดินของพี่นั่นแหละ เพียงแต่เราบังเอิญเดินไปทางเดียวกันเท่านั้นเอง” เผ่าภาคินตอบพลางหุบร่มเก็บอย่างใจเย็น

“ฉันไม่ขำ”

“ไม่ได้ให้ขำ แต่อยากให้ประทับใจต่างหาก”

ดวงตาเรียวถลึงกว้างปรามอีกฝ่าย ทว่าชายหนุ่มกลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
แพรวเพชรกัดริมฝีปากอย่างใช้ความคิด เมื่อเห็นลางแพ้รำไร สุดท้ายจึงเปลี่ยนวิธี “ฉันไม่ได้รักคุณแล้ว และฉันไม่ต้องการกลับไปหาคุณ ชัดเจนไหมคะ”

“ชัดเจนจ้ะ แต่พี่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก พี่เคยทำให้เพชรรักพี่ได้ พี่ก็จะทำแบบนั้นอีกครั้ง”

นั่นละ! สิ่งที่แพรวเพชรกลัวที่สุด เพราะรู้ว่าตัวเองคงไม่มีทางทำใจแข็งกับผู้ชายคนนี้ได้ตลอดรอดฝั่งแน่ ถ้าเขาทำอย่างปากว่าจริงๆ

“คุณเอาคุณนวลนรีไปไว้ที่ไหน” โชคดีที่เธอยังควานหาเหตุผลมาขัดแย้งการกระทำของเขาเจอ

“นวลเป็นน้องสาว ไม่เหมือนเพชร เพชรเป็นคนรัก เอามาเปรียบเทียบกันได้ยังไง”

แพรวเพชรอยากจะทึ้งผมบนศีรษะ รู้สึกเหมือนกำลังวางอิฐทีละก้อนเพื่อก่อกำแพง แต่ผู้ชายคนนี้กลับหยิบอิฐที่เธอก่อขึ้นออกไปครั้งละสองก้อนเสียอย่างนั้น!

หญิงสาวอ้าปากจะค้าน แต่ช้ากว่าเผ่าภาคิน ที่จู่ๆก็พยักพเยิดกับอะไรสักอย่างทางด้านหลัง เธอจึงหันขวับไปมอง พบว่าครูประจำชั้นกำลังจูงกานติมาเดินตรงเข้ามาหา

“สวัสดีครับคุณครู” คนข้างหลังเธอชิงเอ่ยก่อน

ผู้มาใหม่ซึ่งอายุน้อยกว่ารีบพนมมือไหว้ทักทายเผ่าภาคินและหันมาทางเธอเป็นลำดับสุดท้าย แพรวเพชรฝืนยิ้มรับแล้วเสย่อตัวลงไปให้ความสำคัญกับบุตรีแทน วันนี้กานติมาทำความเคารพเธอทั้งยังยื่นหน้ามาจูบแก้มโดยไม่ต้องทวง ปากก็แจ้วเจรจาเสียงแจ๋ว

“แม่ขา...วันนี้กานระบายสีพี่ช้างซ้วยสวยค่ะ กานอยากดูพี่ช้างตัวจริงๆค่ะแม่”

แพรวเพชรหันไปส่งยิ้มให้คุณครูซึ่งกำลังมองลูกสาวเธอด้วยความเอ็นดู ความรู้สึกภาคภูมิเหิมฮึกอยู่ในใจ เธอจึงจูบแก้มเด็กหญิงแรงๆแล้วบอก “ถ้าหนูกานทำตัวน่ารัก ไม่ดื้อไม่ซน เดี๋ยวแม่จะชวนคุณพ่อพาหนูกานไปดูพี่ช้าง พี่สิงโต หรือแม้แต่พี่ฮิปโปโปเตมัสก็ได้นะลูก”

“กานเป็นเด็กดี เป็นคนเก่ง กานไม่ดื้อไม่ซนค่ะ” เด็กหญิงพยักหน้าหงึกๆ ท่าทางขึงขังจริงจัง

“ขี้อ้อนจริงๆเลยนะหนูกาน” คนเป็นแม่รวบตัวกลมๆเล็กๆนั้นเข้ามากอดอย่างแสนรัก แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเผ่าภาคินขยับมาอยู่ข้างๆ พร้อมทั้งย่อตัวลงนั่งยองๆด้วยท่าทีเก้งก้าง

“สวัสดีครับหนูกาน จำลุงได้ไหม”

“ธุค่ะคุณลุง” กานติมาผละออกจากอ้อมกอดแพรวเพชร พนมมือทำความเคารพดังที่ได้รับการอบรม

เผ่าภาคินกางมือออกพลางพยักพเยิดอย่างเชิญชวน “มา!ขอลุงกอดบ้าง”

“ไม่ได้ค่ะ” เด็กหญิงตอบเสียงดังฟังชัด

แพรวเพชรอยากจะยิ้มกว้างๆนัก เพราะคนถูกสาวปฏิเสธหน้าเจื่อนไปเลย

“ทำไมถึงไม่ได้” เผ่าภาคินเสียงแข็ง หน้างอเหมือนเด็กชายเล็กๆที่โดนขัดใจไม่มีผิด

“พ่อบอกว่า มีแต่คุณพ่อ คุณปู่ แล้วก็อากงที่กอดกานได้ ห้ามให้ผู้ชายคนอื่นกอดค่ะ” กานติมาอธิบายฉาดฉาน

เผ่าภาคินปึงปังลุกขึ้นยืนทันที

คุณครูของเด็กหญิงช่วยลดความรู้สึกเสียหน้าของชายหนุ่มด้วยการประนีประนอม “สมัยนี้ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนจะต้องสอนเด็กผู้หญิงว่าไม่ควรยอมให้คนแปลกหน้ากอดหรือหอมแก้มน่ะค่ะ เป็นการป้องกันไม่ให้เด็กถูกล่วงละเมิดได้ทางนึง”

แพรวเพชรเม้มปากแน่นขณะก้มหน้าซ่อนความพึงพอใจไว้อย่างแนบเนียน หวังสุดหัวใจว่าเมื่อได้ยินเช่นนั้น เผ่าภาคินจะยอมปล่อยมือและถอยห่างจากเธอกับลูกสาวเสียที แต่...แพรวเพชรคิดผิด

“ผมไม่ใช่คนแปลกหน้า ผมเป็นเพื่อนสนิทของเพชร เคยคุ้นกับคุณนราธิปด้วย พี่พูดถูกไหมเพชร” เขาก้มลงมาถามเธอ ความสูงที่ค้ำอยู่บนศีรษะและสายตาที่จ้องมาเขม็งทำให้หญิงสาวรู้สึกคล้ายถูกคุกคามโดยไม่ตั้งใจ

แพรวเพชรลุกขึ้นยืดกายตรง “ถ้าเข้าใจแบบนั้นแล้วสบายใจก็เชิญตามสบายเถอะค่ะ คุณครูคะ ถ้ายังไงเพชรกับหนูกานขอตัวก่อนนะคะ” ตอนท้ายเธอหันไปบอกคุณครูของเด็กหญิงและก้มศีรษะนิดๆแทนการบอกลา

กานติมาพนมมือกลมป้อมไหว้คุณครู แล้วเลื่อนมาสอดมือในอุ้งมือเธอทันที

“วันนี้เราจาไปกินไอติมกันใช่ไหมคะแม่” น้ำเสียงหงุงหงิงลากยาวอย่างอ้อนวอน

“คุณพ่อยังไม่เลิกงานเลยลูก” แพรวเพชรแบ่งรับแบ่งสู้ จริงอยู่ว่าสัญญากันไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ขืนจูงมือกันไปร้านไอศกรีมตามลำพัง แน่ใจได้อย่างไรว่าผู้ชายข้างๆจะไม่ยัดเยียดตัวเองตามไปโดยไม่ได้รับอนุญาต “หนูกานกินแต่ของหวาน เดี๋ยวฟันผุแล้วไม่สวยนะคะ”

“พ่อบอกว่ากานสวยแล้ว กานกินได้ทุกอย่าง แล้วก็แปรงฟัน ฟันก็ไม่ผุละ วันนี้กานจะกินมิ้วเช็กด้วย” เจ้าตัวประกาศมุ่งมั่นทั้งที่พูดภาษาอังกฤษไม่ชัด คนเป็นแม่นึกอยากจะจัดการกับ ‘พ่อ’ ของหนูกานเสียจริง มีอย่างที่ไหน ตามใจลูกตะพึดตะพือแบบนี้ ประเดี๋ยวกานติมาก็เสียเด็กกันหมดพอดี!

“พ่อเขาหมายความว่ากานกินได้ทุกอย่าง แต่ต้องกินของที่มีประโยชน์ค่ะลูก อย่างมิลค์เชคเป็นนมปั่นกับไอศกรีม กินแล้วฟันผุ มีแต่น้ำตาลทั้งนั้นเลย ถ้าเลี่ยงได้เราต้องไม่กินนะคะคนเก่ง”

“พี่พาเพชรกับลูกไปกินไอติมแทนก็ได้นะ” เผ่าภาคินแทรกขึ้นมากลางคัน

“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ต้อง” แพรวเพชรปฏิเสธ กระชับมือลูกจูงให้เริ่มออกเดิน “ไปลูก เราไปหาคุณพ่อกันดีกว่า”

เผ่าภาคินกางร่มตามหลังบังแดดให้สองแม่ลูกทันที แพรวเพชรรู้ว่าห้ามยังไงเขาก็ไม่มีทางทำตามคำขอ จึงยอมปล่อยเลยตามเลย ทั้งที่รู้ว่ามองจากภายนอก ผู้คนคงมองภาพ ‘ครอบครัวสุขสันต์’ นี้ด้วยความชื่นชม!
.
.
.
.
.
สัญญาณไฟจราจรที่สี่แยกเปลี่ยนสีส้มพอดี แพรวเพชรจึงแตะห้ามล้อพร้อมกับเหลียวขึ้นดูกระจกมองหลังอัตโนมัติ เพื่อให้แน่ใจว่ารถคันหลังอยู่ในระยะห่างมากพอที่จะหยุดรถได้โดยไม่ชนเธอเข้า แล้วหญิงสาวก็ต้องถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม เมื่อพบว่ารถขับเคลื่อนสี่ล้อสีดำที่ขับตามมาตั้งแต่ออกจากเนิร์สเซอรี่ยังคงประกบตามหลังมาไม่ลดละ ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เผ่าภาคินคงขับรถตามเธอไปจนถึงที่ทำงานของนราธิปแน่นอน

ครั้นคิดจะหนีกลับบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าของผู้ชายทั้งสองคน ทว่าเพียงเหลือบมองกานติมาที่นั่งเล่นง่วนอยู่บนเบาะข้างๆแล้วก็ทำใจแข็งไม่ไหว ลูกสาวคงงอแงแน่นอน เพราะสัญญากันไว้ตั้งแต่เช้าแล้วว่าจะพาไปรับประทานไอศกรีมหลังเลิกเรียน

“แม่ขา...พี่สิงโตค่ะ” ตั้งแต่ขึ้นรถมาเด็กหญิงก็แกะของเล่นเล่น ปากเล่าแจ้วๆเรื่องโน้นเรื่องนี้ เดี๋ยวก็หันมาชูกระดาษแข็งพิมพ์เป็นรูปสิงสาราสัตว์ต่างๆอวดเธอไม่หยุดหย่อน แพรวเพชรแทบไม่มีสมาธิฟังสิ่งที่ลูกเล่าเลย ใจเธอมัวแต่กังวลว่าจะจัดการกับเผ่าภาคินอย่างไรดี

ในที่สุดหญิงสาวก็นึกออก เพียงสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวมือจึงบังคับพวงมาลัยเลี้ยวรถกลับไปที่สำนักงานของคิวปิดแอสซิสแทนซ์ทันที ขณะเดียวกันก็กดโทรศัพท์เรียกไปหาสามี บอกว่าบังเอิญมีงานด่วนต้องสะสาง ขอให้เขาตามไปสมทบที่ออฟฟิศแทน

แพรวเพชรตั้งใจมองถนน เส้นทางเบื้องหน้าแม้จะไม่ราบรื่นเหมือนหนทางที่เคยผ่าน แต่หญิงสาวมั่นใจว่า ตราบเท่าที่ยังมีสามีและลูกเคียงข้าง ต่อให้สิบเผ่าภาคินก็ไม่สามารถแทรกเข้ามาทำให้เธอไขว้เขวได้โดยเด็ดขาด!
.
.
.
.
.
อิงอรุณมองเพื่อนที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่หน้าโต๊ะด้วยความเห็นใจ ยิ่งเมื่อเหลียวไปทางกานติมาที่นั่งเล่นการ์ดคำศัพท์รูปสัตว์ง่วนอยู่คนเดียวบนโซฟา ความเป็นห่วงก็ทวีขึ้น “เพชรแน่ใจนะว่าที่พี่เผ่ามาป้วนเปี้ยนอยู่เนี่ย เพราะแค่ต้องการจะเอาชนะพี่นราอย่างเดียว ไม่ใช่ว่าเขาระแคะระคายเรื่องหนูกานด้วยหรอกนะ”

แพรวเพชรหน้าถอดสี “เขาไม่มีทางรู้เรื่องนั้นหรอก เรา พี่นรา แล้วก็อิงไม่มีวันพูดเรื่องนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

“แต่เพชรต้องไม่ลืมว่า หมอที่โรงพยาบาลในโกลด์โคสต์มีประวัติของหนูกานอยู่ เพียงแต่เขาสืบค้นไปถึงต้นตอที่โน่น พี่เผ่าต้องรู้ความจริงทั้งหมดแน่ๆ”

“ถ้าไม่มีใครทำอะไรให้สงสัย เขาก็คงไม่นึกอยากจะไปสืบหาความจริงอะไรนั่นหรอก”

อิงอรุณยักไหล่ “ถ้านี่ไม่เกี่ยวกับหนูกาน งั้นแปลว่าเขาเจตนามาพัวพันกับเพชรชัดเจนเลยน่ะสิ”

“อิงจัดนัดบอดเขากับคุณศกุนตลาให้จบๆไปสิ เขาจะได้รู้ว่ามีผู้หญิงที่เหมาะกับเขามากกว่าเราเป็นร้อยเท่า”

“เพชรไม่รู้เหรอ เขาโทร.มาขอยกเลิกการนัดกับคุณศกุนตลา บอกว่าไม่อยากนัดบอด แต่ขอให้เราเมลรายการคอร์สต่างๆไปให้ดูแทน อ้างว่าอยากเจอคนเยอะๆมากกว่า”

แพรวเพชรกุมศีรษะ “เราไม่เข้าใจเลยว่าพี่เผ่ากำลังคิดจะทำอะไรกันแน่”

“ไม่แปลกหรอก เขาไม่ใช่นักเรียนนอกจนๆแบบเมื่อก่อนแล้วนี่ ถ้าไม่คิดอะไรยากเกินคาดเดา เขาคงรวยแบบนี้ไม่ได้หรอก รู้ไหม คุณนวลบอกว่าบริษัทของพี่เผ่าที่ออสเตรเลียน่ะ...”

คนฟังรีบยกมือปราม “พอเลยอิง เราไม่อยากรู้”

“ตามใจ อยากรู้เมื่อไหร่บอกละกัน เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง” อิงอรุณยอมเปลี่ยนไปยกเรื่องงานขึ้นมาคุยแทน

เกือบสิบแปดนาฬิกากว่านราธิปจะมารับภรรยาและลูกสาว คนขับรถจากบ้านเทียมสุบรรณมานำรถของแพรวเพชรกลับบ้าน ขณะอิงอรุณขอตัวไม่ไปร่วมวงมื้อไอศกรีมของครอบครัวแสนสุข

หญิงสาวมองพี่ชายขับรถออกไปจนไฟท้ายสีแดงสองจุดลับหาย แล้วจึงเลื่อนสายตาไปสบสานกับผู้ชายที่นั่งอยู่ในรถขับเคลื่อนสี่ล้อสีดำซึ่งจอดอยู่ริมถนน

อิงอรุณชั่งใจไม่ถึงเสี้ยววินาที แล้วจึงเดินออกไปที่ฟุตปาธ เคาะกระจกฝั่งข้างคนขับ คอยครู่เดียวเผ่าภาคินก็ลงมายืนเผชิญหน้ากันคนละฟากของรถ

“มีอะไรหรืออิงอรุณ” เขาถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย

“เรื่องมันผ่านมาขนาดนี้แล้ว ทำไมไม่ต่างคนต่างไปคะ” อิงอรุณเข้าเรื่องทันที

“ห่วงแทนพี่ชายเหรอ”

อิงอรุณเกลียดสีหน้ายิ้มแย้มของเขาชะมัด มันดูมั่นอกมั่นใจและเชื่อมั่นว่าตนเองจะต้องได้ในทุกสิ่งที่ต้องการ ถ้าทำได้ เธอคงถลันอ้อมหน้าหม้อรถไปข่วนใบหน้านั้นแน่ๆ

“ใครๆก็ต้องห่วงพี่ชายตัวเองอยู่แล้ว แต่ที่อิงพูดอย่างนี้ก็เพราะไม่อยากให้เพชรไขว้เขว ถ้าพี่เผ่ารู้ว่าเพชรเจออะไรมาบ้าง พี่จะไม่ทำอย่างนี้แน่นอน”

เผ่าภาคินเหยียดริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง “ถ้าอิงรู้ว่าพี่เจออะไรมาบ้าง อิงก็จะไม่พูดอย่างนี้เหมือนกัน”

อิงอรุณขนลุกเกรียว รู้สึกว่าน้ำเสียงที่เขาเอ่ยประโยคเมื่อครู่มีรอยเคียดแค้นชิงชังปะปน เธอตวัดตามองชายหนุ่มทันที แล้วก็พบว่าเขากำลังมองเขม็งมา ดวงตาทั้งคู่ราวกับสุมไว้ด้วยกองเพลิงเริงโรจน์

“แค่ถูกผู้หญิงทิ้ง มันไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอกค่ะ” หญิงสาวฝืนใจโต้

“แค่ทิ้งผู้ชายคนนึงเรื่องง่ายๆใช่ไหม อิงคงทำบ่อยละสิ ถึงไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยกับการกระทำอย่างนั้น”

“พี่เผ่าอย่ามาพาลอิงนะ” อิงอรุณกระชากเสียงไม่พอใจ และเผ่าภาคินก็ยักไหล่

“พี่ขอโทษ พี่แค่ไม่อยากได้ยินอิงพูดเหมือนเป็นคนไร้หัวใจ ที่ฆ่าผู้ชายคนนึงได้ทั้งเป็นโดยไม่รู้สึกอะไรเลย”

“พี่เผ่าอย่ามาน้ำเน่าแถวนี้เลย ฆ่ากันทั้งเป็นน่ะเหรอ เก็บไว้ให้พระเอกในนิยายพูดเหอะ”

ปฏิกิริยาของผู้ชายตรงหน้าเป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึง เพราะเผ่าภาคินหลับตาลง ทั้งยังถอนหายใจราวกับกำลังซ่อนรอยรวดร้าวบางประการไว้สุดความสามารถ ท่าทีผึ่งผายของเขาแปรเป็นหดหู่ได้ในชั่วพริบตา

“พี่ก็อยากจะพูดอะไรน้ำเน่าแบบในนิยายอยู่เหมือนกัน ประเภทว่าถ้าจะทำร้ายจิตใจกันอย่างนั้น ก็ฆ่ากันจริงๆเสียดีกว่า แต่อิงรู้ไหม ความจริงมันเจ็บปวดกว่าในนิยายเสียอีก” เพียงจบคำพูดนั้น เขาก็มุดตัวกลับเข้าไปในรถ ปิดประตูปัง แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้คนมองตามได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

สี่ปีที่แล้ว ผู้ชายคนนี้ปฏิเสธความรับผิดชอบของตน กล่าวหาแพรวเพชรด้วยข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น ทั้งยังเสือกไสเพื่อนรักของเธอออกจากชีวิตด้วยตัวเองทั้งสิ้น เขาเป็นคนผิดสำหรับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแท้ๆ แต่ทำไมกลับพูดจาราวกับว่าตัวเองเจ็บปวดเสียเต็มประดากระนั้น

จริงอยู่ว่าแพรวเพชรเป็นฝ่ายทิ้งเขาและเลือกพี่ชายของเธอ แต่นั่นเพื่อนทำไปเพราะถูกคนรักบีบบังคับ ไม่ว่าใครก็ไม่มีวันโทษแพรวเพชรเด็ดขาด

ยิ่งข่าวการตายของเขาสะพัดไปทั่วในหมู่คนไทยขนาดนั้น ใครจะกล้าคิดฝันว่าวันหนึ่งเขาจะโผล่มาอยู่ที่นี่แบบตัวเป็นๆ โหดเหี้ยมกว่าเดิม ทั้งยังดูอาฆาตมาดร้ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ฆ่ากันทั้งเป็นงั้นหรือ...

น่าขัน! เขายังกล้าพูดคำนั้นออกมาได้เต็มปากเต็มคำ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเผ่าภาคินนั่นแหละที่ฆ่าแพรวเพชรทั้งที่ยังมีลมหายใจ!
.
.
.
.
.
นพพลอ่านเอกสารช้าๆ ค่อยๆทำความเข้าใจกับเนื้อหาในหน้ากระดาษ ข้อเสนอขอร่วมลงทุนในโรงงานประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากพาร์กิ้นอินเตอร์เนชันแนลน่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เขากำลังจนแต้ม หาทางออกให้บริษัทไม่พบ

ทนายที่นำเอกสารมายื่นข้อเสนอนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเหล็กเก่าๆซึ่งชายวัยกลางคนใช้เป็นที่ทำงานมาตั้งแต่เริ่มเปิดบริษัทเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ทั้งที่ฐานะของบริษัทมั่นคงและสามารถเลือกหาเครื่องใช้ที่ดีกว่านี้มาทดแทนได้ ทว่าเมื่อบุตรีแนะนำให้เปลี่ยนอุปกรณ์สำนักงาน เขาตอบรับความปรารถนาดี แต่ขอคงไว้เฉพาะโต๊ะเหล็กตัวนี้ เพื่อใช้ระลึกถึงวันเวลาเก่าๆและอุปสรรคต่างๆนานาที่เขาทุ่มเทเพื่อบริษัทจนมีทุกวันนี้

ไอซีอินทิเกรทเต็ดเป็นโรงงานเล็กๆค่อนไปทางขนาดกลาง ไม่ใหญ่โตพอที่จะยกระดับตัวเองเข้าตลาดหลักทรัพย์ เป็นธุรกิจส่วนตัวที่มีผู้บริหารเพียงคนเดียว สามารถตัดสินใจทุกอย่างในบริษัทได้ และสั่งการลงไปเป็นลำดับขั้นโดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของกรรมการบริษัทคนใดทั้งสิ้น เพราะกรรมการพวกนั้นเขาก็แค่ยืมชื่อลูกเมียและญาติๆมาใส่ พร้อมมอบหุ้นให้คนละหนึ่งหุ้นเพื่อให้เป็นไปตามข้อแม้ในการจดทะเบียนบริษัทเท่านั้น

เมื่อโอกาสดีๆมารออยู่ตรงหน้า เขาจึงอดไม่ได้ที่จะลังเล การร่วมทุนกับบริษัทยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศ นอกจากจะมีเงินทุนมาซื้อเครื่องจักรใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิตแล้ว ยังมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะยกระดับขององค์กรให้มียอดขายเพิ่มขึ้นในระดับที่เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (MAI) และระดมทุนมาขยายกิจการได้ในวันข้างหน้าโดยไม่ต้องพึ่งพาใครเป็นการเฉพาะเจาะจงอีกต่อไป

ความหนักใจเดียวของนพพลก็คือ การมีหุ้นส่วนเพิ่มมาอีกคนย่อมต้องทำให้การบริหารงานเปลี่ยนโฉมหน้าไปโดยสิ้นเชิง จากการที่เขาตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง กลับกลายเป็นว่าเขาจะต้องคอยฟังความคิดเห็นจากหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งก่อน...

“เจ้านายผมเชื่อมั่นในความสามารถของคุณนพพลครับ เขายินดีจะยกอำนาจการบริหารแบบเบ็ดเสร็จให้ คุณนพพลดำเนินงานได้คล่องตัวอย่างเก่า” ทนายของพาร์กิ้นอินเตอร์ฯเอ่ยราวกับรู้ว่าเขากำลังกังวลเรื่องใด “และเราก็รู้มาด้วยเช่นกันว่ามีบริษัทผู้ผลิตแผงวงจรชื่อดังจากไต้หวันเข้ามาเจรจาขอซื้อหุ้นในบริษัทของคุณอยู่ พูดง่ายๆว่าคุณอาจกำลังชั่งใจว่าจะเลือกร่วมทุนกับบริษัทไหน หรือไม่ก็อยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะปฏิเสธทั้งสองข้อเสนอยังไงไม่ให้บัวช้ำน้ำขุ่น”

นพพลอดยิ้มไม่ได้ “ผมต้องขอบคุณเจ้านายของคุณมากที่ให้เกียรติกันขนาดนี้ ความจริงบริษัทไต้หวันนั่นคงไม่ชายตาแลโรงงานเล็กๆของผม ถ้าไม่ใช่เพราะพาร์กิ้นอินเตอร์ฯแสดงตัวว่าอยากจะร่วมทุนกับไอซีอินทิเกรทเต็ด ผมยอมรับครับว่านี่เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจและแทบไม่มีเหตุผลในการปฏิเสธเลย แต่สิ่งที่ผมเป็นกังวลก็คือ เจ้านายคุณไม่ได้ร่วมทุนกับผมแค่แห่งเดียว มีข้อเสนอแบบเดียวกันนี้ส่งให้โรงงานประกอบแผงอิเล็กทรอนิกส์อีกสองสามแห่ง ถ้าหากคุณอยากได้คำตอบรับจากผม อย่างน้อยในฐานะว่าที่หุ้นส่วน ผมก็อยากจะรู้ก่อนว่าพาร์กิ้นอินเตอร์ฯกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่”

“ข่าวของคุณถูกต้องแล้วครับ ทีมที่ปรึกษาเสนอชื่อบริษัทคุณและโรงงานอีกสามแห่งให้เจ้านายผมพิจารณาเพื่อเลือกทีมงานที่แข็งแกร่งที่สุด ไอซีอินทิเกรทเต็ดเป็นตัวเลือกแรกที่เราอยากได้มาเสริมกำลังการผลิตให้สูงขึ้น และเรากำลังจะผลิตแผงวงจรชนิดใหม่ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบปิด นั่นคือเหตุผลสำคัญที่เราต้องมีโรงงานของตัวเอง แทนที่จะไปจ้างผลิตอย่างที่ผ่านมา”

นพพลผงกศีรษะทำนองว่าเข้าใจ “คุณกลัวเทคโนโลยีจะเล็ดลอดออกไป ก็เลยใช้วิธีง่ายๆ ซื้อโรงงานมาผลิตเสียเอง เจ้านายคุณนี่ฉลาดไม่เบา”

“ไม่ใช่ซื้อครับ ผมย้ำหลายครั้งแล้วว่านี่เป็นการร่วมทุนต่างหาก” ทนายความหนุ่มใหญ่แย้ง

“ผมมีเวลาคิดนานแค่ไหน” นพพลรวบรัดเข้าสู่ประเด็นโดยไม่เยิ่นเย้อ

“ถึงสิ้นเดือนนี้ครับ ถ้าคุณตกลงเซ็นสัญญา พาร์กิ้นอินเตอร์ฯจะอนุมัติเงินลงทุนโอนเข้าบัญชีบริษัท ให้คุณนพพลดำเนินการสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่และต่อเติมโรงงาน ไอซีอินทิเกรทเต็ดต้องพร้อมสำหรับการผลิตสินค้าใหม่ภายในหนึ่งไตรมาส”

“แล้วงานลูกค้าเก่าๆของผมล่ะ”

“เราจะไม่แตะต้องในส่วนนั้น คุณแบ่งกำลังการผลิตเดิมที่มีทำของขายลูกค้าประจำได้เลย”

นพพลพยักหน้าครุ่นคิด “ขอเวลาให้ผมตัดสินใจสักนิด แล้วผมจะตอบคุณ รับรองว่าก่อนสิ้นเดือนแน่นอน”



สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 มี.ค. 2556, 00:29:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 มี.ค. 2556, 00:29:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1880





<< ตอนที่ ๑๐   ตอนที่ ๑๒ >>
สิริณ 16 มี.ค. 2556, 00:34:21 น.
คำถามยอดฮิต "จะออกทันงานหนังสือหรือเปล่า"

เรียนตามตรงค่ะ ว่าตอบไม่ได้จริงๆ
ตอนนี้หนังสือเสร็จแล้ว รอคิวเข้าพิมพ์ค่ะ
แต่เนื่องจากเป็นช่วงใกล้งานหนังสือ
คิวยากมากกกกก

คงต้องขอให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่น่ารัก
ช่วยกันสวดมนต์ให้พิมพ์ทันค่ะ
จะได้ซื้ออ่านกันเลยเนอะ อิิอิ

ตอนที่แล้ว พี่ๆน้องๆเมตตากดไล้ค์ให้ตั้ง 24 คน
ขอบคุณมากๆค่ะ
ฟีดแบ็กเล็กๆน้อยๆแค่นี้
แต่ยังความปลาบปลื้มยินดีแก่่ผู้เขียนจริงๆ ^___^


sai 16 มี.ค. 2556, 00:43:11 น.
ลุ้นต่อไป จนตอนนี้เราก็ยังเดาไม่ออกว่าใครอยู่เบื้องหลังความเจ็บปวด


พันธุ์แตงกวา 16 มี.ค. 2556, 01:33:34 น.
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกปลื้มพี่นรามากกว่าพี่เผ่า


Pampam 16 มี.ค. 2556, 06:22:02 น.
ผ้หญิงคนที่ชอบนายเผ่าอยู่เบื้องหลังแน่เลย ถ้าพี่นราเป็นคนดีก็น่าสงสารเหมือนกัน


bsirirata 16 มี.ค. 2556, 08:19:22 น.
ยังต่อเรื่องไม่ถูก แต่ตอนสุดท้ายจะหักมุมให้นราธิปเป็นคนร้ายมั้ยคะเนี่ย


nunoi 16 มี.ค. 2556, 11:03:43 น.
ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของความเจ็บปวดนี่น่ะ


goldensun 16 มี.ค. 2556, 11:31:55 น.
ความไม่รับผิดชอบของเผ่าคืออะไร กลายเป็นต่างคนต่างถูกกระทำ
อะไรทำให้เข้าใจผิดกันนะ ยิ่งเห็นมุมมองจากทั้งสองด้านยิ่งสับสน


หมูอ้วน 16 มี.ค. 2556, 14:27:53 น.
ตามติดค่ะ เริ่มงงง สงสัยแล้ว ว่าใครอยู่เบื้องหลัง


supayalak 18 มี.ค. 2556, 13:32:42 น.
แสดงว่าทั้งพี่เผ่าและน้องเพชรมีคนที่คอยจะทำลายชีวิตรักของคนทั้งคู่แหง่มๆ แต่ใครหล่ะที่ทำทุกสิ่งอย่างอันได้เข้าล๊อกขนาดนี้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account