เจ้าบ่าวค้างสต็อก by สลิลา

Tags: เจ้าบ่าว ,สต็อก ,โรแมนติก

ตอน: บทที่ 22

เช้าวันต่อมา ซึ่งเป็นวันที่นวินรับปากว่า จะพาวาณีไปเยี่ยมกอบทรัพย์ นวินแต่งตัวเสร็จก่อน จึงเดินลงมารอที่ห้องทานข้าว โดยมีช้องนางออกจากครัวมาคอยดูแลเอง

ขณะนั้นเอง วาณีก็ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้ากังวล ในมือมีโทรศัพท์มือถือ “คนชื่อรัฐภูมิโทรฯมาค่ะ บอกว่านัดฉันไว้ จะไปทำงานที่ไหนไม่รู้”

มือที่ถือช้อนอยู่ชะงัก สีหน้าขรึมลง ยิ้มเหยียดผุดขึ้นที่มุมปาก เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นไม่ได้ผิดไปสักนิด เขาวางสายตาไปทางช้องนางแวบหนึ่งทำนองว่า ผิดจากที่ผมคิดหรือเปล่า แต่ช้องนางไม่ใส่ใจเขา เธอจับตามองวาณีตาไม่กะพริบ

“ในส่วนของออฟฟิศ วันนี้เป็นวันหยุด เราไม่ทำงาน”

วาณีหน้าเหลอ “อ้าว เหรอคะ แต่ฉันได้ยินไม่ผิดนะคะ”

หนุ่มใหญ่ถอนหายใจยาว มองหน้าหล่อนด้วยความผิดหวังที่ซัดเข้ามาระลอกใหญ่

“เลิกเล่นละครเถอะวาณี ถ้าเธออยากไปเที่ยวกับเขา เธอก็ไป ฉันไม่ห้าม”

หญิงสาวขมวดคิ้ว ทำหน้างงหนักกว่าเดิม หันไปทางช้องนางอย่างขอความเห็น แต่ฝ่ายนั้นอยู่ในภาวะน้ำท่วมปาก จึงได้แต่เงียบ

“คุณอาหมายความว่ายังไง หนูเล่นละครอะไรคะ นี่หนูตั้งใจมาปรึกษาเพราะเกรงว่าจะเป็นงานสำคัญนะคะ”

“ก็ฉันบอกแล้วไงว่ามันไม่มีงานอะไร เขาคงแค่อยากหาข้ออ้างพาเธอไปเที่ยวมากกว่า และถ้าเธอจะไป ฉันก็ไม่ห้าม” เสียงนวินห้วนจัด ดวงตาคมกล้าบ่งบอกความรำคาญใจจะแจ้ง ทำเอาคนได้รับถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง มองเขาอย่างไม่เข้าใจ แต่ที่สุดหล่อนก็ยักไหล่น้อยๆ แล้วบอกว่า

“หนูไปรอที่รถนะคะ” พูดจบหล่อนก็สะบัดหน้าจากไปโดยไม่แตะต้องอาหารเช้า

นวินวางช้อนทันทีที่ร่างบางก้าวพ้นห้อง เขาเอนกายพิงพนักพลางถอนหายใจยาว ดวงตาคมกล้าเต็มไปด้วยรอยครุ่นคิด หนักใจ และแน่นอน ที่กินพื้นที่มากที่สุดก็คือความผิดหวัง!

“เห็นหรือยัง พี่นาง คนดีของพี่นาง”

“เห็นค่ะ เห็นว่าเธอความจำอะไรไม่ได้จริงๆ และเธอก็ยังเป็นเด็กดีของพี่เสมอ...” ช้องนางตอบด้วยความเชื่อมั่น นวินทำเสียงฮึในลำคอ ก่อนขยับตัวลุกขึ้น

“วันไหนรู้ตัวว่าโดนเด็กหลอก อย่ามาคร่ำครวญกับผมนะ เพราะผมจะไม่ปลอบใจ แต่จะหัวเราะซ้ำ” พูดจบเขาก็เดินออกไป ช้องนางได้แต่เขวี้ยงค้อนตามหลัง

“วันไหนที่รู้ความจริงว่าหนูวาณีไม่ได้โกหก อย่ามาทำเป็นสำนึกผิดนะ เพราะจะไม่ให้อภัย และจะสมน้ำหน้าให้” แล้วเธอก็นึกอะไรได้ “ไปโรงพยาบาลแล้ว อย่าลืมแวะไปหาหมอให้เขาดูหลังให้นะคะ เช็คให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แค่ประคบเย็นไม่พอหรอก”

เมื่อคืนนี้ หลังจากนั่งคิดอะไรที่ห้องรับแขกต่ออีกสักพัก เขาก็ลุกขึ้นเพื่อกลับเข้าห้องบ้าง ตอนนั้นเองที่เธอเห็นว่าเขาเดินไม่เต็มความสูง สีหน้าค่อนข้างเหยเก ครั้นทราบเรื่อง เธอจึงจัดการประคบเย็น แล้วเอายานวดผสมสมุนไพรไทยมานวดให้จนรู้สึกดีขึ้น แต่ก็ยังไม่วางใจนัก แม้เขาจะบอกว่าไม่เป็นอะไรก็ตาม



วาณีไม่พูดไม่ถามอะไรอีกระหว่างนั่งอยู่ในรถ หล่อนยังมีท่าทางห่างเหินและไว้ตัวกับเขาเฉกเช่น ‘หล่อนคนก่อน’ และเมื่อมาถึงโรงพยาบาล นวินก็บอกให้หล่อนไปพบหมอเพื่อปรึกษาเรื่องของหล่อนเองก่อน แต่วาณีสั่นหน้าปฏิเสธ เพราะอยากไปเยี่ยมกอบทรัพย์มากกว่า แต่ครั้งนี้นวินไม่ใจอ่อนกับความดื้อดึงของหล่อนอีกแล้ว เขาคว้าข้อมือหล่อนหมับแล้วลากให้ออกเดินไปด้วยกัน โดยไม่ฟังเสียงทัดทานและอาการแข็งขืนของหล่อนแม้แต่นิด

ในที่สุด วาณีก็ได้มานั่งอยู่หน้าแพทย์หญิงท่าทางใจดีคนหนึ่ง หลังจากตรวจร่างกายแล้ว หมอก็บอกว่า ศีรษะของหล่อนมีร่องรอยกระแทกกับของแข็ง ซึ่งนี่อาจส่งผลต่อเรื่องความทรงจำ

“คนเรามันจะความจำเสื่อมกันง่ายๆ ขนาดนี้เลยเหรอครับ หมอ” นวินถามเหมือนเป็นความรู้ แต่จริงๆ แล้วเพราะความไม่แน่ใจในตัววาณีมากกว่า

“สมองของคนเราซับซ้อนมาก หมอเคยเจออยู่เคสหนึ่ง ลูกบาสกระแทกเข้าที่ศีรษะ ความจำหายไปเป็นอาทิตย์ จำใครจำอะไรไม่ได้เลย...และเหตุความจำเสื่อมก็ไม่ได้เกิดเพราะหัวกระแทกพื้นอย่างเดียว...บางคนเครียดมาก เส้นเลือดในสมองแตก สลบไป ฟื้นขึ้นมาจำอะไรไม่ได้ก็มี...”

จากนั้นก็แนะนำว่า วิธีที่ดีที่สุดของการรักษาอาการความจำเสื่อมก็คือ ให้อยู่ในที่ที่หล่อนเคยอยู่ กับคนที่หล่อนรู้จักและทำในสิ่งที่เคยทำ
“แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อาการของคนไข้แต่ละคนจะต่างกันออกไป การจะกลับมาจำได้อีกครั้งก็ต่างกันออกไปด้วย บางคนอาจต้องใช้เวลานานเป็นเดือน เป็นปี หรือหลายๆ ปี หรืออาจจะจำไม่ได้เลยตลอดชีวิตก็เป็นได้ แต่บางคนก็แค่เพียงอาทิตย์เดียว...” หมอสาวเว้นช่วงแล้วหันมาทางนวิน “ยังไงก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ กำลังใจจากคนรัก คุณพ่อจะต้องคอยให้กำลังใจน้องนะคะ”

วาณีหลุดหัวเราะพรืด ขณะที่ ‘คุณพ่อ’ หน้าตึงและแดงขึ้นเล็กน้อย ส่วนคุณหมอทำหน้างง

“มีอะไรหรือเปล่าคะ...หรือว่าหมอเข้าใจอะไรผิดไป”

“ไม่มีค่ะ ไม่มี...สรุปว่า หนูจะต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมเหมือนเดิม และทำทุกอย่างให้เหมือนเดิมใช่มั้ยคะ”

“ใช่ค่ะ แล้วก็อย่าลืมมาพบหมอตามเวลานัดนะคะ...”

ห้านาทีต่อมา วาณีก็เดินกลั้นหัวเราะออกมาจากห้องตรวจ โดยมี ‘คุณพ่อ’ ที่มือหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงมือหนึ่งถือถุงยาเดินอยู่ข้างๆ สีหน้าติดจะบึ้ง

“คราวหน้าเปลี่ยนหมอ” จู่ๆ เขาก็เอ่ยเสียงห้วน วาณีหันมามองหน้าเขา แล้วก็ต้องหันกลับไปแอบหัวเราะคนเดียวจนหน้าแดง สักพักจึงหันกลับมาใหม่

“ถ้าหนูเป็นคุณอา หนูจะขอบคุณคุณหมอ” หล่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะ

“เรื่อง?” คิ้วเข้มยกขึ้นสูง

“ที่ไม่เรียกคุณอาว่า ลุง!”

“วาณี!” นวินคำรามเสียงต่ำ มองหน้าหล่อนอย่างคาดโทษ แต่วาณีไม่มีกลัว แถมยังไม่ยอมหยุดขำอีกต่างหาก

“ขา คุณพ่อ” ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้สนิทกับเขา รู้จักกันได้เพียงสองสามวัน ไม่รู้นิสัยส่วนอื่นนอกจากเรื่องที่เขารังเกียจหล่อน แต่จู่ๆ วาณีก็พบว่าตัวเองคุ้นเคยกับเขามากกว่านั้น สนิทและใกล้ชิดกันมากกว่าที่คิด จนทำให้หล่อนกล้าที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเขานี่ละ

นวินเองก็ชะงักไปกับใบหน้าอ่อนใสที่ยื่นมายั่วยิ้มใกล้ๆ ...นี่นะหรือ คนความจำเสื่อม ที่จำได้เฉพาะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้สามเดือน อันหมายความว่า หล่อนรู้จักเขาเพียงสองวันเท่านั้น!

“รีบไปเยี่ยมคนที่เธออยากเยี่ยมได้แล้ว” เขาเอ่ยเสียงขรึมและมีท่าทางห่างเหินเห็นได้ชัด วาณีรู้สึกตัว จึงถอยห่างเขา แล้วเดินตามไปเงียบๆ



ตอนที่นวินกับวาณีไปถึง กอบทรัพย์นอนหลับอยู่ คนเฝ้าคือโกยทองคนเดียวเท่านั้น และลูกชายคนโตของกอบทรัพย์ก็มองหล่อนอย่างแปลกใจ ขณะที่คนถูกมองกลับจ้องไปที่ร่างบนเตียงด้วยความตกใจ เป็นห่วง ครู่ต่อมา หล่อนก็ทำท่าจะกรากเข้าไปดูใกล้ๆ

“เอ่อ...วาณี...” นวินรีบเรียกไว้ ก่อนที่หล่อนจะทันถึงเตียง “อย่าเพิ่งไปกวนคนไข้เลย มานี่ก่อน ฉันจะแนะนำให้รู้จักกับลูกชายของพี่กอบ...โกยทอง...โกย นี่วาณี...หลานของอาน่ะ”

วาณีชะงักเท้ากึกอย่างนึกได้ว่าตนมาในฐานะของหลานนวิน ไม่ใช่ใครที่รู้จักกอบทรัพย์ จากนั้นก็หันมามองชายหนุ่มเจ้าของชื่อ ขณะที่เขาเองก็มองหล่อนอย่างพิจารณาเช่นกัน ครู่ต่อมาเขาก็ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

โกยทองรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานทั้งหมดแล้วจากออมเงินที่ยังคงเสียใจกับการกระทำของตัวเอง และพอได้เจอวาณี เขาก็รู้สึกถูกชะตากับหล่อนอย่างบอกไม่ถูก

“สวัสดีครับ คุณวาณี ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“เช่นกันค่ะ พี่...เอ่อ คุณโกย” วาณีส่งยิ้มแบบเดียวกันกลับมาให้ “อาการคุณ...เอ่อ คุณลุงเป็นยังไงบ้างคะ”

“เหมือนเดิมครับ ยังพูดไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้...นี่พวกผมกำลังคุยกันว่า อาจจะพาท่านกลับบ้าน เพราะคุณแม่ท่านทำใจได้มากแล้ว ให้ท่านได้อยู่ใกล้กันคอยดูแลกันมากกว่านี้ คุณพ่ออาจจะดีขึ้นก็ได้”

นวินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ขณะที่วาณีคล้ายไม่ได้ยินคำตอบนั้นนัก เพราะหล่อนหันไปจ้องกอบทรัพย์ด้วยสายตาชนิดเดิม จนสะดุดตาโกยทองเข้าจนได้

อย่างไรก็ตาม โกยทองก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งที่สงสัยในตอนนั้น เพราะบิดารู้สึกตัวพอดี

“คุณพ่อตื่นแล้ว” ชายหนุ่มอุทานยินดีแล้วรีบเดินเข้าไปใกล้ “อาวินกับคุณวาณี หลานอาวินน่ะครับ มาเยี่ยมคุณพ่อ”

ร่างของกอบทรัพย์กระตุกทันทีที่ได้ยินชื่อวาณี ดวงตาคู่นั้นมองหา ครั้นเจอ เขาก็มองหล่อนนิ่งนาน ส่งความเป็นห่วงสุดหัวใจมาพร้อมกับความเสียใจและขอลุแก่โทษให้รับรู้ หยาดน้ำหยดอุ่นไหลจากหางตาช้าๆ ส่วนวาณีนั้นยกมือไหว้เขาในระยะไกล แล้วเงยหน้ามาส่งยิ้ม...ทั้งน้ำตา!

นวินมองสองคนสลับกันไปตาแทบไม่กะพริบ แล้วเขาก็พบว่า ทั้งคู่ดูเป็นห่วงกันมาก ห่วงอย่างจริงใจ โดยเฉพาะวาณีเอง หล่อนไม่เหมือนคนที่กำลังจะตีจากกอบทรัพย์สักนิด

หรือนี่ก็เป็นละครอีกฉากหนึ่งของหล่อนเท่านั้น?

“คุณพ่อ...เป็นอะไรไปครับ...คุณพ่อต้องการอะไรหรือครับ” โกยทองก้มหน้าลงไปถามใกล้ๆ ครั้นเห็นว่าท่านเอาแต่จ้องวาณีนิ่งอยู่ เขาก็ต้องหันไปมองตาม ครั้นเห็นว่าหญิงสาวแปลกหน้าเองก็น้ำตาคลอเช่นกัน ชายหนุ่มก็ยิ่งแปลกใจทบทวี “คุณพ่อ...รู้จักคุณวาณีหรือครับ คุณพ่อมีอะไรจะพูดกับเธอใช่มั้ยครับ”

“เอ่อ...ไม่ค่ะ ไม่รู้จักค่ะ คุณโกย” วาณีรีบกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยาดน้ำตา “ท่านคงแค่ปลื้มใจที่มีคนมาเยี่ยมน่ะค่ะ ส่วนฉันก็...สงสารท่านที่ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้...เอ่อ...ฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่า คุณพ่อของคุณจะได้พักผ่อน”

“อ้าว...จะกลับแล้วหรือครับ...อาวินไม่รอพบคนอื่นๆ ก่อนหรือฮะ แอ๊นท์กับลุงศรกำลังมาครับ” ตอนท้ายชายหนุ่มหันไปทางผู้เป็นอา

นวินวางสายตาไปทางวาณีแวบหนึ่ง “พอดีวาณีมีธุระต่อน่ะ”

โกยทองทำเสียงรับทราบ แล้วหันไปส่งยิ้มให้หญิงสาว “โอกาสหน้าคงได้พบกันอีกนะครับ คุณวาณี”

“ค่ะ...” หล่อนรับคำสั้นๆ แล้วมองกอบทรัพย์ ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว

“หายไวๆ นะคะ” จากนั้นก็หมุนตัวเดินเร็วๆ ออกไปก่อน โดยมีสายตาของกอบทรัพย์มองตามจนร่างนั้นก้าวพ้นประตูห้องไป จึงหลับตาลง ขณะที่น้ำตายังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง



ขากลับ วาณีเงียบกว่าตอนขามา แถมยังมีอาการเศร้าเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างด้วย จนนวินอดค่อนแคะไม่ได้

“เลิกเล่นละครได้แล้ว...แค่นี้ฉันก็ปลื้มจะแย่ ที่ได้ขับรถให้ดาราเจ้าบทบาทนั่ง”

“คุณอาจะประกบหนูให้ได้อะไรขึ้นมาคะ?” วาณีหันมาตวาดให้อย่างเหลืออด “หนูรู้ว่าคุณอาโกรธ เกลียดหนู แต่ช่วยด่าตรงๆ เถอะค่ะ ประกบอยู่แบบนี้ หนูยิ่งปวดหัว”

นวินจอดรถเข้าข้างทางทันทีด้วยความโมโหที่ถูกเด็กไม่สันทัดภาษาไทยตะคอก

“นี่เธอกล้าขึ้นเสียงกับฉันขนาดนี้เลยหรือ จำเอาไว้นะ เมียน้อยอย่างเธอ ไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ขออะไรจากฉันทั้งนั้น”

“เมียน้อย?” วาณีร้องเสียงสูง มองหน้าเขาอย่างขัดใจ “ก็หนูบอกแล้วไงว่าหนูไม่ใช่ ทำไมไม่เชื่อกันบ้าง” “เพราะเธอกับพี่กอบทำตัวมีพิรุธ ไม่ชัดเจน ไม่โปร่งใส และเธอก็ตอบฉันไม่ได้ว่าเธอเป็นอะไรกับเขา แล้วจะให้ฉันคิดว่าผู้ชายแก่คราวพ่อพาหญิงสาวคนหนึ่งข้ามน้ำข้ามทะเลมาในฐานะอะไรเรอะ!”

“ฐานะระหว่างหนูกับคุณกอบ มันยังเปิดเผยไม่ได้ มันยังไม่ถึงเวลา” สีหน้าวาณีอึดอัดใจเป็นหนักหนา “ซึ่งบางครั้งหนูก็อยากพูดๆ ให้มันจบๆ เหมือนกัน จะได้ไม่ต้องคาราคาซังอยู่แบบนี้ แต่หนูพูดไม่ได้”

“เฮอะ นอกจากสถานะเมียน้อยแล้ว มันไม่มีสถานะอะไรที่ควรต้องปกปิดหรอก แม่คุณ”

วาณีส่ายหน้าไปมา ด้วยอ่อนใจกับคนที่ไม่ยอมเปิดใจรับฟังสิ่งที่หล่อนพูดแม้แต่นิด ดึงดันจะเชื่ออย่างที่ตัวเองเชื่ออยู่นั่นแล้ว

“ตาแก่บ้า เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น มิน่าล่ะ ถึงไม่มีใครอยากแต่งงานด้วย เลยต้องค้างสต็อกอยู่แบบนี้ไง!”

‘ตาแก่’ หน้าแดงก่ำเพราะความโมโหที่ทบทวี มือแข็งแรงเอื้อมไปกระชากแขนเรียวเสลาเพื่อดึงร่างแบบบางเข้าหาตัว

“ถึงฉันจะแก่ แต่ฉันก็ไม่เคยทำอะไรผิดศีลธรรมเหมือนเด็กอย่างเธอ ร่างกายฉันไม่ได้สกปรกเหมือนเธอหรอกนะ แม่เมียน้อยข้ามชาติ!”

พูดจบ ‘ตาแก่’ ก็ก้มหน้าลงมารุกรานริมฝีปากสีระเรื่อของ ‘เมียน้อยข้ามขาติ’ อย่างไร้ความปรานี วาณีได้แต่นิ่งขึง ตาเบิกค้างเพราะคาดไม่ถึง หากเพียงไม่นาน ดวงตาของหล่อนก็ค่อยๆ หรี่เล็กลงพร้อมไปกับสัมผัสจากริมฝีปากอุ่นร้อนที่ค่อยๆ อ่อนโยนขึ้น แถมยังเรียกร้องแปลกๆ อีกด้วย ที่น่าตกใจก็คือ หล่อนพึงพอใจที่เขาทำแบบนี้!

แต่...หล่อนกับเขาเพิ่งรู้จักกันได้แค่สองวันเท่านั้น และเขาก็เกลียดหล่อนยังกับอะไรดี!...

คิดได้อย่างนั้น หญิงสาวก็เริ่มดิ้นประท้วง และนั่นก็ทำให้นวินรู้สึกตัวเหมือนกันว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ ชายหนุ่มยอมถอนริมฝีปากออก และก้มหน้าไปมองหล่อน ก็เจอะเข้ากับสายตาผิดหวังและตัดพ้อบนใบหน้าแดงก่ำ

“ตาแก่บ้าอำนาจ ขนาดจะจูบยังเอาแต่ใจตัว ตาแก่ฉวยโอกาส!” วาณีเค้นเสียงคั่งแค้น “ถ้าคิดว่าตัวหนูมันสกปรกนักแล้วมาแตะต้องทำไม”

นวินเบือนหน้าไปทางอื่นด้วยละอายแก่ใจ พานทำอะไรไม่ถูก “ฉัน...ฉันแค่...อยากจะให้เธอพูดภาษาไทยให้ถูกแค่นั้น”

“คะ? อะไรนะ? แล้วหนูพูดอะไรผิด” วาณีทำหน้างงสุดชีวิต

“ก็...เมื่อกี้ที่เธอบอกว่าฉันประกบเธอไงล่ะ จริงๆ คำนั้นที่ถูกคือประชด ฉันเคยแก้ให้เธอครั้งหนึ่งแล้ว แต่เธอไม่ยอมจำ ฉันก็เลยต้องสอนความหมายที่ถูกของคำว่าประกบให้ไง” หนุ่มใหญ่ที่ตั้งตนเป็นครูภาษาไทยพูดเร็วๆ แล้วก็เบือนหน้าไปทางอื่น

วาณีหน้าเหวอ มองด้านข้างของเขาอย่างไม่อยากเชื่อหู คนบ้าอะไรมาสอนภาษาไทยแบบนี้ คิดได้อย่างไรนั่น!

“เดี๋ยวก่อนค่ะ” เมื่อเห็นเขาหันไปจะขับรถ หญิงสาวก็เอะอะขึ้น “คุณอาเคยทำอย่างนี้กับหนูมาก่อนหรือเปล่าคะ!”

นวินไม่ตอบ แต่ได้ออกรถอย่างรวดเร็วจนผู้โดยสารหัวคะมำ เมื่อทรงตัวได้ก็ได้แต่หันมองหน้าเขาด้วยท่าทางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน!



วาณีเปิดประตูก้าวลงไปตั้งแต่รถยังไม่ทันจอดสนิท จากนั้นก็เดินแกมวิ่งเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าบึ้งตึง ความโกรธที่ถูกเขาล่วงเกิน ยังกินพื้นที่เต็มอยู่ในความรู้สึก ครั้นมาถึงบันไดเตี้ยๆ หล่อนก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นอุมารังสีเดินออกมาจากด้านใน

“พี่อุมา!!!” วาณีกรีดเสียงด้วยความตื่นเต้นดีใจ โผเข้ากอดร่างนั้นแน่น ก่อนผละออกแล้วละล่ำละลักถาม “พี่อุมามาได้ยังไง กลับจากอเมริกาเมื่อไรคะ เนี่ย โอ๊ย ดีใจจังเลย วาณีนึกว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว”

อุมารังสีทำหน้างง “ทำไมต้องดีใจขนาดนั้นด้วยจ๊ะ วาณี ทำยังกับไม่ได้เจอกันนานเป็นปีเป็นชาติงั้นละ”

“โห ไม่ได้เจอกันเกือบห้าปีนี่ไม่เรียกว่านานอีกเหรอคะ...ว่าแต่ พี่อุมามาที่นี่ได้ยังไงคะ เนี่ย รู้เหรอคะว่าวาณีอยู่ที่นี่” วาณีหยุดตื่นเต้นชั่วคราวเพื่อสงสัย

อุมารังสีขมวดคิ้ว มองหน้าน้องสาวสุดที่รักอย่างไม่เข้าใจด้วยประการทั้งปวง “นี่วาณีพูดอะไร ถ้าพี่ไม่รู้ว่าวาณีอยู่ที่นี่ แล้วพี่จะมาถูกได้ยังไง...เอ...เดี๋ยว วาณีไม่สบายหรือเปล่า...เราเพิ่งเจอกันเมื่อวานซืนไงจ๊ะ”

“เมื่อวานซืน? ที่ไหนคะ”

“อ้าว ก็ที่โรงงานไงจ๊ะ ตอนที่พี่กับอาวินเอาคอมไปส่งให้วาณีไง”

วาณีพยายามนึกตามนั้น พอดีกับที่ได้ยินเสียงฝีเท้านวินดังขึ้นข้างหลัง จึงหันไปมองเขาด้วยแววตาเต็มไปด้วยคำถาม

“ฉันโทรฯหาอุมาเอง” เขาพูดเสียงขรึม แล้วก็เงยหน้าไปส่งยิ้มให้อุมารังสี “น้องสาวของอุมา เขาว่าเขามีแอ๊คซิเด็นนิดหน่อยครับ เข้าบ้านกันดีกว่า เดี๋ยวอาเล่าให้ฟัง”


“พี่ไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นความจริง...ยังกับในนิยายแน่ะ” อุมาทำสีหน้าประกอบคำพูด เมื่อทั้งคู่มานั่งขัดสมาธิตรงข้ามกันในศาลาหลังบ้านเรียบร้อยแล้ว

“พี่อุมาแค่ไม่อยากเชื่อ แต่ตาแก่...เอ่อ...คุณอาน่ะค่ะ ไม่เชื่อเลย หาว่าวาณีเล่นละครบ้าบออะไรไม่รู้ ที่สำคัญ เขาคิดได้ยังไงว่าวาณีจะเป็นเมียน้อยพ่อน่ะ” วาณีทำหน้าเซ็งๆ

“ว่าไงนะ พ่อเหรอ ใครคือพ่อของวาณีจ๊ะ” อรอุมาอุทานแปลกใจหนที่เท่าไรก็ไม่อาจฟันธง นับจากเจอวาณีในวันนี้ ระหว่างที่ฟังนวินเล่า ตลอดจนนาทีนี้

“ก็คุณกอบทรัพย์ไงคะ อ้อ พี่อุมาไม่รู้จักพ่อนี่นา...หลังจากแม่เสีย พ่อก็ไปรับวาณีมาจากซิดนีย์ค่ะ”

“จริงเหรอ นี่อย่าบอกนะว่า ที่มีคนบอกว่า มีผู้ชายรับวาณีมาอุปการะก็คือพ่อแท้ๆ ของวาณีน่ะ” อุมารังสีจับมืออีกฝ่ายเขย่าด้วยความยินดี “โอ๊ย ดีใจจังเลย วาณีไม่ได้เป็นเมียน้อยใครแล้ว”

“เดี๋ยว นี่อย่าบอกนะคะว่าพี่อุมาก็เคยคิดเหมือนอานวินด้วย” วาณีทำหน้าตาตื่น

“ไม่ให้คิดยังไงล่ะจ๊ะ ก็วาณียอมรับกับทุกคนรวมทั้งกับพี่ด้วย พี่หมายถึงวาณีคนนั้นน่ะจ้ะ วาณียังมาร้องไห้กับพี่เลยว่า ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมตัวเองถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้”

วาณีอ้าปากค้าง มองอุมารังสีตาโตเพื่อย้ำให้แน่ใจว่าสิ่งที่ตนได้ยินนั้นไม่ผิด

“เป็นไปได้ยังไง วาณีจะยอมรับแบบนั้นทำไม ในเมื่อรู้อยู่เต็มอกว่าเขาเป็นพ่อ เอ...หรือจริงๆ แล้ว วาณีคนเมื่อสองเดือนก่อนคือคนที่ความจำเสื่อมอะ พี่อุมา”

อุมารังสีส่ายหน้าหวือ “ไม่รู้ ยิ่งวาณีพูดพี่ยิ่งงง”

วาณีเดินไปเดินมาด้วยท่าทีครุ่นคิด สักพักก็นึกอะไรออก

“ต้องถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันที่วาณีล้มครั้งแรกน่ะ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ทำไมจู่ๆ วาณีถึงบอกว่าตัวเองเป็นเมียน้อย...ไปถามป้าแม่บ้านกับเด็กคนนั้นดีกว่า” พูดจบหล่อนก็ก้าวไปหาเจ้าของชื่อซึ่งน่าจะอยู่ในครัว โดยจูงมืออุมารังสีไปด้วย

และคำตอบที่ได้จากทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ก็ทำให้วาณีถึงบางอ้อ...ถึงแบบช็อคๆ!

วันนั้น...พอรู้สึกตัว หล่อนก็งงว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เพราะเมื่อวานยังอยู่ซิดนีย์และเพิ่งจัดงานศพของแม่เสร็จไป ทุกคนพร้อมใจกันบอกเป็นเสียงเดียวว่า หล่อนเป็นเมียน้อยของกอบทรัพย์ ที่กอบทรัพย์เอามาฝากไว้ที่บ้านนวินก่อน เพราะยังหาที่อยู่ให้ไม่ได้ เนื่องจากมาเมืองไทยแบบกะทันหัน โดยบอกว่าหาที่อยู่ใหม่ได้เมื่อไรจะกลับมารับ แต่กอบทรัพย์ก็ประสบอุบัติเหตุเสียก่อน หล่อนในตอนนั้นแม้จะทำท่าไม่อยากเชื่อ แต่ทุกคนก็ยืนยันหนักแน่นพร้อมมีหลักฐานเรื่องเงินค่าจ้างที่ได้จากกอบทรัพย์มาโชว์ด้วย

“แสดงว่าวาณีคนนั้นต่างหากที่ความจำเสื่อม ไม่ใช่วาณีนี้ วาณีคนนั้นจำเหตุการณ์ประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อนมาเมืองไทยไม่ได้...” วาณีเอ่ยกับอุมารังสีด้วยท่าทีตื่นเต้นระคนครุ่นคิดเมื่อหวนกลับมายังศาลาตามเดิม “วาณีคนนั้นบอกว่าเมื่อวานเพิ่งจัดงานศพให้แม่เสร็จ วันต่อมาก็มาอยู่เมืองไทยเลย แต่ความจริงก็คือ แม่เสียไปเป็นอาทิตย์แล้ว พ่อถึงไปหาวาณีที่นั่น เพราะเขาเพิ่งเห็นอีเมลของแม่”

อุมารังสีทำท่าคิดตามแล้วก็พยักหน้า “อย่างนี้นี่เอง...ทุกคนถึงได้ปักใจว่าวาณีเป็นเมียน้อย เพราะวาณีตอนนั้นไม่เคยปฏิเสธแม้แต่คำเดียว...แล้วนี่วาณีบอกอาวินและทุกคนหรือยังจ๊ะ ว่าความจริงเป็นยังไง”

วาณีส่ายหน้า แววตาขมขื่น “แม่เป็นผู้หญิงลับๆ ของพ่อ วาณีไม่มีสิทธิ์ออกไปประกาศความจริง เพราะจะทำให้พ่อที่ได้ชื่อว่ารักลูกรักเมียมากคนหนึ่งต้องมัวหมอง”

“หมายความว่า วาณีจะต้องทนอยู่ให้คนเข้าใจผิดอย่างนี้ตลอดไปหรือจ๊ะ พี่ว่ามันไม่แฟร์กับวาณีนะ” อุมารังสีส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “อีกอย่าง ถ้าเปิดเผยเรื่องของวาณีไม่ได้ แล้วเขาจะพาวาณีมาเมืองไทยทำไมล่ะ”

วาณีถอนหายใจยาว

“เพราะพ่อต้องทำตามคำสั่งของแม่ที่อยากให้พ่อดูแลวาณีน่ะค่ะ อีกอย่าง พ่อก็ไม่ได้คิดจะปิดเป็นความลับตลอดไปหรอกค่ะ เขาตั้งใจว่าจะค่อยๆ บอกกับเมียและลูกเขา...และที่วาณียอมมาที่นี่กับพ่อ นอกจากเพราะแม่สั่งไว้ก่อนเสียว่าให้ไปหาคุณตาคุณยายเพื่อกราบขอโทษท่านทั้งสองแทนแม่แล้ว วาณีต้องการหนีเจมีด้วยค่ะ”

“เจมี?!” อุมารังสีอุทานชื่อนั้นอย่างไม่อยากเชื่อหู “นี่เขายังไม่เลิกตามตื๊อวาณีเหรอ โอ๊ย ช่างมีน้ำอดน้ำทนอะไรได้ขนาดนั้น”

เจมีก็คือผู้ชายคนที่วาณีเคยต่อยเมื่อครั้งเรียนไฮสกูลนั่นเอง

“จริงๆ เขาเลิกยุ่งกับวาณีตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัยแล้วค่ะ แล้วก็ไปรักๆ เลิกๆ กับผู้หญิงสี่คนได้ แต่จู่ๆ ก็กลับมาอีก คราวนี้ดูน่ากลัวมากกว่าน่ารำคาญและทำให้วาณีรู้สึกว่าถูกคุกคาม วันที่พ่อไปหา เขามาพอดี ท่าทางเหมือนเมายา เขาขู่จะฆ่าวาณีกับพ่อด้วย เพราะไม่ยอมเชื่อว่าพ่อเป็นพ่อของวาณีน่ะค่ะ”

“งั้นห่างเขาแบบนี้ดีแล้วล่ะจ้ะ เพื่อความปลอดภัยของวาณี...ส่วนเรื่องพ่อของวาณี พี่ยังยืนยันว่ามันไม่แฟร์อยู่ดี มันน่าจะมีทางออกที่ดีกว่าให้ทุกคนเข้าใจผิดว่าวาณีเป็นเมียน้อยนะ...พี่จะไปบอกอาวิน” พูดจบสาวหน้าหวานก็ตั้งท่าจะทำตามที่พูด แต่วาณีรั้งไว้

“วาณีเกรงว่าเรื่องจะยิ่งเลวร้ายลงน่ะค่ะ เมียของพ่อเป็นโรคหัวใจ และสิ่งที่ครอบครัวของพ่อต้องเจออยู่ตอนนี้ก็หนักพอแล้ว ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่อุมา วาณีกับแม่มาทีหลัง เราต้องยอมรับสถานะของเราให้ได้...ที่สำคัญ คุณอาเขาไม่เชื่อหรอกค่ะ วาณีพยายามบอกหลายครั้งแล้ว”


(จบบทที่ 22 ค่ะ)


บทนี้ขออนุญาตไม่ตอบคอมเมนท์หนึ่งครั้งนะค้า แบบว่า ต้องปั่นตอนจบให้จบภายในคืนนี้น่ะค่ะ จุ๊บๆ ทุกคนค่ะ ส่งใจเชียร์คนเขียนให้เขียนจบให้ได้ด้วยนะคะ ๕๕๕๕๕๕

ติดตามความเคลื่อนไหวของ วิรัตต์ยา/สลิลา/แสนดี ได้ที่เพจ http://www.facebook.com/SlilASaenDi

และติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของกระท่อมหลังน้อยของคนรักนิยายได้ที่ http://www.facebook.com/LoveNovelHut ค่ะ

แล้วพบกับตอนต่อไปได้ในวันพรุ่งนี้ (ถ้าหากว่าเขียนตอนจบเสร็จคืนนี้นะ อิอิ)



วิรัตต์ยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 มี.ค. 2556, 20:08:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 มี.ค. 2556, 20:08:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 2126





<< บทที่ 21    บทที่ 23 >>
Pat 17 มี.ค. 2556, 20:45:01 น.
แก้ตัวไปได้น้ำขุ่นๆเลยนะคะ 'คุณพ่อ'


Sukhumvit66 17 มี.ค. 2556, 20:50:08 น.
อ่ะ จะจบแล้วหรอ ไวจุงเบย


รักเร่ 17 มี.ค. 2556, 20:54:14 น.
ตาลุงเอ๊ย อยากจูบเค้าก็ดันอ้างว่าจะสอนภาษาไทย 555


ลิลลี่ 17 มี.ค. 2556, 23:32:49 น.
555555 อยู่ๆตาแก่ก็กลายมาเป็นพ่อซะงั้น55555555555555

เฮ้อแอบสะท้อนใจนะ ผชที่ดูรักลูกรักเมียมาก ใครจะรู้ว่าวันนึงก็เคยไปแอบไข่ไว้ไม่ต่างกับผชเจ้าชู้ทั่วๆไปเลยซักนิด


pattisa 17 มี.ค. 2556, 23:42:11 น.
นวินเป็นตาเเก่หัวเเข็ง! 55


konhin 18 มี.ค. 2556, 01:39:54 น.
จุ๊บๆๆ ยินดีกับคนเขียนที่ใกล้เขียนจบแล้วววว แหะๆๆ ทั้งเรื่องนี้ ผู้ชายที่มีเมียแล้วทุกคนเจ้าชู้หมดเลย ขนาดโครตสร้างภาพไว้ดียังมีน้อยเลยอ่ะ เฮ้อออ แล้วพระเอกจะเป็นด้วยมั้ยเนี่ยยยย


Pampam 18 มี.ค. 2556, 04:43:25 น.
ใกล้จบแล้วเหรอเนี่ย ตาแก่ยังไม่ฟังใคร ไปต่อไปแบบน้ำขุ่นๆ ปล่อยเขาไป


goldensun 18 มี.ค. 2556, 08:43:54 น.
พ่อจริงๆ ด้วย วาความจำเสื่อมนี่เอง ถึงรู้สึกผิดว่าตัวเองเคยเป็นเมียน้อย ไม่เหมาะสมกับอาวิน
อาวินขนาดโกรธ ยังห่วงวาจนโดนเข้าใจผิดว่าเป็นพ่อ หรือว่าหน้าคล้ายคะ
อาวินระแวงอย่างนี้ ถ้าความจริงปรากฎ ต้องรู้สึกผิดแน่


ตุ๊งแช่ 18 มี.ค. 2556, 10:13:45 น.
ไวมาก เพราะลงต่อเนื่อง จะจบแบบไหนน๊า รอลุ้นค่ะ


minddeer 18 มี.ค. 2556, 10:20:02 น.
อาวินไม่เคยฟังใครเลยยย...


NB 18 มี.ค. 2556, 14:04:45 น.
เย้ๆๆๆ จะจบเดือนนี้ อิอิ ลุ้นๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account