ปาริชาตซ่อนรัก

Tags: ปาริชาตซ่อนรัก สุรเสกข์ ปาริชาต บุษบาฮาวาย

ตอน: ตอนที่ 5

สวัสดีค่ะ

ต้องขออภัยที่หายไปหลายวันค่ะ ปลายสัปดาห์ก่อน 22 – 25 มี.ค. ไปสัมมนาที่ปากช่องค่ะอากาศร้อนมากกกก สัปดาห์ที่แล้วถูกงานประจำแย่งเวลาไปหมดเพราะเป็นโค้งสุดท้ายของอะไรสักอย่าง อันนี้ผู้ที่มีรายได้ต่างรู้หน้าที่กันดี วันนี้พอมีเวลาและไม่เพลียจนสลบเหมือนหลายวันที่ผ่านมา จึงเอานิยายตอนใหม่มาฝากค่ะ อ่านแล้วไม่ชอบใจตรงไหน แนะนำติติงกันมาได้นะคะ




ตอนที่ 5

เวลาผ่านไปนานร่วมชั่วโมง ภายหลังจากที่ได้รับรู้ว่านับแต่นี้ต่อไป บริษัทวินเนอร์ ออโตพาร์ท จะมีหญิงสาวอีกคนมาเป็นสมาชิกใหม่ สุรเสกข์ก็สบโอกาสได้พูดคุยกับปาริชาตจริง ๆ เพราะเธอเป็นฝ่ายเคาะประตูแล้วเดินเข้ามาหาเขาถึงในห้อง

เมื่อได้เห็นเจ้าของใบหน้าเรียวเรียบเฉยอย่างคนที่พยายามระงับความตื่นตระหนกของตนเองมาปรากฏตัวตรงหน้า สุรเสกข์ก็ถึงกับยกมุมปากขึ้นยิ้มบาง ๆ อย่างเป็นต่อ

“อะแฮ่ม...ยังไม่ลืมกันใช่ไหม”

แค่คำถามประโยคแรก คนที่ยังคงรู้สึกอับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีอย่างปาริชาตก็ถึงกับอึ้งกิมกี่ มือเรียวสั่นระริกขณะยื่นแฟ้มให้เขาและคิดว่าสุรเสกข์ก็คงจะสังเกตเห็น

“คุณสุพลให้ ดิฉันนำแฟ้มนี้มาให้ค่ะ”

การรู้ว่าต้องบากหน้าเดินเข้าไปหาสุรเสกข์ถึงในห้องทำงานของเขานั้นเป็นความยุ่งยากใจอย่างแสนสาหัสสำหรับปาริชาต เพราะนอกจากหวั่นใจว่าเขาจะหยิบยกเรื่องน่าอับอายในวันก่อนมาทบทวนแล้ว เธอยังรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับสายตาคู่คมที่มองมาอีกด้วย

“ว่าไง ไม่เห็นตอบผมเลยว่าลืมกันหรือยัง”

แทนที่ฝ่ามือใหญ่ของเขาจะยื่นมารับแฟ้มเอกสารที่ปาริชาติยื่นไปให้ตรงหน้า เขากลับยกมันขึ้นลูบปลายคางแล้วมองมาด้วยสายตาที่ทำให้หญิงสาวถึงกับร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า

“ขอโทษค่ะ เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ฉะนั้นก็ไม่มีอะไรให้ฉันจดจำ”

เสียงใสตอบกลับกระแทกกระทั้น ปลุกความคะนองในตัวของสุรเสกข์ให้ก่อตัว เพราะเขามั่นใจว่าเธอต้องไม่มีทางลืมแน่นอน

“จริงรึ?”

คำถามพร้อมรอยยิ้มที่เปิดกว้างนั้น ทำให้ปาริชาติถึงกับอารมณ์ขุ่นมัว ด้วยเข้าใจว่าเขาเจตนาจะรื้อฟื้นเรื่องราวน่าอดสูนั้นขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่เธอต้องการให้ตายไปจากความรู้สึก

“คนเคยเห็นหน้าแถมพูดกันตั้งหลายคำ แบบนั้นหรือที่เรียกว่าไม่รู้จักกัน”

ปาริชาตเม้มปากแน่นด้วยนึกคำโต้ตอบไม่ออก สมองของเธอหมุนคว้างเสียศูนย์ไปตั้งแต่ถูกคุณสุพลเอ่ยปากแนะนำให้ได้รู้จักกับเขา

“ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัว”

“เอ่อ...เดี๋ยว อยู่คุยกันก่อนสิ”

เหมือนต้องคำประกาศิต ปาริชาตชะงักกึก ก่อนจะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมา ด้วยไม่รู้จริง ๆ ว่าสุรเสกข์มีเรื่องใดจะคุยกับเธอ จะใช่เรื่องในห้างสรรพสินค้าเมื่อวันวานหรือไม่

“คุณอึดอัดใจเรื่องเมื่อวานรึเปล่า”

แล้วก็เป็นเหมือนที่นึกกลัว เพราะคำถามแทงใจของสุรเสกข์ทำให้หญิงสาวถึงกับปิดปากเงียบกริบ ก่อนจะร้อนผ่าวไปทั่วทั้งหน้าประหนึ่งตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับวันนั้นอีกหน เมื่อได้ยินคำพูดประโยคต่อมาของเขา

“โอเค ผมจะไม่พูดถึงอีกถ้าไม่จำเป็น อ้อ...แต่ว่าคงลบภาพที่ผ่านตาไม่ได้ในเร็ววันหรอกนะ”

คำพูดของสุรเสกข์ทำให้ปาริชาตถึงกับบริภาษอยู่ในใจ ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าเธอจิตตกกับเรื่องเมื่อวันวาน ดังนั้นจึงขยันสรรหาคำพูดมาทำให้เธอเสียความรู้สึกเหลือเกิน

ทางด้านของสุรเสกข์ การได้เห็นหญิงสาวมีสีหน้าไม่สู้ดี ทำให้เขาไม่คิดจะแกล้งหยอกเย้าอีกต่อไป รอยยิ้มที่มุมปากจึงค่อย ๆ เลือนหาย ก่อนเสียงทุ้มนั้นจะเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง

“เอาล่ะ...ผมไม่หยอกคุณแล้ว แต่มีเรื่องหนึ่งที่อยากรู้ คุณรู้จักกับพ่อของผมมาก่อนหรือเปล่า”

ภาพและคำพูดของคุณสุพลผู้เป็นพ่อ ที่แสดงความสนิทสนมกับปาริชาตจนเขาดูออกว่าเกินกว่าการได้เจอกันเป็นหนแรกหรือหนที่สอง ทำให้สุรเสกข์ตัดสินใจเอ่ยถามออกมา ทำเอาปาริชาตถึงกับสะดุ้งในใจ ตาโตเหลือบมองดูเขาแล้วเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างใช้ความคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาหวังเบนความสนใจของเขา

“เพิ่งรู้จักตอนมากรอกใบสมัครค่ะ”

“แน่ใจนะ?”

ชายหนุ่มหรี่ตามองพลางถามออกมาเสียงสูง ซึ่งท่าทีนั้นก็ทำให้ปาริชาตรู้ว่าเปอร์เซ็นต์ที่เขาจะยอมเชื่อในคำพูดของเธอ อาจจะมีไม่ถึง 50 ด้วยซ้ำ

“ค่ะ”

“แล้วทำไมพ่อผมถึงเลือกคุณให้มาทำงานนี้ ทั้ง ๆ ที่คุณก็ไม่ได้เรียนเลขาเลยสักนิด”

การตั้งข้อสังเกตของสุรเสกข์ ขณะเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองมายังเธอเพียงแวบเดียว แล้วหันไปให้ความสนใจกับเอกสารในแฟ้มต่อ ทำให้ปาริชาตสบโอกาสผ่อนลมหายใจออกมา เธอ...ไม่ชินกับสายตาที่คอยมองมาของเขาและไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจึงจะคุ้นเคย

“ท่านอาจจะเห็นใจคนตกงานอย่างดิฉันมั้งคะ ส่วนเรื่องงานถ้าหากมีคนสอนให้ทำ เป็นใครก็ทำได้ค่ะ”

เธอว่า ก่อนจะรอฟังคำโต้แย้งของสุรเสกข์ แต่ทว่าเมื่อเห็นเขายังคงเงียบ ปาริชาตจึงคิดจะเป็นฝ่ายล่าถอย เพราะเธอไม่ชอบสายตาคมดุจเหยี่ยวของเขาที่คราแรกทำเอาเธอรู้สึกไม่ต่างจากการยืนเปลื้องผ้าต่อหน้าเขาและคราหลังก็ทำราวกับสอดส่ายหาเหยื่อเพื่อขย้ำจมเขี้ยว

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวค่ะ”

“เดี๋ยวสิ...นี่ จะรีบไปไหน”

ขาดคำร่างสูงก็คว้าเอาแฟ้มที่ปาริชาตเพิ่งวางลงให้มาเปิด ก่อนจะเอ่ยบอกสั้น ๆ

“รอเอาแฟ้มนี้กลับไปด้วย”

บัตรเชิญให้บริษัทวินเนอร์ ออโต้พาร์ท ส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันแรลลี่ท่องเที่ยว จากบริษัทผลิตยางรถยนต์ยี่ห้อดังที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า พร้อมระบุว่าเป็นช่วงเวลาระหว่างวันศุกร์ถึงอาทิตย์ของปลายเดือนนี้ ทำให้สุรเสกข์ต้องเหลือบตามองไปยังปฏิทินตั้งโต๊ะที่อยู่ใกล้มือ

ชายหนุ่มเคาะปากกากับบัตรเชิญนั้นอย่างใช้ความคิด เมื่อเห็นข้อความในกระดาษโน้ตเล็ก ๆ ที่เหน็บมาด้วย คุณสุพลมอบหมายให้เขาไปร่วมกิจกรรมในครั้งนี้แต่ขีดเส้นใต้ตรงคำว่า ‘ช่วงนั้นคุณนภษรติดธุระ ไปด้วยไม่ได้’ เอาไว้เสียชัดเจน

ใคร ๆ ก็รู้ว่าทีมที่เข้าร่วมกิจกรรมแรลลี่ อย่างน้อยสมาชิกในทีมก็ต้องมี 2 คน คือคนขับรถกับเนวิเกเตอร์หรือคนนำทาง และตั้งแต่มาเริ่มต้นทำงานหลังจบปริญญาตรี นภษรก็ทำหน้าที่นี้ร่วมกับเขาได้เข้าขากันดีมาก ยืนยันจากถ้วยรางวัลหลายใบที่ตั้งโชว์อยู่ในตู้กระจก แต่หากครั้งนี้ไม่มีเธอไปช่วยเหมือนเคย เขาจะได้ใครไปเป็นเนวิเกเตอร์ให้ล่ะ?

พอคิดมาถึงตรงนี้ มุมปากหยักของสุรเสกข์ก็ยกขึ้นยิ้มพร้อมกับที่เจ้าตัวก็แอบลอบถอนหายใจ เพราะหญิงสาวคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ ก็ดูใสซื่อไร้ประสบการณ์ ชวนให้เชื่อว่าไม่น่าจะพึ่งพาอะไรได้

“เอ่อ...ผมขอเวลาอ่านรายละเอียดก่อนดีกว่า”

เมื่อความคิดสะดุด สุรเสกข์ก็เอ่ยบอกพลางปิดแฟ้ม ปาริชาตเองก็คงจะงงกับท่าทีของเขา แต่ที่เธอพอจะทำได้คือแสดงการรับรู้ออกมาเพียงเบา ๆ

“ค่ะ”

“คุณนภษร มีงานอะไรให้คุณทำหรือยัง”

“ยังไม่มีค่ะ”

“ถ้างั้นก็เอาวารสารพวกนี้ไปนั่งอ่าน”

สุรเสกข์ว่าพลางหันไปเปิดตู้เอกสารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ชิดผนังด้านหลังโต๊ะทำงานของเขา แล้วหยิบวารสารที่ได้จากบริษัทผู้ผลิตอะไหล่ยานยนต์ทั้งญี่ปุ่นและยุโรปออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าต้องได้ลูกน้องเป็นนักเคมี แต่ในเมื่อการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้เสียแล้ว ก็คงจนปัญญาจะทำอะไรได้ นอกจากลองสอนงานกันไปก่อน

“ค่ะ”

“ไปนั่งอ่านที่เก้าอี้นวมตรงโน้น”

พอได้ยินเสียงเข้มออกคำสั่ง ปาริชาตซึ่งคว้าเอกสารเหล่านั้นขึ้นมาถือไว้ก็มองตอบด้วยความไม่เข้าใจ

“เอ่อ...ฉันขอเอาออกไปอ่านข้างนอกได้ไหมคะ”

“ผมอยากให้คุณศึกษาเรื่องพวกนี้ก่อน ถ้าออกไปนั่งข้างนอก คุณนภษรเธอก็คงจะสอนงานอย่างอื่นแก่คุณ ซึ่งมันไม่ใช่ความต้องการของผม”

จริงอยู่ที่คุณนภษรก็ต้องพยายามสอนงานที่เป็นหน้าที่ของเลขานุการให้แก่เธอมากเท่าที่จะมากได้ ภายในเวลาน้อยที่สุด แต่ปาริชาตก็พยายามจะเข้าใจว่าสิ่งที่สุรเสกข์อยากให้เรียนรู้ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทั้งที่ลึก ๆ ในใจของหญิงสาวเริ่มจะสงสัยว่าสุรเสกข์ต้องการจะสอนงานหรือทดสอบไอคิวของเธอกันแน่

“บริษัทของเรานำเข้าสินค้าสำหรับยานยนต์อยู่ 3 กลุ่ม คือเครื่องยนต์ ยางรถยนต์และอุปกรณ์ประดับยนต์ของแท้จากบริษัทผู้ผลิตโดยตรง แล้วเมื่อกี้ที่คุณถือแฟ้มเข้ามา รู้รึเปล่าว่าเป็นเรื่องอะไร”

“ทราบแต่ว่าเป็นบัตรเชิญค่ะ”

“การค้าขาย นอกจากซื้อและขายแล้ว ผู้ซื้อกับผู้ขายหรือผู้ผลิต ยังต้องมีกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันด้วย มันเป็นบัตรเชิญให้ไปร่วมกิจกรรมแรลลี่ท่องเที่ยวน่ะ คุณเคยไปรึเปล่า”

“ไม่เคยค่ะ”

เสียงใสที่ฟังเหมือนแข็งกระด้างขึ้นมานิด ๆ บ่งบอกถึงสภาพอารมณ์ของเจ้าของ ทำให้สุรเสกข์ต้องมองด้วยความฉงน แต่ในเมื่อยังได้เห็นหญิงสาวนั่งอยู่ เขาก็ไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจ

“จริง ๆ แรลลี่มีอยู่หลายประเภท แต่ที่มีบัตรเชิญมาถึงเราเป็นแรลลี่ท่องเที่ยว มันไม่โหดเหมือนแรลลี่ปารีสดัคกาที่ออกในทีวีหรอก ไม่รู้ว่าคุณเคยได้ยินหรือเปล่า”

แล้วคำถามของสุรเสกข์ที่ดังมา ก็ทำให้ปาริชาตอยากจะโกรธตัวเอง ยอมรับว่ากว่าจะตัดสินใจมาทำงานที่นี่ เธอก็รู้แล้วว่าตนเองต้องเก็บความรู้ที่ร่ำเรียนมาซุกใส่ลิ้นชักให้หมด แต่หญิงสาวก็ไม่ได้คิดเผื่อเอาไว้เลยว่าจะต้องมาพบกับคำถามที่เธอไม่เคยมีความรู้แม้แต่นิดเดียวเช่นนี้ ถ้าไม่ติดว่าต้องรีบหางานทำให้เร็วที่สุด ปาริชาตก็คงไม่ต้องมานั่งตอบแต่คำว่า ‘ไม่รู้ ไม่ทราบ ไม่เคย’ อยู่แบบนี้ เพราะนั่นไม่ใช่ปกติวิสัยของเธอ

“ทุกครั้งถ้าเป็นกิจกรรมแบบนี้ ผมมักไปกับคุณนภษร แต่หนนี้เธอไม่ว่าง”

คำบอกเล่าของสุรเสกข์ ทำให้มือเรียวของปาริชาตที่กำลังเริ่มต้นพลิกวารสารในมือออกอ่านถึงกับชะงักไป หญิงสาวร้อง ‘อ๋อ’ อยู่ในใจ เพิ่งรู้ว่าที่ถูกสุรเสกข์ซักไซ้ไล่เรียงอยู่เมื่อครู่นี้ เป็นเพราะเขากำลังทดสอบว่าเธอควรจะไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้กับเขาหรือไม่นั่นเอง

“คุณคงไม่ได้หมายความว่าจะให้ดิฉันไปด้วยนะคะ”

ปาริชาติเอ่ยถามออกมาอย่างหวาด ๆ การต้องมาทำงานอยู่ใกล้กับผู้ชายคนนี้และต้องปกปิดความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับคุณสุพลซึ่งเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเขาเอง ทำให้หญิงสาวเริ่มรู้สึกอึดอัด มันไม่ได้เป็นเหมือนที่คิดไว้เลย

“ก็ยังไม่แน่ใจว่าใครต้องไปกับผม แต่ที่แน่ ๆ คือทีมแรลลี่เค้าไม่ได้มีสมาชิกในทีมแค่คนเดียว และช่วงนั้นคุณนภษรเธอก็ไม่ว่าง”

“ค่ะ”

สุดท้ายสิ่งที่ปาริชาตพอจะทำเพื่อให้เรื่องราวทุกอย่างไม่ยืดยาวไปอีกคือการตอบรับเพียงสั้น ๆ เธอขอรู้แค่นี้ไปก่อนก็แล้วกันเพราะในเมื่อสุรเสกข์เองก็ไม่ได้พูดออกมาสักนิดว่าจะให้เธอเข้าร่วมทีมแรลลี่ แล้วจะถามเพื่อให้คำตอบที่ได้รับมาบีบคั้นตัวเองในภายหลังไปทำไม บางทีหากถึงเวลานั้นจริง นภษรอาจจะว่างและไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้กับเขาเหมือนเคยก็เป็นได้

“พักเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนก็ได้ ยังมีอีกงานหนึ่งที่ผมอยากให้คุณช่วยทำ หวังว่าคงใช้คอมพิวเตอร์เป็นใช่ไหม”

“เป็นค่ะ”

“งั้นก็ย้ายไปนั่งที่หน้าเครื่องคอม”

สิ้นเสียงสั่งของสุรเสกข์ ปาริชาตก็จำต้องขยับตัวลุกจากที่นั่ง และแม้จะบอกตัวเองว่าให้ปฏิบัติตัวรวมไปถึงให้มองว่าสุรเสกข์เป็นเพียงใครคนหนึ่งที่เธอเพิ่งจะรู้จัก แต่ความเป็นไปในครอบครัวของเธอ ที่มีคุณสุพลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และเขาก็ย้ำชัดว่ายังไม่พร้อมจะเปิดเผยเรื่องราวเหล่านั้นให้ใครฟัง จึงดูเป็นการยากที่ปาริชาตจะทำให้ได้เหมือนใจคิด ที่สำคัญในหัวของเธอตอนนี้ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว...

“คอมเครื่องนี้ผมเพิ่งยกมาจากโต๊ะคุณนภษรเพราะแต่เดิมเธอใช้อยู่ 2 เครื่อง ในนั้นมีไฟล์งานอยู่หลายเรื่องแต่มันไม่ได้แยกหมวดหมู่ไว้ ตอนแรกผมกะจะใช้เองแต่ในเมื่อได้คุณมาเพิ่มอีกคน ก็เลยคิดว่าจะยกเครื่องนี้ให้ใช้งาน ทำความคุ้นเคยและจัดกลุ่มให้มันเรียบร้อย เผื่อถึงเวลาที่ต้องใช้ขึ้นมาจะได้รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน”

“ค่ะ”

ปาริชาตรับคำ ก่อนจะมองตามมือไม้ที่เปิดสวิตซ์หน้าจอและขยับเม้าส์เพื่อให้มันทำงานด้วยใจระทึก หากไม่นับรวมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในห้างสรรพสินค้าเมื่อวันก่อนประกอบกับคำพูดของคุณสุพลที่เคยมีมาให้ได้ยินบ่อย ๆ สุรเสกข์ก็ดูจะเป็นคนใจดีและใจเย็นกว่าที่คิดเอาไว้ หรือนี่เป็นแค่หน้ากากของเขา?

ภาพพื้นหลังที่ปรากฏอยู่บนจอคอมพิวเตอร์ เป็นรูปของสุรเสกข์ที่ถ่ายคู่กับหญิงสาวผิวขาว ผมดัดลอนยาวประบ่าในชุดเสื้อผ้าอันมีตราของรถยนต์ยี่ห้อหนึ่งประทับอยู่บนอกด้านซ้าย และที่สำคัญคือไม่ใช่นภษร ทำให้ปาริชาติต้องหยุดสายตามองอย่างละเอียด ก่อนจะลงความเห็นว่าอาจจะเป็นคนรักของเขากระมัง เพราะเห็นอิงแอบถ่ายรูปคู่กันด้วยสีหน้าที่เป็นสุขมากมายอย่างนั้น

“มันเป็นภาพประกอบของไฟล์ที่บริษัทเคยทำขึ้นเพื่อขอเป็นเจ้าภาพจัดแรลลี่ ลบมันทิ้งไปซะ”

เสียงเข้มที่สั่งมาสั้น ๆ ทำให้ปาริชาตที่ยังคงเผลอตัวจับจ้องดูภาพ ๆ นั้นอยู่ ถึงกับไหวกายด้วยความตกใจระคนแปลกใจ

“รูปประกอบนี้เป็นรูปที่คุณไปแรลลี่มาเหรอคะ”

“ใช่”

“คนนี้ไม่ใช่คุณนภษรนี่ เธอเป็นพนักงานของที่นี่เหรอคะ”

“เธอตายไปแล้ว”

ปาริชาตไม่คิดว่าคำถามนี้ของเธอจะไปสะกิดต่อมอะไรของเขาเข้า แต่การได้เห็นท่าทีของสุรเสกข์ตลอดจนคำพูดและน้ำเสียงที่ดังสวนขึ้นในทันทีนั้น ก็ทำให้หญิงสาวถึงกับปิดปากเงียบ และยอมเปลี่ยนภาพพื้นหลังของหน้าจอคอมพิวเตอร์ตามคำสั่งของเขาโดยไม่รีรออีกเลย







บุษบาฮาวาย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 เม.ย. 2556, 22:37:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 เม.ย. 2556, 22:37:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1666





<< ตอนที่ 4   ตอนที่ 6 >>
ผักหวาน 4 เม.ย. 2556, 13:09:33 น.
ผู้หญิงในภาพเป็นแฟนอีตานี่แน่ๆ เลย


วนัน 4 เม.ย. 2556, 16:23:13 น.
น่าติดตามคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account