ปาริชาตซ่อนรัก
Tags: ปาริชาตซ่อนรัก สุรเสกข์ ปาริชาต บุษบาฮาวาย
ตอน: ตอนที่ 7
ตอนที่ 7
ปาริชาตรีบเดินกลับไปยังโต๊ะอาหารโดยไม่คิดจะเหลียวหลัง แม้จะรู้สึกแย่ที่ถูกเขาจับได้ว่าไปแอบดู แต่ก็ยังดีที่สามารถพาตัวเองให้รอดมาได้แบบปลอดภัย
“โลกกลมจริง ๆ”
เสียงคุณสุพลดังขึ้น ก่อนจะหันมาหาปาริชาตซึ่งมาหย่อนกายนั่งประจำที่อย่างเงียบ ๆ ไม่มีการออกความเห็นเพราะเธอคือผู้มาใหม่และไม่เคยรับรู้เรื่องราวใด ๆ มาก่อนเลยแม้แต่น้อย แต่ที่แน่ ๆ คือยามนี้ความรู้สึก ‘กลัวผี’ ได้มลายหายไปจากในใจของเธอจนหมดสิ้นแล้ว
“ไม่ต้องไปสนใจนะป่าน ทำงานของเราไป ถึงเจ้าเสกข์จะค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเองไปหน่อย แต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นคนขาดเหตุผลไปเสียทีเดียว”
“ค่ะ”
“ตามประสาคนหนุ่มใจร้อนค่ะ”
คุณนภษรเสริมขึ้น ดูเธอจะเทคะแนนนิยมให้กับเจ้านายหนุ่มเต็มที่ แต่กระนั้นคุณสุพลก็ยังไม่วายแสดงความไม่ชอบใจออกมา
“เจ้าเสกข์คงได้นิสัยแบบฝรั่งมาด้วยแหละ บางทีผมก็รู้สึกเหมือนคิดผิดที่ส่งให้ไปเรียนเมืองนอกเมืองนา”
“ษรว่าดีเสียอีกค่ะ ฝรั่งเค้าคิดแต่เรื่องใหม่ ๆ ทันสมัยกันทั้งนั้น”
คุณนภษรเสริมขึ้นมา เธออาจจะรู้เรื่องการไปร่วมกิจกรรมแรลลี่และปัญหาเกิดเพราะสุรเสกข์ขาดเพื่อนร่วมทีมที่เข้าขากันได้ดีอย่างตัวเองแล้วก็ได้
“มันจะทันสมัยเกินไปน่ะสิคุณษร บางอย่างคนไทยเค้าก็ไม่พูดออกมาตรง ๆ เหมือนที่มันเป็น อย่างเมื่อกี้ก็เพิ่งคุยกันเรื่องไปแรลลี่”
“ษรติดธุระจริง ๆ ค่ะ ต้องขอโทษด้วย”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น แต่มันเล่นบอกออกมาตรง ๆ ว่าไม่เอาเพื่อนร่วมทีมอย่างป่านน่ะสิ ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวเค้าก็ยืนอยู่ตรงหน้า คิดดูถ้าเป็นเราจะรู้สึกยังไง”
“เอ่อ...แต่ป่านไม่เป็นไรค่ะ”
ปาริชาตแย้งออกมาเบา ๆ ด้วยเห็นว่าคุณสุพลนั้นซีเรียสกับเรื่องที่เขากำลังพูดอยู่ค่อนข้างมาก
“ไม่ใช่ บางทีเรื่องแบบนี้มันก็ต้องนึกถึงมารยาทบ้างสิ จะพูดจาขวานผ่าซากออกมาแบบนั้นได้ยังไง”
“แต่ก็ตรงประเด็นดีนี่คะ จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดทีหลังว่าสรุปแล้วคุณเสกข์จะนับป่านเข้าร่วมทีมหรือไม่”
หญิงสาวว่าแล้วคลี่ยิ้มน้อย ๆ จริงอยู่ที่คำพูดของสุรเสกข์ทำให้เธอถึงกับหน้าตึง แต่ที่เขาว่ามามันก็ถูกของเขา เพราะเธอก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยจริง ๆ นี่นา
“ป่านไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ”
หญิงสาวย้ำออกมาอีก ไม่ใช่ต้องการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพียงแต่ไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นชนวนความขัดแย้งระหว่างคู่พ่อลูกเท่านั้น
“นี่ดีนะที่เป็นป่าน ถ้าเจอคนนิสัยแบบเดียวกับมัน คงได้ฟัดกันตั้งแต่เจอหน้าครั้งแรกแล้ว”
ปาริชาตเปิดยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับคุณสุพล ถ้าหากได้รู้ว่าเธอกับสุรเสกข์เคยฟัดกันมาตั้งแต่ก่อนจะเริ่มเข้าทำงานที่นี่ ไม่รู้ว่าเขาจะว่าอย่างไรบ้าง
“แต่มันทำท่าเหมือนไม่อยากได้ป่านไปร่วมทีมแรลลี่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันแหละ ดีกว่าไปแล้วคนขับกับเนฯทะเลาะกัน คุณษรว่าไง”
“ค่ะ แต่คงไม่ถึงกับทะเลาะกันมั้งคะ คุณเสกข์ไม่ใช่คนวู่วาม ทำอะไรแบบขาดเหตุผล”
“แต่หมอนี่มันชอบทำอะไรจริงจัง เวลาต้องแข่งขันกับใครก็มุ่งมั่นจะเอาชนะเค้าให้ได้ ยังเหลือเวลาอีกตั้งหลายวัน ผมว่าทำหนังสือเวียนให้พนักงานคนอื่น ๆ ทราบดีกว่า เผื่อจะมีคนอยากไป”
“ค่ะ”
“งานหน้าถ้ามีคุณษรไปด้วย ป่านก็ค่อยไปเรียนรู้นะ บริษัทเรามักถูกเชิญให้ไปร่วมงานแบบนี้บ่อย ๆ สักวันนึงป่านก็ต้องได้เป็นตัวแทนบริษัทไปกับเค้าเหมือนกัน”
“ค่ะ”
คุณสุพลที่นึกกังวลกับท่าทีของลูกชาย ซึ่งแต่เดิมมีมาเพราะไม่พอใจที่เขาเลือกเอาหญิงสาวเข้ามาทำงาน ทั้งที่เธอเรียนจบมาในสาขาวิชาเคมี ซึ่งไม่ว่าจะคิดกี่ตลบก็ไม่มีทางมาบรรจบกับธุรกิจนำเข้าอะไหล่รถยนต์ที่บริษัทของเขากำลังประกอบกิจการอยู่ได้แม้แต่น้อย และต่อมาก็มีปัญหาเรื่องที่เขาเสนอให้ปาริชาตไปเป็นเนวิเกเตอร์ในการเข้าร่วมกิจกรรมแรลลี่ ซึ่งจะถูกจัดขึ้นในเวลาอันใกล้
ดังนั้นเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนเป็นลูกชายที่ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวอะไรกับปาริชาตมากนัก ทำให้คนที่ชีวิตมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างคุณสุพลนึกเบาใจ เพราะการที่สุรเสกข์และปาริชาตไม่ให้ความสนิทสนมคุ้นเคยกัน หรือจะเรียกว่าไม่ค่อยพูดจาถูกคอกันเท่าใดนักนั้น ทำให้สิ่งที่เป็นความกังวลหนึ่งเดียวของเขาค่อยคลายลง
แต่...คุณสุพลก็คาดผิด เพราะในขณะที่นั่งรถกลับออกจากร้านอาหารเพื่อเข้าไปทำงานภาคบ่ายกันต่อ สุรเสกข์ก็ทำให้ความกังวลใจเดิม ๆ ของเขา หวนกลับมาอีกจนได้
“พ่อครับ ผมว่าไม่ต้องให้คุณปาริชาตเรียนงานจากคุณษรแล้วล่ะครับ”
“ทำไมล่ะ เอาน่า...ถึงป่านเค้าจะเรียนเคมีมา แต่เค้าก็ทำงานเหมือนคุณษรได้ แกอย่าด่วนตัดสินคนสิ”
คุณสุพลค้านออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์ ไม่เข้าใจว่าสุรเสกข์กลายเป็นคนเข้าใจอะไรยากเย็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่
“ผมไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้เธอทำงานกับเรานะครับ แต่อยากให้ไปเป็นเลขาของผมเลย”
“อะไรนะ?”
คุณสุพลเอ่ยถามออกมาราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง ส่วนปาริชาตนั้นแม้จะนั่งนิ่งและเก็บกิริยาตัวเองเป็นอย่างดี ทว่าหูกลับเงี่ยฟังด้วยใจระทึก
“ไหน ๆ ก็ต้องเริ่มต้นเรียนรู้งานอยู่แล้ว เรียนจากผมทีเดียวก็แล้วกันครับ ไม่ต้องสอนกันสองต่อ สามต่อให้สับสน”
“อ้าว...พ่อกะว่าจะยกคุณษรให้ไปเป็นเลขาแก”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พ่อกับคุณษรทำงานด้วยกันมาหลายปีแล้ว ทำต่อไปเถอะครับ ส่วนผมถึงจะเพิ่งมาเริ่มทำงาน แต่ก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าต้องสอนงานใครอีกสักคนหนึ่ง ผมก็พอจะทำได้อยู่หรอกครับ”
“จะเอายังงั้นจริง ๆ เหรอ”
“ครับ”
พอได้ยินเสียงลูกชายยืนยันหนักแน่น ราวกับได้ครุ่นคิดและตัดสินใจมาเป็นอย่างดีแล้ว คุณสุพลจึงแย้งไม่ออก เวลานี้ไม่ว่าจะเก็บปาริชาตให้เป็นเลขาตัวเอง หรือยอมให้เธอไปเป็นเลขาของสุรเสกข์ ความกังวลใจของชายวัยกลางคนก็มีอยู่พอ ๆ กัน
“ป่านล่ะ ว่าไง”
สุดท้ายเมื่อคิดอะไรไม่ออก คุณสุพลซึ่งนั่งอยู่ตอนหน้าคู่กับลูกชายจึงหันไปถามเอากับคนกลาง ที่นั่งเงียบอยู่ในตอนหลังคู่กับคุณนภษร
“ก็แล้วแต่คุณสุพลจะเห็นสมควรค่ะ”
ปาริชาตตอบแบบเป็นกลาง เพราะเธอไม่สามารถจะเอ่ยอะไรให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว รู้ว่าสุรเสกข์นั้นคงไม่มีทางยอมฟังหากเธอจะคัดค้าน ฉะนั้น...จึงไม่ฉลาดเลยที่จะทำให้ว่าที่เจ้านายคนใหม่ต้องเกลียดขี้หน้าเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะลำพังตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากันมาจนถึงวินาทีนี้ เธอก็คิดว่าตนเองมีเรื่องชวนให้เอือมระอามากพออยู่แล้ว
ร่างสูงของสุรเสกข์เดินอาด ๆ นำหน้าทุกคนขึ้นตึกเพื่อทำงานในภาคบ่ายอย่างไม่คิดจะรอใคร ปาริชาตมองตามแล้วแอบถอนหายใจพลางทำปากยื่นอย่างเซ็ง ๆ เพราะบ่ายนี้เธอยังต้องเข้าไปนั่งจัดไฟล์งานในเครื่องคอมพิวเตอร์ในห้องของสุรเสกข์ต่ออีก ที่สำคัญคือยังไม่รู้ว่าเขาจะพื้นเสียมากไปกว่านี้หรือเปล่า
หญิงสาวนั่งทำงานของตัวเองต่อไปเงียบ ๆ ในทันทีที่ขึ้นไปถึงห้องทำงาน ปล่อยเจ้านายคนใหม่ที่ฉกเอาตัวเธอมาหน้าตาเฉยโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของคุณสุพลแม้แต่น้อย รื้อแฟ้มเอกสารจากชั้นลงมานั่งอ่านอยู่ที่โต๊ะ
“ทำไมยังไม่ลบรูปพวกนั้นทิ้งอีก”
เมื่อเปิดไฟล์รูปภาพเกี่ยวกับกิจกรรมแรลลี่ ความที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมาก่อน จึงทำให้ปาริชาตอดไม่ได้ที่จะกวาดสายตามองดูอย่างละเอียด ซึ่งการถูกกระชากเสียงถามจากคนที่เธอเข้าใจว่าเขากำลังจดจ่ออยู่กับแฟ้มเอกสาร ก็ทำเอาหญิงสาวถึงกับสะดุ้งโหยง ตาโตเบิกกว้างขณะหันขวับไปมองยังต้นเสียง
“ก็...เอ่อ...”
“คุณไม่ได้ทำตามที่ผมสั่งหรอกเหรอ?”
“เปลี่ยนแบ็คกราวน์แล้วค่ะ แต่...นี่มันเป็นไฟล์รูปภาพในเครื่อง”
“แล้วทำไมไม่ลบมันทิ้ง ผมจำได้ว่าสั่งให้คุณลบทิ้งแล้วนะ”
ปาริชาตหูอื้อตาลายขึ้นมาอย่างกะทันหันกับคำพูดของสุรเสกข์ หญิงสาวร้อนผ่าวไปทั้งหน้าเพราะคำพูดที่เขากล่าวหาว่าเธอจงใจละเลยและไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของเขา
“นี่เป็นไฟล์รูปภาพของคุณค่ะ ฉันต้องดูรายละเอียดก่อนสิคะ ถึงจะจัดหมวดหมู่ได้”
“ผมให้จัดแต่ไฟล์งาน ไม่เกี่ยวกับรูปพวกนี้”
แล้วคนที่นั่งอยู่แถมตำหนิว่าปาริชาตเพิกเฉยต่อคำสั่งของเขาก็ลุกมาโน้มตัวลงข้าง ๆ เธอเพื่อแย่งเม้าส์ เดิมทีหญิงสาวก็เข้าใจว่าเขาจะปิดไฟล์รูปภาพพวกนั้นราวกับหวงจนไม่อยากให้ใครเห็น แต่ที่ไหนได้...เขาลากมันไปทิ้งถังขยะ...และเธอก็ได้แต่ร้อง ‘อ้าว’ อยู่ในใจ
การพยายามทำตัวสงบเสงี่ยมของปาริชาตสิ้นสุดลงในทันทีที่เจ้านายคนใหม่ทำท่างอแงเป็นเด็กเอาแต่ใจ หญิงสาวนั่งตัวแข็งเพราะกลิ่นบุหรี่และกลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่โชยออกมาจากร่างของคนที่เข้ามายืนอยู่ใกล้ ๆ ยอมรับว่าโมโหในสิ่งที่เขาแสดงออกมา
“คุณไม่อยากจะเก็บภาพพวกนี้เอาไว้แล้วใช่ไหมคะ”
ดูเหมือนสุรเสกข์เองก็งุนงงกับคำถามของปาริชาตไม่น้อย สังเกตได้จากคิ้วหนานั้นขมวดเข้าหากันบ่งบอกถึงความไม่เข้าใจ
“ถ้าอยากเก็บ ผมจะลบมันทิ้งทำไม”
“ก็แค่ลากมาใส่ถังขยะแบบที่คุณทำแค่นี้ยังไม่พอหรอกค่ะ มันต้องเคลียร์ถังขยะด้วย อย่างนี้”
แล้วเสียงกรอบแกรบที่ดังออกมาให้ได้ยิน พร้อมกับโฟลเดอร์ถังขยะที่เพิ่งถูกลากรูปถ่ายทั้งหลายไปใส่ก็โล่งเกลี้ยง ทำเอาสุรเสกข์อึ้งจนพูดไม่ออก
“แต่ถึงคุณจะลบรูปทิ้ง แล้วบอกตัวเองหรือใครต่อใครว่าคนในรูปได้ตายไปแล้ว ถ้าใจคุณไม่ลืม มันก็เปล่าประโยชน์นะคะ โอ๊ย...”
แล้วปาริชาตก็ต้องได้อุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อฝ่ามือใหญ่ของเขาตะปบลงมาบนไหล่บางของเธออย่างไม่ออมแรงนัก
“มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ!”
“ทำไมจะไม่เกี่ยวคะ ในเมื่อคุณหลอกฉันว่าเธอตายไปแล้ว ทำไมไม่บอกว่าเธอทิ้งคุณไปมีคนใหม่ เพราะถ้าบอกอย่างนี้มาตั้งแต่แรก ฉันก็จะไม่อยากรู้อะไรอีกเลย”
หญิงสาวเถียงอย่างไม่ลดละ ก่อนจะพยายามขืนตัวต้านแรงฉุดรั้งจากฝ่ามือใหญ่บนไหล่สุดฤทธิ์ เธอรู้ว่ากำลังทำให้เขาโมโห แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ในเมื่อเขาคอยทำให้กลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาเสียเอง
“ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าละเมิดเรื่องส่วนตัวของผม”
สุรเสกข์เอ่ยบอกเสียงกร้าว ในเมื่อเขาพยายามบังคับให้เธอหันหน้ามาหาไม่สำเร็จ มือใหญ่จึงเปลี่ยนไปออกแรงหมุนเก้าอี้ตัวที่ปาริชาตนั่งอยู่ให้มันหันไปเผชิญหน้ากับเขาจนได้
ปาริชาตเบิกตาโตด้วยความหวาดหวั่น เมื่อได้เห็นสีหน้าเคืองขุ่นของเขาเต็มตา อยากวิ่งหนีออกไปจากห้อง แต่เขาก็เท้าฝ่ามือข้างหนึ่งกับพนักเก้าอี้ หากเธอจะทำเช่นที่คิดไว้ ก็คงไปได้แค่ไม่เกิน 2 – 3 ก้าว
“เธอจะตายไปแล้ว รึทิ้งผมไปขึ้นสวรรค์กับใคร มันเกี่ยวอะไรกับคุณไหม”
“ค่ะ ฉันขอโทษที่ไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคุณ ขอโทษที่ได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วคุณถูกแฟนทิ้ง ไม่ใช่เธอตายไปแล้วพร้อมความรักของคุณ ฉันขอโทษ พอใจหรือยังคะ”
แทนที่สุรเสกข์จะพอใจกับคำขอโทษด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือของปาริชาต ตรงข้ามฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างกลับจับต้นแขนของเธอแล้วดึงขึ้นจากเก้าอี้ คิ้วหนาขมวดมุ่น ขณะเอ่ยบอกช้า ๆ ชัด ๆ
“เธอ-ไม่-ได้-เป็น-แฟน-ผม!”
“จะใช่แฟนหรือไม่ใช่แฟน ฉันก็ไม่อยากรู้แล้ว ฉะนั้นคุณไม่จำเป็นต้องบอกฉันหรอก”
ปาริชาตเอ่ยบอกน้ำตาคลอ ยอมรับว่ากำลังโมโหในคำพูดทั้งหลายของเขา ก่อนจะหัวสั่นหัวคลอนเพราะแรงเขย่าจากสองฝ่ามือ
“แต่คุณจำเป็นต้องรู้!”
“ไม่ค่ะ! ฉันไม่อยากรู้เรื่องอะไรของคุณอีกแล้ว”
“คุณต้องรู้!”
“ไม่!”
ใบหน้าคมที่ฉกวูบลงมาใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของสุรเสกข์ ทำให้คำคัดค้านที่ปาริชาตยืนกรานมาแล้วไม่ต่ำกว่าสองหนขาดหายไปในทันที เธอยืนตัวแข็งทื่อ หวาดกลัวกับความใกล้ชิดที่หากมีใครมาผลักที่แผ่นหลังของเธอเพียงนิดเดียวก็คงหนีไม่พ้นปากและจมูกของเขา
“ผมกับลูกตาลแค่เคยติดต่อกันอยู่ช่วงหนึ่งเท่านั้น ผมไม่เคยเห็นเธอเปลื้องผ้าต่อหน้า และที่สำคัญ...เรายังไม่เคยจูบกันด้วยซ้ำ”
ปาริชาตทรุดตัวลงกับเก้าอี้ตัวเดิมทันทีที่ฝ่ามือและไอร้อน ๆ จากร่างกายของสุรเสกข์เคลื่อนออกห่าง ร่างบางสั่นสะท้านขณะพยายามหมุนเก้าอี้เข้าหาจอคอมพิวเตอร์ คำพูดที่เขากระซิบบอกก่อนจะผละจากทำเอาเธอถึงกับหูอื้อตาลายขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ทางด้านของสุรเสกข์ ไออุ่นจากลมหายใจแผ่ว ๆ ของคนตรงหน้า บวกกับกลีบปากสีระเรื่อที่เจ้าของหลับหูหลับตาเถียงเขาไม่ตกฟาก ทำให้เขานึกอยากหาวิธีให้เธอยอมรับฟังในสิ่งที่เขาเพียรจะบอกอย่างสงบบ้าง
สุรเสกข์นั่งถอนหายใจให้กับอารมณ์ที่กระเจิงของตัวเองเมื่อครู่อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะคว้าซองบุหรี่และไฟแช็คติดมือแล้วเปิดประตูออกไปยังระเบียงหลังห้อง ยอมรับว่าภาพของร่างบางขาวเนียนทรวงทะลักในวันก่อนทำเอาเขาเกือบกดเรียวปากหยักลงไปครอบครองกลีบปากนุ่มละมุนอย่างลืมตัวเสียแล้ว โชคดีหนักหนาที่ห้ามตัวเองเอาไว้ได้ทัน
ก๊อก ๆ ๆ
“ฉันทำงานที่คุณสั่งเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”
เสียงบานประตูที่ถูกเลื่อนให้เปิดออก แล้วตามมาด้วยเสียงใสของเลขาใหม่ถอดด้ามที่ไม่รู้ว่าจะออกหมู่หรือจ่า ทำให้ร่างสูงของสุรเสกข์ซึ่งยืนพิงขอบระเบียงแล้วทอดสายตามองลงไปเบื้องล่างนานร่วม 10 นาที พร้อมพ่นควันสีจางออกจากปากและจมูกเป็นพัก ๆ ต้องหันกลับไปมอง
“ฮัดเช้ย...”
เสียงจามพร้อมเจ้าตัวที่ยืนปิดจมูกอยู่คาประตูกระจก ทำให้มือใหญ่ต้องรีบดีดก้นบุหรี่ในมือทิ้งโดยอัตโนมัติ ยอมรับว่าเป็นครั้งแรกที่รู้สึกกระดากเมื่อได้เห็นนัยน์ตากลมโตของหญิงสาวกำลังทอดมองดูก้นบุหรี่ที่เกลื่อนพื้นอยู่หลายชิ้น
“เอ่อ...มีงานอะไรจะให้ทำอีกหรือเปล่าคะ”
แม้จะได้เห็นหญิงสาวเอ่ยถามโดยไม่ยอมสบตาเขา ราวกับยังตื่นตระหนกกับความใกล้ชิดเมื่อครู่ไม่หายเช่นเดียวกับเขา สุรเสกข์จึงทำเพียงเอ่ยออกมาสั้น ๆ ไม่คิดจะจับจ้องใบหน้าเรียวอันมากไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจนั้นเลย
“เก็บแฟ้มบนโต๊ะขึ้นไว้บนชั้นให้ด้วย”
“เก็บหมดทุกแฟ้มเลยใช่ไหมคะ”
พอเห็นเจ้านายคนใหม่พยักหน้ารับ ปาริชาตจึงปิดประตูแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง ร่างบางแหงนหน้าขึ้นมองชั้นวางสีทึบที่มีแฟ้มเอกสารวางตั้งชิดกันเป็นแนว แล้วถอนหายใจ มันสูงเกินกว่าที่เธอจะเอื้อมถึงเสียด้วย และดูเหมือนคนสั่งงานก็คงลืมไปว่าสรีระร่างกายและความสูงของเธอกับเขา ต่างกันลิบลับ
เมื่อไม่เห็นว่าจะมีตัวช่วยใดดีไปกว่าเก้าอี้ตัวใหญ่ของเจ้านาย ร่างบางที่หันซ้ายหันขวามองหาอยู่ชั่วครู่ก็ตัดสินใจลากมันออกมาจากหลังโต๊ะ
การไม่ได้ฉุกคิดว่าเก้าอี้ที่สุรเสกข์ใช้นั่งทำงานตัวนั้นจะสามารถหมุนได้ 360 องศา ทำให้คนที่ปีนขึ้นไปยืนอยู่บนนั้นจนสำเร็จ ลืมนึกถึงความปลอดภัยของตนเองไปเสียสนิท
กระทั่งขณะที่เธอเอี้ยวตัวเพื่อจัดแฟ้มบนชั้นให้เข้าที่เข้าทางและเป็นระเบียบเรียบร้อย เก้าอี้ที่เลื่อนออกห่างจากชั้นจนเธอต้องคว้าแฟ้มเอกสารที่อยู่ใกล้มือเอาไว้เป็นที่พึ่ง ก็พาร่างบางโงนเงนและล้มลงมาแบบไม่เป็นท่า ที่สำคัญแฟ้มเจ้ากรรมซึ่งเธอหวังจะไขว่คว้ายึดเกาะนั้นก็ ไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย
“โอ๊ย...”
หญิงสาวโอดครวญเมื่อล้มลงบนพื้นพรมพร้อมกับเก้าอี้ที่คว่ำคะมำอยู่ใกล้ ๆ ก่อนหยาดน้ำอุ่น ๆ จะไหลรินออกมาเพราะอาการบาดเจ็บที่สะโพกซึ่งกระแทกเข้ากับขอบโต๊ะทำงานของสุรเสกข์และถูกซ้ำเติมด้วยการกระแทกกับพื้นอีกหนด้วยระดับความแรงที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
เสียงย่ำเท้าตึง ๆ ที่ดังมาอย่างรวดเร็ว แล้วตามด้วยเสียงถามอย่างตกใจจากเจ้าของ ทำให้น้ำตาของปาริชาตยิ่งนองเอ่อขึ้นมาอีก
มือเรียวตะครุบชายกระโปรงที่เลิกขึ้นถึงหน้าขานั้นลงแล้วยกขึ้นปาดน้ำตา ก่อนจะยอมให้คนที่เพิ่งพรวดพราดเข้ามาถึงตัว หิ้วปีกขึ้นจากพื้น เก้าอี้ที่ยังล้มเค้เก้อยู่คือคำตอบที่ปาริชาตมีในตอนนี้
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากหญิงสาว สุรเสกข์จึงถามย้ำออกมาอีก ยามนี้นอกจากจะได้เห็นหญิงสาวร้องไห้กระซิก ๆ โดยไม่ยอมพูดยอมจาแล้ว เขาก็คาดเดาอะไรไม่ได้เลย
ทว่าพอเห็นปาริชาตยืนโงนเงนคล้ายทรงตัวไม่อยู่ มือที่ตรึงอยู่กับไหล่บางหลังจากหิ้วร่างนั้นขึ้นมาจากพื้นได้ ก็ตวัดเธอขึ้นไว้ในอ้อมแขน
พอถูกรั้งร่างลอยหวือขึ้นเหนือพื้น ที่สำคัญกลิ่นน้ำหอมและกลิ่นบุหรี่จาง ๆ ที่ทำเอาเธอใจระทึกไปแล้วก่อนหน้า ได้หวนกลับมาแบบแนบสนิทยิ่งกว่าเดิม ก็ทำให้ปาริชาตถึงกับรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาในทันใด
“ตอบผมก่อนสิว่าเป็นอะไรหรือว่าเจ็บตรงไหน”
เสียงเข้มเอ่ยถาม ขณะกระชับร่างบางของเธอไว้ในอ้อมแขน
“เจ็บสะโพกค่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงใสที่ดังมาเพียงอู้อี้นั้นเอ่ยบอก สุรเสกข์จึงสาวเท้าพาร่างบางของปาริชาตไปยังเก้าอี้นวมแล้ววางเธอลงอย่างเบามือ ก่อนจะยืนเท้าสะเอวมองคล้ายจะประเมินว่าพอจะช่วยเหลืออะไรเธอได้อีก
ท่าทีลูบมือไปบนส่วนโค้งของสะโพกป้อย ๆ แล้วทำหน้าเหยเก ทำให้ชายหนุ่มไม่อาจทนมองต่อไปได้ ร่างสูงผินหน้าไปหาเก้าอี้ที่ยังล้มคว่ำอยู่บนพื้น ก่อนจะเดินกลับไปจับมันพลิกขึ้นแล้วเข็นไปไว้หลังโต๊ะทำงานของตนเองตามเดิม
“มันจำเป็นต้องปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ด้วยเหรอ”
แล้วคนที่ตั้งใจทำงานตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ จนมีเหตุให้ต้องเจ็บตัวก็น้ำตาร่วง เพราะคำถามนั้น ดูราวกับจะกล่าวหาว่าเธอรนหาที่เองอย่างนั้น
“ก็ฉันเอื้อมไม่ถึงนี่คะ”
คำตอบที่มีมา ทำให้คนถามถึงกับสะอึก สุรเสกข์คงลืมนึกไปว่าปาริชาตสูงยังไม่พ้นไหล่เขาเลยด้วยซ้ำ ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับความสูงที่เกิน 180 เซนติเมตรของตน และเมื่อมองไปที่ชั้นวางซึ่งยังคงมีแฟ้มเอกสารล้มทับกันอยู่บนนั้น ชายหนุ่มก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้ เพราะในขณะที่ตัวเขายืนเอื้อมมือหยิบลงมาได้อย่างสบาย ๆ ปาริชาตก็คงไม่มีโอกาสจะทำเช่นนั้นได้
“แล้วทำไมไม่บอกว่าเอื้อมไม่ถึง”
คำพูดที่ดูเหมือนยังไง ๆ คนที่ตกเก้าอี้จนน้ำตาร่วงอย่างปาริชาตก็ทำผิดอยู่วันยังค่ำ ทำให้หญิงสาวได้แต่ปิดปากเงียบอย่างเจ็บแค้น ไม่ยอมรับผ้าเช็ดหน้าสีสะอาดที่ถูกใครบางคนซึ่งยืนมองและตำหนิเธอคำแล้วคำเล่าหยิบยื่นมาให้นั้นสักนิด
“เอ้า...เช็ดน้ำตาก่อน”
มือเรียวยังคงลูบสะโพกตัวเองอยู่ป้อย ๆ ดังเดิม ซึ่งท่าทีที่ทำราวกับไม่ได้ยินคำบอกของเขา ก็ทำให้สุรเสกข์นึกฉุน ร่างสูงจึงทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ พลางเอี้ยวไปแตะปลายนิ้วตรึงใบหน้าที่อาบไปด้วยหยาดน้ำตาของปาริชาตแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือซับให้เบา ๆ
“ไหนบอกว่าเจ็บสะโพก ผมว่าเจ็บปากด้วยล่ะมั้ง ถึงกับเป็นใบ้ไปเลยนี่”
แล้วแทนที่น้ำตาจะเหือดแห้งเพราะได้ผ้าเช็ดหน้าของใครบางคนมาช่วย น้ำตาเม็ดโตกลับยิ่งร่วงเผาะ
“ฉันทำงานไม่ดีคุณก็ตำหนิ ฉันตั้งใจทำดีคุณก็ว่า...ฮือ...”
คำพูดที่เจือเอาไว้ด้วยเสียงสะอึกสะอื้นของปาริชาต ทำให้มือใหญ่ที่ยังช่วยแตะผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้อย่างมีน้ำใจ ถึงกับชะงักงันไป และตอนนี้สิ่งที่เขาเลือกจะทำคือเพิ่มแรงตรึงใบหน้าเรียวที่เจ้าของพยายามเบี่ยงหนีสุดฤทธิ์นั้นเอาไว้
“ผมตำหนิคุณที่ไหนกัน”
“ก็...ก็คุณว่าฉัน”
หญิงสาวแหว เมื่อได้ยินคำพูดขัดหูจากเขา
“ผมไม่ได้ว่า ผมแค่ถาม...ทำไมต้องถึงกับปีนเก้าอี้ คุณเองก็ควรจะบอกแต่แรกที่ผมสั่งให้ทำสิว่าเอื้อมไม่ถึง ผมจะได้เก็บเอง”
“ฉันก็บอกแล้วไงคะว่ามันเอื้อมไม่ถึง คนมันตัวเตี้ย คุณต้องให้ฉันบอกด้วยเหรอว่าฉันตัวเตี้ย ”
แล้วคนที่ต้องตกเป็นจำเลยในเหตุการณ์ทั้งหมด ก็หัวเราะออกมา
“โอเค...ผมผิด ผมขอโทษที่ใช้งานคุณโดยไม่ดูตามาตาเรือ...หึ ๆ”
เสียงเข้มดังขึ้นหนัก ๆ คล้ายไม่พอใจ แต่ปาริชาตก็อดมองค้อนไม่ได้เมื่อมีเสียงหัวเราะหึ ๆ ดังพ่วงมาด้วย
“จะต้องให้ผมอุ้มไปส่งถึงบ้านหรือเปล่าเนี่ย”
“ฉันเดินเองได้ค่ะ...”
แล้วร่างบางที่ขยับกายออกห่างแล้วยันตัวลุกจากเก้าอี้ก็ต้องได้ทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด ถึงเวลานี้แล้วเธอยังไม่มีโอกาสได้เปิดดูเลยว่าอาการปวดตุบ ๆ ที่สะโพกนั้นมีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง
“ไม่คิดจะไปให้หมอดูสักหน่อยเหรอ เผื่อเป็นหนัก”
ปาริชาตยอมรับแล้วว่าเจ้านายคนใหม่ของเธอหูตาไวไม่ใช่เล่น เพราะแค่เธอขยับตัวด้วยความยากลำบากแค่นี้ เขาก็รับรู้แล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น”
“งั้นก็นั่งพักก่อน ยังไม่ต้องทำอะไร”
“ขอบคุณค่ะ”
สุดท้ายปาริชาตก็ได้เห็นเจ้านายคนใหม่ของเธอไปยืนก้ม ๆ เงย ๆ เก็บแฟ้มที่ร่วงอยู่กับพื้นขึ้นไว้บนชั้นเสียเอง
เย็นวันนั้น เมื่อได้เห็นปาริชาตเดินกะเผลก ๆ ออกไปเก็บกระเป๋าและของใช้ที่โต๊ะทำงานซึ่งตั้งอยู่ชิดกับโต๊ะของคุณนภษร คุณสุพลซึ่งยืนมองหาหญิงสาวร่างเล็กผ่านช่องกระจกของประตูบานใหญ่นั้น ก็ผลักมันออกมา
“เป็นอะไรไปเหรอป่าน ทำไมเดินยังงั้นล่ะ”
เสียงเอ่ยถามด้วยความคุ้นเคยของคุณสุพล ซึ่งไม่ได้มีแค่สุรเสกข์เท่านั้นที่แปลกใจ หากแต่นภษรซึ่งเก็บของใช้ลงลิ้นชักเตรียมตัวกลับบ้านแล้วเช่นกัน ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกหู
“ตกเก้าอี้ค่ะ แล้วเลยกระแทกกับโต๊ะ”
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ยังพอทนได้ค่ะ คงไม่เป็นไรมาก”
“เอ่อ...ไปคุยกันข้างในสักครู่สิ”
แล้วความแปลกใจของนภษรที่ทวีจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็ทำให้สาวใหญ่ถึงกับรีบคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นบ่า ด้วยรู้สึกว่าตนเองไม่อาจทนอยู่ในสภาพส่วนเกินได้อีกต่อไปแล้ว
นภษรยอมรับว่าทุกวันนี้คุณสุพลก็ให้ความสนิทสนมและคุ้นเคยกับเธอเป็นอย่างดี แต่นั่นก็เป็นเพราะการได้ทำงานร่วมกันมานานเกือบ 10 ปี ไม่ใช่เพิ่งโผล่หน้ามาทำงานเป็นวันแรกเช่นที่ปาริชาตกำลังทำอยู่
“เอ่อ...บอสคะ ษรขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“อ้าว จะกลับแล้วเหรอ”
“ก็เลิกงานแล้วนี่ค่ะ สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ ป่านอย่าเพิ่งกลับ ไปคุยกันครู่หนึ่งก่อน”
“ค่ะ"
มือใหญ่ที่เริ่มเหี่ยวย่นตามวัย หยิบธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท ส่งให้ปาริชาตจำนวน 5 ใบ ในทันทีที่เธอเดินตามเขาเข้าไปถึงโต๊ะทำงาน แต่ทว่ากลับต้องมีอันชะงักค้างอยู่กลางอากาศ เพราะคำพูดของหญิงสาวที่มีขึ้น
“ที่คุณให้ไว้คราวก่อนก็ยังมีเหลือค่ะ”
“ผมให้ ไว้ใช้นะ เงิน 8,000 ให้ไปตั้งเกือบเดือนแล้ว ทำไมยังเหลืออยู่อีก ไม่กินไม่ใช้เลยหรือไง”
“ใช้ค่ะ แต่ยังมีเหลืออยู่ เรียนจบแล้วป่านก็เลยไม่ต้องใช้เงินเยอะ ตอนนี้ก็ได้ทำงานแล้ว อีกหน่อยคงไม่ต้องรบกวนคุณ”
“รบกวนอะไรกันล่ะ รับไปเถอะ มันเป็นหน้าที่ที่ผมต้องให้ คิดเสียว่าผมให้ยายหนูและคนที่เลี้ยงดูแก”
พอได้ยินคุณสุพลเอ่ยปากถึง ‘ยายหนู’ ภาพเด็กหญิงตัวเล็กอ้วนกลมวัย 8 เดือนเศษ ที่คลุกคลีอยู่ด้วยกันทุกวันก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิดของปาริชาต สุดท้ายมือเรียวก็จำต้องประนมไหว้แล้วยื่นออกไปรับ
ช่วงเวลา 8 เดือนเศษ นับแต่ที่เด็กหญิงปุณญภัสได้ลืมตามาดูโลก คุณสุพลก็มักหยิบยื่นเงินทองและข้าวของให้กับเธออย่างนี้เสมอ หากเขาแวะไปหาที่บ้านทุกครั้งจะมีของใช้ไม้สอยและอาหารการกินติดมือไป รวมถึงก่อนกลับก็มักวางเงินไว้ให้แทบทุกครั้ง
“จริง ๆ วันนี้ว่าจะแวะไป แต่ผมเห็นสายตาเจ้าเสกข์แล้ว ก็...เอาไว้วันหลังก็แล้วกันนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ปาริชาตอยากจะบอกว่าถึงไม่มีคุณสุพล ยังไงเธอก็ไม่มีทางปล่อยให้หนูน้อยอดตาย แต่ก็นั่นแหละ...ยังไงเขาก็เป็นพ่อลูกกัน ถึงจะผิดทำนองคลองธรรมอย่างไรก็ตัดกันไม่ขาดอยู่ดี
“งั้นป่านกลับเลยก็แล้วกันนะคะ ป้านันทาบอกว่าเย็นนี้แกมีธุระค่ะ”
“กลับเถอะ”
“สวัสดีค่ะ”
แล้วร่างบางของปาริชาตก็กำธนบัตรเอาไว้พลางเดินขากะเผลก ๆ ออกจากห้อง ท่ามกลางสายตาที่มองตามด้วยความไม่สบายใจนักของคุณสุพล เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...เขาจะกล้าเปิดเผยเรื่องราวลี้ลับอันไม่ยากแก่การเข้าใจ ทว่ายากยิ่งต่อการทำใจให้แก่ครอบครัวซึ่งประกอบไปด้วยภรรยาและลูกชายคนเดียวได้รับรู้เสียที
ปาริชาตรีบเดินกลับไปยังโต๊ะอาหารโดยไม่คิดจะเหลียวหลัง แม้จะรู้สึกแย่ที่ถูกเขาจับได้ว่าไปแอบดู แต่ก็ยังดีที่สามารถพาตัวเองให้รอดมาได้แบบปลอดภัย
“โลกกลมจริง ๆ”
เสียงคุณสุพลดังขึ้น ก่อนจะหันมาหาปาริชาตซึ่งมาหย่อนกายนั่งประจำที่อย่างเงียบ ๆ ไม่มีการออกความเห็นเพราะเธอคือผู้มาใหม่และไม่เคยรับรู้เรื่องราวใด ๆ มาก่อนเลยแม้แต่น้อย แต่ที่แน่ ๆ คือยามนี้ความรู้สึก ‘กลัวผี’ ได้มลายหายไปจากในใจของเธอจนหมดสิ้นแล้ว
“ไม่ต้องไปสนใจนะป่าน ทำงานของเราไป ถึงเจ้าเสกข์จะค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเองไปหน่อย แต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นคนขาดเหตุผลไปเสียทีเดียว”
“ค่ะ”
“ตามประสาคนหนุ่มใจร้อนค่ะ”
คุณนภษรเสริมขึ้น ดูเธอจะเทคะแนนนิยมให้กับเจ้านายหนุ่มเต็มที่ แต่กระนั้นคุณสุพลก็ยังไม่วายแสดงความไม่ชอบใจออกมา
“เจ้าเสกข์คงได้นิสัยแบบฝรั่งมาด้วยแหละ บางทีผมก็รู้สึกเหมือนคิดผิดที่ส่งให้ไปเรียนเมืองนอกเมืองนา”
“ษรว่าดีเสียอีกค่ะ ฝรั่งเค้าคิดแต่เรื่องใหม่ ๆ ทันสมัยกันทั้งนั้น”
คุณนภษรเสริมขึ้นมา เธออาจจะรู้เรื่องการไปร่วมกิจกรรมแรลลี่และปัญหาเกิดเพราะสุรเสกข์ขาดเพื่อนร่วมทีมที่เข้าขากันได้ดีอย่างตัวเองแล้วก็ได้
“มันจะทันสมัยเกินไปน่ะสิคุณษร บางอย่างคนไทยเค้าก็ไม่พูดออกมาตรง ๆ เหมือนที่มันเป็น อย่างเมื่อกี้ก็เพิ่งคุยกันเรื่องไปแรลลี่”
“ษรติดธุระจริง ๆ ค่ะ ต้องขอโทษด้วย”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น แต่มันเล่นบอกออกมาตรง ๆ ว่าไม่เอาเพื่อนร่วมทีมอย่างป่านน่ะสิ ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวเค้าก็ยืนอยู่ตรงหน้า คิดดูถ้าเป็นเราจะรู้สึกยังไง”
“เอ่อ...แต่ป่านไม่เป็นไรค่ะ”
ปาริชาตแย้งออกมาเบา ๆ ด้วยเห็นว่าคุณสุพลนั้นซีเรียสกับเรื่องที่เขากำลังพูดอยู่ค่อนข้างมาก
“ไม่ใช่ บางทีเรื่องแบบนี้มันก็ต้องนึกถึงมารยาทบ้างสิ จะพูดจาขวานผ่าซากออกมาแบบนั้นได้ยังไง”
“แต่ก็ตรงประเด็นดีนี่คะ จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดทีหลังว่าสรุปแล้วคุณเสกข์จะนับป่านเข้าร่วมทีมหรือไม่”
หญิงสาวว่าแล้วคลี่ยิ้มน้อย ๆ จริงอยู่ที่คำพูดของสุรเสกข์ทำให้เธอถึงกับหน้าตึง แต่ที่เขาว่ามามันก็ถูกของเขา เพราะเธอก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยจริง ๆ นี่นา
“ป่านไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ”
หญิงสาวย้ำออกมาอีก ไม่ใช่ต้องการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพียงแต่ไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นชนวนความขัดแย้งระหว่างคู่พ่อลูกเท่านั้น
“นี่ดีนะที่เป็นป่าน ถ้าเจอคนนิสัยแบบเดียวกับมัน คงได้ฟัดกันตั้งแต่เจอหน้าครั้งแรกแล้ว”
ปาริชาตเปิดยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับคุณสุพล ถ้าหากได้รู้ว่าเธอกับสุรเสกข์เคยฟัดกันมาตั้งแต่ก่อนจะเริ่มเข้าทำงานที่นี่ ไม่รู้ว่าเขาจะว่าอย่างไรบ้าง
“แต่มันทำท่าเหมือนไม่อยากได้ป่านไปร่วมทีมแรลลี่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันแหละ ดีกว่าไปแล้วคนขับกับเนฯทะเลาะกัน คุณษรว่าไง”
“ค่ะ แต่คงไม่ถึงกับทะเลาะกันมั้งคะ คุณเสกข์ไม่ใช่คนวู่วาม ทำอะไรแบบขาดเหตุผล”
“แต่หมอนี่มันชอบทำอะไรจริงจัง เวลาต้องแข่งขันกับใครก็มุ่งมั่นจะเอาชนะเค้าให้ได้ ยังเหลือเวลาอีกตั้งหลายวัน ผมว่าทำหนังสือเวียนให้พนักงานคนอื่น ๆ ทราบดีกว่า เผื่อจะมีคนอยากไป”
“ค่ะ”
“งานหน้าถ้ามีคุณษรไปด้วย ป่านก็ค่อยไปเรียนรู้นะ บริษัทเรามักถูกเชิญให้ไปร่วมงานแบบนี้บ่อย ๆ สักวันนึงป่านก็ต้องได้เป็นตัวแทนบริษัทไปกับเค้าเหมือนกัน”
“ค่ะ”
คุณสุพลที่นึกกังวลกับท่าทีของลูกชาย ซึ่งแต่เดิมมีมาเพราะไม่พอใจที่เขาเลือกเอาหญิงสาวเข้ามาทำงาน ทั้งที่เธอเรียนจบมาในสาขาวิชาเคมี ซึ่งไม่ว่าจะคิดกี่ตลบก็ไม่มีทางมาบรรจบกับธุรกิจนำเข้าอะไหล่รถยนต์ที่บริษัทของเขากำลังประกอบกิจการอยู่ได้แม้แต่น้อย และต่อมาก็มีปัญหาเรื่องที่เขาเสนอให้ปาริชาตไปเป็นเนวิเกเตอร์ในการเข้าร่วมกิจกรรมแรลลี่ ซึ่งจะถูกจัดขึ้นในเวลาอันใกล้
ดังนั้นเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนเป็นลูกชายที่ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวอะไรกับปาริชาตมากนัก ทำให้คนที่ชีวิตมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างคุณสุพลนึกเบาใจ เพราะการที่สุรเสกข์และปาริชาตไม่ให้ความสนิทสนมคุ้นเคยกัน หรือจะเรียกว่าไม่ค่อยพูดจาถูกคอกันเท่าใดนักนั้น ทำให้สิ่งที่เป็นความกังวลหนึ่งเดียวของเขาค่อยคลายลง
แต่...คุณสุพลก็คาดผิด เพราะในขณะที่นั่งรถกลับออกจากร้านอาหารเพื่อเข้าไปทำงานภาคบ่ายกันต่อ สุรเสกข์ก็ทำให้ความกังวลใจเดิม ๆ ของเขา หวนกลับมาอีกจนได้
“พ่อครับ ผมว่าไม่ต้องให้คุณปาริชาตเรียนงานจากคุณษรแล้วล่ะครับ”
“ทำไมล่ะ เอาน่า...ถึงป่านเค้าจะเรียนเคมีมา แต่เค้าก็ทำงานเหมือนคุณษรได้ แกอย่าด่วนตัดสินคนสิ”
คุณสุพลค้านออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์ ไม่เข้าใจว่าสุรเสกข์กลายเป็นคนเข้าใจอะไรยากเย็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่
“ผมไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้เธอทำงานกับเรานะครับ แต่อยากให้ไปเป็นเลขาของผมเลย”
“อะไรนะ?”
คุณสุพลเอ่ยถามออกมาราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง ส่วนปาริชาตนั้นแม้จะนั่งนิ่งและเก็บกิริยาตัวเองเป็นอย่างดี ทว่าหูกลับเงี่ยฟังด้วยใจระทึก
“ไหน ๆ ก็ต้องเริ่มต้นเรียนรู้งานอยู่แล้ว เรียนจากผมทีเดียวก็แล้วกันครับ ไม่ต้องสอนกันสองต่อ สามต่อให้สับสน”
“อ้าว...พ่อกะว่าจะยกคุณษรให้ไปเป็นเลขาแก”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พ่อกับคุณษรทำงานด้วยกันมาหลายปีแล้ว ทำต่อไปเถอะครับ ส่วนผมถึงจะเพิ่งมาเริ่มทำงาน แต่ก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าต้องสอนงานใครอีกสักคนหนึ่ง ผมก็พอจะทำได้อยู่หรอกครับ”
“จะเอายังงั้นจริง ๆ เหรอ”
“ครับ”
พอได้ยินเสียงลูกชายยืนยันหนักแน่น ราวกับได้ครุ่นคิดและตัดสินใจมาเป็นอย่างดีแล้ว คุณสุพลจึงแย้งไม่ออก เวลานี้ไม่ว่าจะเก็บปาริชาตให้เป็นเลขาตัวเอง หรือยอมให้เธอไปเป็นเลขาของสุรเสกข์ ความกังวลใจของชายวัยกลางคนก็มีอยู่พอ ๆ กัน
“ป่านล่ะ ว่าไง”
สุดท้ายเมื่อคิดอะไรไม่ออก คุณสุพลซึ่งนั่งอยู่ตอนหน้าคู่กับลูกชายจึงหันไปถามเอากับคนกลาง ที่นั่งเงียบอยู่ในตอนหลังคู่กับคุณนภษร
“ก็แล้วแต่คุณสุพลจะเห็นสมควรค่ะ”
ปาริชาตตอบแบบเป็นกลาง เพราะเธอไม่สามารถจะเอ่ยอะไรให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว รู้ว่าสุรเสกข์นั้นคงไม่มีทางยอมฟังหากเธอจะคัดค้าน ฉะนั้น...จึงไม่ฉลาดเลยที่จะทำให้ว่าที่เจ้านายคนใหม่ต้องเกลียดขี้หน้าเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะลำพังตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากันมาจนถึงวินาทีนี้ เธอก็คิดว่าตนเองมีเรื่องชวนให้เอือมระอามากพออยู่แล้ว
ร่างสูงของสุรเสกข์เดินอาด ๆ นำหน้าทุกคนขึ้นตึกเพื่อทำงานในภาคบ่ายอย่างไม่คิดจะรอใคร ปาริชาตมองตามแล้วแอบถอนหายใจพลางทำปากยื่นอย่างเซ็ง ๆ เพราะบ่ายนี้เธอยังต้องเข้าไปนั่งจัดไฟล์งานในเครื่องคอมพิวเตอร์ในห้องของสุรเสกข์ต่ออีก ที่สำคัญคือยังไม่รู้ว่าเขาจะพื้นเสียมากไปกว่านี้หรือเปล่า
หญิงสาวนั่งทำงานของตัวเองต่อไปเงียบ ๆ ในทันทีที่ขึ้นไปถึงห้องทำงาน ปล่อยเจ้านายคนใหม่ที่ฉกเอาตัวเธอมาหน้าตาเฉยโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของคุณสุพลแม้แต่น้อย รื้อแฟ้มเอกสารจากชั้นลงมานั่งอ่านอยู่ที่โต๊ะ
“ทำไมยังไม่ลบรูปพวกนั้นทิ้งอีก”
เมื่อเปิดไฟล์รูปภาพเกี่ยวกับกิจกรรมแรลลี่ ความที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมาก่อน จึงทำให้ปาริชาตอดไม่ได้ที่จะกวาดสายตามองดูอย่างละเอียด ซึ่งการถูกกระชากเสียงถามจากคนที่เธอเข้าใจว่าเขากำลังจดจ่ออยู่กับแฟ้มเอกสาร ก็ทำเอาหญิงสาวถึงกับสะดุ้งโหยง ตาโตเบิกกว้างขณะหันขวับไปมองยังต้นเสียง
“ก็...เอ่อ...”
“คุณไม่ได้ทำตามที่ผมสั่งหรอกเหรอ?”
“เปลี่ยนแบ็คกราวน์แล้วค่ะ แต่...นี่มันเป็นไฟล์รูปภาพในเครื่อง”
“แล้วทำไมไม่ลบมันทิ้ง ผมจำได้ว่าสั่งให้คุณลบทิ้งแล้วนะ”
ปาริชาตหูอื้อตาลายขึ้นมาอย่างกะทันหันกับคำพูดของสุรเสกข์ หญิงสาวร้อนผ่าวไปทั้งหน้าเพราะคำพูดที่เขากล่าวหาว่าเธอจงใจละเลยและไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของเขา
“นี่เป็นไฟล์รูปภาพของคุณค่ะ ฉันต้องดูรายละเอียดก่อนสิคะ ถึงจะจัดหมวดหมู่ได้”
“ผมให้จัดแต่ไฟล์งาน ไม่เกี่ยวกับรูปพวกนี้”
แล้วคนที่นั่งอยู่แถมตำหนิว่าปาริชาตเพิกเฉยต่อคำสั่งของเขาก็ลุกมาโน้มตัวลงข้าง ๆ เธอเพื่อแย่งเม้าส์ เดิมทีหญิงสาวก็เข้าใจว่าเขาจะปิดไฟล์รูปภาพพวกนั้นราวกับหวงจนไม่อยากให้ใครเห็น แต่ที่ไหนได้...เขาลากมันไปทิ้งถังขยะ...และเธอก็ได้แต่ร้อง ‘อ้าว’ อยู่ในใจ
การพยายามทำตัวสงบเสงี่ยมของปาริชาตสิ้นสุดลงในทันทีที่เจ้านายคนใหม่ทำท่างอแงเป็นเด็กเอาแต่ใจ หญิงสาวนั่งตัวแข็งเพราะกลิ่นบุหรี่และกลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่โชยออกมาจากร่างของคนที่เข้ามายืนอยู่ใกล้ ๆ ยอมรับว่าโมโหในสิ่งที่เขาแสดงออกมา
“คุณไม่อยากจะเก็บภาพพวกนี้เอาไว้แล้วใช่ไหมคะ”
ดูเหมือนสุรเสกข์เองก็งุนงงกับคำถามของปาริชาตไม่น้อย สังเกตได้จากคิ้วหนานั้นขมวดเข้าหากันบ่งบอกถึงความไม่เข้าใจ
“ถ้าอยากเก็บ ผมจะลบมันทิ้งทำไม”
“ก็แค่ลากมาใส่ถังขยะแบบที่คุณทำแค่นี้ยังไม่พอหรอกค่ะ มันต้องเคลียร์ถังขยะด้วย อย่างนี้”
แล้วเสียงกรอบแกรบที่ดังออกมาให้ได้ยิน พร้อมกับโฟลเดอร์ถังขยะที่เพิ่งถูกลากรูปถ่ายทั้งหลายไปใส่ก็โล่งเกลี้ยง ทำเอาสุรเสกข์อึ้งจนพูดไม่ออก
“แต่ถึงคุณจะลบรูปทิ้ง แล้วบอกตัวเองหรือใครต่อใครว่าคนในรูปได้ตายไปแล้ว ถ้าใจคุณไม่ลืม มันก็เปล่าประโยชน์นะคะ โอ๊ย...”
แล้วปาริชาตก็ต้องได้อุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อฝ่ามือใหญ่ของเขาตะปบลงมาบนไหล่บางของเธออย่างไม่ออมแรงนัก
“มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ!”
“ทำไมจะไม่เกี่ยวคะ ในเมื่อคุณหลอกฉันว่าเธอตายไปแล้ว ทำไมไม่บอกว่าเธอทิ้งคุณไปมีคนใหม่ เพราะถ้าบอกอย่างนี้มาตั้งแต่แรก ฉันก็จะไม่อยากรู้อะไรอีกเลย”
หญิงสาวเถียงอย่างไม่ลดละ ก่อนจะพยายามขืนตัวต้านแรงฉุดรั้งจากฝ่ามือใหญ่บนไหล่สุดฤทธิ์ เธอรู้ว่ากำลังทำให้เขาโมโห แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ในเมื่อเขาคอยทำให้กลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาเสียเอง
“ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าละเมิดเรื่องส่วนตัวของผม”
สุรเสกข์เอ่ยบอกเสียงกร้าว ในเมื่อเขาพยายามบังคับให้เธอหันหน้ามาหาไม่สำเร็จ มือใหญ่จึงเปลี่ยนไปออกแรงหมุนเก้าอี้ตัวที่ปาริชาตนั่งอยู่ให้มันหันไปเผชิญหน้ากับเขาจนได้
ปาริชาตเบิกตาโตด้วยความหวาดหวั่น เมื่อได้เห็นสีหน้าเคืองขุ่นของเขาเต็มตา อยากวิ่งหนีออกไปจากห้อง แต่เขาก็เท้าฝ่ามือข้างหนึ่งกับพนักเก้าอี้ หากเธอจะทำเช่นที่คิดไว้ ก็คงไปได้แค่ไม่เกิน 2 – 3 ก้าว
“เธอจะตายไปแล้ว รึทิ้งผมไปขึ้นสวรรค์กับใคร มันเกี่ยวอะไรกับคุณไหม”
“ค่ะ ฉันขอโทษที่ไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคุณ ขอโทษที่ได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วคุณถูกแฟนทิ้ง ไม่ใช่เธอตายไปแล้วพร้อมความรักของคุณ ฉันขอโทษ พอใจหรือยังคะ”
แทนที่สุรเสกข์จะพอใจกับคำขอโทษด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือของปาริชาต ตรงข้ามฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างกลับจับต้นแขนของเธอแล้วดึงขึ้นจากเก้าอี้ คิ้วหนาขมวดมุ่น ขณะเอ่ยบอกช้า ๆ ชัด ๆ
“เธอ-ไม่-ได้-เป็น-แฟน-ผม!”
“จะใช่แฟนหรือไม่ใช่แฟน ฉันก็ไม่อยากรู้แล้ว ฉะนั้นคุณไม่จำเป็นต้องบอกฉันหรอก”
ปาริชาตเอ่ยบอกน้ำตาคลอ ยอมรับว่ากำลังโมโหในคำพูดทั้งหลายของเขา ก่อนจะหัวสั่นหัวคลอนเพราะแรงเขย่าจากสองฝ่ามือ
“แต่คุณจำเป็นต้องรู้!”
“ไม่ค่ะ! ฉันไม่อยากรู้เรื่องอะไรของคุณอีกแล้ว”
“คุณต้องรู้!”
“ไม่!”
ใบหน้าคมที่ฉกวูบลงมาใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของสุรเสกข์ ทำให้คำคัดค้านที่ปาริชาตยืนกรานมาแล้วไม่ต่ำกว่าสองหนขาดหายไปในทันที เธอยืนตัวแข็งทื่อ หวาดกลัวกับความใกล้ชิดที่หากมีใครมาผลักที่แผ่นหลังของเธอเพียงนิดเดียวก็คงหนีไม่พ้นปากและจมูกของเขา
“ผมกับลูกตาลแค่เคยติดต่อกันอยู่ช่วงหนึ่งเท่านั้น ผมไม่เคยเห็นเธอเปลื้องผ้าต่อหน้า และที่สำคัญ...เรายังไม่เคยจูบกันด้วยซ้ำ”
ปาริชาตทรุดตัวลงกับเก้าอี้ตัวเดิมทันทีที่ฝ่ามือและไอร้อน ๆ จากร่างกายของสุรเสกข์เคลื่อนออกห่าง ร่างบางสั่นสะท้านขณะพยายามหมุนเก้าอี้เข้าหาจอคอมพิวเตอร์ คำพูดที่เขากระซิบบอกก่อนจะผละจากทำเอาเธอถึงกับหูอื้อตาลายขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ทางด้านของสุรเสกข์ ไออุ่นจากลมหายใจแผ่ว ๆ ของคนตรงหน้า บวกกับกลีบปากสีระเรื่อที่เจ้าของหลับหูหลับตาเถียงเขาไม่ตกฟาก ทำให้เขานึกอยากหาวิธีให้เธอยอมรับฟังในสิ่งที่เขาเพียรจะบอกอย่างสงบบ้าง
สุรเสกข์นั่งถอนหายใจให้กับอารมณ์ที่กระเจิงของตัวเองเมื่อครู่อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะคว้าซองบุหรี่และไฟแช็คติดมือแล้วเปิดประตูออกไปยังระเบียงหลังห้อง ยอมรับว่าภาพของร่างบางขาวเนียนทรวงทะลักในวันก่อนทำเอาเขาเกือบกดเรียวปากหยักลงไปครอบครองกลีบปากนุ่มละมุนอย่างลืมตัวเสียแล้ว โชคดีหนักหนาที่ห้ามตัวเองเอาไว้ได้ทัน
ก๊อก ๆ ๆ
“ฉันทำงานที่คุณสั่งเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”
เสียงบานประตูที่ถูกเลื่อนให้เปิดออก แล้วตามมาด้วยเสียงใสของเลขาใหม่ถอดด้ามที่ไม่รู้ว่าจะออกหมู่หรือจ่า ทำให้ร่างสูงของสุรเสกข์ซึ่งยืนพิงขอบระเบียงแล้วทอดสายตามองลงไปเบื้องล่างนานร่วม 10 นาที พร้อมพ่นควันสีจางออกจากปากและจมูกเป็นพัก ๆ ต้องหันกลับไปมอง
“ฮัดเช้ย...”
เสียงจามพร้อมเจ้าตัวที่ยืนปิดจมูกอยู่คาประตูกระจก ทำให้มือใหญ่ต้องรีบดีดก้นบุหรี่ในมือทิ้งโดยอัตโนมัติ ยอมรับว่าเป็นครั้งแรกที่รู้สึกกระดากเมื่อได้เห็นนัยน์ตากลมโตของหญิงสาวกำลังทอดมองดูก้นบุหรี่ที่เกลื่อนพื้นอยู่หลายชิ้น
“เอ่อ...มีงานอะไรจะให้ทำอีกหรือเปล่าคะ”
แม้จะได้เห็นหญิงสาวเอ่ยถามโดยไม่ยอมสบตาเขา ราวกับยังตื่นตระหนกกับความใกล้ชิดเมื่อครู่ไม่หายเช่นเดียวกับเขา สุรเสกข์จึงทำเพียงเอ่ยออกมาสั้น ๆ ไม่คิดจะจับจ้องใบหน้าเรียวอันมากไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจนั้นเลย
“เก็บแฟ้มบนโต๊ะขึ้นไว้บนชั้นให้ด้วย”
“เก็บหมดทุกแฟ้มเลยใช่ไหมคะ”
พอเห็นเจ้านายคนใหม่พยักหน้ารับ ปาริชาตจึงปิดประตูแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง ร่างบางแหงนหน้าขึ้นมองชั้นวางสีทึบที่มีแฟ้มเอกสารวางตั้งชิดกันเป็นแนว แล้วถอนหายใจ มันสูงเกินกว่าที่เธอจะเอื้อมถึงเสียด้วย และดูเหมือนคนสั่งงานก็คงลืมไปว่าสรีระร่างกายและความสูงของเธอกับเขา ต่างกันลิบลับ
เมื่อไม่เห็นว่าจะมีตัวช่วยใดดีไปกว่าเก้าอี้ตัวใหญ่ของเจ้านาย ร่างบางที่หันซ้ายหันขวามองหาอยู่ชั่วครู่ก็ตัดสินใจลากมันออกมาจากหลังโต๊ะ
การไม่ได้ฉุกคิดว่าเก้าอี้ที่สุรเสกข์ใช้นั่งทำงานตัวนั้นจะสามารถหมุนได้ 360 องศา ทำให้คนที่ปีนขึ้นไปยืนอยู่บนนั้นจนสำเร็จ ลืมนึกถึงความปลอดภัยของตนเองไปเสียสนิท
กระทั่งขณะที่เธอเอี้ยวตัวเพื่อจัดแฟ้มบนชั้นให้เข้าที่เข้าทางและเป็นระเบียบเรียบร้อย เก้าอี้ที่เลื่อนออกห่างจากชั้นจนเธอต้องคว้าแฟ้มเอกสารที่อยู่ใกล้มือเอาไว้เป็นที่พึ่ง ก็พาร่างบางโงนเงนและล้มลงมาแบบไม่เป็นท่า ที่สำคัญแฟ้มเจ้ากรรมซึ่งเธอหวังจะไขว่คว้ายึดเกาะนั้นก็ ไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย
“โอ๊ย...”
หญิงสาวโอดครวญเมื่อล้มลงบนพื้นพรมพร้อมกับเก้าอี้ที่คว่ำคะมำอยู่ใกล้ ๆ ก่อนหยาดน้ำอุ่น ๆ จะไหลรินออกมาเพราะอาการบาดเจ็บที่สะโพกซึ่งกระแทกเข้ากับขอบโต๊ะทำงานของสุรเสกข์และถูกซ้ำเติมด้วยการกระแทกกับพื้นอีกหนด้วยระดับความแรงที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
เสียงย่ำเท้าตึง ๆ ที่ดังมาอย่างรวดเร็ว แล้วตามด้วยเสียงถามอย่างตกใจจากเจ้าของ ทำให้น้ำตาของปาริชาตยิ่งนองเอ่อขึ้นมาอีก
มือเรียวตะครุบชายกระโปรงที่เลิกขึ้นถึงหน้าขานั้นลงแล้วยกขึ้นปาดน้ำตา ก่อนจะยอมให้คนที่เพิ่งพรวดพราดเข้ามาถึงตัว หิ้วปีกขึ้นจากพื้น เก้าอี้ที่ยังล้มเค้เก้อยู่คือคำตอบที่ปาริชาตมีในตอนนี้
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากหญิงสาว สุรเสกข์จึงถามย้ำออกมาอีก ยามนี้นอกจากจะได้เห็นหญิงสาวร้องไห้กระซิก ๆ โดยไม่ยอมพูดยอมจาแล้ว เขาก็คาดเดาอะไรไม่ได้เลย
ทว่าพอเห็นปาริชาตยืนโงนเงนคล้ายทรงตัวไม่อยู่ มือที่ตรึงอยู่กับไหล่บางหลังจากหิ้วร่างนั้นขึ้นมาจากพื้นได้ ก็ตวัดเธอขึ้นไว้ในอ้อมแขน
พอถูกรั้งร่างลอยหวือขึ้นเหนือพื้น ที่สำคัญกลิ่นน้ำหอมและกลิ่นบุหรี่จาง ๆ ที่ทำเอาเธอใจระทึกไปแล้วก่อนหน้า ได้หวนกลับมาแบบแนบสนิทยิ่งกว่าเดิม ก็ทำให้ปาริชาตถึงกับรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาในทันใด
“ตอบผมก่อนสิว่าเป็นอะไรหรือว่าเจ็บตรงไหน”
เสียงเข้มเอ่ยถาม ขณะกระชับร่างบางของเธอไว้ในอ้อมแขน
“เจ็บสะโพกค่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงใสที่ดังมาเพียงอู้อี้นั้นเอ่ยบอก สุรเสกข์จึงสาวเท้าพาร่างบางของปาริชาตไปยังเก้าอี้นวมแล้ววางเธอลงอย่างเบามือ ก่อนจะยืนเท้าสะเอวมองคล้ายจะประเมินว่าพอจะช่วยเหลืออะไรเธอได้อีก
ท่าทีลูบมือไปบนส่วนโค้งของสะโพกป้อย ๆ แล้วทำหน้าเหยเก ทำให้ชายหนุ่มไม่อาจทนมองต่อไปได้ ร่างสูงผินหน้าไปหาเก้าอี้ที่ยังล้มคว่ำอยู่บนพื้น ก่อนจะเดินกลับไปจับมันพลิกขึ้นแล้วเข็นไปไว้หลังโต๊ะทำงานของตนเองตามเดิม
“มันจำเป็นต้องปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ด้วยเหรอ”
แล้วคนที่ตั้งใจทำงานตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ จนมีเหตุให้ต้องเจ็บตัวก็น้ำตาร่วง เพราะคำถามนั้น ดูราวกับจะกล่าวหาว่าเธอรนหาที่เองอย่างนั้น
“ก็ฉันเอื้อมไม่ถึงนี่คะ”
คำตอบที่มีมา ทำให้คนถามถึงกับสะอึก สุรเสกข์คงลืมนึกไปว่าปาริชาตสูงยังไม่พ้นไหล่เขาเลยด้วยซ้ำ ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับความสูงที่เกิน 180 เซนติเมตรของตน และเมื่อมองไปที่ชั้นวางซึ่งยังคงมีแฟ้มเอกสารล้มทับกันอยู่บนนั้น ชายหนุ่มก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้ เพราะในขณะที่ตัวเขายืนเอื้อมมือหยิบลงมาได้อย่างสบาย ๆ ปาริชาตก็คงไม่มีโอกาสจะทำเช่นนั้นได้
“แล้วทำไมไม่บอกว่าเอื้อมไม่ถึง”
คำพูดที่ดูเหมือนยังไง ๆ คนที่ตกเก้าอี้จนน้ำตาร่วงอย่างปาริชาตก็ทำผิดอยู่วันยังค่ำ ทำให้หญิงสาวได้แต่ปิดปากเงียบอย่างเจ็บแค้น ไม่ยอมรับผ้าเช็ดหน้าสีสะอาดที่ถูกใครบางคนซึ่งยืนมองและตำหนิเธอคำแล้วคำเล่าหยิบยื่นมาให้นั้นสักนิด
“เอ้า...เช็ดน้ำตาก่อน”
มือเรียวยังคงลูบสะโพกตัวเองอยู่ป้อย ๆ ดังเดิม ซึ่งท่าทีที่ทำราวกับไม่ได้ยินคำบอกของเขา ก็ทำให้สุรเสกข์นึกฉุน ร่างสูงจึงทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ พลางเอี้ยวไปแตะปลายนิ้วตรึงใบหน้าที่อาบไปด้วยหยาดน้ำตาของปาริชาตแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือซับให้เบา ๆ
“ไหนบอกว่าเจ็บสะโพก ผมว่าเจ็บปากด้วยล่ะมั้ง ถึงกับเป็นใบ้ไปเลยนี่”
แล้วแทนที่น้ำตาจะเหือดแห้งเพราะได้ผ้าเช็ดหน้าของใครบางคนมาช่วย น้ำตาเม็ดโตกลับยิ่งร่วงเผาะ
“ฉันทำงานไม่ดีคุณก็ตำหนิ ฉันตั้งใจทำดีคุณก็ว่า...ฮือ...”
คำพูดที่เจือเอาไว้ด้วยเสียงสะอึกสะอื้นของปาริชาต ทำให้มือใหญ่ที่ยังช่วยแตะผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้อย่างมีน้ำใจ ถึงกับชะงักงันไป และตอนนี้สิ่งที่เขาเลือกจะทำคือเพิ่มแรงตรึงใบหน้าเรียวที่เจ้าของพยายามเบี่ยงหนีสุดฤทธิ์นั้นเอาไว้
“ผมตำหนิคุณที่ไหนกัน”
“ก็...ก็คุณว่าฉัน”
หญิงสาวแหว เมื่อได้ยินคำพูดขัดหูจากเขา
“ผมไม่ได้ว่า ผมแค่ถาม...ทำไมต้องถึงกับปีนเก้าอี้ คุณเองก็ควรจะบอกแต่แรกที่ผมสั่งให้ทำสิว่าเอื้อมไม่ถึง ผมจะได้เก็บเอง”
“ฉันก็บอกแล้วไงคะว่ามันเอื้อมไม่ถึง คนมันตัวเตี้ย คุณต้องให้ฉันบอกด้วยเหรอว่าฉันตัวเตี้ย ”
แล้วคนที่ต้องตกเป็นจำเลยในเหตุการณ์ทั้งหมด ก็หัวเราะออกมา
“โอเค...ผมผิด ผมขอโทษที่ใช้งานคุณโดยไม่ดูตามาตาเรือ...หึ ๆ”
เสียงเข้มดังขึ้นหนัก ๆ คล้ายไม่พอใจ แต่ปาริชาตก็อดมองค้อนไม่ได้เมื่อมีเสียงหัวเราะหึ ๆ ดังพ่วงมาด้วย
“จะต้องให้ผมอุ้มไปส่งถึงบ้านหรือเปล่าเนี่ย”
“ฉันเดินเองได้ค่ะ...”
แล้วร่างบางที่ขยับกายออกห่างแล้วยันตัวลุกจากเก้าอี้ก็ต้องได้ทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด ถึงเวลานี้แล้วเธอยังไม่มีโอกาสได้เปิดดูเลยว่าอาการปวดตุบ ๆ ที่สะโพกนั้นมีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง
“ไม่คิดจะไปให้หมอดูสักหน่อยเหรอ เผื่อเป็นหนัก”
ปาริชาตยอมรับแล้วว่าเจ้านายคนใหม่ของเธอหูตาไวไม่ใช่เล่น เพราะแค่เธอขยับตัวด้วยความยากลำบากแค่นี้ เขาก็รับรู้แล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น”
“งั้นก็นั่งพักก่อน ยังไม่ต้องทำอะไร”
“ขอบคุณค่ะ”
สุดท้ายปาริชาตก็ได้เห็นเจ้านายคนใหม่ของเธอไปยืนก้ม ๆ เงย ๆ เก็บแฟ้มที่ร่วงอยู่กับพื้นขึ้นไว้บนชั้นเสียเอง
เย็นวันนั้น เมื่อได้เห็นปาริชาตเดินกะเผลก ๆ ออกไปเก็บกระเป๋าและของใช้ที่โต๊ะทำงานซึ่งตั้งอยู่ชิดกับโต๊ะของคุณนภษร คุณสุพลซึ่งยืนมองหาหญิงสาวร่างเล็กผ่านช่องกระจกของประตูบานใหญ่นั้น ก็ผลักมันออกมา
“เป็นอะไรไปเหรอป่าน ทำไมเดินยังงั้นล่ะ”
เสียงเอ่ยถามด้วยความคุ้นเคยของคุณสุพล ซึ่งไม่ได้มีแค่สุรเสกข์เท่านั้นที่แปลกใจ หากแต่นภษรซึ่งเก็บของใช้ลงลิ้นชักเตรียมตัวกลับบ้านแล้วเช่นกัน ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกหู
“ตกเก้าอี้ค่ะ แล้วเลยกระแทกกับโต๊ะ”
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ยังพอทนได้ค่ะ คงไม่เป็นไรมาก”
“เอ่อ...ไปคุยกันข้างในสักครู่สิ”
แล้วความแปลกใจของนภษรที่ทวีจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็ทำให้สาวใหญ่ถึงกับรีบคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นบ่า ด้วยรู้สึกว่าตนเองไม่อาจทนอยู่ในสภาพส่วนเกินได้อีกต่อไปแล้ว
นภษรยอมรับว่าทุกวันนี้คุณสุพลก็ให้ความสนิทสนมและคุ้นเคยกับเธอเป็นอย่างดี แต่นั่นก็เป็นเพราะการได้ทำงานร่วมกันมานานเกือบ 10 ปี ไม่ใช่เพิ่งโผล่หน้ามาทำงานเป็นวันแรกเช่นที่ปาริชาตกำลังทำอยู่
“เอ่อ...บอสคะ ษรขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“อ้าว จะกลับแล้วเหรอ”
“ก็เลิกงานแล้วนี่ค่ะ สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ ป่านอย่าเพิ่งกลับ ไปคุยกันครู่หนึ่งก่อน”
“ค่ะ"
มือใหญ่ที่เริ่มเหี่ยวย่นตามวัย หยิบธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท ส่งให้ปาริชาตจำนวน 5 ใบ ในทันทีที่เธอเดินตามเขาเข้าไปถึงโต๊ะทำงาน แต่ทว่ากลับต้องมีอันชะงักค้างอยู่กลางอากาศ เพราะคำพูดของหญิงสาวที่มีขึ้น
“ที่คุณให้ไว้คราวก่อนก็ยังมีเหลือค่ะ”
“ผมให้ ไว้ใช้นะ เงิน 8,000 ให้ไปตั้งเกือบเดือนแล้ว ทำไมยังเหลืออยู่อีก ไม่กินไม่ใช้เลยหรือไง”
“ใช้ค่ะ แต่ยังมีเหลืออยู่ เรียนจบแล้วป่านก็เลยไม่ต้องใช้เงินเยอะ ตอนนี้ก็ได้ทำงานแล้ว อีกหน่อยคงไม่ต้องรบกวนคุณ”
“รบกวนอะไรกันล่ะ รับไปเถอะ มันเป็นหน้าที่ที่ผมต้องให้ คิดเสียว่าผมให้ยายหนูและคนที่เลี้ยงดูแก”
พอได้ยินคุณสุพลเอ่ยปากถึง ‘ยายหนู’ ภาพเด็กหญิงตัวเล็กอ้วนกลมวัย 8 เดือนเศษ ที่คลุกคลีอยู่ด้วยกันทุกวันก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิดของปาริชาต สุดท้ายมือเรียวก็จำต้องประนมไหว้แล้วยื่นออกไปรับ
ช่วงเวลา 8 เดือนเศษ นับแต่ที่เด็กหญิงปุณญภัสได้ลืมตามาดูโลก คุณสุพลก็มักหยิบยื่นเงินทองและข้าวของให้กับเธออย่างนี้เสมอ หากเขาแวะไปหาที่บ้านทุกครั้งจะมีของใช้ไม้สอยและอาหารการกินติดมือไป รวมถึงก่อนกลับก็มักวางเงินไว้ให้แทบทุกครั้ง
“จริง ๆ วันนี้ว่าจะแวะไป แต่ผมเห็นสายตาเจ้าเสกข์แล้ว ก็...เอาไว้วันหลังก็แล้วกันนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ปาริชาตอยากจะบอกว่าถึงไม่มีคุณสุพล ยังไงเธอก็ไม่มีทางปล่อยให้หนูน้อยอดตาย แต่ก็นั่นแหละ...ยังไงเขาก็เป็นพ่อลูกกัน ถึงจะผิดทำนองคลองธรรมอย่างไรก็ตัดกันไม่ขาดอยู่ดี
“งั้นป่านกลับเลยก็แล้วกันนะคะ ป้านันทาบอกว่าเย็นนี้แกมีธุระค่ะ”
“กลับเถอะ”
“สวัสดีค่ะ”
แล้วร่างบางของปาริชาตก็กำธนบัตรเอาไว้พลางเดินขากะเผลก ๆ ออกจากห้อง ท่ามกลางสายตาที่มองตามด้วยความไม่สบายใจนักของคุณสุพล เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...เขาจะกล้าเปิดเผยเรื่องราวลี้ลับอันไม่ยากแก่การเข้าใจ ทว่ายากยิ่งต่อการทำใจให้แก่ครอบครัวซึ่งประกอบไปด้วยภรรยาและลูกชายคนเดียวได้รับรู้เสียที
บุษบาฮาวาย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 เม.ย. 2556, 22:13:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 เม.ย. 2556, 22:30:46 น.
จำนวนการเข้าชม : 1537
<< ตอนที่ 6 | ตอนที่ 8 >> |
ผักหวาน 9 เม.ย. 2556, 11:00:04 น.
ผู้ชาย เผลอใจเข้าหน่อย เลยเกิดเรื่องแบบคุณสุพลเข้าให้ล่ะสิคะ
ผู้ชาย เผลอใจเข้าหน่อย เลยเกิดเรื่องแบบคุณสุพลเข้าให้ล่ะสิคะ
วนัน 9 เม.ย. 2556, 13:31:30 น.
,มาต่อคะ
,มาต่อคะ