ดาวปาฏิหาริย์
เพราะ 'เธอ' ประสบอุบัติเหตุตอนที่อยู่กับเขา
สิตะจึงต้องรับผิดชอบ
ปากบอกไม่ชอบหน้า แต่ว่ากลับปรารถนาจะอยู่ใกล้ๆ
การเดินทาง 'หนี' คนร้ายที่ทำลายชีวิต กลับทำให้เขาค้นพบปาฏิหาริย์ในชีวิตที่ค้นหามานาน
Tags: เกาหลีใต้

ตอน: ดาวปาฏิหาริย์ บทที่ 15



“ดีใจนะที่แกกับพี่เสือเข้าใจกัน เมื่อเช้า เขาถามฉันใหญ่เลยว่าจะง้อแกยังไง”

คำพูดของเพื่อนที่กำลังลบเครื่องสำอางอยู่ในห้องน้ำลอยออกมา ทำให้หญิงสาวร่างบางที่นั่งจดบันทึกอยู่กลางห้องพักถึงกับชะงัก “คุณสิตะถามแกจริงเหรอ”

“อืม เขาถามว่าสถานที่แบบไหนเหมาะแก่การคุยกัน แค่นั้นก็เดาได้แล้วหรือเปล่าว่าเขาอยากปรับความเข้าใจกับแก แล้วยังไง เมื่อเช้าทำเหมือนโกรธนักโกรธหนา แต่พี่อ้นเล่าให้ฟังว่า พอแกกลับลงมาจาก Human Sky…ก็กระเช้าห้อยขานั่นแหละ แกกับเขาก็ดีกัน เขาง้อแกยังไงวะถึงง่ายอย่างนั้น หรือว่ากลัวความสูงจนลืมโกรธ”

เพื่อนถามอย่างนั้นทำให้ดาวประกายมีโอกาสได้คิด ในตอนนั้นทำไมถึงหายงอนง่ายๆ เพียงเพราะความหวาดกลัว เพียงเพราะชิดใกล้... หรือเพียงเพราะเสียงหัวใจของเขาที่ยังก้องดังอยู่ในหัวเธอตอนนี้

“ก็ ก็เขาขอโทษ... คนสำนึกผิดแล้วก็ต้องให้อภัยจริงไหม อีกอย่างฉันเองก็ผิดด้วย”

เพราะอยู่ไกลทำให้จิลลาไม่เห็นใบหน้าที่ค่อยๆ แดงระเรื่อขึ้นของเพื่อน ดาวประกายไม่ได้ยินหรอกว่าคนในห้องน้ำเอ่ยต่อว่าอะไร เพราะแค่คิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน หัวใจของเธอก็ยิ่งเต้นดัง

เป็นรอบหลายปีที่เธอรู้สึกมั่นคงเช่นนั้น อ้อมแขนของเขาให้ความอบอุ่น เช่นเดียวกับอกกว้างที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย เหมือน....

เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะ ดาวประกายสะดุ้งจากภวังค์เมื่อมันดังขึ้นอีก เธอจึงรีบลุกขึ้นไปเปิด

ไม่น่าแปลกที่เห็นใครยืนอยู่ แต่มันแปลก...ที่ทำไมเธอต้องรู้สึกตื่นเต้นด้วย

“คุณสิตะ”

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มีกลิ่นสบู่อ่อนๆ เพราะเพิ่งอาบน้ำไม่พูดอะไร หากแต่ทำท่าเหมือนเสียไม่ได้ยามยื่นบางอย่างมาให้ ดาวประกายเลิกคิ้ว เมื่อเห็นตุ๊กตาตัวเล็กที่เขาได้มาจากเกมส์ยิงปืนที่สวนสนุก มันเป็นตัวที่เธอเปรยกับจิลลาว่าอยากได้ แต่พอเขาได้มา เขากลับเก็บไว้ จนเธอเกือบลืมไปแล้ว

“ตุ๊กตาเด็กๆ แบบนี้ เก็บไว้ก็รกกระเป๋า” เขาเอ่ยราวกับรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ ดาวประกายขยับจะบอกว่าถ้าไม่เต็มใจไม่ต้องให้ก็ได้ แต่เมื่อนึกอีกที จะเป็นไรเล่าที่จะปล่อยผ่านคำพูดไม่น่าฟัง แล้วหันมามองที่การกระทำแทน

“ขอบคุณนะคะ” เธอว่าพร้อมยื่นมือไปรับมา ชายหนุ่มยังคงทำหน้าเรียบเฉย เธอจึงเอ่ยต่อ “คุณยิงปืนแม่นนะ”

“อืม ฉันรู้”

“จะไม่ถ่อมตัวหน่อยเหรอ”

“ไม่ล่ะ ขี้เกียจ”

คำตอบของเขาทำให้ดาวประกายถึงกับชะงัก ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงหมั่นไส้ แต่เดี๋ยวนี้...ก็ยังหมั่นไส้เหมือนเดิมนั่นแหละ แต่น้อยลงหน่อย “ไปเรียนมาจากไหนเหรอคะ”

ถามเพื่อชวนคุย แต่อีกฝ่ายเริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด “ก็ทั่วๆ ไป” เขาตอบสั้นๆ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “จูนล่ะ” แค่นั้น รอยยิ้มบนใบหน้ากลมเกลี้ยงก็แปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดทันที

“ถามถึงจูนทำไม”... หรือว่าที่เอาตุ๊กตามาให้ ก็แค่ข้ออ้างที่ใช้มาหาเพื่อนเธอ

“แล้วทำไมจะถามไม่ได้”

เป็นคำตอบที่ทำให้ดาวประกายย่นหน้า ก่อนจะตวัดเสียงห้วนยามถามกลับ “คุณชอบจูนเหรอ”

“หา!?!”

“ฉันเห็นนะ คุณถ่ายรูปจูนไว้ เปิดทิ้งไว้บนหน้าจอ อยากเห็นหน้ามันตลอดเวลาเลยงั้นสิ ฮึ... ตุ๊กตานี่ ก็ตั้งใจเอามาให้มันใช่ไหมล่ะ เออๆ เดี๋ยวฉันจะบอกมันให้นะ” ว่าจบก็สะบัดหน้าหนี ถ้าสิตะไม่ไวเสียหน่อย เธอคงปิดประตูใส่หน้าเขาไปแล้ว

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปรั้งแขนเธอไว้ แล้วรีบดึงเข้ามาใกล้ก่อนที่เธอจะทันได้ก้าวกลับเข้าไปในห้อง ไม่ต้องถามหรอกว่าดาวประกายดีดดิ้นหรือเปล่า เพราะเพียงลมหายใจของเขาที่รินรดแผ่วเบาบนศีรษะที่ไร้หมวก เธอก็ตัวแข็งทื่อเสียแล้ว

“ปกติที่บ้านเธอลงโทษเด็กดื้อยังไง เด็กขี้งอนที่ไม่มีเหตุผล โดนตีสักทีดีไหม”

“ใจร้าย สมัยนี้เขาไม่ตีกันแล้ว แล้วฉันก็ไม่ได้ไม่มีเหตุผลด้วย ฉันเห็นกับตา รูปจูนอยู่ในคอมพิวเตอร์ของคุณ”

“รูปจูน ในคอมฉัน แล้วต้องเป็นของฉันด้วยเหรอ”

“หมายความว่าไง”

“เฮ้อ.... ฉันก็ไม่ค่อยอยากพูด แต่เธอก็เห็นว่าวันนี้อนณมองเพื่อนเธอยังไง”

ตอบไปเหมือนจำใจแค่นั้นก็คิดว่าน่าจะเพียงพอ คนช่างคิดอย่างดาวประกาย เดาได้อยู่แล้วว่าเขาหมายถึงอะไร และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ สิตะก็ต้องรีบซ่อนยิ้มของตัวเอง

“คุณหมายความว่ารูปนั้นเป็นของคุณอนณ.... คุณอนณชอบจูนเหรอ!?!” ประโยคหลังเธออุทานเสียดังลั่น ทำให้สิตะต้องรีบยกมือขึ้นปิดปาก

“เบาๆ สิ ฉันไม่อยากให้อนณรู้ว่าฉันเอาความลับของเขามาบอกคนอื่น เธอเองก็อย่าบอกใคร โดยเฉพาะเพื่อนเธอ เข้าใจ?”

ดาวประกายพยักหน้า ซ่อนยิ้มไว้ไม่มิดแม้ในดวงตา เหมือนภูเขาลูกใหญ่ถูกยกออกจากอก เมื่อรู้ว่าสิตะไม่ได้ชอบเพื่อนรักของเธอ

“ยิ้มอย่างนั้นทำไม ดีใจหรือไงที่ฉันไม่ได้ชอบจูน”

“ก็...ก็ใช่น่ะสิ ฉันดีใจ เพราะถ้าคุณชอบจูนก็นับเป็นความซวยของมัน ฉันสงสาร ไม่อยากให้มันต้องคบกับคนแบบคุณ”

“เธอน่าจะสงสารตัวเองมากกว่า”

“หะ...หมายความว่าไง”

สิตะไม่ตอบ แต่มุมปากได้รูปกระดกขึ้นเล็กน้อย ดาวประกายขยับจะคาดคั้น แต่ก็โดนแทรกขึ้นด้วยเสียงของใครอีกคนเสียก่อน

“คุณปลาดาวครับ มีคนมาหา”



สิตะแทบไม่เชื่อสายตา เมื่อเห็นว่าใครนั่งรออยู่บนระเบียงไม้

หญิงสาวร่างบางระหงในโค้ทตัวยาว เพียงเสี้ยวหน้า เขาก็รู้ทันทีว่าเธอเป็นใคร เท้าที่ย่างออกไปจึงชะงัก ดวงตาจ้องมองอย่างตกตะลึง

‘เธอ’ มาได้อย่างไร...

“อ้าว คุณคนสวยนี่เอง” ดาวประกายที่เดินอยู่ข้างกายของเขาเป็นฝ่ายร้องทักขึ้นมา ก่อนที่จิลลาซึ่งเพิ่งออกมาจากห้องน้ำและตามมาด้วยเพราะความอยากรู้จะเอ่ยถาม

“ใครวะ”

“ก็คนที่ให้ฉันยืมเงินเมื่อวานนี้ไง เออ ใช่ ฉันยังไม่ได้คืนเงินคุณเลยนี่ ตายแล้ว นี่คุณลำบากมาเพราะเรื่องนั้นใช่ไหม ฉันขอโทษนะคะ เมื่อวานฉันก็ไม่ได้คิดจะเบี้ยวคุณเลยนะ แต่พอดีมันมีเรื่องนิดหน่อย พอฉันนึกได้...ก็เมื่อเช้านั่นแหละ คุณก็กลับไปแล้ว เอิ่ม...คุณรอฉันตรงนี้เดี๋ยวนะคะ

เพราะเรื่องนั้นใช่ไหม ฉันขอโทษจริงๆ นะคะ แต่เมื่อวานฉันไม่ได้คิดจะเบี้ยวคุณเลยนะ พอดีมันมีเรื่องนิดหน่อย พอฉันนึกขึ้นได้คุณก็กลับไปซะแล้ว เอิ่ม... คุณรอฉันตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันไปเอาเงินมาให้”

“เอ๊ยๆ ฉันไปด้วย” สาวผิวเข้มว่า เพราะรู้ในสิ่งที่อยากแล้วจึงหมดความสนใจ เธอและเพื่อนจึงเดินควงแขนกันกลับห้อง ปล่อยให้ภายนอกเหลือชายหนุ่มทั้งสองและหญิงสาวแปลกหน้าอีกคน

ความเงียบปกคลุมรอบกาย แม้แต่ลมหายใจยังไม่มีเสียง ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันอย่างอึดอัด ก่อนในที่สุด ‘เธอ’ ก็ทนไม่ไหว

“จะไม่ทักทายพู่เลยหรือสิ”

……

“พู่มาที่นี่ได้ยังไง”

ช่อชมพูมองหน้าผู้ชายที่ทักทายเธอด้วยน้ำเสียงห่างเหิน ไม่คาดหวังอยู่แล้วว่าเขาจะยินดีกับการพบหน้า แต่ว่า...แววตาเย็นชาที่เขามองมามันทำให้เธอหนาวสะท้านมากกว่าอากาศภายนอกหลายเท่า

“สิทำเหมือนเราไม่รู้จักกันเลยนะ นี่เหรอ เพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันเกือบ10ปี”

ชายหนุ่มเงียบไปจนเธอนึกว่าเขาจะไม่ตอบ แต่สุดท้าย เขาก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงต่ำ อย่างคนที่สะกดกลั้นอารมณ์เต็มที่

“พู่น่าจะรู้ว่าเพราะอะไร”

“แล้วมันเป็นความผิดของพู่เหรอ”

“ไม่ใช่... ไม่ใช่เลย”

“ถ้าพู่ไม่ผิด แล้วทำไมสิถึงทำกับพู่แบบนี้ ถึงพ่อของเราจะเกลียดกัน แต่ทำไมเราต้องเลิกติดต่อกันด้วย” เธอเอ่ยด้วยความเสียใจ เมื่อลุกขึ้นสบตากับชายหนุ่มอย่างตัดพ้อ “8 ปีที่เราไม่ได้ติดต่อกัน สิไม่คิดถึงพู่เลยเหรอ สิทำเหมือนว่าเราไม่เคยระ... ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ถ้าเมื่อวานพู่ไม่บังเอิญมาเจอ เราสองคนก็คงเหมือนคนที่ตายจากกันไปแล้ว”

เพราะความอัดอั้นที่สะสมมานานทำให้เธอพรั่งพรูความรู้สึกออกมา โดยไม่สนใจว่าจะมีผู้ชายแปลกหน้าอีกคนยืนอยู่ด้วย ในสายตาของเธอตอนนี้ มีแค่สิตะเท่านั้น

“ก็คงดี ถ้าพู่คิดอย่างนั้นได้”

“สิ!!!”

ช่อชมพูเรียกชื่อเขาด้วยความตกใจ คำพูดที่ไร้เยื่อใยของคนที่เธอเฝ้ารอ ทำให้กระบอกตาร้อนผ่าวอย่างช่วยไม่ได้ นี่เขาไม่รู้เลยหรือ ว่าการได้เจอคนที่หมดหวังไปแล้วว่าจะได้เจอ มันสร้างความสุขให้มากมายเพียงใด เขาไม่รู้เลยหรือ ว่ากว่าเธอจะหนีพิพัฒน์ออกมาได้ มันยากเย็นแค่ไหน เขาไม่เคยรู้เลยใช่ไหม ว่าเนิ่นนานและเหน็บหนาวเท่าไร กว่าเธอจะตัดสินใจกดกริ่งที่หน้าประตูไม้ได้

เพราะเขาไม่รู้เขาจึงพูดอย่างนี้ หรือเขารู้ แต่ก็ยังพูดอยู่ดี

“สิไม่รักพู่แล้วเหรอ” ความเสียใจทำให้หญิงสาวครางออกไปด้วยเสียงแหบพร่า นับตั้งแต่วันจากที่ไร้คำลาจนเมื่อวานที่พบหน้าโดยไม่ได้เตรียมใจ เธอเฝ้าถามตัวเองอยู่ตลอด ว่าความรู้สึกของเขายังคงเหมือนเดิมใช่ไหม แม้ว่าพ่อของเธอจะเกลียดชังพ่อของเขาแค่ไหน แต่เขาก็ยังคงรู้สึกกับเธอไม่เปลี่ยนใช่หรือเปล่า

“ผมขอโทษ” สิตะตอบสั้น แต่ชัดเจน เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางใจ ช่อชมพูเซไปเหมือนไร้กำลังจะทรงตัว

“มาแล้วค่ะมาแล้ว” เสียงร้องสดใสของดาวประกายดังแทรกขึ้นอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก่อนที่ร่างบางจะวิ่งกลับมา “ขอโทษที่ให้รอ นี่คะ... เงินหมื่นวอนที่คุณให้ บวกกับค่าแท็กซี่อีกหกพันวอน โอ๊ะ!!! ทำไมตาคุณแดงอย่างนั้นละ จมูกด้วย หรือว่าคุณหนาว โถ่ ฉันน่าจะให้คุณเข้าไปรอข้างในนะ เอายังไงดี ไปนั่งพักในห้องฉันก่อนไหม”

“ไม่... ฉันจะกลับล่ะ”

“อ้าว แล้วเงินล่ะคะ”

“เธอเก็บไว้เถอะ”

“อ้าว” ดาวประกายร้องอีกครั้ง ขณะที่ช่อชมพูหันหลังให้ สิตะหันไปทางคนสนิทแล้วสั่ง

“อนณ ช่วยไปส่งเธอที”

ช่อชมพูอยากปฏิเสธ แต่น้ำตาของเธอจวนเจียนจะไหลออกมาอยู่แล้ว หญิงสาวจึงได้แต่จ้ำเท้าจากไป โดยไม่เหลียวกลับมามอง



“คุณสิตะไม่ได้ตั้งใจทำร้ายจิตใจคุณหรอกนะครับ”

เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันของสวนสาธารณะยามค่ำคืน ทำให้ช่อชมพูที่นั่งเหม่ออยู่บนศาลาไม้สะดุ้ง ก่อนจะค่อยๆ หันกลับมายังชายหนุ่มที่ยืนประสานมืออยู่ข้างๆ เนิ่นนานแค่ไหนไม่รู้ที่เขายังอยู่ตรงนี้

“คุณยังไม่กลับไปอีกเหรอ” หญิงสาวถามเสียงอู้อี้ ไม่ใช่เพราะอากาศที่หนาวจัดจนควันออกปาก แต่เพราะความเจ็บปวดต่างหากที่ทำให้เนื้อตัวของเธอพลอยสั่นเทาไปด้วย

“คุณสิตะให้ไปส่งคุณ”

เขาตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ช่อชมพูปาดน้ำตาทิ้งก่อนเงยหน้ามองเขา แสงสลัวจากโคมไฟที่อยู่ไกลทำให้เธอมองเห็นใบหน้าใต้หนวดเคราไม่ถนัด แต่นั่นแหละ...เธอก็ไม่ได้ใส่ใจมันเท่าไร

“คุณเป็นใคร”

“ผมเป็นบอดี้การ์ดของคุณสิตะ”

“สิต้องมีบอดี้การ์ดเลยเหรอ”

“ครับ”

“แล้วคุณรู้จักฉันหรือเปล่า”

“ครับ คุณช่อชมพู ลูกสาวของคุณชัชวาล”

แค่นั้น หญิงสาวก็อยากหัวเราะออกมา สถานะของเธอคือลูกสาวของศัตรู แม้แต่บอดี้การ์ดก็ต้องรู้

“คุณไม่ต้องไปส่งฉันหรอก ฉันกลับเองได้”

“คุณสิตะสั่งไว้ ผมต้องไปส่งคุณให้ถึงที่”

ช่อชมพูถอนหายใจ เธอไม่ใช่คนที่จะโวยวายใส่ใครด้วยความไม่พอใจอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่เธอทำ จึงมีเพียงการตวัดสายตาไปมองอีกฝ่าย ซึ่งดูเหมือนอนณจะอ่านความคิดของเธอออก จึงเอ่ยออกมา

“ที่คุณสิตะสั่งเพราะเป็นห่วง ให้ผมไปส่งเถอะครับ”

“เป็นห่วง? ทำไมคุณต้องพูดให้ฉันรู้สึกดีทั้งๆ ที่มันไม่เป็นความจริง ฉันเห็น ฉันได้ยิน ฉันรู้ว่าสิคิดยังไง มันไม่มีหรอก ไม่มีแล้ว ความห่วงใยน่ะ... คุณกลับไปเถอะ”

“ผมอาจจะไม่รู้อะไรมากนัก แต่คนที่อยู่กับความหวาดระแวงมาเป็นสิบปี การไว้ใจใครมันไม่ใช่เรื่องง่าย ผมอยากให้คุณเข้าใจคุณสิตะด้วย”

“ระแวงอะไร”

เอ่ยถามออกไปแล้วก็ฉุกคิดขึ้นได้ หรือว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับพ่อ พลันนั้นเหตุผลที่พ่อสั่งให้เธอมาเกาหลีกับพิพัฒน์ แทนที่จะเป็นสักประเทศหนึ่งในแถบยุโรปอย่างที่เคยคุยกัน เป็นเพราะพ่อรู้ว่าสิตะอยู่ที่นี่ และเพื่อความแนบเนียน พ่อจึงส่งเหล่ามือปืนมาเพื่อกำจัดเขา ในฐานะบอดี้การ์ดของเธอ

“ฉันไม่เคยคิดร้ายกับสิ ฉัน.... คนของพ่อจะรู้หรือเปล่าว่าสิอยู่ที่นี่ ฉัน...ฉันเป็นห่วงเขา” ช่อชมพูเอ่ยอย่างร้อนรน พร้อมทำท่าจะย้อนกลับไปยังเกสเฮ้าท์ แต่อนณก็รั้งไว้ด้วยการเอ่ยเบาๆ

“คืนนี้อย่าเพิ่งเลยครับ... การได้เจอคุณมันเป็นเรื่องไม่คาดฝัน คุณสิตะคงยังไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร ถ้าคุณกลับไปตอนนี้ คุณก็คงต้องร้องได้อีก”

ช่อชมพูชะงัก ก่อนหันกลับมา

“คุณพูดเหมือนรู้จักสิดีเหลือเกินนะ คุณทำงานกับเขามานานแค่ไหน”

“ก็แค่ตอนที่เขาไม่มีคุณ”

“ถ้าอย่างนั้นก็นานสินะ”

น้ำเสียงประชดโชคชะตา อนณกลัวอีกฝ่ายจะกลับไปจมอยู่กับความหดหู่จึงรีบตัดบท

“คุณไม่มีรถมา เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่ไปส่งคุณนะครับ”

ช่อชมพูจำต้องพยักหน้า เพราะหัวใจเหนื่อยล้าเกินกว่าจะหาคำมาปฏิเสธ



เกือบเที่ยงคืนที่อนณเพิ่งกลับถึงที่พัก

การไปส่งช่อชมพูที่โรงแรมหรูในย่านคังนัม ทำให้เขาได้รู้ว่าชัชวาลส่งคนมามากกว่าสอง บวกกับเหล่าสมุนของชายหนุ่มร่างท้วมที่ยืนกระวนกระวายรอคอยหญิงสาวอยู่ด้านหน้า รวมๆ กันแล้วก็ทำให้เขารู้ว่าหากพวกมันคิดจะลงมือจริงๆ เขาและสิตะคงจัดการไม่ไหวแน่ ดังนั้น บอดี้การ์ดหนุ่มจึงตั้งใจจะปรึกษาสิตะถึงแผนรับมือ แต่ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบเพียงสาวผิวเข้มนั่งสัปหงกอยู่ในกองผ้าห่มบนระเบียงไม้หน้าห้องนอนของเขาเท่านั้น

“โห พี่อ้น กว่าพี่จะกลับมา ฉันหลับไปหลายตื่นแล้วนะ อ่ะนี่ พี่เสือฝากนี่มาให้ กำชับว่าฉันต้องส่งให้ถึงมือพี่ให้ได้” จิลลาว่าพร้อมยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ ก่อนหาวหวอดใหญ่อวดลิ้นไก่ อนณรับมา ก่อนคิ้วจะขมวดเข้าหากัน

‘ฉันจะไปอยู่ที่อื่นสักพัก อีกสองวันนายกับจูนค่อยตามไป แล้วฉันจะติดต่อมา’

หมายความว่ายังไง!?!

“คุณสิตะไปไหน?” ใบหน้าใต้หนวดเคราแสดงความประหลาดใจ แม้ปกติเจ้านายจะทำอะไรตามใจ แต่ก็ไม่เคยไม่บอก

“บอกไม่ได้ พี่เสือสั่งไว้”

“แล้วคุณปลาดาว”

“ก็ไปด้วยกัน พี่เสือบอกว่าอยากไปพักผ่อนเงียบๆ เพราะตอนนี้มีคนเยอะเกินไป ก็เลยให้ปลาดาวไปด้วย เดี๋ยวพอฉันปิดเทอมก็ให้ตามไปพร้อมพี่ มะรืนนี้เอง ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า”

จะไม่ให้เป็นห่วงได้อย่างไร คนของชัชวาลอยู่ใกล้กว่าที่คาดไว้ หรือสิตะเองก็ตระหนักดีถึงเรื่องนี้ หลังการมาของช่อชมพู เขาถึงได้หนีไปเสียแล้ว

ชายหนุ่มร่างสูงโย่งถอนหายใจ ก่อนหันมายังหญิงสาวที่ห่อตัวเหมือนดักแด้ “คุณไม่ห่วงเพื่อนคุณเหรอ”

“ห่วงยังไง มันไปกับพี่เสือ หรือว่าพี่หึง เออ ฉันก็ลืมคิดไป แต่ยังไงล่ะ ตามไปคืนนี้ก็ไม่ทันแล้ว”

“ทำไม”

“ก็รถเที่ยวสุดท้ายมันออกไปแล้วไง เอ๊ะ นี่พี่หลอกถามฉันอยู่หรือเปล่า ไม่เอาๆ ฉันไปนอนดีกว่า แค่นี้นะ” จิลลาตัดบทเหมือนตัดสาย ก่อนคลานต้วมเตี้ยมกลับไปยังห้องของตัวเอง อนณได้แต่มองตามแล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

เขาก็ได้แต่หวังว่า สิตะจะหนีพ้น



----------------------------------------------------------------------------

มาต่ออีกตอนแล้วนะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตาม ขอให้มีความสุขกับการอ่านค่ะ ^^



ปลายสี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 เม.ย. 2556, 00:02:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 เม.ย. 2556, 00:02:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1293





<< ดาวปาฏิหาริย์ บทที่ 14   ดาวปาฏิหาริย์ บทที่ 17 >>
goldensun 12 เม.ย. 2556, 09:25:30 น.
สิตะเคยรักพู่หรือคะ ทำไมตัดใจง่ายจัง แล้วชับวาลรู้ได้ไง ว่าสิตะมาเกาหลี ถึงส่งคนมาตามเก็บเพียบเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account