ปาริชาตซ่อนรัก
Tags: ปาริชาตซ่อนรัก สุรเสกข์ ปาริชาต บุษบาฮาวาย
ตอน: ตอนที่ 8
ตอนที่ 8
หลังเลิกงานวันหนึ่ง ขณะที่กำลังเตรียมตัวเดินทางกลับบ้าน สุรเสกข์ก็ได้รับโทรศัพท์จากชิติพัทธ์ เสียงบ่นด้วยความไม่สบอารมณ์ในบางอย่าง ก่อนจะลงท้ายด้วยการชวนกันออกไปดื่มกินตามประสาคนคุ้นเคยที่พอกลับเมืองไทยก็วุ่นวายกับชีวิตประจำวันของตนจนแทบไม่มีเวลาเจอกัน
ชิติพัทธ์ขับรถไปรับสุรเสกข์ถึงที่บ้าน ภายหลังทอดเวลาให้เขาอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายชุดใหม่ เตรียมออกไปท่องราตรีและดื่มกินดับเครียดด้วยกัน
“นึกว่ายังหยุดอยู่บ้าน เริ่มไปทำงานได้กี่วันแล้ว”
ทันทีที่เห็นสุรเสกข์ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ ชิติพัทธ์ที่อาสามารับก็เอ่ยถาม
“พักแค่วันเดียว แล้วไปนั่งทำอะไรก๊อก ๆ แก๊ก ๆ อยู่ที่บริษัท นายล่ะ”
“อยู่แถวนั้นแหละ ยังไม่อยากทำอะไร เซ็ง รู้งี้ไม่รีบกลับมาก็ดี”
พอได้ยินคำพูดของเพื่อน สุรเสกข์ก็หันหน้าไปมองด้วยความแปลกใจ จากที่เคยกินนอนด้วยกันมาร่วมสองปี เขายังไม่เคยเห็นชิติพัทธ์ทำท่าคิดมากจนต้องบ่นออกมาเช่นนี้เลยแม้สักครั้ง
“เซ็งเรื่องอะไรหนักหนาวะ”
“เอาเถอะ ไว้เข้าไปนั่งในร้านแล้วจะเล่าให้ฟัง เรื่องมันยาวและซีเรียสสำหรับฉันมาก”
การที่เพื่อนย้ำออกมาว่ากำลังเครียดกับเรื่องที่คิดจะเล่าให้ฟัง สุรเสกข์ก็อยากรู้ขึ้นมาติดหมัด พลางพยายามคาดเดาเรื่องที่เป็นต้นตอแห่งความไม่สบายใจของเพื่อน
“พ่อนายไม่เห็นด้วยเรื่องเปิดบริการประดับยนต์เพิ่มหรือไง”
“เปล่า ไม่ใช่เรื่องนั้น บ๊ะ...ขอขับรถก่อน อย่าเพิ่งรีบถามเอาตอนนี้”
พอได้ยินเพื่อนยืนกรานว่ายังไงก็จะไม่ยอมเปิดปากเล่าจนกว่าจะพากันเดินทางไปถึงร้านอาหาร สุรเสกข์ก็เลิกเซ้าซี้ ชายหนุ่มนั่งเอนหลังพิงพนักพลางยกมือขึ้นประสานกันไว้ที่ท้ายทอยแล้วมองออกไปนอกรถ
สภาพการจราจรที่จอแจในกรุงเทพ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีต่อกี่ปีก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะดีขึ้น ตรงข้ามกลับเหมือนยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม นี่ก็ได้ยินแว่ว ๆ มาว่ารัฐบาลจะมีนโยบายคืนภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ใหม่ป้ายแดงคันแรกในชีวิต หากเป็นเช่นนั้นจริง แค่หลับตานึกถึงภาพรถใหม่ป้ายแดงพากันวิ่งอยู่บนถนนผสมกับรถเก่าที่เดิมทีก็มีอยู่มากมายแล้ว คำว่ารถล้นถนนดูน่าจะบรรยายได้เห็นภาพมากที่สุด
ภาพหญิงสาวที่สุรเสกข์เริ่มเห็นจนชินตาเดินหิ้วของตัวเอียงอยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้าห้างสรรพสินค้า ทำให้เขาต้องหันขวับไปมอง ก่อนจะส่ายหน้าแล้วบ่นงึมงำเมื่อเห็นจำนวนคนที่ยืนรออยู่ด้วยกันและถุงของที่เธอจะพามันกลับบ้านไปด้วย
“แขนเล็กนิดเดียว หิ้วของถุงเบ้อเริ่ม”
“นายว่าอะไรนะ”
เสียงของสุรเสกข์ที่ดังมาให้ได้ยินทว่าฟังไม่ได้ศัพท์ ทำให้ชิติพัทธ์ที่ต้องทุ่มเทสมาธิให้กับการขับรถ ต้องเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“อ๋อ...เด็กที่บริษัท”
“ทำไมเหรอ”
“ยืนรอรถเมล์อยู่ที่ป้าย”
“ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้หญิง”
สุรเสกข์เอ่ยออกมาสั้น ๆ ไม่อยากบอกให้ชิติพัทธ์รู้ว่าเธอคือเลขาของเขา ซึ่งนับว่าเป็นความคิดที่ถูกต้องแล้วเพราะคนเป็นเพื่อนก็เอ่ยคำพูดที่เขาไม่อยากได้ยินออกมาพอดีเช่นกัน
“จะให้เลี้ยวรถกลับไปรับไหม ยินดีส่งถึงบ้านเลย”
“ว่าแล้ว ไปทำตัวเจ้าชู้ไก่แจ้ไกล ๆ หน่อยไป อย่าลามถึงบริษัทฉัน”
ชิติพัทธ์หัวเราะหึ ๆ ให้กับคำพูดของสุรเสกข์ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทางกระจกส่องหลัง หวังจะได้เห็นภาพหญิงสาวคนที่สุรเสกข์พูดถึง ทว่าภาพผู้คนที่พากันยืนออหน้าสลอนอยู่ตรงนั้นก็ทำให้เขาไม่อาจแยกแยะได้เลยว่าใครเป็นใคร
“ถ้าวนรถกลับไปรับแล้วพาส่งบ้าน ฉันไม่ได้อะไรหรอกนอกจากคำขอบคุณ แต่นายน่ะจะได้ใจลูกน้อง”
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีไปหรอก ฉันรู้ก็แล้วกันว่านายคิดอะไร”
สุรเสกข์กล่าวแก้อย่างอารมณ์ดี ในใจนึกไปถึงปาริชาต อยากรู้เหลือเกินว่าเธอขนซื้ออะไรนักหนา ถึงได้หิ้วจนตัวเอียง หนำซ้ำยังจะขึ้นไปยืนเบียดกับคนอื่นบนรถเมล์อีก
“โห...อย่ามาทำเป็นอ่านใจคนอื่นออกเลย ว่าแต่นายเถอะ ได้คุยกับสาวคนนั้นหรือยัง”
รอยยิ้มของสุรเสกข์ ค่อย ๆ เจื่อนลงด้วยถูกคำถามแทงใจ เขาควรจะบอกออกไปดีหรือไม่ว่าเธอมีคนคอยดูแลเป็นตัวเป็นตนไปแล้ว
“ว่าไง ถามไม่ตอบ ไม่ถามแล้วก็ได้”
ท่าทีเงียบเฉยของสุรเสกข์ ทำให้ชิติพัทธ์เข้าใจว่าเขาคงไม่อยากให้ใครมาสะกิดสะเกาเรื่องราวส่วนตัว ดังนั้นเมื่อรับรู้ว่าเพื่อนจงใจทอดเวลาในการตอบคำถามออกไป เขาจึงไม่อยากเร่งเร้าอีก
“เปล่า กำลังคิดว่าจะพูดยังไงดีต่างหาก”
“ก็ถ้ามันลำบากนักก็ไม่ต้องพูด ฉันไม่อยากรู้แล้วก็ได้”
“ได้คุยกันแล้ว เข้าใจกันดี”
“ว้าว มันต้องอย่างงี้สิ แล้วยังไงต่อ กลับไปคบกันเหมือนเดิมรึ”
การเอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉย ไร้แววของความไม่พอใจหรือเคียดขึ้งของสุรเสกข์นั้น ต่างจากทุกครั้งที่ชิติพัทธ์เคยเอ่ยถามเมื่อครั้งยังอยู่ที่ลอนดอนด้วยกัน ทำให้เขาคิดว่าน่าจะไม่ใช่ข่าวร้ายเหมือนที่นึกหวั่น
“เปล่า ก็เหมือนเดิม”
“ยังไงรึ ไม่เข้าใจ”
“ก็ต่างคนต่างอยู่ ชีวิตใครชีวิตมันเหมือนเดิม”
“โด่...แล้วไหนบอกว่าคุยกันเข้าใจแล้ว”
“ก็เข้าใจกันดีแล้วไง เค้ามีคนใหม่แล้ว ฉันก็อยู่ของฉันไปเหมือนเดิม”
อาจเป็นเพราะเขารู้สึกตัวและเตรียมใจมาตลอดช่วงที่ไม่ได้รับการติดต่อจากหญิงสาวก็ได้ พอบทสรุปออกมาเช่นนี้ สุรเสกข์จึงดูเหมือนจะไม่เสียอกเสียใจอะไรนักหนา หรือจะเป็นเพราะอย่างที่เขาพร่ำบอกใครต่อใครว่าทั้งเขาและลูกตาลไม่ได้เป็นอะไรกัน...เธอไม่เคยเปลื้องผ้าต่อหน้าเขาและที่สำคัญคือ...ยังไม่เคยจูบกันด้วยซ้ำ
“เศร้าน่าดูเลยว่ะ”
“ไม่ต้องมาเศร้าด้วยหรอก ก็รู้อยู่แล้วว่าคงจะออกมาในรูปนี้”
“งั้นก็ถูกแล้วที่วันนี้ออกมาดื่มแก้เครียดด้วยกัน มาลงมา”
พูดจบชิติพัทธ์ก็เลี้ยวรถเข้าลานจอดของร้านอาหาร ก่อนจะดับเครื่องแล้วเปิดประตูลงไป
ร้านอาหารกึ่งผับที่เวลาราว 1 ทุ่มเศษ ผู้คนยังบางตา ถูกชิติพัทธ์และสุรเสกข์เลือกจับจองที่นั่งมุมในสุด บริกรหนุ่มมารอรับออร์เดอร์ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นหญิงสาวในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยพร้อมกลิ่นน้ำหอมฟุ้งอวลมาทำหน้าที่ผสมเครื่องดื่มให้พวกเขา
“มีเรื่องอะไรนักหนา ได้เวลาเล่าให้ฟังหรือยัง”
เมื่อร่างกลมกลึงที่ทำหน้าที่แจกจ่ายแก้วเครื่องดื่มให้คล้อยหลังไป สุรเสกข์ที่นั่งทำจมูกฟุตฟิตกับกลิ่นน้ำหอมฉุนเกินพอดีนั้นก็เอ่ยถามออกมา
“นายอย่าเพิ่งตำหนิว่าฉันคิดเล็กคิดน้อยเกินไปทั้งที่วัยก็ใกล้เลข 3 แบบนี้นะเสกข์ เพราะเรื่องที่จะเล่าให้ฟังและมันก็จุกอกฉันมาตั้งแต่วันที่กลับถึงบ้านนั้นเป็นเรื่องในครอบครัว”
สุรเสกข์ยกมุมปากขึ้นยิ้มให้กับคำร้องขอของเพื่อน เขาไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะคิดเล็กคิดน้อยหรอก หากแต่รู้สึกยินดีมากกว่าที่ถูกนับเป็นคนใกล้ชิดและยอมเล่าให้ฟังแบบเปิดอก ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องในครอบครัว ตรงข้ามกับเขาเพราะแม้ผู้เป็นแม่จะร่ำ ๆ ว่าพ่อเปลี่ยนไปและทำให้ความสุขในครอบครัวจางหาย เขายังไม่คิดจะพูดให้ใครฟัง นอกจากรอวันพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง
“อืม...ว่ามา”
สุรเสกข์ว่าพลางยกแก้วทรงสูงจุน้ำสีอำพันขึ้นจิบ ทว่าในอึกที่ 2 มันเกือบทำเขาสำลัก เพราะคำพูดที่ดังมาจากปากของเพื่อน
“พ่อฉันหอบเอาอีตัวที่ไหนไม่รู้มาทำเมีย”
สุรเสกข์วางแก้วน้ำในมือลงบนโต๊ะเสียงดังกึก ก่อนจะกลืนน้ำลายและตั้งสติไม่ให้สำลักพรวดออกมา ร้อนฉ่าที่ใบหน้าเพราะคำเรียกขานเมียพ่อที่เพื่อนหยิบยกมาพูด แม้จะพอคาดเดาได้ว่าชิติพัทธ์หมายความถึงใคร หากแต่สุรเสกข์ก็ยังต้องการความกระจ่าง
“เล่าให้ฟังละเอียด ๆ หน่อยสิ”
“นายเคยเห็นพ่อฉันแล้วใช่ไหม อายุเกือบจะ 60 แล้วนะ ยังไปคว้าผู้หญิงวัยคราวลูกมาทำเมียอีก”
“ใจเย็นก่อน อายุไม่ใช่ปัญหาสำหรับความรักหรอกน่ะ นายเคยพูดแบบนี้บ่อย ๆ ไม่ใช่เหรอ”
สุรเสกข์แกล้งเย้าหวังเบรกอารมณ์ที่เริ่มพุ่งของชิติพัทธ์ ภายหลังเห็นเขาพูดออกมาด้วยถ้อยคำรุนแรง
“ก็คนแก่วัยคราวนั้นน่ะ สาวที่ไหนจะมารักจริง ร้อยทั้งร้อยมีหวังตั้งหน้าตั้งตามาปอกลอก”
หัวใจสุรเสกข์เริ่มปวดหนึบกับคำบริภาษที่พรั่งพรูออกมาจากปากของชิติพัทธ์ แม้จะยอมรับว่าเขากับลูกตาลไม่ได้เป็นอะไรกัน หากแต่พอได้ยินคำพูดที่ส่อไปในทางร้ายเกี่ยวกับหญิงสาว ใจเขาก็ยังทนอยู่อย่างสงบไม่ได้อยู่ดี
“ได้พูดกับพ่อนายหรือเปล่า”
“พ่อฟังฉันที่ไหนล่ะ อย่างว่าแหละ เล่นหลงหัวปักหัวปำอย่างนั้น ขนประเคนให้ทั้งรถทั้งเงิน”
ชิติพัทธ์เอ่ยออกมาเสียงขุ่น ก่อนจะกระดกแก้วน้ำสีอำพันนั้นเข้าปากอึกใหญ่แล้ววางลงบนโต๊ะดังกึก สุรเสกข์ลอบถอนหายใจ ก่อนจะนั่งนิ่งรอจนหญิงสาวแปลกหน้าที่วนเวียนมาคอยดูแลลูกค้าผสมเครื่องดื่มแก้วใหม่ให้เสร็จแล้วเดินจากไป เขาจึงเอ่ยถามออกมาในสิ่งที่ยังคาใจ
“แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ เธอเป็นยังไง”
“อย่าให้พูดเลย ต่อหน้าก็ทำดีนั่นแหละ ครบสูตรในการหลอกคนแก่ให้ตายใจ แต่ลับหลังคงหัวเราะเยาะฟันแทบร่วง ไม่อยากจะพูดเลยนะว่าพอตังค์หมดก็เอาตัวมาแลก แต่มันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ พูดแล้วทุเรศว่ะ”
มือใหญ่ของสุรเสกข์กำเข้าหากันแน่น ขณะเจ้าของนิ่งเงียบ ไม่ใช่เจ็บใจที่ได้ยินคำประณามของเพื่อน หากแต่นึกเคืองอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ทุกอย่างพันกันเหมือนงูกินหางแบบนี้ และอยากรู้เหมือนกันว่าหากผู้หญิงคนที่ชิติพัทธ์พูดถึงแบบสาดเสียเทเสียคนนั้นจะไม่ใช่ลูกตาล เขาจะรู้สึกแย่แบบนี้หรือเปล่า
“นายพูดเกินไปหรือเปล่าชิต”
“ก็มันจริง วันไหนอยากได้นั่นอยากได้นี่ก็มานอนกับพ่อฉัน พอได้เงินแล้วก็ปัดตูดไปร่อนที่อื่น พูดก็พูดเถอะไม่รู้มีผัวกี่คน”
“เค้าอาจจะรู้ว่านายไม่ค่อยชอบหน้าก็ได้นะ ถึงได้เกรงใจไม่อยู่ขวางหูขวางตาทุกวัน”
“โอย...ถ้าจะต้องให้อยู่ร่วมบ้านกันทุกวัน ฉันขอไปเช่าบ้านอยู่ดีกว่า”
“นี่แสดงว่านายไม่ชอบแม่เลี้ยงอย่างรุนแรงเลยใช่ไหม”
“อย่าเรียกผู้หญิงที่ใช้ร่างกายตัวเองหาเงินจากผู้ชายแก่ ๆ สักคนว่าอย่างนั้นเลย มันไม่คู่ควรสักนิด”
“แล้วพ่อนายไม่พูดอะไรเลยเหรอ”
ในความจริงแล้ว ใช่ว่าเสี่ยพงษ์พัฒน์จะไม่พูดอะไรเลย ตรงกันข้ามเขาพยายามอย่างที่สุดที่จะให้ชิติพัทธ์ยอมรับในความต้องการของตน หากแต่คนเป็นลูกชายกลับมองว่าความต้องการของผู้เป็นพ่อ ได้รับการตอบสนองจากหญิงสาวแบบจอมปลอมและไร้ซึ่งความจริงใจ เขาจึงคอยแต่จะต่อต้าน ไม่ยอมรับรู้
“ก็พูด แต่อย่างที่บอกไง คนกำลังหลงหน้ามืดตามัว ใครว่าอะไรมีหรือจะฟัง”
“เป็นนายด้วยใช่ไหมที่ไม่ยอมฟังเหตุผลของพ่อนาย”
คิ้วหน้าที่ขมวดมุ่นเข้าหากัน บวกกับเจ้าของที่เอาแต่วนเวียนยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นกระดกลงคอ ทำให้สุรเสกข์เองก็พลอยเครียดตามไปด้วย สุดท้ายเขาจึงผ่อนลมหายใจออกมาแล้วปรามเพื่อนเบา ๆ
“ถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะยอมให้พ่อฉันทำแบบที่พ่อนายทำ การยอมพามาให้รู้จักและบอกว่าคบหากันลึกซึ้งแค่ไหน ถือว่าท่านยังเห็นหัวนายอยู่ ไม่ได้ออกไปลักลอบมีเล็กมีน้อยนอกบ้านนี่”
พูดแล้วใจของสุรเสกข์ก็ปวดหนึบ ตั้งแต่เรียนอยู่และได้ทราบเรื่องของผู้เป็นพ่อผ่านปากคุณมยุริน สุรเสกข์ก็ต้องยอมรับว่าความภาคภูมิใจในตัวคนเป็นพ่อเริ่มสั่นคลอน ทุกวันนี้เขาก็อยู่แบบหวาดระแวงเพราะไม่รู้ว่าจะมีใครโผล่หน้ามารายงานตัวว่าเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งของพ่อเขาเมื่อไหร่
“ก็ถ้าทำแบบนั้นมันก็ยิ่งดีสิ อย่างน้อยก็ขึ้นชื่อว่าแค่ไปเที่ยวผู้หญิง ไม่ใช่ปล่อยให้เข้านอกออกในนึกจะมาไถเงินเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจชอบแบบนี้”
“พ่อนายไม่มีใคร นายน่าจะพอใจที่ท่านยังอยู่แบบมีความสุขนะชิต”
สุรเสกข์เห็นคนเป็นเพื่อนที่แม้จะยังคงเค้าของความเครียดเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยมนิ่งงันไปประหนึ่งคำพูดของเขากำลังวิ่งตรงไปปักหน้าอกดังฉึก และเมื่อเห็นว่าเขาไม่เอ่ยอะไรออกมาอีกเลย สุรเสกข์จึงถือโอกาสนี้เปรยถึงปัญหาที่แม่ของเขากำลังประสบให้ฟัง
“นายจะเจ็บปวดกว่านี้ถ้าพ่อของนายปิดบังและไม่ยอมแม้แต่จะเปิดตัวผู้หญิงคนที่ทำให้ท่านมีความสุขให้ได้รู้จัก ต่อให้จะสุขแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวหรือสุขไปจนตลอดชีวิตก็ตาม พ่อนายทำแบบนี้ฉันว่าถูกต้องแล้ว”
“นี่ตกลงฉันมานั่งปรับทุกข์ให้นายฟังหรือมาให้นายชี้หน้าด่าว่าใจแคบวะ”
“ก็ฉันไม่อยากให้นายต้องมานั่งเครียดกับแค่การจะมีความสุขของพ่อนายนี่หว่า นายลองคิดดูนะว่าถ้านายมีแฟน นายอยากให้พ่อนายยอมรับด้วยไหม หรือจะให้ท่านทำแบบที่นายกำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้”
แล้วคนถูกย้อนถามก็ได้แต่ปิดปากเงียบ สุรเสกข์ถอนหายใจแผ่ว ๆ ออกมาอีกหน เขากับลูกตาลไม่เคยมีเรื่องให้ต้องเกลียดชังกัน แม้วันนี้ทุกอย่างจะไม่มีวันหวนคืน แต่เขาก็อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอพูด มากกว่าจะเชื่อชิติพัทธ์ ทั้งปรารถนาให้ทุกอย่างลงเอยด้วยดีเพราะถึงอย่างไรเขาก็ถือว่าความสัมพันธ์ครั้งนั้นขาดสะบั้นและถูกพับเก็บไปจนเรียบร้อยหมดหนทางรื้อฟื้นด้วยประการทั้งปวงแล้ว
“เชื่อฉันสักครั้งนะชิต แล้วนายจะสบายใจขึ้น”
“เสี่ยเต็นท์รถเสียรู้อีตัววัยรุ่น รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”
แม้จะปวดหนึบในใจเพราะคำพูดรุนแรงบาดความรู้สึกของเพื่อน หากแต่สุรเสกข์ก็พยายามจะไม่ใส่ใจด้วยถือว่าฝ่ายนั้นกำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ขุ่นเคือง เขามองท่าทีแสยะยิ้มของชิติพัทธ์แล้วส่ายหน้าอย่างระอา
“เลิกคิดมากได้แล้ว มา...ดื่ม”
สุรเสกข์จงใจยุติบทสนทนาดุเดือดของเพื่อนเอาไว้เพียงแค่นั้น ก่อนจะเอ่ยปากชวนแล้วยกแก้วเครื่องดื่มของตนยื่นไปรอชน ท่ามกลางการดูแลของพนักงานสาวที่แต่งหน้าเข้มจัดพันกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น คราใดที่เธอเฉียดกรายมาใกล้ สุรเสกข์ก็ต้องเป็นอันถวิลหากลิ่นกายละมุนละไมของแป้งเด็กแทนน้ำหอมอบอวลที่กรุ่นกำจายออกมาทุกคราไป
ในช่วงใกล้เที่ยงวันของรุ่งขึ้น ขณะที่ปาริชาตกำลังนั่งทำงานอยู่โดยมีพี่เลี้ยงอย่างนภษรคอยอธิบายบางอย่างให้ ชิติพัทธ์ซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายริ้วสีกรมท่ากับกางเกงขายาวสีเบจก็ปรากฏกายขึ้น นภษรที่เคยเจอกันแล้วหนหนึ่งที่สนามบินเปิดยิ้มและเอ่ยทักทายด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดี ส่วนปาริชาตเธอยังทำหน้างง ๆ
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะคุณ วันนี้แวะมาหาคุณเสกข์เหรอคะ”
“ใช่ครับ ว่าแต่...อยู่ไหมครับ”
“อยู่ค่ะ เชิญนั่งรอก่อนนะคะ ป่านไปเรียนคุณเสกข์ก่อนไปว่าคุณ...เอ่อ...”
นภษรผายมือไปที่เก้าอี้นวมที่ถูกจัดเป็นกลุ่มไว้สำหรับรับรองลูกค้าที่จะเข้าพบผู้จัดการ ก่อนจะชะงักเมื่อเธอเองก็ลืมไปแล้วว่าหนุ่มหน้าตี๋ผิวขาวจัดคนนี้ชื่อเสียงเรียงนามอะไร
“ชิตครับ”
“ค่ะ เรียนคุณเสกข์ว่าคุณชิตมาพบ”
เธอพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันไปสั่งปาริชาตอีกหน ซึ่งหญิงสาวก็รีบปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย วันนี้ปาริชาตสวมชุดเดรสที่ทำจากผ้าชีฟองสีชมพูอมม่วง ผิวพรรณที่นวลลออของเธอจึงยิ่งดูผุดผาดน่ามอง และชิติพัทธ์ก็อดไม่ได้ที่จะปรายตาตามร่างบางซึ่งเคลื่อนไหวกายโดยมีชายกระโปรงคอยปัดพลิ้วเป็นจังหวะตามไปอย่างพึงใจ
“มีอะไร แวะมาไม่บอกกล่าว”
เพียงแค่ไม่กี่วินาทีให้หลัง สุรเสกข์ก็ผลักประตูห้องทำงานออกมา ตามด้วยปาริชาตที่หอบแฟ้มเอกสารเอาไว้ในมือ
“มาเก็บค่าไถ่”
ชิติพัทธ์ว่าพลางควักกระเป๋าเสื้อบนอกด้านซ้ายแล้วหยิบบางอย่างชูขึ้น
“จ่ายมาซะดี ๆ”
“อ้าว...อยู่กับนายเหรอ กำลังหัวเสียอยู่ว่าต้องได้ไปหาซื้อใหม่”
โทรศัพท์สีดำสนิทรุ่นล่าสุดที่ถูกชิติพัทธ์ยื่นส่งให้ขณะเดินตรงเข้ามาหา ทำให้สุรเสกข์รีบรับเอาไว้ด้วยความยินดี ไม่ปฏิเสธเลยว่าเมื่อคืนนี้ทั้งเขาและเพื่อนกลับออกจากร้านอาหารกึ่งผับแห่งนั้นในสภาพมึนเมาไม่น้อย ที่สำคัญคือกว่าจะรู้ว่าได้ทำโทรศัพท์มือถือหล่นหายก็ต่อเมื่อตื่นนอนเช้านี้แล้ว
“นายไปเจอที่ไหน ขอบใจมากว่ะเพื่อน”
“หล่นอยู่ในรถ เด็กมันเก็บมาให้เมื่อตอนสาย ๆ”
เพราะความมึนเมาอีกเช่นกันที่ทำให้ชิติพัทธ์ไม่กล้าขับรถขึ้นจอดในโรงเก็บด้วยหวั่นใจว่าจะไปเสยเข้ากับรถคันอื่น ดังนั้นจึงทำเพียงเบนหัวแอบฟุตบาทหน้าเต๊นท์รถเอาไว้ ต่อเมื่อสายวันนี้ลูกน้องจึงมาช่วยขับขึ้นไปเก็บให้และได้พบโทรศัพท์มือถือเครื่องดังกล่าว
“จ่ายค่าไถ่มาสิ”
ชิติพัทธ์แกล้งทวงขณะเดินตามเจ้าของห้องเข้าไปจนถึงโต๊ะทำงาน ซึ่งก่อนจะทันได้หย่อนกายลงนั่ง เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นพร้อมกับปรากฏร่างของปาริชาตประคองถาดใส่แก้วน้ำเข้ามา แววตาทั้งคู่ของชิติพัทธ์ก็ไหววูบขัดกับท่าทีสำรวมสงบปากสงบคำของเจ้าของ
“ฉันขอเลือกให้นายจ่ายค่าไถ่เป็นมื้อเที่ยงวันนี้ก็แล้วกัน”
พอประตูห้องทำงานนั้นปิดลงและปาริชาตก็ได้กลับออกไปแล้ว ชิติพัทธ์ก็หันไปตั้งท่าทวงค่าไถ่ตามเดิมอีก
“ได้ ไม่มีปัญหา”
การได้โทรศัพท์มือถือซึ่งเพิ่งถอยออกมาไม่ถึง 10 วันกลับคืนสู่มือเจ้าของอย่างปลอดภัย เป็นใครก็ยอมจ่าย แค่ค่าอาหารเพียงมื้อเดียวคงไม่กี่ตังค์
“เมื่อกี้เลขานายเหรอ”
“ใช่ มีอะไร”
“หึ...หึ”
เสียงหัวเราะหึ ๆ ของเพื่อนที่ดังมาให้ได้ยินโดยปราศจากคำพูดใด ๆ ทำให้สุรเสกข์ต้องตวัดสายตามองอย่างค้นคว้า ก่อนจะต้องได้คิดหนักเมื่อฝ่ายนั้นเอ่ยอะไรบางอย่างออกมาในที่สุด
“น่ารักดี ชวนไปกินข้าวด้วยกันนะ”
“เกี่ยวอะไรกับเค้าล่ะ นี่มันโทรศัพท์ฉันนะ ไม่ใช่ของเค้า”
“เออ...นั่นแหละ ถือว่ารวมอยู่ในค่าไถ่ด้วย กินข้าวเคล้านารี”
“จุ๊...นี่ อย่ามาทำเรี่ยราดแถวนี้นะ น่าเกลียดตาย”
สุรเสกข์ตัดบทพลางยกแก้วน้ำที่ปาริชาตเพิ่งนำมาวางให้พร้อมแขกขึ้นจิบ
“ไม่เห็นจะน่าเกลียดตรงไหนเลย ฉันเป็นเพื่อนนายนะ น่าเกลียดตรงไหน ถ้าเป็นนายเองนั่นแหละจะน่าเกลียดกว่า สมภารกินไก่วัดไม่เคยได้ยินรึ”
“แค่ก ๆ”
สุรเสกข์ไอเสียงขรมด้วยสำลักน้ำที่ตัวเองเสยกขึ้นจิบหวังกลบท่าทีหวงเลขา เพราะลำพังทุกวันนี้ยังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้ว่าตกลงปาริชาตกับคุณสุพลผู้เป็นพ่อมีความเกี่ยวพันกันหรือไม่ ชิติพัทธ์ก็ทำท่าจะขอเข้ามาแทรกแซงอีกคน
“นั่น ๆ ทักแค่นี้ทำเป็นสำลัก กำลังแอบทำตัวเป็นสมภารอยู่ล่ะสิ”
“เฮ่ย...จะพูดอะไรระวังปากบ้าง ลูกน้องฉันมาได้ยินมันเสียหายนะโว้ย”
สุรเสกข์จำเป็นต้องตีหน้าขรึมแถมกล่าวคำตำหนิเพื่อนออกมาเพราะหวังจะให้เลิกกระเซ้าแหย่ด้วยคำพูดเช่นนี้เสียที เขาไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะเป็นสมภาร หากแต่ห่วงผู้เป็นพ่อมากกว่า
“เอ่อ ๆ ขอโทษ เอาน่า...ชวนไปกินข้าวด้วยกัน”
“มันก็ต้องได้ชวนกันไปทั้งหมดนั่นแหละ รวมถึงคุณนภษรด้วย เพราะเที่ยงนี้พ่อมีนัดกับลูกค้าข้างนอก ทิ้งเธอไว้คนเดียวก็ไม่เหมาะ”
“ต้องอย่างงี้สิ ฉันต้องการให้ช่วยแค่นี้แหละ ที่เหลือสานต่อเอง”
“เอ๊ะ...หมอนี่ พูดไม่รู้จักฟัง มันน่าเกลียดไม่เข้าใจเหรอ เค้าจะมาหาว่าฉันยัดเยียดเพื่อนให้น่ะสิ”
“ไม่น่าเกลียดหรอกน่ะ รับรองจะทำให้เนียน หึ ๆ”
ชิติพัทธ์ว่าพลางหัวเราะลงลูกคออย่างอารมณ์ดี หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ในใจว่าอย่างน้อยวันนี้ได้ทานข้าวด้วยกันแถมได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามก็เกินความคาดหมายแล้ว
“สงสารเด็กมัน”
สุรเสกข์บ่นออกมาได้เพียงแค่นั้น เพราะชิติพัทธ์ที่วันนี้อารมณ์ดีเกินคาดดูจะไม่ระคายหูกับคำพูดเหล่านั้นเสียแล้ว ผิดกับเมื่อค่ำคืนที่ผ่านไปลิบลับ
ในที่สุดเที่ยงวันนั้นทั้งปาริชาตและนภษรก็ได้ร่วมเดินทางไปรับประทานอาหารกับสุรเสกข์และชิติพัทธ์ แม้คนเป็นเจ้านายจะทำตัวเฉย ๆ เรื่อย ๆ หากแต่ก็มีอยู่บ่อยครั้งที่ปาริชาตสังเกตเห็นว่าเขากำลังแอบมองด้วยสายตาขุ่นเคืองเป็นพัก ๆ แบบหาสาเหตุไม่เจอ
หลังเลิกงานวันหนึ่ง ขณะที่กำลังเตรียมตัวเดินทางกลับบ้าน สุรเสกข์ก็ได้รับโทรศัพท์จากชิติพัทธ์ เสียงบ่นด้วยความไม่สบอารมณ์ในบางอย่าง ก่อนจะลงท้ายด้วยการชวนกันออกไปดื่มกินตามประสาคนคุ้นเคยที่พอกลับเมืองไทยก็วุ่นวายกับชีวิตประจำวันของตนจนแทบไม่มีเวลาเจอกัน
ชิติพัทธ์ขับรถไปรับสุรเสกข์ถึงที่บ้าน ภายหลังทอดเวลาให้เขาอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายชุดใหม่ เตรียมออกไปท่องราตรีและดื่มกินดับเครียดด้วยกัน
“นึกว่ายังหยุดอยู่บ้าน เริ่มไปทำงานได้กี่วันแล้ว”
ทันทีที่เห็นสุรเสกข์ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ ชิติพัทธ์ที่อาสามารับก็เอ่ยถาม
“พักแค่วันเดียว แล้วไปนั่งทำอะไรก๊อก ๆ แก๊ก ๆ อยู่ที่บริษัท นายล่ะ”
“อยู่แถวนั้นแหละ ยังไม่อยากทำอะไร เซ็ง รู้งี้ไม่รีบกลับมาก็ดี”
พอได้ยินคำพูดของเพื่อน สุรเสกข์ก็หันหน้าไปมองด้วยความแปลกใจ จากที่เคยกินนอนด้วยกันมาร่วมสองปี เขายังไม่เคยเห็นชิติพัทธ์ทำท่าคิดมากจนต้องบ่นออกมาเช่นนี้เลยแม้สักครั้ง
“เซ็งเรื่องอะไรหนักหนาวะ”
“เอาเถอะ ไว้เข้าไปนั่งในร้านแล้วจะเล่าให้ฟัง เรื่องมันยาวและซีเรียสสำหรับฉันมาก”
การที่เพื่อนย้ำออกมาว่ากำลังเครียดกับเรื่องที่คิดจะเล่าให้ฟัง สุรเสกข์ก็อยากรู้ขึ้นมาติดหมัด พลางพยายามคาดเดาเรื่องที่เป็นต้นตอแห่งความไม่สบายใจของเพื่อน
“พ่อนายไม่เห็นด้วยเรื่องเปิดบริการประดับยนต์เพิ่มหรือไง”
“เปล่า ไม่ใช่เรื่องนั้น บ๊ะ...ขอขับรถก่อน อย่าเพิ่งรีบถามเอาตอนนี้”
พอได้ยินเพื่อนยืนกรานว่ายังไงก็จะไม่ยอมเปิดปากเล่าจนกว่าจะพากันเดินทางไปถึงร้านอาหาร สุรเสกข์ก็เลิกเซ้าซี้ ชายหนุ่มนั่งเอนหลังพิงพนักพลางยกมือขึ้นประสานกันไว้ที่ท้ายทอยแล้วมองออกไปนอกรถ
สภาพการจราจรที่จอแจในกรุงเทพ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีต่อกี่ปีก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะดีขึ้น ตรงข้ามกลับเหมือนยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม นี่ก็ได้ยินแว่ว ๆ มาว่ารัฐบาลจะมีนโยบายคืนภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ใหม่ป้ายแดงคันแรกในชีวิต หากเป็นเช่นนั้นจริง แค่หลับตานึกถึงภาพรถใหม่ป้ายแดงพากันวิ่งอยู่บนถนนผสมกับรถเก่าที่เดิมทีก็มีอยู่มากมายแล้ว คำว่ารถล้นถนนดูน่าจะบรรยายได้เห็นภาพมากที่สุด
ภาพหญิงสาวที่สุรเสกข์เริ่มเห็นจนชินตาเดินหิ้วของตัวเอียงอยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้าห้างสรรพสินค้า ทำให้เขาต้องหันขวับไปมอง ก่อนจะส่ายหน้าแล้วบ่นงึมงำเมื่อเห็นจำนวนคนที่ยืนรออยู่ด้วยกันและถุงของที่เธอจะพามันกลับบ้านไปด้วย
“แขนเล็กนิดเดียว หิ้วของถุงเบ้อเริ่ม”
“นายว่าอะไรนะ”
เสียงของสุรเสกข์ที่ดังมาให้ได้ยินทว่าฟังไม่ได้ศัพท์ ทำให้ชิติพัทธ์ที่ต้องทุ่มเทสมาธิให้กับการขับรถ ต้องเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“อ๋อ...เด็กที่บริษัท”
“ทำไมเหรอ”
“ยืนรอรถเมล์อยู่ที่ป้าย”
“ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้หญิง”
สุรเสกข์เอ่ยออกมาสั้น ๆ ไม่อยากบอกให้ชิติพัทธ์รู้ว่าเธอคือเลขาของเขา ซึ่งนับว่าเป็นความคิดที่ถูกต้องแล้วเพราะคนเป็นเพื่อนก็เอ่ยคำพูดที่เขาไม่อยากได้ยินออกมาพอดีเช่นกัน
“จะให้เลี้ยวรถกลับไปรับไหม ยินดีส่งถึงบ้านเลย”
“ว่าแล้ว ไปทำตัวเจ้าชู้ไก่แจ้ไกล ๆ หน่อยไป อย่าลามถึงบริษัทฉัน”
ชิติพัทธ์หัวเราะหึ ๆ ให้กับคำพูดของสุรเสกข์ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองทางกระจกส่องหลัง หวังจะได้เห็นภาพหญิงสาวคนที่สุรเสกข์พูดถึง ทว่าภาพผู้คนที่พากันยืนออหน้าสลอนอยู่ตรงนั้นก็ทำให้เขาไม่อาจแยกแยะได้เลยว่าใครเป็นใคร
“ถ้าวนรถกลับไปรับแล้วพาส่งบ้าน ฉันไม่ได้อะไรหรอกนอกจากคำขอบคุณ แต่นายน่ะจะได้ใจลูกน้อง”
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีไปหรอก ฉันรู้ก็แล้วกันว่านายคิดอะไร”
สุรเสกข์กล่าวแก้อย่างอารมณ์ดี ในใจนึกไปถึงปาริชาต อยากรู้เหลือเกินว่าเธอขนซื้ออะไรนักหนา ถึงได้หิ้วจนตัวเอียง หนำซ้ำยังจะขึ้นไปยืนเบียดกับคนอื่นบนรถเมล์อีก
“โห...อย่ามาทำเป็นอ่านใจคนอื่นออกเลย ว่าแต่นายเถอะ ได้คุยกับสาวคนนั้นหรือยัง”
รอยยิ้มของสุรเสกข์ ค่อย ๆ เจื่อนลงด้วยถูกคำถามแทงใจ เขาควรจะบอกออกไปดีหรือไม่ว่าเธอมีคนคอยดูแลเป็นตัวเป็นตนไปแล้ว
“ว่าไง ถามไม่ตอบ ไม่ถามแล้วก็ได้”
ท่าทีเงียบเฉยของสุรเสกข์ ทำให้ชิติพัทธ์เข้าใจว่าเขาคงไม่อยากให้ใครมาสะกิดสะเกาเรื่องราวส่วนตัว ดังนั้นเมื่อรับรู้ว่าเพื่อนจงใจทอดเวลาในการตอบคำถามออกไป เขาจึงไม่อยากเร่งเร้าอีก
“เปล่า กำลังคิดว่าจะพูดยังไงดีต่างหาก”
“ก็ถ้ามันลำบากนักก็ไม่ต้องพูด ฉันไม่อยากรู้แล้วก็ได้”
“ได้คุยกันแล้ว เข้าใจกันดี”
“ว้าว มันต้องอย่างงี้สิ แล้วยังไงต่อ กลับไปคบกันเหมือนเดิมรึ”
การเอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉย ไร้แววของความไม่พอใจหรือเคียดขึ้งของสุรเสกข์นั้น ต่างจากทุกครั้งที่ชิติพัทธ์เคยเอ่ยถามเมื่อครั้งยังอยู่ที่ลอนดอนด้วยกัน ทำให้เขาคิดว่าน่าจะไม่ใช่ข่าวร้ายเหมือนที่นึกหวั่น
“เปล่า ก็เหมือนเดิม”
“ยังไงรึ ไม่เข้าใจ”
“ก็ต่างคนต่างอยู่ ชีวิตใครชีวิตมันเหมือนเดิม”
“โด่...แล้วไหนบอกว่าคุยกันเข้าใจแล้ว”
“ก็เข้าใจกันดีแล้วไง เค้ามีคนใหม่แล้ว ฉันก็อยู่ของฉันไปเหมือนเดิม”
อาจเป็นเพราะเขารู้สึกตัวและเตรียมใจมาตลอดช่วงที่ไม่ได้รับการติดต่อจากหญิงสาวก็ได้ พอบทสรุปออกมาเช่นนี้ สุรเสกข์จึงดูเหมือนจะไม่เสียอกเสียใจอะไรนักหนา หรือจะเป็นเพราะอย่างที่เขาพร่ำบอกใครต่อใครว่าทั้งเขาและลูกตาลไม่ได้เป็นอะไรกัน...เธอไม่เคยเปลื้องผ้าต่อหน้าเขาและที่สำคัญคือ...ยังไม่เคยจูบกันด้วยซ้ำ
“เศร้าน่าดูเลยว่ะ”
“ไม่ต้องมาเศร้าด้วยหรอก ก็รู้อยู่แล้วว่าคงจะออกมาในรูปนี้”
“งั้นก็ถูกแล้วที่วันนี้ออกมาดื่มแก้เครียดด้วยกัน มาลงมา”
พูดจบชิติพัทธ์ก็เลี้ยวรถเข้าลานจอดของร้านอาหาร ก่อนจะดับเครื่องแล้วเปิดประตูลงไป
ร้านอาหารกึ่งผับที่เวลาราว 1 ทุ่มเศษ ผู้คนยังบางตา ถูกชิติพัทธ์และสุรเสกข์เลือกจับจองที่นั่งมุมในสุด บริกรหนุ่มมารอรับออร์เดอร์ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นหญิงสาวในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยพร้อมกลิ่นน้ำหอมฟุ้งอวลมาทำหน้าที่ผสมเครื่องดื่มให้พวกเขา
“มีเรื่องอะไรนักหนา ได้เวลาเล่าให้ฟังหรือยัง”
เมื่อร่างกลมกลึงที่ทำหน้าที่แจกจ่ายแก้วเครื่องดื่มให้คล้อยหลังไป สุรเสกข์ที่นั่งทำจมูกฟุตฟิตกับกลิ่นน้ำหอมฉุนเกินพอดีนั้นก็เอ่ยถามออกมา
“นายอย่าเพิ่งตำหนิว่าฉันคิดเล็กคิดน้อยเกินไปทั้งที่วัยก็ใกล้เลข 3 แบบนี้นะเสกข์ เพราะเรื่องที่จะเล่าให้ฟังและมันก็จุกอกฉันมาตั้งแต่วันที่กลับถึงบ้านนั้นเป็นเรื่องในครอบครัว”
สุรเสกข์ยกมุมปากขึ้นยิ้มให้กับคำร้องขอของเพื่อน เขาไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะคิดเล็กคิดน้อยหรอก หากแต่รู้สึกยินดีมากกว่าที่ถูกนับเป็นคนใกล้ชิดและยอมเล่าให้ฟังแบบเปิดอก ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องในครอบครัว ตรงข้ามกับเขาเพราะแม้ผู้เป็นแม่จะร่ำ ๆ ว่าพ่อเปลี่ยนไปและทำให้ความสุขในครอบครัวจางหาย เขายังไม่คิดจะพูดให้ใครฟัง นอกจากรอวันพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง
“อืม...ว่ามา”
สุรเสกข์ว่าพลางยกแก้วทรงสูงจุน้ำสีอำพันขึ้นจิบ ทว่าในอึกที่ 2 มันเกือบทำเขาสำลัก เพราะคำพูดที่ดังมาจากปากของเพื่อน
“พ่อฉันหอบเอาอีตัวที่ไหนไม่รู้มาทำเมีย”
สุรเสกข์วางแก้วน้ำในมือลงบนโต๊ะเสียงดังกึก ก่อนจะกลืนน้ำลายและตั้งสติไม่ให้สำลักพรวดออกมา ร้อนฉ่าที่ใบหน้าเพราะคำเรียกขานเมียพ่อที่เพื่อนหยิบยกมาพูด แม้จะพอคาดเดาได้ว่าชิติพัทธ์หมายความถึงใคร หากแต่สุรเสกข์ก็ยังต้องการความกระจ่าง
“เล่าให้ฟังละเอียด ๆ หน่อยสิ”
“นายเคยเห็นพ่อฉันแล้วใช่ไหม อายุเกือบจะ 60 แล้วนะ ยังไปคว้าผู้หญิงวัยคราวลูกมาทำเมียอีก”
“ใจเย็นก่อน อายุไม่ใช่ปัญหาสำหรับความรักหรอกน่ะ นายเคยพูดแบบนี้บ่อย ๆ ไม่ใช่เหรอ”
สุรเสกข์แกล้งเย้าหวังเบรกอารมณ์ที่เริ่มพุ่งของชิติพัทธ์ ภายหลังเห็นเขาพูดออกมาด้วยถ้อยคำรุนแรง
“ก็คนแก่วัยคราวนั้นน่ะ สาวที่ไหนจะมารักจริง ร้อยทั้งร้อยมีหวังตั้งหน้าตั้งตามาปอกลอก”
หัวใจสุรเสกข์เริ่มปวดหนึบกับคำบริภาษที่พรั่งพรูออกมาจากปากของชิติพัทธ์ แม้จะยอมรับว่าเขากับลูกตาลไม่ได้เป็นอะไรกัน หากแต่พอได้ยินคำพูดที่ส่อไปในทางร้ายเกี่ยวกับหญิงสาว ใจเขาก็ยังทนอยู่อย่างสงบไม่ได้อยู่ดี
“ได้พูดกับพ่อนายหรือเปล่า”
“พ่อฟังฉันที่ไหนล่ะ อย่างว่าแหละ เล่นหลงหัวปักหัวปำอย่างนั้น ขนประเคนให้ทั้งรถทั้งเงิน”
ชิติพัทธ์เอ่ยออกมาเสียงขุ่น ก่อนจะกระดกแก้วน้ำสีอำพันนั้นเข้าปากอึกใหญ่แล้ววางลงบนโต๊ะดังกึก สุรเสกข์ลอบถอนหายใจ ก่อนจะนั่งนิ่งรอจนหญิงสาวแปลกหน้าที่วนเวียนมาคอยดูแลลูกค้าผสมเครื่องดื่มแก้วใหม่ให้เสร็จแล้วเดินจากไป เขาจึงเอ่ยถามออกมาในสิ่งที่ยังคาใจ
“แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ เธอเป็นยังไง”
“อย่าให้พูดเลย ต่อหน้าก็ทำดีนั่นแหละ ครบสูตรในการหลอกคนแก่ให้ตายใจ แต่ลับหลังคงหัวเราะเยาะฟันแทบร่วง ไม่อยากจะพูดเลยนะว่าพอตังค์หมดก็เอาตัวมาแลก แต่มันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ พูดแล้วทุเรศว่ะ”
มือใหญ่ของสุรเสกข์กำเข้าหากันแน่น ขณะเจ้าของนิ่งเงียบ ไม่ใช่เจ็บใจที่ได้ยินคำประณามของเพื่อน หากแต่นึกเคืองอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ทุกอย่างพันกันเหมือนงูกินหางแบบนี้ และอยากรู้เหมือนกันว่าหากผู้หญิงคนที่ชิติพัทธ์พูดถึงแบบสาดเสียเทเสียคนนั้นจะไม่ใช่ลูกตาล เขาจะรู้สึกแย่แบบนี้หรือเปล่า
“นายพูดเกินไปหรือเปล่าชิต”
“ก็มันจริง วันไหนอยากได้นั่นอยากได้นี่ก็มานอนกับพ่อฉัน พอได้เงินแล้วก็ปัดตูดไปร่อนที่อื่น พูดก็พูดเถอะไม่รู้มีผัวกี่คน”
“เค้าอาจจะรู้ว่านายไม่ค่อยชอบหน้าก็ได้นะ ถึงได้เกรงใจไม่อยู่ขวางหูขวางตาทุกวัน”
“โอย...ถ้าจะต้องให้อยู่ร่วมบ้านกันทุกวัน ฉันขอไปเช่าบ้านอยู่ดีกว่า”
“นี่แสดงว่านายไม่ชอบแม่เลี้ยงอย่างรุนแรงเลยใช่ไหม”
“อย่าเรียกผู้หญิงที่ใช้ร่างกายตัวเองหาเงินจากผู้ชายแก่ ๆ สักคนว่าอย่างนั้นเลย มันไม่คู่ควรสักนิด”
“แล้วพ่อนายไม่พูดอะไรเลยเหรอ”
ในความจริงแล้ว ใช่ว่าเสี่ยพงษ์พัฒน์จะไม่พูดอะไรเลย ตรงกันข้ามเขาพยายามอย่างที่สุดที่จะให้ชิติพัทธ์ยอมรับในความต้องการของตน หากแต่คนเป็นลูกชายกลับมองว่าความต้องการของผู้เป็นพ่อ ได้รับการตอบสนองจากหญิงสาวแบบจอมปลอมและไร้ซึ่งความจริงใจ เขาจึงคอยแต่จะต่อต้าน ไม่ยอมรับรู้
“ก็พูด แต่อย่างที่บอกไง คนกำลังหลงหน้ามืดตามัว ใครว่าอะไรมีหรือจะฟัง”
“เป็นนายด้วยใช่ไหมที่ไม่ยอมฟังเหตุผลของพ่อนาย”
คิ้วหน้าที่ขมวดมุ่นเข้าหากัน บวกกับเจ้าของที่เอาแต่วนเวียนยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นกระดกลงคอ ทำให้สุรเสกข์เองก็พลอยเครียดตามไปด้วย สุดท้ายเขาจึงผ่อนลมหายใจออกมาแล้วปรามเพื่อนเบา ๆ
“ถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะยอมให้พ่อฉันทำแบบที่พ่อนายทำ การยอมพามาให้รู้จักและบอกว่าคบหากันลึกซึ้งแค่ไหน ถือว่าท่านยังเห็นหัวนายอยู่ ไม่ได้ออกไปลักลอบมีเล็กมีน้อยนอกบ้านนี่”
พูดแล้วใจของสุรเสกข์ก็ปวดหนึบ ตั้งแต่เรียนอยู่และได้ทราบเรื่องของผู้เป็นพ่อผ่านปากคุณมยุริน สุรเสกข์ก็ต้องยอมรับว่าความภาคภูมิใจในตัวคนเป็นพ่อเริ่มสั่นคลอน ทุกวันนี้เขาก็อยู่แบบหวาดระแวงเพราะไม่รู้ว่าจะมีใครโผล่หน้ามารายงานตัวว่าเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งของพ่อเขาเมื่อไหร่
“ก็ถ้าทำแบบนั้นมันก็ยิ่งดีสิ อย่างน้อยก็ขึ้นชื่อว่าแค่ไปเที่ยวผู้หญิง ไม่ใช่ปล่อยให้เข้านอกออกในนึกจะมาไถเงินเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจชอบแบบนี้”
“พ่อนายไม่มีใคร นายน่าจะพอใจที่ท่านยังอยู่แบบมีความสุขนะชิต”
สุรเสกข์เห็นคนเป็นเพื่อนที่แม้จะยังคงเค้าของความเครียดเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยมนิ่งงันไปประหนึ่งคำพูดของเขากำลังวิ่งตรงไปปักหน้าอกดังฉึก และเมื่อเห็นว่าเขาไม่เอ่ยอะไรออกมาอีกเลย สุรเสกข์จึงถือโอกาสนี้เปรยถึงปัญหาที่แม่ของเขากำลังประสบให้ฟัง
“นายจะเจ็บปวดกว่านี้ถ้าพ่อของนายปิดบังและไม่ยอมแม้แต่จะเปิดตัวผู้หญิงคนที่ทำให้ท่านมีความสุขให้ได้รู้จัก ต่อให้จะสุขแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวหรือสุขไปจนตลอดชีวิตก็ตาม พ่อนายทำแบบนี้ฉันว่าถูกต้องแล้ว”
“นี่ตกลงฉันมานั่งปรับทุกข์ให้นายฟังหรือมาให้นายชี้หน้าด่าว่าใจแคบวะ”
“ก็ฉันไม่อยากให้นายต้องมานั่งเครียดกับแค่การจะมีความสุขของพ่อนายนี่หว่า นายลองคิดดูนะว่าถ้านายมีแฟน นายอยากให้พ่อนายยอมรับด้วยไหม หรือจะให้ท่านทำแบบที่นายกำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้”
แล้วคนถูกย้อนถามก็ได้แต่ปิดปากเงียบ สุรเสกข์ถอนหายใจแผ่ว ๆ ออกมาอีกหน เขากับลูกตาลไม่เคยมีเรื่องให้ต้องเกลียดชังกัน แม้วันนี้ทุกอย่างจะไม่มีวันหวนคืน แต่เขาก็อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอพูด มากกว่าจะเชื่อชิติพัทธ์ ทั้งปรารถนาให้ทุกอย่างลงเอยด้วยดีเพราะถึงอย่างไรเขาก็ถือว่าความสัมพันธ์ครั้งนั้นขาดสะบั้นและถูกพับเก็บไปจนเรียบร้อยหมดหนทางรื้อฟื้นด้วยประการทั้งปวงแล้ว
“เชื่อฉันสักครั้งนะชิต แล้วนายจะสบายใจขึ้น”
“เสี่ยเต็นท์รถเสียรู้อีตัววัยรุ่น รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”
แม้จะปวดหนึบในใจเพราะคำพูดรุนแรงบาดความรู้สึกของเพื่อน หากแต่สุรเสกข์ก็พยายามจะไม่ใส่ใจด้วยถือว่าฝ่ายนั้นกำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ขุ่นเคือง เขามองท่าทีแสยะยิ้มของชิติพัทธ์แล้วส่ายหน้าอย่างระอา
“เลิกคิดมากได้แล้ว มา...ดื่ม”
สุรเสกข์จงใจยุติบทสนทนาดุเดือดของเพื่อนเอาไว้เพียงแค่นั้น ก่อนจะเอ่ยปากชวนแล้วยกแก้วเครื่องดื่มของตนยื่นไปรอชน ท่ามกลางการดูแลของพนักงานสาวที่แต่งหน้าเข้มจัดพันกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น คราใดที่เธอเฉียดกรายมาใกล้ สุรเสกข์ก็ต้องเป็นอันถวิลหากลิ่นกายละมุนละไมของแป้งเด็กแทนน้ำหอมอบอวลที่กรุ่นกำจายออกมาทุกคราไป
ในช่วงใกล้เที่ยงวันของรุ่งขึ้น ขณะที่ปาริชาตกำลังนั่งทำงานอยู่โดยมีพี่เลี้ยงอย่างนภษรคอยอธิบายบางอย่างให้ ชิติพัทธ์ซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายริ้วสีกรมท่ากับกางเกงขายาวสีเบจก็ปรากฏกายขึ้น นภษรที่เคยเจอกันแล้วหนหนึ่งที่สนามบินเปิดยิ้มและเอ่ยทักทายด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดี ส่วนปาริชาตเธอยังทำหน้างง ๆ
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะคุณ วันนี้แวะมาหาคุณเสกข์เหรอคะ”
“ใช่ครับ ว่าแต่...อยู่ไหมครับ”
“อยู่ค่ะ เชิญนั่งรอก่อนนะคะ ป่านไปเรียนคุณเสกข์ก่อนไปว่าคุณ...เอ่อ...”
นภษรผายมือไปที่เก้าอี้นวมที่ถูกจัดเป็นกลุ่มไว้สำหรับรับรองลูกค้าที่จะเข้าพบผู้จัดการ ก่อนจะชะงักเมื่อเธอเองก็ลืมไปแล้วว่าหนุ่มหน้าตี๋ผิวขาวจัดคนนี้ชื่อเสียงเรียงนามอะไร
“ชิตครับ”
“ค่ะ เรียนคุณเสกข์ว่าคุณชิตมาพบ”
เธอพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันไปสั่งปาริชาตอีกหน ซึ่งหญิงสาวก็รีบปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย วันนี้ปาริชาตสวมชุดเดรสที่ทำจากผ้าชีฟองสีชมพูอมม่วง ผิวพรรณที่นวลลออของเธอจึงยิ่งดูผุดผาดน่ามอง และชิติพัทธ์ก็อดไม่ได้ที่จะปรายตาตามร่างบางซึ่งเคลื่อนไหวกายโดยมีชายกระโปรงคอยปัดพลิ้วเป็นจังหวะตามไปอย่างพึงใจ
“มีอะไร แวะมาไม่บอกกล่าว”
เพียงแค่ไม่กี่วินาทีให้หลัง สุรเสกข์ก็ผลักประตูห้องทำงานออกมา ตามด้วยปาริชาตที่หอบแฟ้มเอกสารเอาไว้ในมือ
“มาเก็บค่าไถ่”
ชิติพัทธ์ว่าพลางควักกระเป๋าเสื้อบนอกด้านซ้ายแล้วหยิบบางอย่างชูขึ้น
“จ่ายมาซะดี ๆ”
“อ้าว...อยู่กับนายเหรอ กำลังหัวเสียอยู่ว่าต้องได้ไปหาซื้อใหม่”
โทรศัพท์สีดำสนิทรุ่นล่าสุดที่ถูกชิติพัทธ์ยื่นส่งให้ขณะเดินตรงเข้ามาหา ทำให้สุรเสกข์รีบรับเอาไว้ด้วยความยินดี ไม่ปฏิเสธเลยว่าเมื่อคืนนี้ทั้งเขาและเพื่อนกลับออกจากร้านอาหารกึ่งผับแห่งนั้นในสภาพมึนเมาไม่น้อย ที่สำคัญคือกว่าจะรู้ว่าได้ทำโทรศัพท์มือถือหล่นหายก็ต่อเมื่อตื่นนอนเช้านี้แล้ว
“นายไปเจอที่ไหน ขอบใจมากว่ะเพื่อน”
“หล่นอยู่ในรถ เด็กมันเก็บมาให้เมื่อตอนสาย ๆ”
เพราะความมึนเมาอีกเช่นกันที่ทำให้ชิติพัทธ์ไม่กล้าขับรถขึ้นจอดในโรงเก็บด้วยหวั่นใจว่าจะไปเสยเข้ากับรถคันอื่น ดังนั้นจึงทำเพียงเบนหัวแอบฟุตบาทหน้าเต๊นท์รถเอาไว้ ต่อเมื่อสายวันนี้ลูกน้องจึงมาช่วยขับขึ้นไปเก็บให้และได้พบโทรศัพท์มือถือเครื่องดังกล่าว
“จ่ายค่าไถ่มาสิ”
ชิติพัทธ์แกล้งทวงขณะเดินตามเจ้าของห้องเข้าไปจนถึงโต๊ะทำงาน ซึ่งก่อนจะทันได้หย่อนกายลงนั่ง เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นพร้อมกับปรากฏร่างของปาริชาตประคองถาดใส่แก้วน้ำเข้ามา แววตาทั้งคู่ของชิติพัทธ์ก็ไหววูบขัดกับท่าทีสำรวมสงบปากสงบคำของเจ้าของ
“ฉันขอเลือกให้นายจ่ายค่าไถ่เป็นมื้อเที่ยงวันนี้ก็แล้วกัน”
พอประตูห้องทำงานนั้นปิดลงและปาริชาตก็ได้กลับออกไปแล้ว ชิติพัทธ์ก็หันไปตั้งท่าทวงค่าไถ่ตามเดิมอีก
“ได้ ไม่มีปัญหา”
การได้โทรศัพท์มือถือซึ่งเพิ่งถอยออกมาไม่ถึง 10 วันกลับคืนสู่มือเจ้าของอย่างปลอดภัย เป็นใครก็ยอมจ่าย แค่ค่าอาหารเพียงมื้อเดียวคงไม่กี่ตังค์
“เมื่อกี้เลขานายเหรอ”
“ใช่ มีอะไร”
“หึ...หึ”
เสียงหัวเราะหึ ๆ ของเพื่อนที่ดังมาให้ได้ยินโดยปราศจากคำพูดใด ๆ ทำให้สุรเสกข์ต้องตวัดสายตามองอย่างค้นคว้า ก่อนจะต้องได้คิดหนักเมื่อฝ่ายนั้นเอ่ยอะไรบางอย่างออกมาในที่สุด
“น่ารักดี ชวนไปกินข้าวด้วยกันนะ”
“เกี่ยวอะไรกับเค้าล่ะ นี่มันโทรศัพท์ฉันนะ ไม่ใช่ของเค้า”
“เออ...นั่นแหละ ถือว่ารวมอยู่ในค่าไถ่ด้วย กินข้าวเคล้านารี”
“จุ๊...นี่ อย่ามาทำเรี่ยราดแถวนี้นะ น่าเกลียดตาย”
สุรเสกข์ตัดบทพลางยกแก้วน้ำที่ปาริชาตเพิ่งนำมาวางให้พร้อมแขกขึ้นจิบ
“ไม่เห็นจะน่าเกลียดตรงไหนเลย ฉันเป็นเพื่อนนายนะ น่าเกลียดตรงไหน ถ้าเป็นนายเองนั่นแหละจะน่าเกลียดกว่า สมภารกินไก่วัดไม่เคยได้ยินรึ”
“แค่ก ๆ”
สุรเสกข์ไอเสียงขรมด้วยสำลักน้ำที่ตัวเองเสยกขึ้นจิบหวังกลบท่าทีหวงเลขา เพราะลำพังทุกวันนี้ยังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้ว่าตกลงปาริชาตกับคุณสุพลผู้เป็นพ่อมีความเกี่ยวพันกันหรือไม่ ชิติพัทธ์ก็ทำท่าจะขอเข้ามาแทรกแซงอีกคน
“นั่น ๆ ทักแค่นี้ทำเป็นสำลัก กำลังแอบทำตัวเป็นสมภารอยู่ล่ะสิ”
“เฮ่ย...จะพูดอะไรระวังปากบ้าง ลูกน้องฉันมาได้ยินมันเสียหายนะโว้ย”
สุรเสกข์จำเป็นต้องตีหน้าขรึมแถมกล่าวคำตำหนิเพื่อนออกมาเพราะหวังจะให้เลิกกระเซ้าแหย่ด้วยคำพูดเช่นนี้เสียที เขาไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะเป็นสมภาร หากแต่ห่วงผู้เป็นพ่อมากกว่า
“เอ่อ ๆ ขอโทษ เอาน่า...ชวนไปกินข้าวด้วยกัน”
“มันก็ต้องได้ชวนกันไปทั้งหมดนั่นแหละ รวมถึงคุณนภษรด้วย เพราะเที่ยงนี้พ่อมีนัดกับลูกค้าข้างนอก ทิ้งเธอไว้คนเดียวก็ไม่เหมาะ”
“ต้องอย่างงี้สิ ฉันต้องการให้ช่วยแค่นี้แหละ ที่เหลือสานต่อเอง”
“เอ๊ะ...หมอนี่ พูดไม่รู้จักฟัง มันน่าเกลียดไม่เข้าใจเหรอ เค้าจะมาหาว่าฉันยัดเยียดเพื่อนให้น่ะสิ”
“ไม่น่าเกลียดหรอกน่ะ รับรองจะทำให้เนียน หึ ๆ”
ชิติพัทธ์ว่าพลางหัวเราะลงลูกคออย่างอารมณ์ดี หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ในใจว่าอย่างน้อยวันนี้ได้ทานข้าวด้วยกันแถมได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามก็เกินความคาดหมายแล้ว
“สงสารเด็กมัน”
สุรเสกข์บ่นออกมาได้เพียงแค่นั้น เพราะชิติพัทธ์ที่วันนี้อารมณ์ดีเกินคาดดูจะไม่ระคายหูกับคำพูดเหล่านั้นเสียแล้ว ผิดกับเมื่อค่ำคืนที่ผ่านไปลิบลับ
ในที่สุดเที่ยงวันนั้นทั้งปาริชาตและนภษรก็ได้ร่วมเดินทางไปรับประทานอาหารกับสุรเสกข์และชิติพัทธ์ แม้คนเป็นเจ้านายจะทำตัวเฉย ๆ เรื่อย ๆ หากแต่ก็มีอยู่บ่อยครั้งที่ปาริชาตสังเกตเห็นว่าเขากำลังแอบมองด้วยสายตาขุ่นเคืองเป็นพัก ๆ แบบหาสาเหตุไม่เจอ
บุษบาฮาวาย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 เม.ย. 2556, 21:41:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 เม.ย. 2556, 21:41:48 น.
จำนวนการเข้าชม : 1617
<< ตอนที่ 7 | ตอนที่ 9 >> |
bow 15 เม.ย. 2556, 16:26:38 น.
รอตอนต่อค่า :)
รอตอนต่อค่า :)
ผักหวาน 17 เม.ย. 2556, 14:50:36 น.
สมภาร กับเพื่อนสมภาร อิอิ
สมภาร กับเพื่อนสมภาร อิอิ