เล่ห์รักเล่ห์เสน่หา
เล่ห์เหลี่ยมมีไว้ใช้กับคนรอบกาย
แต่หัวใจ...ใช้เพียงเล่ห์รักเท่านั้น
Tags: พฤกษ์ หทัยภัทร บุษบาฮาวาย

ตอน: ตอนที่ 16

ตอนที่ 16

พอได้เห็นร่างสูงของเพื่อนยืนเอามือไพล่หลังมองผ่านช่องกระจกข้างประตูออกไปยังด้านนอก โดยหันเหทิศทางไปยังห้องพักของตนเอง ดิษย์ซึ่งนั่งคอยที่จะคุยกันเรื่องงานอยู่ก็ถึงกับทนเก็บปากเก็บคำเอาไว้ไม่ไหว

“ห่วงนักก็ไปพามาที่นี่เสียเถอะ”

“นายว่าอะไรนะ”

เสียงย้อนถามดังมาจากร่างหนาซึ่งไหวกายคล้ายสะดุ้ง ทำให้ดิษย์ถึงกับส่ายหน้า ก่อนจะกลายเป็นยิ้มค้างเมื่อคนที่มาทรุดตัวลงนั่งร่วมโต๊ะขมวดคิ้วหนาราวกับไม่ชอบใจ

“หัวเราะอะไรของนาย”

“ดุเหรอ ใจเย็น ๆ ก่อน”

“เมื่อกี้พูดอะไร ว่ามา”

คนที่ถูกปรามไม่ยอมให้ความร่วมมือ ทว่ายังตั้งหน้าคาดคั้นเอาจากเพื่อนอย่างไม่ยอมลดละ

“ฉันบอกว่าถ้าห่วงเธอนักก็ไปพามาที่นี่ซะ”

“ใครห่วงใคร”

เสียงถามเคืองขุ่นของพฤกษ์ ทำให้ดิษย์ถึงกับยักไหล่ หากจะเทียบระหว่างคำพูดของดิษย์กับการกระทำของหทัยภัทร พฤกษ์เองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าใครสมควรจะถูกเคืองมากกว่า

“เออ...ไม่มีใครห่วงใครหรอก ฉันเดามั่วไปงั้นแหละ นี่...นึกยังไงพาเธอมาด้วย”

“ถ้ารู้ว่าจะดื้อแบบนี้ ก็ไม่พามาหรอก อุตส่าห์สั่งแล้วว่าให้อยู่แต่ในนั้น ดันตามคนงานไปซักผ้าจนได้”

“แล้วนายจะไม่เล่าให้ฉันฟังบ้างเหรอว่าจัดการกับนายวิภาตยังไงบ้าง”

การได้เห็นเพื่อนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขณะได้ทราบถึงพฤติกรรมที่ไม่ดีของนายวิภาต ทำให้ดิษย์แทบไม่อยากจะเชื่อว่าการที่พฤกษ์ลงทุนหอบหิ้วเอาน้องสาวของคนที่คิดร้ายต่อกันมาด้วย จะทำบนความปรารถนาดี

“ก็ให้ออกจากงาน”

“แค่นั้น?”

“ฮื่อ...”

การรับคำแบบไม่ยอมสบตาแถมลากเอาแบบพิมพ์ที่กางอยู่บนโต๊ะไปไว้ตรงหน้าแล้วพุ่งความสนใจไปที่มันโดยไม่ยอมเหลือบแลมาทางเขา ทำให้ดิษย์ถึงกับแอบส่ายหน้า

“แล้วเรื่องเหล็กเส้นว่าไง”

“ก็รื้อออกแล้วตามที่นายต้องการ ตอนนี้ให้หัวหน้าคนงานคุมอยู่”

“ยังมีเหลืออีกเยอะไหม”

“ไม่...เหลือที่ยังไม่ได้ตัดอยู่อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น”

“ฉันก็ช่วยกันดูกับชานนจนหมดแล้ว ไม่รู้ทำไมยังหลงหูหลงตา”

พฤกษ์บ่นออกมาเพราะก่อนจะกลับเข้ากรุงเทพเพื่อไปจัดการกับนายวิภาต เขากับชานนได้ช่วยกันหาหลักฐานเพื่อผูกมัดกับฝ่ายนั้นจนหมดแล้ว ไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ จะยังมีของผิดสเป็กเหลืออยู่อีก

“นายจะส่งกลับไปเปลี่ยนไหมล่ะ”

“ไม่ ช่างมันเถอะถ้าไม่ได้ใช้ก็เก็บไว้ก่อน งานหน้าคงได้ใช้ เช็คจำนวนที่เหลือดี ๆ อีกที”

“แล้วจะปล่อยเลยตามเลยเหรอ”

ดิษย์เอ่ยถามออกมาด้วยความแปลกใจ เพราะไม่อยากเชื่อเลยว่าพฤกษ์จะปราณีนายวิภาตมากถึงเพียงนี้ หรือมีอะไรบางอย่างที่เขายังไม่รู้?

“ก็แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ บังคับขู่เข็ญเอาจากน้องสาวเขาอีกไหม”

การยอมตัดทุกอย่างให้นายวิภาตไปแถมยกเงินก้อนอีกตั้ง 2 ล้านบาทแลกกับหทัยภัทร ถือเป็นการให้ที่นับไม่ถ้วน เพราะไม่ใช่เพียงมูลหนี้ที่เป็นตัวเงินเท่านั้น หากแต่พฤกษ์ยังอ้าขาผวาปีกปกป้องหญิงสาวซึ่งเป็นน้องของคนที่แว้งกัดเขาอีก ประการหลังนี้แหละที่เขาไม่รู้เลยว่าต่อไปต้องแลกด้วยอะไรบ้าง

“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อย”

“ถึงมันจะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบริษัท แต่นายไม่ต้องห่วงว่าฉันจะปล่อยให้งานส่วนรวมของเราเสียหาย”

“นายหมายความว่าไง บริษัทมันเป็นของเราทั้งสองคนนะ อ้อ...นายมีหุ้นมากกว่าฉัน”

“ฉันจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วด้วยมือฉันและเงินส่วนของฉัน นายไม่ต้องห่วง”

“ทำไมไม่จัดการในส่วนของบริษัทล่ะ ฉันถือว่ามันเป็นความเสียหายของบริษัทและถ้าพลาดเราก็พลาดด้วยกันทั้งคู่ นายทำแบบนี้ไม่ถูกเท่าไหร่นะพฤกษ์”

“ฉันคิดดีแล้ว...ช่างมันเถอะ ได้ปันผลปีนี้ฉันก็ค่อยเอามาชดเชยแล้วกัน เพราะยังไงก็ได้เยอะกว่านาย”

ใบหน้าที่เริ่มเครียดของพฤกษ์จุดรอยยิ้มออกมาเมื่อรับรู้ถึงความตั้งใจของเพื่อน ที่ตั้งแต่คบกันมาเขาก็รู้ถึงน้ำใสใจจริงของดิษย์ดีอยู่แล้ว

“มาคุยเรื่องงานดีกว่า พากันออกนอกเรื่องไปไกลแล้ว”

พฤกษ์ติงออกมา หลังจากเห็นเพื่อนยังคงขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ดีแล้วที่เขาตัดสินใจชดเชยความเสียหายให้บริษัทด้วยเงินส่วนตัว ขืนใช้เงินสำรองของบริษัทไปจัดการ...หทัยภัทรไม่ต้องกลายมาเป็นสมบัติของบริษัทด้วยเหรอ

“เออ...ฉันทราบข่าวมาจากวงใน เรื่องโครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาล”

ขณะกำลังคุยกันเรื่องแผนงานก่อสร้างที่ดำเนินอยู่ ดิษย์ก็เอ่ยขึ้นราวกับเพิ่งนึกได้ ด้วยเมื่อคืนนี้ภายหลังวางสายจากพฤกษ์ เขาก็ได้รับข่าวจากวิศวกรรุ่นน้องที่ผันตัวเองไปจับธุรกิจส่งเวชภัณฑ์ให้โรงพยาบาลตามคู่สมรสว่าในต้นปีงบประมาณใหม่ กระทรวงสาธารณสุขมีโครงการจะอนุมัติการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลประจำจังหวัดหลายแห่ง

“นายคุ้นเคยกับคุณเมทินี เธอไม่เล่าเรื่องงานของพ่อเธอให้ฟังบ้างเหรอ”

คำว่า ‘คุ้นเคย’ ที่ดิษย์หยิบยกมาพูด ถูกตีความจากการที่พฤกษ์เคยแวะเวียนพาเมทินีไปทานอาหารค่ำด้วยกันเพียง 2 – 3 หน จริงอยู่ที่ฝ่ายหญิงยินดีรับไมตรีจากเขาตั้งแต่เมื่อครั้งได้เจอกันในงานการกุศลแห่งหนึ่งเมื่อปีกลาย แต่เป็นพฤกษ์เองที่ยอมให้งานสำคัญกว่าผู้หญิง และต่อให้เพื่อนสนิทจะยกให้เขาและเธอมีความคุ้นเคยกัน ใจพฤกษ์กลับไม่ได้คิดเช่นนั้น

“พักนี้งานยุ่ง เลยไม่ได้เจอกัน”

“เอาน่า...พยายามไปเจอหน่อย ถ้าฟันงานนี้ได้ เปรมยาวไป 3 ปี 5 ปีเลยนะโว้ย”

“นายจะเอาจริงใช่ไหม”

พฤกษ์เอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทีมุ่งมั่นและคาดหวังของเพื่อน จริง ๆ แล้วพฤกษ์ไม่เคยนึกอยากประมูลงานกับส่วนราชการเพราะเขาเกลียดระบบที่เอื้อให้ทุจริต เขากลัวมือที่สะอาดสะอ้านของตนเองจะเปรอะเปื้อน และไหนจะต้องกลายเป็นเบี้ยล่างของนักการเมืองไม่เลือกระดับชั้นอีก แต่เพราะดิษย์เห็นว่าเป็นงานใหญ่ หากประมูลการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลประจำจังหวัดเกือบ 20 แห่งได้ ทั้งชื่อเสียงและเงินจำนวนมหึมาก็จะลอยมาหล่นปุตรงหน้า

“ก็จริงน่ะสิ เมื่อก่อนงานยิบย่อยก็ไม่อยากไปต่อสู้ฟาดฟันกับใครให้เสียแรง แต่นี่มันงานช้าง...น่าลองจะตาย นายไม่ใช่จะได้แค่งานนะ แต่ยังจะได้นั่งในตำแหน่งลูกเขยรัฐมนตรีอีกด้วย”

“หวังไกลเกินไปละ”

พฤกษ์เปิดยิ้มพลางส่ายหน้าให้กับความคาดหวังของเพื่อน เพราะดูเหมือนดิษย์จะคิดแทนเขาไปเสียหมด

“อ้าว...ไม่หวังได้ไง คุณแม่นายเป็นเพื่อนกับคุณแม่ของคุณเมทินีไม่ใช่เหรอ งานนี้กองหนุนเพียบ”

“แต่แม่เค้าก็ตายไปแล้วนี่หว่า”

“ไม่เป็นไร ยังไงก็เป็นคนรู้จักกัน ช่วงนี้ถ้าอยากรู้ข้อเท็จจริงว่าข่าวที่ฉันได้มามีมูลหรือเปล่า นายก็ต้องหาทางไปเจอกับคุณเมทินีแล้วล่ะ”

“มันจะไปได้ยังไงเล่า ก็เพิ่งมาวันนี้ จะให้ถ่อกลับไปอีกหรือไง”

“นายไปได้ถ้าใจนายคิดจะไป แต่ถ้าใจไม่อยากไป นายก็ไม่ได้ไป น้องแพรรู้หรือเปล่าว่านายระเห็จออกมาไซด์งานอีกแล้ว”

ความสนิทสนมคุ้นเคยที่มีต่อพฤกษ์ ทำให้ดิษย์พลอยเผื่อแผ่ความรู้สึกนั้นไปถึงน้องสาวของเพื่อนด้วย แพรพิไลยังเด็กและติดพฤกษ์แจ เธอเพิ่งถูกคนเป็นพี่ชายปรามพฤติกรรมพันพัวนัวเนียก็ตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยนี่เอง ที่สำคัญพฤกษ์กลัวว่าจะมีบางอย่างผุดขึ้นท่ามกลางความสนิทสนมคุ้นเคยของคนทั้งสอง ซึ่งความรู้สึกนั้นของเขาน่าจะคลายลงหากได้เห็นดิษย์มีคนรักเป็นตัวเป็นตน แต่เพราะทุกวันนี้เพื่อนยังลอยไปลอยมา ใจเขาจึงยังพัวพันอยู่กับความห่วงหวงไม่รู้จักจบจักสิ้นสักที

“ยังไม่ได้บอก”

“งั้นก็เตรียมหาสำลีมาอุดหูรอไว้เลย”

“ใคร นายรึฉัน”

พฤกษ์เอ่ยถามพลางหรี่ตาจับพิรุธของเพื่อน ทว่าเมื่อฝ่ายนั้นทำเพียงหัวเราะร่วนแถมตีสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ พฤกษ์จึงได้แต่มองอย่างขัดใจ

“นายสิ ฉันไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”

“ก็ขอให้ไม่เกี่ยวจริง ๆ เถอะ”

“ครับ...ท่านผู้ปกครอง ผมยุ่งมากเพราะต้องคุมงานก่อสร้างแล้วไหนจะต้องเตรียมตัวไปหาเงินประกันสัญญามาไว้รอเผื่อท่านประมูลงานช้างได้ ไม่มีเวลาไปเกี่ยวข้องด้วยหรอกครับ”

แม้พฤกษ์จะยิ้มหัวให้กับคำพูดนั้นของเพื่อน ทว่าสายตาคมที่หลุบลงมองพิมพ์เขียวตรงหน้านั้นกลับดูซีเรียสจริงจัง อีกไม่เกิน 5 เดือนงานก่อสร้างแห่งนี้จะเสร็จสมบูรณ์พร้อมส่งมอบ และหากถึงเวลานั้นบริษัทยังมีงานก่อสร้างบ้านจัดสรรอีกหนึ่งโครงการต่อคิวรออยู่ คิดไม่ตกว่าเขาควรทำแต่พอตัวเท่านี้หรือทะยานไปไขว่คว้าจนสุดกำลังดี



ทางด้านของหทัยภัทร หลังเปิดประตูออกไปจากห้องพักสี่เหลี่ยมนั้นได้ เธอก็หันซ้ายหันขวาเผื่อจะเห็นพฤกษ์ยังเดินอยู่แถวนั้น ซึ่งเมื่อเห็นว่าปลอดจากคนที่เธอกำลังมองหาอย่างระแวดระวัง ร่างบางก็หอบเสื้อผ้าเดินตามคนงานหญิงที่มาเคาะประตูเรียกไปทันใด

“เอ่อ...ฉันชื่อหลิว ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไร”

“อุ๊ย...อย่าเรียกว่าคุณเลยค่ะ หนูชื่อมาลี คุณเรียกว่ามาลีเฉย ๆ ก็ได้”

คนงานหญิงตัวเล็กในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีเขียวเข้มสกรีนโลโก้ของบริษัทที่ด้านหลัง เงยหน้าขึ้นบอก ขณะเปิดน้ำจากก๊อกใส่กาละมังเตรียมละลายผงซักฟอก หทัยภัทรย่อตัวลงนั่งยอง ๆ รอหย่อนเสื้อผ้าในอ้อมแขนลงไปหากปริมาณน้ำมีเพียงพอ

“มาลีเป็นคนแถวนี้หรือเปล่าจ๊ะ”

“ใช่ค่ะ หนูกับสามีมาเช้าเย็นกลับ”

“คนงานในนี้มีแต่คนแถวนี้ทั้งนั้นเลยเหรอมาลี”

การได้เห็นอัธยาศัยของหญิงบ้านนา ทำให้หทัยภัทรรู้สึกคลายความกังวลหากเธอต้องอยู่ที่นี่ แม้ไม่รู้ว่าจะนานกี่วันหรือกี่เดือน แต่ถ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คนอย่างมาลี เธอก็คงอยู่ได้แบบไม่ลำบากลำบนนัก

“เปล่าค่ะคุณ มีทั้งจากต่างจังหวัดและก็คนงานพม่าด้วยค่ะ”

“อ้าว...เหรอ แล้วพวกเขามาทำงานที่นี่กันได้ยังไง”

“เป็นคนงานพม่าที่นายจ้างเดิมพาไปขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวแล้วค่ะ พอรู้ว่าที่นี่เงินดีก็ลาออกแล้วมาสมัครกัน แต่บางคนแอบหนีมาก็มีนะคะ พวกนี้เค้าจะติดต่อกันค่ะ ใครได้งานดีก็จะไปชักชวนเพื่อนฝูงมา ส่วนคนงานต่างจังหวัดนั่นก็เป็นของบริษัทอยู่แล้วค่ะ”

“แล้วคนงานพม่ามีกี่คน เยอะไหม”

คำบอกเล่าของมาลี ปลุกความอยากรู้ของหทัยภัทรให้ตื่นตัว เธออยู่แต่ในกรุงเทพมาตั้งแต่เกิด เรียนและทำงานในสถานที่ปราศจากแรงงานต่างด้าว จึงไม่เคยรู้และไม่เคยสัมผัสกับเรื่องราวที่พรั่งพรูออกจากปากของอีกฝ่าย

“ก็เกือบ 20 ครอบครัวเหมือนกันค่ะ คุณ...จะไปไหนมาไหนก็ระวังตัวบ้างนะคะ”

เรียวปากอิ่มของหทัยภัทรจุดรอยยิ้มบาง ๆ อย่างขอบคุณในคำเตือนของฝ่ายนั้น ก่อนจะหวนนึกไปถึงคำพูดของพฤกษ์ที่กำชับนักกำชับหนาว่าให้อยู่แต่ในห้องพักทว่าเธอกลับแอบตามมาลีออกมา ดังนั้นจึงได้แต่หวังว่าเขาคงกำลังทำงานและมองไม่เห็นว่าเธอขัดคำสั่ง

“แล้วมาลีมาทำงานที่นี่ได้ยังไง ใครเป็นคนชวนมา”

“อ๋อ...ทราบข่าวจากผู้ใหญ่บ้านค่ะคุณ ตั้งแต่เค้ามากว้านซื้อที่นาตรงนี้ ที่ของพ่อหนูอยู่ถัดไปอีกนิดเดียว เสียดายที่เค้าไม่ซื้อ ไม่งั้นหนูคงไม่ต้องมาทำงานเป็นกรรมกรแบบนี้”

น้ำเสียงของมาลีฟังดูแสนเสียดายที่พ่อของเธอยังเก็บที่นาเอาไว้นั้น สร้างความแปลกใจให้กับคนฟังเป็นอันมาก ไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอกหรือหากพ่อแม่จะเก็บสมบัตินั้นไว้ให้ลูกหลาน

“อ้าว ดีเสียอีกที่ไม่ได้ขายที่นา เพราะถ้าขายมาลีจะเอาที่ดินที่ไหนปลูกข้าวกินล่ะ”

“หูย...คุณ ขายที่ได้เงินเยอะแยะ ดูอย่างเจ้าของที่ดินตรงนี้สิคะ ชาตินี้ก็สบายไปแล้ว มาลีกับพี่ ๆ น้อง ๆ อยากให้พ่อขายค่ะ แกจะได้เลิกทำนาแล้วอยู่อย่างสบายซะที”

“มาลีมีพี่น้องกี่คน”

หทัยภัทรอยากจะคิดว่าในเมื่อมาลีมีพี่น้องตั้งหลายคน ทำไมยังปล่อยให้พ่องานหนัก แต่ในเมื่อเธอหันมองไปทางไหนก็มีแต่ท้องทุ่งที่ตอข้าวแห้งกรอบ คนในท้องถิ่นนี้ก็คงหนีไม่พ้นอาชีพทำนา

“มีกัน 4 คนค่ะ”

“ยึดอาชีพทำนากันหมดเลยเหรอ”

“ค่ะ ฤดูฝนก็ทำนา หน้าแล้งแบบนี้ก็รับจ้างเค้าทำงานไปค่ะ”

“แสดงว่าพ่อของมาลีคงยังแข็งแรงอยู่ล่ะสิ”

“พ่ออายุ 67 แล้วค่ะ แต่ก็ยังแข็งแรงดีอยู่ ลูก ๆ ห้ามไม่ค่อยฟังหรอกค่ะเรื่องลงสวนลงนา เถียงอยู่อย่างเดียวว่าทำมาตั้งไม่รู้กี่สิบปีแล้ว พวกหนูเลยไม่รู้จะห้ามยังไง”

คนงานหญิงคนนั้นปากก็ว่าส่วนมือก็คอยขยำขยี้เสื้อผ้าในกาละมังไป ความช่างเจรจาของเธอ ทำให้หทัยภัทรคลายความอึดอัดใจเมื่อต้องอยู่กับคนแปลกหน้า

“คุณหลิวเพิ่งมาใช่ไหมคะ หนูไม่เคยเห็นเลย”

“จ๊ะ เพิ่งมาเมื่อเช้านี้เอง มาลีคงสงสัยล่ะสิว่าทำไมถึงต้องหอบเอาเสื้อผ้ามาซักที่นี่ด้วย”

“ใช่ค่ะ เห็นมีคนไปบอกว่าเสี่ยขอแรงให้มาช่วยซักผ้า”

คำว่า ‘เสี่ย’ ที่คนงานหญิงคนนั้นใช้เรียกพฤกษ์ ทำเอาหทัยภัทรกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่ เพราะนอกจากฐานะและกิจการมั่นคงเป็นปึกแผ่นแล้ว เธอว่าพฤกษ์ยังไม่มีวัยวุฒิพอที่จะคู่ควรกับคำนั้น

“พอดีเพิ่งซื้อมาใหม่จ๊ะ เลยต้องซักก่อน”

“นี่เป็นเสื้อผ้าใหม่เหรอคะ แหม...ถ้าเป็นคนแถวนี้เค้าไม่ซักกันหรอกค่ะ ซื้อมาก็ใส่เลยคนจะได้รู้ว่าเรามีตังค์ซื้อเสื้อผ้าใหม่”

หทัยภัทรหัวเราะให้กับคำพูดของมาลี ท่าทางซื่อ ๆ ไร้จริตนั้นทำให้หญิงสาวสามารถพูดคุยด้วยอย่างสบายใจ

“มันต้องรีดหรือเปล่าคะคุณ ถ้าต้องรีดเย็นนี้หนูจะเอาไปรีดที่บ้านให้”

คำพูดคำจาที่เป็นไปด้วยความเอื้อเฟื้อของสาวชาวบ้านอย่างมาลี เรียกรอยยิ้มของหทัยภัทรให้เปิดกว้างอีกหน เพราะเหตุที่รู้ว่าต้องมาไซด์งานก่อสร้าง เสื้อผ้าที่หทัยภัทรเลือกซื้อจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งเตารีด แถมยังซักง่ายแห้งเร็วอีกต่างหากด้วย

“ผ้าแบบนี้ไม่ต้องรีดหรอกจ้า ตากแห้งแล้วก็ใส่ได้เลย”

“ดีค่ะ อยู่ที่นี่คงไม่สะดวกสบายเหมือนบ้านคุณ พูดจริง ๆ นะคะ หนูเสียดายผิวคุณ มาโดนแดดแบบนี้ระวังจะไหม้เอา”

หทัยภัทรมีผิวขาวผุดผ่อง ยิ่งเธอสวมเสื้อยืดสีดำ มันก็ยิ่งตัดกับผิวพรรณของเธอจนใครที่ได้มองต่างก็พูดในทำนองเดียวกับมาลี

“ฉันทาครีมกันแดดแล้ว คงไม่เป็นไรหรอก”

การเดินสำรวจห้องสี่เหลี่ยมนั้นจนทั่วแล้วแอบเห็นหลอดครีมกันแดดวางอยู่บนกระเป๋าเสื้อผ้าของพฤกษ์ ทำให้หทัยภัทรไม่รีรอที่จะแอบเอามาชโลมผิวกาย ซึ่งปริมาณของมันที่หายไปจากหลอดเพียงน้อยนิดก็คงไม่ทำให้เจ้าของสังเกตเห็น

“แหม...แต่ถึงยังงั้นก็เถอะค่ะ ทางที่ดีคุณพยายามอย่าออกมาเดินตากแดดให้มากเลยนะคะ ดำไปน่าเสียดายแย่ คนกรุงเทพคงมีแต่คนผิวขาวกันทั้งนั้นนะคะ ทั้งคุณทั้งเสี่ยหนึ่ง เสี่ยสองต่างก็ผิวขาวกันหมด”

จากที่เคยกลั้นยิ้มเพราะคำว่า ‘เสี่ย’ ที่มาลีหยิบยกขึ้นมาพูดให้ได้ยินในครั้งแรก กระทั่งได้ยินฝ่ายนั้นเรียงลำดับเสี่ยเอาไว้ให้เสร็จสรรพ หทัยภัทรก็เผลอตัวปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยถามให้คลายสงสัยด้วยยังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

“ใครเป็นคนตั้งให้เหรอจ๊ะ เสี่ยหนึ่งกับเสี่ยสองน่ะ”

“อุ๊ย...”

มาลีอุทานราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านั่นเป็นสรรพนามที่ใช้เรียกนายจ้างเฉพาะในหมู่คนงานด้วยกันเท่านั้น ซึ่งพอเห็นรอยยิ้มของหทัยภัทรบวกกับแววตาใคร่รู้ของเธอที่มองมา คนงานหญิงก็ยิ้มเจื่อน ๆ

“คือ...ใช้เรียกกันในหมู่คนงานค่ะ”

“แล้วใครเป็นเสี่ยหนึ่ง”

“ก็เสี่ยของคุณไงคะ ส่วนเสี่ยสองก็คนที่อยู่ทุกวัน พวกเราน่ะไม่รู้หรอกค่ะว่าเสี่ย ๆ ทั้งหลายชื่ออะไรกันบ้าง แต่เรียกแค่นี้ก็เข้าใจกันแล้ว”

หทัยภัทรพยักหน้ารับรู้ในคำบอกเล่าของมาลี แม้จะกระอักกระอ่วนใจกับคำว่า ‘เสี่ยของคุณ’ หากแต่เธอก็ไม่คิดจะแย้งด้วยมองไม่เห็นประโยชน์ใด ๆ จากการต้องมาคอยตอบคำถามของสาวชาวบ้านคนนี้ ที่สำคัญคือมันเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรแพร่งพรายไปสู่คนที่ไม่ได้รู้จักมักจี่ ต่อให้ฝ่ายนั้นจะมีน้ำใจมาช่วยซักผ้าให้ก็ตาม

“ฉันต้องไปบอกเจ้าตัวเค้าให้รู้เสียแล้ว”

“อย่าบอกนะคะคุณ ขืนบอกใครต่อใครก็ต้องรู้แน่ ๆ ว่ามาจากปากมาลี”

“อ้าว...ก็มันไม่เห็นเสียหายตรงไหนนี่นา”

“แหม...มาลีไม่อยากให้รู้นี่คะ อีกอย่าง...พวกเสมียนสาว ๆ นั่นก็ใช่ย่อย วันนี้แค่เห็นรถเสี่ยหนึ่งจอดอยู่ก็กระดี๊กระด๊าส่งสัญญาณกันใหญ่ นี่ถ้ารู้ว่ามาลีได้มาซักผ้าให้คุณ ได้พูดคุยกับคุณ คงมีแต่คนอยากเอาตัวมาลีไปซักจนซีด”

“ยังไงเหรอจ๊ะ”

“พวกเสมียนสาว ๆ เห่อเสี่ยหนึ่งจะตายไปค่ะ ดีแล้วที่คุณมาด้วย พวกนั้นจะได้เลิกฝันกลางวันกันซะที”

หทัยภัทรยิ้มบาง ๆ ให้กับคำพูดของมาลี แม้เธอจะยังเชื่อว่าไม่มีอะไรกับพฤกษ์และสิ่งที่เขาว่ามานั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ทว่าพอถึงเวลานี้ หญิงสาวกลับยินดีที่จะปล่อยเลยตามเลย

“อุ๊ย...คุณคะ”

เงายาว ๆ ที่ทาบมาตามพื้น พร้อมกับเสียงอุทานของมาลี ทำให้หทัยภัทรต้องเงยหน้าขึ้นมอง พอได้เห็นร่างสูงซึ่งสวมหมวกนิรภัยสีขาวเดินมาหยุดยืนอยู่ใกล้ ๆ เธอก็ทำหน้าเจื่อน

“ซักเสร็จกันหรือยัง”

แม้จะรู้ว่าพฤกษ์คงไม่พอใจนักที่เธอขัดคำสั่งเขา แต่น้ำเสียงที่ฝ่ายนั้นใช้ก็ไม่ได้ห้วนจัดด้วยความฉุนโกรธ ตรงข้ามกลับดูเหมือนจะให้เกียรติแถมไม่ขัดหูคนฟัง เรียวปากอิ่มของหทัยภัทรจึงคลี่ยิ้มอย่างสำนึกผิด

“จวนจะเสร็จแล้วค่ะ คุณยังไม่ได้ไปไหนอีกเหรอคะ”

“ก็สังหรณ์ใจว่าใครบางคนจะแอบย่องออกมาจากห้อง เลยยังวนเวียนดูอยู่แถวนี้”

“คุณล้างมือเถอะค่ะ ที่เหลือมาลีทำเอง”

เสียงคนที่ยังนั่งซักผ้าอยู่ด้วยกันกระซิบบอกพลางสะกิดมือของหทัยภัทรที่ยังแช่อยู่ในกาละมังหมายกระตุ้นให้เธอรีบผละจากไปโดยพลัน เพราะหากเจ้านายบอกว่าการแอบย่องออกจากห้องของหญิงสาวเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง มาลีเองก็คงต้องมีความผิดไปด้วย โทษฐานที่ยอมให้หทัยภัทรเดินตามมา

“รีบกลับเข้าห้องเถอะ อากาศร้อนมาก เดี๋ยวจะไม่สบาย”

แล้วหทัยภัทรก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้และรามือจากงานในกาละมังแต่โดยดี หญิงสาวไม่อยากสบสายตาพฤกษ์นัก เพราะรู้ดีว่าแม้เขาจะไม่ได้พูดจาเอ็ดอึง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะชอบใจที่เธอทำแบบนี้

ดังนั้นพอล้างไม้ล้างมือแล้วแอบเช็ดมันเข้ากับชายเสื้อด้านในราวกับเด็กประถม เธอจึงเตรียมเดินเลี่ยงไป แต่...พอก้าวขา ความเฉอะแฉะก็พาให้ลื่นไถล

“ว้าย...”

หทัยภัทรอุทานออกมาเสียงแหลมก่อนจะหลับตาปี๋ยอมรับสภาพจับกบแบบไม่ฝืนชะตาชีวิต ทว่าพอได้สัมผัสกับอ้อมแขนที่สอดเข้ามารับเอาไว้อย่างทันท่วงที ใจที่เต้นรัวของเธอก็ได้แต่ตะโกนคำว่าขอบคุณ

“เกือบไปแล้วไหมล่ะ”

“ขอบคุณค่ะ”

ร่างบางที่พยายามก้าวขาขึ้นไปยืนบนพื้นแห้งเอ่ยคำขอบคุณออกมาขณะในใจยังไม่คลายความระทึก ก่อนจะต้องได้ตวัดดวงตาคู่โตให้กับคนที่เพิ่งแสดงน้ำใจไปหยก ๆ เพราะคำพูดของเขาซึ่งดังขึ้นขณะเจ้าของโน้มตัวลงมากระซิบ

“ผมบอกให้อยู่แต่ในห้อง ดื้อจริง ๆ เลยคุณนี่ จับตีก้นซะดีไหม”







บุษบาฮาวาย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 เม.ย. 2556, 22:58:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 เม.ย. 2556, 22:58:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 1783





<< ตอนที่ 15   ตอนที่ 17 >>
ผักหวาน 19 เม.ย. 2556, 08:39:12 น.
ห่วงใยกันเหลือเกิน หุหุ แดดร้อนกลัวว่าจะไม่สบาย


mhengjhy 19 เม.ย. 2556, 10:12:13 น.
คุณพฤกษ์สู้ๆ เชียร์สุดใจขาดดิ้น


ปั้นฝัน 19 เม.ย. 2556, 11:43:53 น.
แดดร้อน เดี๋ยวจะไม่สบาย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account