พันธนาการหวาม
ถ้าคุณชื่นชอบ เส้นทางระหว่างหัวใจ คุณก็ไม่ควรพลาดเรื่องนี้
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่4
๔
เพียวเดินทางมาถึงโรงพยาบาลประจำรัฐฟลอริดาด้วยหัวใจอันว้าวุ่น...จอร์ซบุตรชายคนเดียวของป้าลิซซี่ ญาติสนิทผู้เปรียบเป็นน้องชายแท้ๆของเขา แม้ไม่ได้เกิดและเติบโตมาด้วยกัน แต่ทุกครั้งที่เขาเดินทางมาพักอาศัยอยู่บ้านญาติฝ่ายบิดา จอร์ซคือเพื่อนที่นำพาเขาไปได้ทุกที่ตามต้องการ เมื่อเขาประสบเหตุให้เกิดอาการเจ็บป่วยสาหัส เพียวจึงไม่รีรอที่จะมาเยี่ยมเยียนถึงที่ แม้จะรู้สึกขัดใจอยู่บ้างเพราะกว่าเขาจะติดต่อเดินเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางเสร็จก็ใช้เวลาเนิ่นนาน แต่ก็ถือว่าโชคดีที่วันเวลาในวีซ่ายังมีอยู่พอมีเหลือให้เขาสามารถเดินทางไปอเมริกาได้ทันที
“ป้าลิซครับ” เพียวเรียกเบาๆ เมื่อเข้าไปหยุดยืนอยู่หน้าห้องกระจกใสที่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆภายในนั้นได้อย่างชัดเจน
“โอ้...เพียวหลานป้า ดีใจมากที่เพียวมา” อ้อมแขนอันอ่อนล้าเริ่มมีแรงอ้าออกรับร่างสูงที่เดินเข้ามากอดตอบด้วยความเต็มใจแกมสงสาร
“จอร์ซเป็นยังไงบ้างครับป้าลิซ” เพียวเอ่ยถามผู้เป็นป้าด้วยใบหน้าเผือดสี
“ยังไม่รู้สึกตัวเลยจ้ะ นอนอยู่ในห้องไอ.ซี.ยู.มาหลายวันแล้ว หมอเองก็ยังไม่ยืนยันว่าจะพ้นขีดอันตรายเมื่อไหร่” สุภาพสตรีชาวอเมริกันสูงวัยเอ่ย ทั้งลูบหน้าลูบไหล่หลานชายด้วยความรักและต้องการกำลังใจเป็นล้นพ้น
ป้าลิซเป็นญาติผู้ใหญ่ฝ่ายบิดาคนเดียวที่เหลืออยู่ เพียวจึงให้ความเคารพรักคุณป้าผู้ใจดีคนนี้มากเสมอมารดาของเขาอีกคน ถึงแม้ว่าบิดาแท้จะเสียชีวิตไปนานปีแล้ว และมารดาก็แต่งงานใหม่กับมิสเตอร์ไบรอันผู้มีเชื้อชาติเป็นชาวอังกฤษ และเขาก็ให้ความรักความเคารพไบรอันเสมือนพ่อแท้ๆ แต่ความผูกพันทางสายเลือดก็ไม่ได้ทำให้เขาลืมป้าลิซกับจอร์ซผู้มีศักดิ์เป็นน้องชาย
“มันเกิดขึ้นได้ยังไงครับป้า ทำไมจอร์ซถึงได้ขับรถเร็วจนเกิดอุบัติเหตุ ทั้งๆที่จอร์ซไม่ใช่คนที่จะชอบทำอะไรแบบนั้น” เพียวถามถึงสาเหตุอย่างอดที่จะรอกลับไปซักไซ้ที่บ้านไม่ไหว
“ป้าไม่รู้...ป้ารู้แต่ว่าวันนั้นจอร์ซเขาคุยโทรศัพท์กับใครไม่รู้สักพัก แล้วเขาก็หุนหันขับรถออกจากบ้านไปด้วยความเร็ว เขาหายไปนานจนทางตำรวจโทรศัพท์บอกป้าว่าจอร์ซรถคว่ำ” ป้าลิซเล่าแกมก้อนสะอื้นที่ตีตื้นขึ้นมาจุกที่คอ น้ำตาแห่งความอาดูรรินไหลออกมาอีกครั้ง
เพียวกอดผู้เป็นป้าเอาไว้แน่นราวกับว่าเขากำลังถ่ายทอดความเข้มแข็งไปสู่ร่างบอบบางของสุภาพสตรีสูงวัย เขาเข้าใจดีถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ยากที่จะย้อนกลับไปแก้ไขคงทำได้เพียงแค่ทำใจยอมรับมัน
“มันเป็นอุบัติเหตุครับป้า...แต่ผมเชื่อว่าจอร์ซต้องปลอดภัย”
ชายหนุ่มมองสภาพของน้องชายผ่านผนังกระจกด้วยหัวใจที่เจ็บร้าว เมื่อไม่ทราบถึงความเป็นตายร้ายดี แต่เขาก็พอจะเบาใจได้บ้างเพราะอย่างน้อยจอร์ซก็ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์เรียบร้อยแล้ว
“เพียว...ป้าไม่รู้หรอกนะว่ามันจะเกี่ยวอะไรกันหรือไม่อย่างไร แต่ในที่เกิดเหตุตำรวจเขาพบนี่อยู่ในมือจอร์ซ เขากำมันแน่นจนยับยู่ยี่ไปหมด” ป้าลิซเอ่ยพลางค้นหาบางสิ่งในกระเป๋าถือยื่นให้หลานชาย
ภาพถ่ายที่มีสภาพยับเยิน แต่ก็ยังเห็นได้ชัดเจนถึงสิ่งที่ปรากฏอยู่ในนั้น...ภาพหญิงชายคู่หนึ่งในอิริยาบถที่แสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมมีรอยหมึกสีแดงคาดทับเป็นกากบาทบนใบหน้าฝ่ายหญิงพร้อมข้อความกำกับด้วยลายมือของจอร์ซ...ไปตายซะ!... ประโยคสั้นๆที่บอกได้ถึงอารมณ์คนเขียนเป็นอย่างดี แต่นั่นไม่ได้ทำให้เพียวรู้สึกเย็นวาบไปทั้งสมองได้เท่ากับการที่เขารู้จักผู้หญิงในรูปคนนี้ว่าเธอคือใคร
“โสภิตา!...”
“เพียวรู้จักผู้หญิงคนนี้เหรอ” ป้าลิซถามขึ้นเมื่อได้ยินคำอุทานของหลานชาย
“เอ่อ...ก็ไม่เชิงครับ...ผมเคยพบเธอครั้งสองครั้ง เธอเป็นคนไทย”
“ป้าคิดว่าจอร์ซคงหลงรักเธอ คงทุมเทหัวใจทั้งหมดให้ ด้วยความหวังที่ได้รับ แล้วเธอคงทำให้จอร์ซผิดหวัง” ป้าลิซสันนิษฐาน “เพียวดูสิ...เธอช่างเป็นเด็กสาวที่สวยน่ารัก น่าหลงใหลที่สุดเท่าที่ป้าเคยเห็นในหญิงเอเชีย แต่ความงดงามของเธอมันคงไม่ต่างจากยาพิษที่เคลือบอยู่บนผลแอปเปิ้ล”
“ครับ...เธอทั้งสวยและน่ารักเสียจนผม...” เพียวกลืนคำพูดสุดท้ายลงคอ
หัวใจของชายหนุ่มกระตุกวูบเมื่อคิดถึงรสจูบอันแสนหวานที่สร้างความหวั่นไหวให้หัวใจของเขา แล้วก็ต้องรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นลงไปกองที่พื้นเมื่อเห็นความสัมพันธ์ของเธอผู้งดงาม กับชายผู้แสนจะหล่อเหลา ผ่านทางภาพถ่ายยับยู่ยี่ใบนั้น ถึงมันจะดูเหมาะสมกันมากมายแค่ไหน แต่ยังไงพวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำร้ายหัวใจใครให้ได้รับบาดเจ็บถึงขนาดนี้
“ถ้าเพียวพบเธออีกครั้ง เพียวช่วยถามเธอให้ป้าทีว่า เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำให้ผู้ชายคนหนึ่งอาจจบสิ้นทั้งชีวิต รวมไปถึงอนาคต และเธอยังกำลังจะทำให้ผู้หญิงแก่ๆคนหนึ่งหัวใจสลาย...” ป้าลิซเอ่ยทั้งยังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาที่กำลังซึมเอ่อปริ่มจะล้น
“ครับ...ป้าทำใจให้เข้มแข็งเอาไว้นะครับ...ผมเชื่อว่าจอร์ซจะต้องพ้นขีดอันตรายโดยเร็ววันนี้ ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะอยู่เป็นเพื่อนป้าลิซไปจนว่าจะมั่นใจว่าจอร์ซพ้นขีดอันตราย” เพียวรับปาก
ในสมองของเพียวเวลานี้มันตีบตันไปหมด เขาคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงต่อไป แต่สุดท้ายคงทำได้เพียงแค่รอเวลาให้น้องชายพ้นขีดอันตราย แล้วเขาก็ค่อยกลับมาสะสางในสิ่งที่ผู้เป็นป้าต้องการในภายหลัง
เสียงอึกทึกครึกโครมที่ดังอยู่ภายนอกห้องประธานกรรมการผู้กุมบังเหียนการบริหารไว้เต็มสองมือ มีผลให้ชายหนุ่มถึงกลับวางปากกาแล้วลุกจากเก้าอี้เดินออกมาดู
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาคิ้วเข้มของโสภณถึงกับต้องขมวดเข้าหากัน ด้วยอาการอึ้งและพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังจะปะทุขึ้น
“ใช่แล้วตรงนั้นแหละ เอาให้กว้างสักหน่อยเท่าที่สามารถกว้างได้ เอาซักสิบสองตารางเมตรก็แล้วกัน” เสียงใสๆสั่งการด้วยสีหน้าระรื่น ในขณะที่พนักงานคนอื่นๆยืนมองหน้าเผือดอ้าปากค้างไปตามๆกัน
“ได้ครับ...” ชายผู้อยู่ในชุดช่างก่อสร้างรับคำ ก่อนจะหันไปสั่งการลูกน้องอีกทอด
“นี่มันอะไรกันเจนนี่ เธอคิดจะทำอะไร” โสภณถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“เจนนี่จะทำห้องทำงานของเจนนี่ค่ะ” ผู้เป็นน้องสาวหันมาตอบก่อนจะกลับไปสนใจสังเกตการทำงานของช่างต่อ
“ทำห้องทำงาน!” โสภณอุทานขึ้นอย่างไม่เชื่อหู
“ค่ะ...เจนนี่กำลังจะเข้ามาทำงานที่นี่ เจนนี่ก็ต้องมีห้องทำงานเป็นของตัวเองสิคะ”
“ห้องพี่ไง...ถ้าเราจะทำงานเป็นผู้ช่วยพี่ แค่เอาโต๊ะเก้าอี้เข้าไปตั้ง ชอบมุมไหนก็เลือกเอาเท่านั้นก็พอแล้ว”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ตามตำแหน่งรองประธานบริหาร สมควรที่จะต้องมีห้องทำงานเป็นของตัวเอง เจนนี่ชอบความเป็นส่วนตัว เจนนี่จะกั้นห้องตรงนี้ เจาะประตูเพิ่มตรงนี้ทะลุไปที่ห้องพี่ภณโดยตรง จะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มในการทำห้องน้ำ เห็นไหมค่ะว่าเจนนี่ช่วยพี่ภณประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีก” เธอบอกด้วยสีหน้าราบเรียบแกมรอยยิ้มบางๆ
“ประหยัดค่าใช้จ่ายตรงไหน...” โสภณประชดมากกว่าอยากจะรู้จริงตามคำถามนั้น “แล้วใครบอกว่าพี่จะให้เธอทำในตำแหน่งนั้น”
“ก็เจนนี่...”
“เธอจะอยู่ในตำแหน่งเด็กฝึกงานและเข้าไปทำงานในห้องของพี่จนกว่าพี่จะเห็นว่าเธอมีความสามารถและความรับผิดชอบมากพอ” โสภณสั่งน้องสาวเสียงเข้ม
“เจนนี่ไม่ยอม” ผู้เป็นน้องสาวโวยวาย
“ขอโทษนะครับที่ทำให้ต้องเสียเวลา แต่ที่นี่จะยังไม่มีการสร้างหรือต่อเติมใดๆในตอนนี้ เชิญพวกคุณกลับไปก่อน ไปรับค่าเสียเวลาที่เลขาฯของผมนะครับ” โสภณหันไปพยักพเยิดสั่งเลขานุการที่ยืนหน้าซีดทำอะไรไม่ถูกให้รับไปจัดการต่อ ก่อนจะลากน้องสาวตัวป่วนเข้ามาให้ห้องทำงาน
“พี่ภณไม่มีสิทธิ์ห้ามเจนนี่นะคะ พี่ภณลืมไปแล้วเหรอว่าเจนนี่ก็เป็นเจ้าของที่นี่เหมือนกัน”
“พี่ไม่ลืมหรอก”
“ไม่ลืมแล้วจะมาสั่งห้ามเจนนี่เอาไว้ทำไม เจนนี่อยากทำงานอยากบริหารสินทรัพย์ที่เป็นของเจนนี่อยากสร้างความเจริญรุ่งเรืองด้วยมือของเจนนี่ มันไม่ดีหรือไงคะ” หญิงสาวโพล่งขึ้น
“มันก็ดี พี่ดีใจที่มีน้องสาวมุ่งมั่นที่จะทำงาน แต่การทำงานมันต้องเริ่มต้นทีละขั้น ต้องค่อยๆเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์และทำความเข้าใจไม่ใช่แค่เนื้องานเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจรวมไปถึงความรู้สึกของพนักงานทุกคนรู้จักและเห็นอกเห็นใจพวกเขา รู้ค่าน้ำพักน้ำแรงที่หามาได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่กระโดดข้ามขั้นขึ้นมาแบบนี้ เกิดพลาดมันจะเจ็บหนัก” พี่ชายพยายามสอนอย่างใจเย็นที่สุด
“แล้วพี่ภณจะให้เจนนี่ทำยังไง จะให้เจนนี่ลงไปทำในตำแหน่งพนักงานต้อนรับข้างล่าง หรือจะให้เจนนี่ทำหน้าที่แม่บ้านทำความสะอาดเลยดีไหมคะ” น้ำเสียงนั้นเปล่งออกมาให้รู้ว่าประชดอย่างชัดเจน
“แล้วถ้าพี่จะให้เธอทำ เธอจะทำไหมล่ะ”
“ไม่...ยังไงเจนนี่ก็ไม่ทำ เจนนี่เป็นถึงน้องสาวของท่านประธาน เป็นหุ้นส่วน และยังเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ เรื่องอะไรเจนนี่จะไปทำงานพวกนั้น อายพวกพนักงานตาย...” หญิงสาวเชิดหน้าปฏิเสธ
“แต่พี่อยากให้เธอทำ เธอจะได้รู้จักงานว่าแต่ละตำแหน่งล้วนมีความสำคัญ อยากให้เธอรู้จักและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นที่อยู่ในตำแหน่งที่ด้อยกว่า จะได้ไม่เผลอเหยียบย่ำน้ำใจใคร แม้เขาจะไม่ได้อยู่ในระดับแวดวงสังคมเสมอเรา”
“ไม่จำเป็นต้องลงไปทำตำแหน่งพวกนั้นเจนนี่ก็รู้ค่ะว่ามันสำคัญ”
“แต่เธอต้องทำ...ถ้าเธออยากจะขึ้นมายืนเคียงข้างพี่ในตำแหน่งที่เธอต้องการ ถ้าปฏิเสธก็กลับบ้านไปช่วยคุณพลอยเลี้ยงหลานๆโน่น”
ความโกรธแล่นลิ่วขึ้นหน้าเมื่อได้ยินคำสั่งอันเฉียบขาดนั้น สายตาที่จ้องมองพี่ชายจึงเต็มไปด้วยความไม่พอใจและน้อยอกน้อยใจเป็นที่สุด
“เจนนี่ไม่ทำในสิ่งที่เจนนี่ไม่อยากทำ พี่ภณอย่ามาสั่ง”
“ที่ไม่ทำก็คงเพราะทำไม่ได้ล่ะสิ คงกลัวพี่รู้ว่าเธอเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่มีความสามารถ ไม่มีความอดทน และไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำงานใหญ่” โสภณเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มองน้องสาวกลับด้วยแววตาอีกแววตาหนึ่งที่สามารถปลุกให้น้องสาวลุกขึ้นต่อต้าน
“เจนนี่ทำได้ ทำไมเจนนี่จะทำไม่ได้” เธอเถียงขึ้นมาทันที
“แล้วทำไมถึงปฏิเสธ”
หญิงสาวอึ้งเหมือนกำลังทบทวนความคิดของตนเองก่อนจะ หันไปมองหน้าพี่ชายด้วยแววตาจริงจัง “โอเคค่ะ เจนนี่จะทำอย่างที่พี่ภณต้องการ จะให้ทำอะไรในตำแหน่งไหนว่ามา กี่วันกี่สัปดาห์ก็ว่ามา”
“ไว้พี่จะจัดเรื่องตารางงานของเธอให้ แต่วันนี้เธอกลับบ้านไปก่อนก็แล้วกัน”
“อ้าว...”
“เอาน่า...วันนี้ถึงวันที่หมอนัดคุณพลอยให้ไปตรวจครรภ์ เจนนี่พาคุณพลอยไปแทนพี่ทีพี่มีประชุมด่วนไม่อยากให้คุณพลอยต้องรอนาน ฝากทีนะ”
“ก็ได้ค่ะ...นี่เห็นแก่หน้าพี่สะใภ้ที่แสนดี กับหลานที่น่ารักของเจนนี่นะ ไม่งั้นเจนนี่ไม่กลับหรอก เจนนี่จะอยู่ประชุมด้วย” เจนนี่รับปาก
เมื่องานที่พี่ชายมอบหมายให้ชิ้นนี้เป็นงานที่ถือว่าสำคัญอยู่มาก เธอก็เต็มใจที่จะทำให้โดยไม่คิดเกี่ยงงอน เพราะนั่นคือการได้มีส่วนร่วมในการดูแลหลานอันเป็นที่รักก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมาดูโลกในอีกไม่กี่เดือน
โสภณมองตามหลังน้องสาวที่เดินพ้นประตูห้องไปจนลับตาพรางถอนหายใจเฮือก หากโสภิตาจะเป็นน้องสาวที่ว่าง่ายเช่นนี้ในทุกๆเรื่องคงจะดีไม่น้อย มันเป็นความคาดหวังที่โสภณยังไม่ล้มเลิกที่จะยังหวัง เขายังเชื่อว่าโสภิตายังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าไม้แก่ที่เกินจะดัด เพียงแต่เขาคงจะต้องใช้ความอดทนมากขึ้นสักหน่อย เพราะอย่างน้อยน้องสาวคนนี้ของเขาก็ใช่ว่าจะเป็นคนไร้ซึ่งเหตุผลซะทีเดียว
พลบค่ำโสภณเดินทางกลับมาบ้านหลังจากการประชุมเสร็จเรียบร้อย เขาปฏิเสธที่จะดื่มฉลองความสำเร็จกับเหล่าคณะกรรมการในการดำเนินงานที่ให้ผลกำไรเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้านั้นกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะห่วงภรรยาและอยากทราบผลการตรวจครรภ์ในครั้งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่เขาไปได้พาพิมพ์พลอยไปตรวจครรภ์ด้วยตัวเอง
“กลับมาแล้วเหรอคะคุณ”
เสียงใสๆที่สร้างกำลังใจให้โสภณได้รับความรู้สึกกระปี้กระเป่าทุกครั้งที่ได้ยินดังขึ้นทันทีที่เขาเดินผ่านประตูเข้าสู่ห้องโถงกว้าง
“กลับมาแล้วครับผม”
ชายหนุ่มคว้าตัวภรรยาเข้ามาจุมพิตหนักๆที่ขมับ ก่อนจะเกี่ยวเอวที่ค่อนข้างหนาและอุ้ยอ้ายนั้นให้เดินผ่านขึ้นไปยังชั้นบนในส่วนที่เป็นห้องนอน ปฏิเสธที่จะให้เธอหิ้วกระเป๋าเอกสารอย่างเช่นทุกครั้ง
“เป็นยังไงบ้างเหนื่อยหรือเปล่า”
“แค่ได้เห็นหน้าคุณพลอยรู้ว่าคุณพลอยอารมณ์ดีมีความสุขแค่นี้ผมก็หายเหนื่อยแล้วครับ” โสภณยิ้มละไม เขารู้ว่าอีกฝ่ายพอใจกลับคำตอบที่ได้รับนั้นอย่างมากจากรอยยิ้มกว้างที่ตอบกลับมา
“ปากหวานไม่เลิกเลยนะคะคุณเนี่ย”
กระเป๋าเอกสารถูกนำไปวางไว้บนโต๊ะเล็กๆข้างผนังห้อง ก่อนเขาจะพยุงภรรยาให้มานั่งพักที่ขอบเตียงกว้าง ด้วยท่าทีเอาอกเอาใจ
“ผมพูดจากใจต่างหาก...ว่าแต่เจนนี่ล่ะ” ชายหนุ่มถามถึงน้องสาวเมื่อนึกขึ้นได้
“น่าจะอยู่ที่ห้องนะคะ คุณภณมีอะไรหรือเปล่าเดี๋ยวพลอยจะออกไปเรียกให้” ผู้เป็นภรรยาเสนอตัว แต่สามีกลับปฏิเสธ
“ช่างเถอะปล่อยให้เขาพักไป...ว่าแต่เจ้าตัวเล็กที่อยู่ในนี้สบายดีหรือเปล่า เสียดายจังที่วันนี้ไม่ได้พาคุณไปหาหมอด้วยตัวเอง” ชายหนุ่มลูบท้องกลมๆของภรรยาเบาๆ ก่อนจะอ้าปากหวอ เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวเนิบนาบผ่านผิวหนังบริเวณ
“นั่นไงไอ้เจ้าหนูมันประท้วงพ่อขึ้นมาทันทีเชียว” คำปรารภของเขาทำให้ผู้เป็นภรรยาถึงกับปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบาๆอย่างขบขัน
“เขาทักทายคุณพ่อด้วยความคิดถึงต่างหากค่ะ” เธอกล่าวแก้
“ดูท่าจะซนไม่เบานะลูกคนนี้...ผมล่ะอยากเห็นหน้าเขาเร็วๆจัง เห็นผ่านอัลตร้าซาวด์มันไม่ชัดเลยสักนิด”
“ใจเย็นๆเถอะค่ะ อีกไม่กี่เดือนเราก็จะได้พบกับเขาสมใจ พลอยเชื่อว่ายังไงเขาต้องเกิดมาร่างกายแข็งแรงหน้าตาหล่อเหลาเหมือนพ่อ”
“ไม่ดีหรอกครับ ผมอยากให้ลูกชายของเราหน้าตาเหมือนแม่มากกว่า” โสภณแย้ง
“ทำไมคะ...”พิมพ์พลอยมองหน้าสามีด้วยความประหลาดใจ
“ก็เพราะว่าผมจะได้เห็นคุณตลอดเวลาที่ผมอยู่กับเขาไงครับ อีกอย่างคนโบราณท่านว่าลูกชายหน้าตาเหมือนแม่น่ะวาสนาดี”
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณภณจะเชื่อคำโบราณด้วย”
“เชื่อไว้ก็ไม่เสียหลายนี่ครับ ว่าแต่พลอยเถอะอยากให้ลูกของเราที่เกิดมาหน้าตาเหมือนผมบ้างหรือเปล่า” โสภณถามกลับด้วยความอยากรู้ว่าสามีคนนี้จะยังมีความสำคัญในจิตใจของภรรยาอยู่เท่าเดิมหรือเปล่า
“เขาจะหน้าตาเหมือนใครพลอยก็รักทั้งนั้นแหละคะ แต่ขออย่างเดียว”
“อะไรครับ...” สีหน้าของโสภณบ่งบอกว่าอยากรู้เต็มที่
“ขอให้เขามีนิสัยเหมือนพลอยมากกว่าเหมือนคุณ”
“อ้าว...นี่คุณกำลังจะบอกผมใช่ไหมว่าผมนิสัยไม่ดีน่ะ” โสภณชักสีหน้าเป็นเครียดขรึมขึ้นมาทันที
“คุณน่ะ...ชอบทำหน้าเคร่ง ดุ พลอยเห็นแล้วก็ขยาด นี่ถ้าลูกยังจะมาทำหน้าเคร่งหน้าดุอีกคน คงไม่ไหว” พิมพ์พลอยเฉลยความรู้สึก
“แหม...ถ้าผมดุจริงยัยเจนนี่ก็คงไม่กลายเป็นเด็กดื้อแบบนี้หรอก คุณลองคิดดู มีอย่างที่ไหนให้ช่างเข้าไปต่อเติมอาคารที่ทำงานไม่ยอมปรึกษาผม เล่นเอาวุ่นไปทั้งแผนก”
“เหรอคะ...” พิมพ์พลอยเพิ่มความสนใจในสิ่งที่รู้ขึ้นมาทันที เมื่อนึกไปถึงสีหน้าของน้องสามีเมื่อตอนที่พาเธอไปพบแพทย์ ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างให้ครุ่นคิดอยู่ในหัวตลอดเวลา
“แล้วยังไงต่อคะ”
“ผมก็ไล่ช่างให้กลับไปนะสิ แกโวยวายใหญ่ บอกว่าตำแหน่งรองประธานก็ต้องมีห้องส่วนตัว ทั้งๆที่ผมยังไม่ทันได้แต่งตั้งให้แกรับตำแหน่งนั้นเลยด้วยซ้ำ กว่าจะกล่อมให้สงบลงได้ก็แทบแย่ เพราะงั้น...จะมาว่าผมดุคงไม่ได้แล้วล่ะ”
“แล้วคุณคิดจะให้คุณเจนนี่ทำงานในตำแหน่งไหนคะ”
“เด็กฝึกงาน...”
“จะไหวเหรอคะ” พิมพ์พลอยเริ่มกังวลไปกับเรื่องที่สามีเล่า
“ไม่ไหวก็ต้องไหว เจนนี่เอาแต่ใจเกินไป จะขึ้นมาทำงานใหญ่รวดเดียวไม่ได้หรอก เขาต้องฝึกฝนตัวเอง ไต่เต้าจากเล็กไปใหญ่ ก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น เรียนรู้งานและฝึกสภาวะของจิตใจตัวเองให้โตพอที่จะรับผิดชอบงานใหญ่ๆได้ ผมก็เลยให้เธอเรียนรู้ไปตั้งแต่งานแม่บ้าน แล้วค่อยๆเปลี่ยนแผนกไปเรื่อยๆจนกว่าจะครบ”
“แล้วเธอยอมหรือคะ พลอยกลัวว่า...”
“ช่างเถอะ ตอนนี้เจนนี่รับปากแล้วว่าจะทำตามที่ผมสั่ง ก็เหลือแค่ดูผลงาน ถ้าแกไม่ก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีก เชื่อว่าไม่เกินปีผมจะให้เธอรับผิดชอบงานในตำแหน่งที่เธอต้องการ”
เพียวเดินทางมาถึงโรงพยาบาลประจำรัฐฟลอริดาด้วยหัวใจอันว้าวุ่น...จอร์ซบุตรชายคนเดียวของป้าลิซซี่ ญาติสนิทผู้เปรียบเป็นน้องชายแท้ๆของเขา แม้ไม่ได้เกิดและเติบโตมาด้วยกัน แต่ทุกครั้งที่เขาเดินทางมาพักอาศัยอยู่บ้านญาติฝ่ายบิดา จอร์ซคือเพื่อนที่นำพาเขาไปได้ทุกที่ตามต้องการ เมื่อเขาประสบเหตุให้เกิดอาการเจ็บป่วยสาหัส เพียวจึงไม่รีรอที่จะมาเยี่ยมเยียนถึงที่ แม้จะรู้สึกขัดใจอยู่บ้างเพราะกว่าเขาจะติดต่อเดินเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางเสร็จก็ใช้เวลาเนิ่นนาน แต่ก็ถือว่าโชคดีที่วันเวลาในวีซ่ายังมีอยู่พอมีเหลือให้เขาสามารถเดินทางไปอเมริกาได้ทันที
“ป้าลิซครับ” เพียวเรียกเบาๆ เมื่อเข้าไปหยุดยืนอยู่หน้าห้องกระจกใสที่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆภายในนั้นได้อย่างชัดเจน
“โอ้...เพียวหลานป้า ดีใจมากที่เพียวมา” อ้อมแขนอันอ่อนล้าเริ่มมีแรงอ้าออกรับร่างสูงที่เดินเข้ามากอดตอบด้วยความเต็มใจแกมสงสาร
“จอร์ซเป็นยังไงบ้างครับป้าลิซ” เพียวเอ่ยถามผู้เป็นป้าด้วยใบหน้าเผือดสี
“ยังไม่รู้สึกตัวเลยจ้ะ นอนอยู่ในห้องไอ.ซี.ยู.มาหลายวันแล้ว หมอเองก็ยังไม่ยืนยันว่าจะพ้นขีดอันตรายเมื่อไหร่” สุภาพสตรีชาวอเมริกันสูงวัยเอ่ย ทั้งลูบหน้าลูบไหล่หลานชายด้วยความรักและต้องการกำลังใจเป็นล้นพ้น
ป้าลิซเป็นญาติผู้ใหญ่ฝ่ายบิดาคนเดียวที่เหลืออยู่ เพียวจึงให้ความเคารพรักคุณป้าผู้ใจดีคนนี้มากเสมอมารดาของเขาอีกคน ถึงแม้ว่าบิดาแท้จะเสียชีวิตไปนานปีแล้ว และมารดาก็แต่งงานใหม่กับมิสเตอร์ไบรอันผู้มีเชื้อชาติเป็นชาวอังกฤษ และเขาก็ให้ความรักความเคารพไบรอันเสมือนพ่อแท้ๆ แต่ความผูกพันทางสายเลือดก็ไม่ได้ทำให้เขาลืมป้าลิซกับจอร์ซผู้มีศักดิ์เป็นน้องชาย
“มันเกิดขึ้นได้ยังไงครับป้า ทำไมจอร์ซถึงได้ขับรถเร็วจนเกิดอุบัติเหตุ ทั้งๆที่จอร์ซไม่ใช่คนที่จะชอบทำอะไรแบบนั้น” เพียวถามถึงสาเหตุอย่างอดที่จะรอกลับไปซักไซ้ที่บ้านไม่ไหว
“ป้าไม่รู้...ป้ารู้แต่ว่าวันนั้นจอร์ซเขาคุยโทรศัพท์กับใครไม่รู้สักพัก แล้วเขาก็หุนหันขับรถออกจากบ้านไปด้วยความเร็ว เขาหายไปนานจนทางตำรวจโทรศัพท์บอกป้าว่าจอร์ซรถคว่ำ” ป้าลิซเล่าแกมก้อนสะอื้นที่ตีตื้นขึ้นมาจุกที่คอ น้ำตาแห่งความอาดูรรินไหลออกมาอีกครั้ง
เพียวกอดผู้เป็นป้าเอาไว้แน่นราวกับว่าเขากำลังถ่ายทอดความเข้มแข็งไปสู่ร่างบอบบางของสุภาพสตรีสูงวัย เขาเข้าใจดีถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ยากที่จะย้อนกลับไปแก้ไขคงทำได้เพียงแค่ทำใจยอมรับมัน
“มันเป็นอุบัติเหตุครับป้า...แต่ผมเชื่อว่าจอร์ซต้องปลอดภัย”
ชายหนุ่มมองสภาพของน้องชายผ่านผนังกระจกด้วยหัวใจที่เจ็บร้าว เมื่อไม่ทราบถึงความเป็นตายร้ายดี แต่เขาก็พอจะเบาใจได้บ้างเพราะอย่างน้อยจอร์ซก็ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์เรียบร้อยแล้ว
“เพียว...ป้าไม่รู้หรอกนะว่ามันจะเกี่ยวอะไรกันหรือไม่อย่างไร แต่ในที่เกิดเหตุตำรวจเขาพบนี่อยู่ในมือจอร์ซ เขากำมันแน่นจนยับยู่ยี่ไปหมด” ป้าลิซเอ่ยพลางค้นหาบางสิ่งในกระเป๋าถือยื่นให้หลานชาย
ภาพถ่ายที่มีสภาพยับเยิน แต่ก็ยังเห็นได้ชัดเจนถึงสิ่งที่ปรากฏอยู่ในนั้น...ภาพหญิงชายคู่หนึ่งในอิริยาบถที่แสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมมีรอยหมึกสีแดงคาดทับเป็นกากบาทบนใบหน้าฝ่ายหญิงพร้อมข้อความกำกับด้วยลายมือของจอร์ซ...ไปตายซะ!... ประโยคสั้นๆที่บอกได้ถึงอารมณ์คนเขียนเป็นอย่างดี แต่นั่นไม่ได้ทำให้เพียวรู้สึกเย็นวาบไปทั้งสมองได้เท่ากับการที่เขารู้จักผู้หญิงในรูปคนนี้ว่าเธอคือใคร
“โสภิตา!...”
“เพียวรู้จักผู้หญิงคนนี้เหรอ” ป้าลิซถามขึ้นเมื่อได้ยินคำอุทานของหลานชาย
“เอ่อ...ก็ไม่เชิงครับ...ผมเคยพบเธอครั้งสองครั้ง เธอเป็นคนไทย”
“ป้าคิดว่าจอร์ซคงหลงรักเธอ คงทุมเทหัวใจทั้งหมดให้ ด้วยความหวังที่ได้รับ แล้วเธอคงทำให้จอร์ซผิดหวัง” ป้าลิซสันนิษฐาน “เพียวดูสิ...เธอช่างเป็นเด็กสาวที่สวยน่ารัก น่าหลงใหลที่สุดเท่าที่ป้าเคยเห็นในหญิงเอเชีย แต่ความงดงามของเธอมันคงไม่ต่างจากยาพิษที่เคลือบอยู่บนผลแอปเปิ้ล”
“ครับ...เธอทั้งสวยและน่ารักเสียจนผม...” เพียวกลืนคำพูดสุดท้ายลงคอ
หัวใจของชายหนุ่มกระตุกวูบเมื่อคิดถึงรสจูบอันแสนหวานที่สร้างความหวั่นไหวให้หัวใจของเขา แล้วก็ต้องรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นลงไปกองที่พื้นเมื่อเห็นความสัมพันธ์ของเธอผู้งดงาม กับชายผู้แสนจะหล่อเหลา ผ่านทางภาพถ่ายยับยู่ยี่ใบนั้น ถึงมันจะดูเหมาะสมกันมากมายแค่ไหน แต่ยังไงพวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำร้ายหัวใจใครให้ได้รับบาดเจ็บถึงขนาดนี้
“ถ้าเพียวพบเธออีกครั้ง เพียวช่วยถามเธอให้ป้าทีว่า เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำให้ผู้ชายคนหนึ่งอาจจบสิ้นทั้งชีวิต รวมไปถึงอนาคต และเธอยังกำลังจะทำให้ผู้หญิงแก่ๆคนหนึ่งหัวใจสลาย...” ป้าลิซเอ่ยทั้งยังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาที่กำลังซึมเอ่อปริ่มจะล้น
“ครับ...ป้าทำใจให้เข้มแข็งเอาไว้นะครับ...ผมเชื่อว่าจอร์ซจะต้องพ้นขีดอันตรายโดยเร็ววันนี้ ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะอยู่เป็นเพื่อนป้าลิซไปจนว่าจะมั่นใจว่าจอร์ซพ้นขีดอันตราย” เพียวรับปาก
ในสมองของเพียวเวลานี้มันตีบตันไปหมด เขาคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงต่อไป แต่สุดท้ายคงทำได้เพียงแค่รอเวลาให้น้องชายพ้นขีดอันตราย แล้วเขาก็ค่อยกลับมาสะสางในสิ่งที่ผู้เป็นป้าต้องการในภายหลัง
เสียงอึกทึกครึกโครมที่ดังอยู่ภายนอกห้องประธานกรรมการผู้กุมบังเหียนการบริหารไว้เต็มสองมือ มีผลให้ชายหนุ่มถึงกลับวางปากกาแล้วลุกจากเก้าอี้เดินออกมาดู
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาคิ้วเข้มของโสภณถึงกับต้องขมวดเข้าหากัน ด้วยอาการอึ้งและพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังจะปะทุขึ้น
“ใช่แล้วตรงนั้นแหละ เอาให้กว้างสักหน่อยเท่าที่สามารถกว้างได้ เอาซักสิบสองตารางเมตรก็แล้วกัน” เสียงใสๆสั่งการด้วยสีหน้าระรื่น ในขณะที่พนักงานคนอื่นๆยืนมองหน้าเผือดอ้าปากค้างไปตามๆกัน
“ได้ครับ...” ชายผู้อยู่ในชุดช่างก่อสร้างรับคำ ก่อนจะหันไปสั่งการลูกน้องอีกทอด
“นี่มันอะไรกันเจนนี่ เธอคิดจะทำอะไร” โสภณถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“เจนนี่จะทำห้องทำงานของเจนนี่ค่ะ” ผู้เป็นน้องสาวหันมาตอบก่อนจะกลับไปสนใจสังเกตการทำงานของช่างต่อ
“ทำห้องทำงาน!” โสภณอุทานขึ้นอย่างไม่เชื่อหู
“ค่ะ...เจนนี่กำลังจะเข้ามาทำงานที่นี่ เจนนี่ก็ต้องมีห้องทำงานเป็นของตัวเองสิคะ”
“ห้องพี่ไง...ถ้าเราจะทำงานเป็นผู้ช่วยพี่ แค่เอาโต๊ะเก้าอี้เข้าไปตั้ง ชอบมุมไหนก็เลือกเอาเท่านั้นก็พอแล้ว”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ตามตำแหน่งรองประธานบริหาร สมควรที่จะต้องมีห้องทำงานเป็นของตัวเอง เจนนี่ชอบความเป็นส่วนตัว เจนนี่จะกั้นห้องตรงนี้ เจาะประตูเพิ่มตรงนี้ทะลุไปที่ห้องพี่ภณโดยตรง จะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มในการทำห้องน้ำ เห็นไหมค่ะว่าเจนนี่ช่วยพี่ภณประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีก” เธอบอกด้วยสีหน้าราบเรียบแกมรอยยิ้มบางๆ
“ประหยัดค่าใช้จ่ายตรงไหน...” โสภณประชดมากกว่าอยากจะรู้จริงตามคำถามนั้น “แล้วใครบอกว่าพี่จะให้เธอทำในตำแหน่งนั้น”
“ก็เจนนี่...”
“เธอจะอยู่ในตำแหน่งเด็กฝึกงานและเข้าไปทำงานในห้องของพี่จนกว่าพี่จะเห็นว่าเธอมีความสามารถและความรับผิดชอบมากพอ” โสภณสั่งน้องสาวเสียงเข้ม
“เจนนี่ไม่ยอม” ผู้เป็นน้องสาวโวยวาย
“ขอโทษนะครับที่ทำให้ต้องเสียเวลา แต่ที่นี่จะยังไม่มีการสร้างหรือต่อเติมใดๆในตอนนี้ เชิญพวกคุณกลับไปก่อน ไปรับค่าเสียเวลาที่เลขาฯของผมนะครับ” โสภณหันไปพยักพเยิดสั่งเลขานุการที่ยืนหน้าซีดทำอะไรไม่ถูกให้รับไปจัดการต่อ ก่อนจะลากน้องสาวตัวป่วนเข้ามาให้ห้องทำงาน
“พี่ภณไม่มีสิทธิ์ห้ามเจนนี่นะคะ พี่ภณลืมไปแล้วเหรอว่าเจนนี่ก็เป็นเจ้าของที่นี่เหมือนกัน”
“พี่ไม่ลืมหรอก”
“ไม่ลืมแล้วจะมาสั่งห้ามเจนนี่เอาไว้ทำไม เจนนี่อยากทำงานอยากบริหารสินทรัพย์ที่เป็นของเจนนี่อยากสร้างความเจริญรุ่งเรืองด้วยมือของเจนนี่ มันไม่ดีหรือไงคะ” หญิงสาวโพล่งขึ้น
“มันก็ดี พี่ดีใจที่มีน้องสาวมุ่งมั่นที่จะทำงาน แต่การทำงานมันต้องเริ่มต้นทีละขั้น ต้องค่อยๆเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์และทำความเข้าใจไม่ใช่แค่เนื้องานเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจรวมไปถึงความรู้สึกของพนักงานทุกคนรู้จักและเห็นอกเห็นใจพวกเขา รู้ค่าน้ำพักน้ำแรงที่หามาได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่กระโดดข้ามขั้นขึ้นมาแบบนี้ เกิดพลาดมันจะเจ็บหนัก” พี่ชายพยายามสอนอย่างใจเย็นที่สุด
“แล้วพี่ภณจะให้เจนนี่ทำยังไง จะให้เจนนี่ลงไปทำในตำแหน่งพนักงานต้อนรับข้างล่าง หรือจะให้เจนนี่ทำหน้าที่แม่บ้านทำความสะอาดเลยดีไหมคะ” น้ำเสียงนั้นเปล่งออกมาให้รู้ว่าประชดอย่างชัดเจน
“แล้วถ้าพี่จะให้เธอทำ เธอจะทำไหมล่ะ”
“ไม่...ยังไงเจนนี่ก็ไม่ทำ เจนนี่เป็นถึงน้องสาวของท่านประธาน เป็นหุ้นส่วน และยังเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ เรื่องอะไรเจนนี่จะไปทำงานพวกนั้น อายพวกพนักงานตาย...” หญิงสาวเชิดหน้าปฏิเสธ
“แต่พี่อยากให้เธอทำ เธอจะได้รู้จักงานว่าแต่ละตำแหน่งล้วนมีความสำคัญ อยากให้เธอรู้จักและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นที่อยู่ในตำแหน่งที่ด้อยกว่า จะได้ไม่เผลอเหยียบย่ำน้ำใจใคร แม้เขาจะไม่ได้อยู่ในระดับแวดวงสังคมเสมอเรา”
“ไม่จำเป็นต้องลงไปทำตำแหน่งพวกนั้นเจนนี่ก็รู้ค่ะว่ามันสำคัญ”
“แต่เธอต้องทำ...ถ้าเธออยากจะขึ้นมายืนเคียงข้างพี่ในตำแหน่งที่เธอต้องการ ถ้าปฏิเสธก็กลับบ้านไปช่วยคุณพลอยเลี้ยงหลานๆโน่น”
ความโกรธแล่นลิ่วขึ้นหน้าเมื่อได้ยินคำสั่งอันเฉียบขาดนั้น สายตาที่จ้องมองพี่ชายจึงเต็มไปด้วยความไม่พอใจและน้อยอกน้อยใจเป็นที่สุด
“เจนนี่ไม่ทำในสิ่งที่เจนนี่ไม่อยากทำ พี่ภณอย่ามาสั่ง”
“ที่ไม่ทำก็คงเพราะทำไม่ได้ล่ะสิ คงกลัวพี่รู้ว่าเธอเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่มีความสามารถ ไม่มีความอดทน และไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำงานใหญ่” โสภณเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มองน้องสาวกลับด้วยแววตาอีกแววตาหนึ่งที่สามารถปลุกให้น้องสาวลุกขึ้นต่อต้าน
“เจนนี่ทำได้ ทำไมเจนนี่จะทำไม่ได้” เธอเถียงขึ้นมาทันที
“แล้วทำไมถึงปฏิเสธ”
หญิงสาวอึ้งเหมือนกำลังทบทวนความคิดของตนเองก่อนจะ หันไปมองหน้าพี่ชายด้วยแววตาจริงจัง “โอเคค่ะ เจนนี่จะทำอย่างที่พี่ภณต้องการ จะให้ทำอะไรในตำแหน่งไหนว่ามา กี่วันกี่สัปดาห์ก็ว่ามา”
“ไว้พี่จะจัดเรื่องตารางงานของเธอให้ แต่วันนี้เธอกลับบ้านไปก่อนก็แล้วกัน”
“อ้าว...”
“เอาน่า...วันนี้ถึงวันที่หมอนัดคุณพลอยให้ไปตรวจครรภ์ เจนนี่พาคุณพลอยไปแทนพี่ทีพี่มีประชุมด่วนไม่อยากให้คุณพลอยต้องรอนาน ฝากทีนะ”
“ก็ได้ค่ะ...นี่เห็นแก่หน้าพี่สะใภ้ที่แสนดี กับหลานที่น่ารักของเจนนี่นะ ไม่งั้นเจนนี่ไม่กลับหรอก เจนนี่จะอยู่ประชุมด้วย” เจนนี่รับปาก
เมื่องานที่พี่ชายมอบหมายให้ชิ้นนี้เป็นงานที่ถือว่าสำคัญอยู่มาก เธอก็เต็มใจที่จะทำให้โดยไม่คิดเกี่ยงงอน เพราะนั่นคือการได้มีส่วนร่วมในการดูแลหลานอันเป็นที่รักก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมาดูโลกในอีกไม่กี่เดือน
โสภณมองตามหลังน้องสาวที่เดินพ้นประตูห้องไปจนลับตาพรางถอนหายใจเฮือก หากโสภิตาจะเป็นน้องสาวที่ว่าง่ายเช่นนี้ในทุกๆเรื่องคงจะดีไม่น้อย มันเป็นความคาดหวังที่โสภณยังไม่ล้มเลิกที่จะยังหวัง เขายังเชื่อว่าโสภิตายังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าไม้แก่ที่เกินจะดัด เพียงแต่เขาคงจะต้องใช้ความอดทนมากขึ้นสักหน่อย เพราะอย่างน้อยน้องสาวคนนี้ของเขาก็ใช่ว่าจะเป็นคนไร้ซึ่งเหตุผลซะทีเดียว
พลบค่ำโสภณเดินทางกลับมาบ้านหลังจากการประชุมเสร็จเรียบร้อย เขาปฏิเสธที่จะดื่มฉลองความสำเร็จกับเหล่าคณะกรรมการในการดำเนินงานที่ให้ผลกำไรเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้านั้นกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะห่วงภรรยาและอยากทราบผลการตรวจครรภ์ในครั้งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่เขาไปได้พาพิมพ์พลอยไปตรวจครรภ์ด้วยตัวเอง
“กลับมาแล้วเหรอคะคุณ”
เสียงใสๆที่สร้างกำลังใจให้โสภณได้รับความรู้สึกกระปี้กระเป่าทุกครั้งที่ได้ยินดังขึ้นทันทีที่เขาเดินผ่านประตูเข้าสู่ห้องโถงกว้าง
“กลับมาแล้วครับผม”
ชายหนุ่มคว้าตัวภรรยาเข้ามาจุมพิตหนักๆที่ขมับ ก่อนจะเกี่ยวเอวที่ค่อนข้างหนาและอุ้ยอ้ายนั้นให้เดินผ่านขึ้นไปยังชั้นบนในส่วนที่เป็นห้องนอน ปฏิเสธที่จะให้เธอหิ้วกระเป๋าเอกสารอย่างเช่นทุกครั้ง
“เป็นยังไงบ้างเหนื่อยหรือเปล่า”
“แค่ได้เห็นหน้าคุณพลอยรู้ว่าคุณพลอยอารมณ์ดีมีความสุขแค่นี้ผมก็หายเหนื่อยแล้วครับ” โสภณยิ้มละไม เขารู้ว่าอีกฝ่ายพอใจกลับคำตอบที่ได้รับนั้นอย่างมากจากรอยยิ้มกว้างที่ตอบกลับมา
“ปากหวานไม่เลิกเลยนะคะคุณเนี่ย”
กระเป๋าเอกสารถูกนำไปวางไว้บนโต๊ะเล็กๆข้างผนังห้อง ก่อนเขาจะพยุงภรรยาให้มานั่งพักที่ขอบเตียงกว้าง ด้วยท่าทีเอาอกเอาใจ
“ผมพูดจากใจต่างหาก...ว่าแต่เจนนี่ล่ะ” ชายหนุ่มถามถึงน้องสาวเมื่อนึกขึ้นได้
“น่าจะอยู่ที่ห้องนะคะ คุณภณมีอะไรหรือเปล่าเดี๋ยวพลอยจะออกไปเรียกให้” ผู้เป็นภรรยาเสนอตัว แต่สามีกลับปฏิเสธ
“ช่างเถอะปล่อยให้เขาพักไป...ว่าแต่เจ้าตัวเล็กที่อยู่ในนี้สบายดีหรือเปล่า เสียดายจังที่วันนี้ไม่ได้พาคุณไปหาหมอด้วยตัวเอง” ชายหนุ่มลูบท้องกลมๆของภรรยาเบาๆ ก่อนจะอ้าปากหวอ เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวเนิบนาบผ่านผิวหนังบริเวณ
“นั่นไงไอ้เจ้าหนูมันประท้วงพ่อขึ้นมาทันทีเชียว” คำปรารภของเขาทำให้ผู้เป็นภรรยาถึงกับปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบาๆอย่างขบขัน
“เขาทักทายคุณพ่อด้วยความคิดถึงต่างหากค่ะ” เธอกล่าวแก้
“ดูท่าจะซนไม่เบานะลูกคนนี้...ผมล่ะอยากเห็นหน้าเขาเร็วๆจัง เห็นผ่านอัลตร้าซาวด์มันไม่ชัดเลยสักนิด”
“ใจเย็นๆเถอะค่ะ อีกไม่กี่เดือนเราก็จะได้พบกับเขาสมใจ พลอยเชื่อว่ายังไงเขาต้องเกิดมาร่างกายแข็งแรงหน้าตาหล่อเหลาเหมือนพ่อ”
“ไม่ดีหรอกครับ ผมอยากให้ลูกชายของเราหน้าตาเหมือนแม่มากกว่า” โสภณแย้ง
“ทำไมคะ...”พิมพ์พลอยมองหน้าสามีด้วยความประหลาดใจ
“ก็เพราะว่าผมจะได้เห็นคุณตลอดเวลาที่ผมอยู่กับเขาไงครับ อีกอย่างคนโบราณท่านว่าลูกชายหน้าตาเหมือนแม่น่ะวาสนาดี”
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณภณจะเชื่อคำโบราณด้วย”
“เชื่อไว้ก็ไม่เสียหลายนี่ครับ ว่าแต่พลอยเถอะอยากให้ลูกของเราที่เกิดมาหน้าตาเหมือนผมบ้างหรือเปล่า” โสภณถามกลับด้วยความอยากรู้ว่าสามีคนนี้จะยังมีความสำคัญในจิตใจของภรรยาอยู่เท่าเดิมหรือเปล่า
“เขาจะหน้าตาเหมือนใครพลอยก็รักทั้งนั้นแหละคะ แต่ขออย่างเดียว”
“อะไรครับ...” สีหน้าของโสภณบ่งบอกว่าอยากรู้เต็มที่
“ขอให้เขามีนิสัยเหมือนพลอยมากกว่าเหมือนคุณ”
“อ้าว...นี่คุณกำลังจะบอกผมใช่ไหมว่าผมนิสัยไม่ดีน่ะ” โสภณชักสีหน้าเป็นเครียดขรึมขึ้นมาทันที
“คุณน่ะ...ชอบทำหน้าเคร่ง ดุ พลอยเห็นแล้วก็ขยาด นี่ถ้าลูกยังจะมาทำหน้าเคร่งหน้าดุอีกคน คงไม่ไหว” พิมพ์พลอยเฉลยความรู้สึก
“แหม...ถ้าผมดุจริงยัยเจนนี่ก็คงไม่กลายเป็นเด็กดื้อแบบนี้หรอก คุณลองคิดดู มีอย่างที่ไหนให้ช่างเข้าไปต่อเติมอาคารที่ทำงานไม่ยอมปรึกษาผม เล่นเอาวุ่นไปทั้งแผนก”
“เหรอคะ...” พิมพ์พลอยเพิ่มความสนใจในสิ่งที่รู้ขึ้นมาทันที เมื่อนึกไปถึงสีหน้าของน้องสามีเมื่อตอนที่พาเธอไปพบแพทย์ ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างให้ครุ่นคิดอยู่ในหัวตลอดเวลา
“แล้วยังไงต่อคะ”
“ผมก็ไล่ช่างให้กลับไปนะสิ แกโวยวายใหญ่ บอกว่าตำแหน่งรองประธานก็ต้องมีห้องส่วนตัว ทั้งๆที่ผมยังไม่ทันได้แต่งตั้งให้แกรับตำแหน่งนั้นเลยด้วยซ้ำ กว่าจะกล่อมให้สงบลงได้ก็แทบแย่ เพราะงั้น...จะมาว่าผมดุคงไม่ได้แล้วล่ะ”
“แล้วคุณคิดจะให้คุณเจนนี่ทำงานในตำแหน่งไหนคะ”
“เด็กฝึกงาน...”
“จะไหวเหรอคะ” พิมพ์พลอยเริ่มกังวลไปกับเรื่องที่สามีเล่า
“ไม่ไหวก็ต้องไหว เจนนี่เอาแต่ใจเกินไป จะขึ้นมาทำงานใหญ่รวดเดียวไม่ได้หรอก เขาต้องฝึกฝนตัวเอง ไต่เต้าจากเล็กไปใหญ่ ก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น เรียนรู้งานและฝึกสภาวะของจิตใจตัวเองให้โตพอที่จะรับผิดชอบงานใหญ่ๆได้ ผมก็เลยให้เธอเรียนรู้ไปตั้งแต่งานแม่บ้าน แล้วค่อยๆเปลี่ยนแผนกไปเรื่อยๆจนกว่าจะครบ”
“แล้วเธอยอมหรือคะ พลอยกลัวว่า...”
“ช่างเถอะ ตอนนี้เจนนี่รับปากแล้วว่าจะทำตามที่ผมสั่ง ก็เหลือแค่ดูผลงาน ถ้าแกไม่ก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีก เชื่อว่าไม่เกินปีผมจะให้เธอรับผิดชอบงานในตำแหน่งที่เธอต้องการ”
ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 เม.ย. 2556, 06:32:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 เม.ย. 2556, 06:32:23 น.
จำนวนการเข้าชม : 2859
<< ตอนที่3 | ตอนที่5 >> |
ลิลลี่ 20 เม.ย. 2556, 12:52:52 น.
เฮีอ ปมปัญหาเรื่องจอร์ซเข้ามาอีก1ปม
ป้าของเพียวพุดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะ รู้ได้ไงว่าฝ่ายญเกี่ยวข้อง พระเอกคงไม่ฟังความข้างเดียวเพราะเห็นแค่รูปนั้นหรอกนะ
มันไม่สมเหตุสมผลซักนิด ณ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าทั้งเจนนี่ จอร์ซเค้ามีความสัมพันธ์กันยังไง ก็อย่าไปด่วนไปตัดสินจะดีกว่า
เฮีอ ปมปัญหาเรื่องจอร์ซเข้ามาอีก1ปม
ป้าของเพียวพุดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะ รู้ได้ไงว่าฝ่ายญเกี่ยวข้อง พระเอกคงไม่ฟังความข้างเดียวเพราะเห็นแค่รูปนั้นหรอกนะ
มันไม่สมเหตุสมผลซักนิด ณ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าทั้งเจนนี่ จอร์ซเค้ามีความสัมพันธ์กันยังไง ก็อย่าไปด่วนไปตัดสินจะดีกว่า
Pat 20 เม.ย. 2556, 16:44:56 น.
เพียวคงเข้าใจผิดอีกเรื่องล่ะ จอร์ชขีดรูปผู้หญิง ท่าจะเดาจอร์ชน่าจะชอบผู้ชายในภาพมากกว่า งานเข้าเจนนี่อีกแล้ว
เพียวคงเข้าใจผิดอีกเรื่องล่ะ จอร์ชขีดรูปผู้หญิง ท่าจะเดาจอร์ชน่าจะชอบผู้ชายในภาพมากกว่า งานเข้าเจนนี่อีกแล้ว
Zephyr 20 เม.ย. 2556, 19:28:27 น.
จอร์ชต้องรักคนที่อยู่ข้างเจนนี่แหงๆ เลยพาลบอกให้เจนนี่ไปตายน่ะ
จอร์ชต้องรักคนที่อยู่ข้างเจนนี่แหงๆ เลยพาลบอกให้เจนนี่ไปตายน่ะ