oOo รุ้งฤดูร้อน oOo
...เมื่อความรักเป็นบ่อเกิดทุกๆ สิ่ง สร้างความแค้น ชิงชัง และการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ความรัก...ก็ควรเป็นบทยุติของทุกเรื่องราว...

...อาจจะเจ็บปวด อาจบอบช้ำ แต่สุดท้ายความรักจะโอบกอดทุกดวงใจให้สนิทแนบแน่น...
Tags: รุ้งฤดูร้อน,ปลากัด,รักร้ายๆ

ตอน: oOo บทที่ 12 oOo

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่ะที่เป็นแรงใจให้คนเขียน ^^

คิมหันตุ์ - เปิดตัวแล้วและจะเปิดอีกหลายตอน อิอิ

Pat - แค่อ่านความเห็นของคนอ่านก็มีแรงใจค่ะ

anOO - ใช่ค่ะ รัก ต้องชนะทุกอย่าง ขอบคุณที่รักกัน ?

มะดัน - นั่นสิคะ เยอะไปป่าว 555+

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-**-*-**-**-*-*-

บทที่ 12


ระยะเวลาหนึ่งเดือนสั้นราวกับหนึ่งชั่วโมง อีกสองวันงานแต่งงานของปรานต์ก็จะถูกจัดขึ้น งานทุกอย่างคุณปภาวีเนรมิตได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เงินสามารถบันดาลทุกอย่างได้ในพริบตา ในส่วนของบ้านพสุธาเทพ คุณปภาวีเพียงให้นางเอื้องกับเด็กรับใช้ช่วยกันจัด ‘ห้องหอ’ ไว้ต้อนรับ ‘ภรรยา’ ของปรานต์เท่านั้น ทุกคนดูจะมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงานนี้ทั้งนั้น ยกเว้นเพลงพรรษที่คุณปภาวีสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้เธอเข้ามายุ่งเกี่ยว

กว่าจะผ่านแต่ละวันแต่ละคืนมาได้ เพลงพรรษเสียน้ำตาเปียกหมอนไปหยดแล้วหยดเล่า ถึงวันนี้เธอทำใจยอมรับได้มากขึ้น ถือเสียว่าเป็นเวรกรรมของเธอกับปรานต์ที่ทำร่วมกันมา ถึงเวลาต้องชดใช้

“ช่วงที่ผมไม่อยู่ คุณช่วยดูแลทางนี้ให้ดี อย่าให้มีอะไรผิดพลาดนะ ผมเชื่อมือคุณ” ร่างสูงเดินเข้ามาในห้องทำงานโดยมีลิซ่าตามหลังมาติดๆ ชายหนุ่มหันมองคนที่ทำหน้าเศร้ามาแรมเดือนอย่างนึกขุ่นใจ หากใบหน้าเรียบเฉยสนิท เพลงพรรษหลบตาวูบจะด้วยกลัวสายตาดุดันหรือกลัวความผิดนั่นอาจเป็นได้ทั้งสองอย่าง

“ค่ะ ลิซ่าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”

“ดี งั้นคุณไปทำงานต่อเถอะ อ้อ อย่าลืมโทรไปจัดการเรื่องเย็นนี้ให้ผมด้วยล่ะ” เขาสั่งอย่างนึกได้ ลิซ่าพยักหน้ารับ เหลือบมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานด้วยสายตากึ่งห่วงกึ่งเห็นใจ ก่อนผละออกไปจากห้องเงียบๆ ไร้ซึ่งการหยอกเย้าเช่นทุกที

“ขยันขนาดนี้ น่ากลัวว่านราวิวัฒน์จะเจริญแบบฉุดไม่อยู่เสียกระมัง” ร่างบางสะดุ้งเมื่อรู้สึกว่าเขามายืนใกล้ จากหางตาที่อยู่ระดับเอว เธอเห็นเพียงมือทั้งสองข้างของเขาล้วงกระเป๋า หญิงสาวไม่กล้าเงยขึ้นสบตา “ทำไมคุณต้องทำหน้าเหมือนจะเป็นจะตายตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ มันน่าอึดอัดมากนักรึไง!”

มือหนาจับต้นแขนเธอแล้วดึงให้ลุกยืนมาประจันหน้า เพลงพรรษเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ยอมตอบคำถามเขา นั่นยิ่งกระตุ้นให้เมษรักษ์อารมณ์กรุ่นมากยิ่งขึ้น

“ผมมีอะไรสู้หมอนั่นไม่ได้ ใครๆ ถึงยอมทำเพื่อมันนัก!” เมื่อความรู้สึกกดดันภายในพุ่งถึงขีดสุดเมษรักษ์ก็หลุดบางสิ่งออกมา เพลงพรรษเงยขวับขึ้นจ้องมองเขาด้วยแววตาสงสัยปนหวาดหวั่น

...หมอนั่น? เขาหมายถึงปรานต์ใช่ไหม เมษรักษ์รู้? รู้ว่าเธอเป็นใคร...หญิงสาวกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ ขยับปากจะพูดบางอย่าง เขาก็สะบัดมือออกจนร่างบางจนเธอทรุดนั่งลงที่เดิม ส่วนตัวเขาเงียบแล้วเดินกลับไปนั่งประจำที่ตัวเอง

หัวใจของเพลงพรรษว้าวุ่นตลอดทั้งวัน ถ้าเขารู้ว่าเธอเป็นใคร ทำไมถึงยังยอมให้ทำงานที่นี่ ให้ทำงานในห้องนี้ แล้วเขาจะรู้ไหมถึงสิ่งที่เธอทำลงไป อีกทั้งคำพูดของเขาคล้ายว่า ‘อิจฉา’ ปรานต์อย่างคนเคยรู้จักกันมาก่อน โอย...ยิ่งคิดร่างกายเธอยิ่งสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก

“ไปกันได้แล้ว” จู่ๆ เขาก็เดินมาบอก เพลงพรรษเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เพราะเวลาเหลืออีกราวชั่วโมงกว่าจะเป็นเวลาเลิกงาน “วันนี้พอแค่นี้ เก็บของแล้วตามผมมา” เขาบอกแล้วออกเดิน ยังไม่ทันพ้นประตูห้องก็หันกลับมาจ้องคนนั่งนิ่งเป็นเชิงขู่จนเธอต้องรีบเก็บของส่วนตัวลงกระเป๋า รีบจ้ำให้ทันคนขายาว

ด้านหน้าบริษัทมีรถประจำตัวของเขาจอดรออยู่แล้ว ชายหนุ่มก้าวขึ้นประจำที่คนขับ สตาร์ทเครื่องยกแว่นกันแดดสีดำขึ้นสวม รอจนเพลงพรรษขึ้นนั่งเคียงข้างจึงขับออกไป

ดวงตาคู่สวยเหม่อมองนอกหน้าต่างด้วยไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา และสมองของเธอมีเรื่องมากมายเฝ้าวนเวียนสลับกันเข้ามาให้ขบคิด เวลานานเท่าไหร่ก็สุดรู้ เมื่อสายตาเริ่มตระหนักถึงภาพภายนอกที่ไม่คุ้นตา หัวใจกระตุกวาบกับบางสิ่งจนต้องเอียงตัวมาทางคนขับเพื่อถาม

“พี่เมษจะพาพรรษไปไหนคะ” น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยยามเอ่ยถาม อีกฝ่ายเงียบตั้งหน้าตั้งตาขับรถราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด “พี่เมษคะ พี่เมษจะพาพรรษไปไหนคะ นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านพรรษนี่คะ” นอกจากเงียบแล้วเขายังเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งทะยานเร็วกว่าเดิมเข้าไปอีก

มือสองข้างของหญิงสาวบีบกันแน่น ริมฝีปากบางเริ่มสั่นจากอาการบีบคั้นที่สั่งให้หยดน้ำตาเริ่มคลอเบ้าตา

นับจากรู้สึกตัวว่าออกนอกเส้นทางอีกราวชั่วโมงเขาก็มาจอดรถนิ่งอยู่ที่ใดสักแห่ง เมื่อก้าวลงจากรถท้องฟ้าเริ่มราแสงอาทิตย์ไปจนเกือบหมด แสงไฟข้างทางสว่างขึ้นเพื่อให้เธอมองเห็นว่าตรงนี้เป็นสะพานท่าเรือ!

ใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาหาเขา ยื่นกุญแจบางอย่างให้พร้อมกับที่เขาก็ยื่นกุญแจรถให้คนๆ นั้นเช่นกัน

“ไปลงเรือ” เขาเดินมาบอกกับเธอโดยไร้เหตุผลชี้แจง

“เราจะไปไหนกันคะ”

“คุณชอบทะเลไม่ใช่เหรอ ผมจะพาคุณไปทะเลไง” เขาบอกง่ายๆ เหมือนเธอเต็มใจมาอย่างไรอย่างนั้น

“ไม่ค่ะ พรรษไม่ได้อยากไปทะเลตอนนี้ และไม่ได้อยากไปทะเลกับ...” หญิงสาวพูดไม่ออก ก้าวถอยหลังช้าๆ ก่อนหมุนตัวออกวิ่ง

“วุ่นวายจริง!” เมษรักษ์เริ่มหัวเสีย เขาออกวิ่งเพียงไม่กี่ก้าว ขายาวๆ ก็ตามทันคนตัวเล็กกว่า เขารวบเอวบางไว้แล้วยกขึ้นจนเท้าหญิงสาวลอยขึ้นกลางอากาศ

“ปล่อยนะ พี่เมษปล่อยพรรษนะคะ พรรษจะกลับบ้าน ปล่อย!” ปากก็ร้องมือเท้าก็ดิ้นรนปัดป่ายอย่างเอาตัวรอด หากแรงเธอก็ดูเหมือนจะน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับแรงของผู้ชายตัวโตอย่างเขา เมษรักษ์พาเธอเดินกลับมายังจุดที่รถจอด เขาเหนื่อยหอบและปล่อยเธอกะทันหันจนร่างบางร่วงลงพื้น

“มาไกลขนาดนี้ถ้ายังคิดว่าจะหนีรอด ก็ลองดู!”

“พี่เมษทำแบบนี้ทำไมคะ ต้องการอะไร พรรษไม่เข้าใจ” เพลงพรรษฝืนอาการเจ็บปวดจากการกระแทกพื้นเอ่ยถามด้วยดวงตาฉ่ำหยดน้ำตา ความหวาดกลัวครอบงำจิตใจ หรือเขาจะพาเธอมาฆ่า!

“ก็บอกแล้วไงว่าจะพาไปทะเล ลุกขึ้นมา ไม่ต้องถามมาก”

“ไม่ค่ะ พรรษจะกลับบ้าน” หญิงสาวส่ายหน้าแล้วพยายามหยัดกายลุกยืน ยังไม่ทันก้าวขาเขาก็ถลาเข้ามาจับข้อมือเธอไว้แน่น ออกแรงลากให้เดินตาม เพลงพรรษรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีขืนตัวไว้ไม่เดินตาม จนรองเท้าถูไปกับพื้นคอนกรีต “ปล่อยพรรษเถอะค่ะพี่เมษ พรรษขอร้อง...” สิ้นคำนั้นร่างบางก็ทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง ความเหน็ดเหนื่อยจากการดิ้นรนและสมองที่เครียดขึงบีบคั้นทำให้หญิงสาวหมดสติ

เมษรักษ์ตกใจ รีบเข้ามาช้อนร่างบางขึ้นอุ้ม มองใบหน้าชื้นเหงื่อปนน้ำตาแล้วหัวใจเขาสงบลงกว่าครึ่ง...ทำไมเขาต้องมาทำอะไรบ้าๆ อย่างนี้ด้วย

ถึงจะคิดอย่างนั้นความตั้งใจก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง เขาพาเธอเดินลงเรือแล้วขับออกไป มุ่งหน้าสู่เกาะส่วนตัวที่ไม่ได้ไปเยือนนานมากแล้ว



ความเย็นชื่นบริเวณใบหน้าทำให้เปลือกตาที่ปิดสนิทเริ่มขยุกขยิก มืออวบที่ถือถ้าขนหนูชุบน้ำเลื่อนห่าง เพื่อให้คนบนเตียงลืมตาขึ้น พอปรับกับแสงไฟภายในห้องได้ ดวงตากลมโตสีดำสนิทก็เปิดขึ้นเต็มที่ หญิงสาวกลอกตาไปมามองเพดาน ก่อนเอียงหน้ามาเจอกับรอยยิ้มของหญิงวัยห้าสิบปลายๆ ทว่าเป็นรอยยิ้มไม่คุ้นเคย

เพลงพรรษลุกนั่งด้วยความตกใจ เมื่อระลึกได้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น

“ไม่ต้องตกใจนะหนู” เสียงทอดนุ่มเอ่ยด้วยใบหน้าละมุน ทว่ามิอาจลดทอดความตื่นตระหนกของหญิงสาวได้เลย

“ป้าเป็นใครคะ ที่นี่ที่ไหน แล้ว...” อาการหวาดผวามองสำรวจรอบกายทำให้คู่สนทนาต้องผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความเอ็นดูระคนเห็นใจ

“หนูไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ ที่นี่ไม่มีอันตราย ส่วนคนที่หนูจะถามถึงเขาอยู่ด้านนอก ป้าจะไปเตรียมอาหารเย็นให้ ถ้าหนูจะออกไปหาเขาก็ไปได้จ้ะ หนูไม่ได้โดนกักขัง” ท้ายคำพูดหญิงสูงวัยยิ้มล้อเมื่อนึกว่าหญิงสาวอาจเข้าใจว่าตัวเองโดนลักพาตัวมาทรมานแบบในนิยาย เพราะจากสภาพตอนมาถึงของเมษรักษ์ที่มีเธอสลบในอ้อมแขน ก็ชวนให้น่าเข้าใจอย่างนั้นอยู่

เพลงพรรษนึกอยากถามอะไรอีกหลายอย่าง แต่ลำคอแห้งผาก ความสับสนรุมกระหน่ำ จึงทำได้เพียงนั่งมองหญิงผู้นั้นเดินออกไปจากห้อง เบือนหน้ามองไปนอกหน้าต่างเห็นถึงความโปร่งโล่ง สายลมพัดผ่านเข้ามาจนผ้าม่านเนื้อบางสีขาวสะบัดไหว แว่วเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังมาให้ได้ยิน

ร่างบางค่อยก้าวลงจากเตียงนอนช้าๆ ขยับเท้าไปยืนชิดหน้าต่าง ด้านนอกบรรยากาศยามเย็นกำลังมาเยือน บนเก้าอี้ไม้ตัวยาวที่ตั้งบนผืนหญ้าสีเขียวสดทอดตัวหันหน้าเขาสู่ทะเลมีร่างสูงของใครคนหนึ่งนั่งอยู่...หากอยากได้คำตอบสำหรับทุกสิ่งเธอคงต้องถามเขา

เสียงฝีเท้าที่มาหยุดยืนอยู่เบื้องหลังทำให้เมษรักษ์รู้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ และเขาพอจะเดาออกว่าเป็นใคร หากชายหนุ่มก็ยังไม่หันมอง เพ่งสายตาอยู่กับพระอาทิตย์สีส้มกลมโตริมขอบฟ้าและน้ำทะเลที่ซัดเอื่อยๆ เข้าหาผืนทราย

“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไมคะ” เสียงสั่นๆ เอ่ยถาม คนที่นั่งอยู่ผุดลุกขึ้นแล้วหันมาส่งสายตาขุ่น ก่อนหันกลับไปแล้วก้าวยาวๆ ไปยังชายหาด ถึงใจจะนึกหวั่นแต่เพลงพรรษก็รีบก้าวตาม เพราะเธอจะอยู่ที่นี่จนค่ำมืดดึกดื่นไม่ได้ ยิ่งต้องอยู่ข้ามคืนหรือผ่านวันยิ่งไม่ได้ “เดี๋ยวสิคะ ตอบฉันหน่อยเถอะค่ะ คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม”

มือเรียวเอื้อมดึงลำแขนแข็งแรงไว้เพียงเพื่อต้องการให้เขาหยุดเดินและตอบคำถาม เมษรักษ์หยุดกึก หันกลับมาด้วยสีหน้ากรุ่นโกรธ เขาหลุบตาลงมองมือที่ยังจับอยู่ที่แขน หญิงสาวค่อยลดมือไปแนบลำตัวหากยังจ้องหน้าเขาเพื่อรอคำตอบ ฝ่ายตรงข้ามจ้องตอบครู่ใหญ่จึงเอ่ย

“ก็บอกแล้ว...ว่าอยากพามาเที่ยวทะเล”

“แต่ฉันไม่อยากมานี่คะ ฉันอยากกลับบ้าน ป่านนี้ที่บ้านคงเป็นห่วงฉันแย่แล้ว พาฉันกลับเถอะนะคะ ฉันขอร้อง”

คิ้วหนากระตุกเข้าหากัน ขายาวขยับก้าวไปใกล้จนหญิงสาวต้องถอยหลัง

“เรียกผมเหมือนที่เคยเรียก...แทนตัวเองเหมือนที่เคยแทน” เขากัดฟันสั่ง แววตาดุดันจนเพลงพรรษต้องยอมทำตาม

“พะ...พี่เมษ” แค่เพียงคำนั้นคล้ายจะสลายความขุ่นมัวทุกสิ่งออกไปได้ ใบหน้าคมผ่อนคลายลงอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

“ไม่ต้องกลัว ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก แค่...อยากให้คุณอยู่ที่นี่สักระยะ” เมื่อได้ฟังดังนั้นเพลงพรรษถึงกับมึนคว้าง เขาบอกให้เธออยู่ที่นี่สักระยะ! มันจะเป็นไปได้อย่างไร เธอไม่รู้จักที่นี่ ไม่ได้เป็นอะไรกับเขา สำคัญกว่านั้นเธอต้องกลับไปร่วมงานแต่งงานของปรานต์

“ฉัน...เอ่อ พรรษอยู่ที่นี่ไม่ได้ค่ะ พรรษบอกแล้วไงคะว่าพรรษต้องกลับบ้าน ที่บ้านเขารอพรรษอยู่”

“ใคร?”

“ก็...เอ่อ...ยายค่ะ”

“แค่นั้น?” เขาเลิกคิ้ว สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง เพลงพรรษอ้ำอึ้ง ไม่เข้าใจว่าผู้ชายตรงหน้าคนนี้ทำอย่างนี้ทำไม เขาดูแปลกๆ ตั้งแต่เจอกัน กระทั่งเมื่อได้รู้ว่าเขาคือคู่แข่งของพสุธาเทพ เขาก็ยังไม่ได้มีทีท่าว่าจะนึกระแวงเธอ แต่การกระทำทุกอย่างชวนให้สับสนเหลือเกิน

“พรรษต้องกลับไปร่วมงานแต่งงานค่ะ” ขณะพูดเธอหลบสายตาเขา จึงไม่เห็นรอยยิ้มมุมปากด้านซ้ายของคนตรงหน้า

“หึ! เขาไม่เชิญคุณหรอก” น้ำเสียงทุ้มต่ำทำให้ใบหน้าเรียวต้องเงยมอง ดวงตาเธอค้นหาบางสิ่งบางอย่างอยากจากดวงตาเขา “คุณไม่มีความสำคัญอะไรสำหรับพวกเขาเลย จริงไหม?”

ริมฝีปากบางเม้มแน่น อยากตอบออกไปว่าจริง แต่ก้อนตีบตันมาจุกอยู่ตรงลำคอ ดวงตาร้อนรื้นหยาดน้ำอุ่น จนพูดอะไรไม่ออก เธอไม่สงสัยหรอกว่าเขารู้ได้อย่างไร ก็เขาเป็นคู่แข่งของพสุธาเทพ ข่าวเรื่องงานแต่งงานของทายาทคนดังคงไม่หลุดรอดหูรอดตาเขาไปได้เป็นแน่

“ถึงอย่างนั้น พรรษก็ต้องกลับค่ะ” หญิงสาวฝืนตอบออกมาหนักแน่น ทำเอาเลือดในกายเมษรักษ์เดือดพล่าน สองมือดึงออกจากกระเป๋ายกขึ้นจับต้นแขนเรียวทั้งสองข้างไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ

“ทำไม! อยากกลับไปนักเหรอ แค่รู้ว่าไอ้หมอนั่นมันจะแต่งงานยังช้ำใจไม่พอรึไง อยากไปเห็นให้ตำตาตำใจนักใช่ไหม ฝันไปเถอะ ผมไม่พาคุณกลับไปตอนนี้แน่...คุณต้องอยู่กับผมที่นี่!”

“พี่เมษรู้?” เขาจ้องตานิ่งเป็นคำตอบ “ถ้ารู้ ทำไมต้องพาพรรษมาที่นี่ พรรษไม่เข้าใจ”

เหมือนคำถามเธอยิ่งทำให้มือทั้งสองข้างบีบแน่นจนแสดงออกทางสีหน้า แต่เมษรักษ์ก็ยังระลึกไม่ได้ เขาจ้องลึกในดวงตาเธอช้านาน คล้ายกำลังนึกหาคำตอบ หรือสับสนก็สุดรู้

“เพราะผมรักคุณ...เพลงพรรษ”

คำตอบตรงๆ ทำเอาเพลงพรรษเบิกตากว้าง ไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าได้ยินคำพูดนั้นจากปากเขา ระยะเวลาแค่สั้นๆ กับเหตุการณ์ที่ไม่มีอะไรชวนให้น่ารู้สึกอย่างนั้น เขาพูดเล่นใช่ไหมนี่

“คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ แต่ผมจะไม่มีวันปล่อยให้คุณไปเป็นของคนอื่น และคุณต้องอยู่ที่นี่จนกว่าผมจะพอใจ!” มือหนาสะบัดออกจากต้นแขนเรียว มองคนที่ยื่นนิ่งอึ้งครู่เดียวเขาก็หมุนตัวกลับเข้าบ้านไม้ชั้นเดียวที่กินพื้นที่กว้างเป็นแนวยาวไปตามชายหาด

เสียงลมพัดหวีดหวิวหอบเอาคำพูดเมื่อสักครู่เข้ามาในโสตประสาทการรับฟัง เพลงพรรษไม่รับรู้ถึงเท้าที่เปียกน้ำจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง เธอสับสน มึนงง เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเธอกันแน่



ร่างสูงเดินสำรวจภายในห้องทุกสิ่งอย่าง ตู้ เตียง โต๊ะ ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน โคมไฟ ฯลฯ ราวกับไม่คุ้นเคย ทั้งๆ ที่มันคือห้องนอนของเขาตั้งแต่วัยเยาว์ และทุกอย่างเปลี่ยนไปแค่ความใหม่ แต่สไตล์และสีสันยังคงเหมือนเดิม เหมือนที่เขาโปรดปรานมาเสมอ ความเศร้าคละเคล้าความอ้างว้างแล่นมาสู่หัวใจ ภาพในวันวานหวนคืนสู่ห้วงคำนึงอย่างห้ามไม่อยู่

‘ลูกชอบใช่ไหม ห้องนี้แม่เลือกของตกแต่งเองทุกอย่างนะ’

‘ชอบฮะ มันเยี่ยมมากๆ เลย แต่ถ้าให้เยี่ยมที่สุด...แม่ต้องอยู่ที่นี่กับพี่เมษตลอดไปนะฮะ’ เพราะขณะนั้นมีเด็กสาวตัวน้อยที่ชื่อว่าอารดาแล้ว เมษรักษ์และคนในครอบครัวจึงเรียกเขาว่า ‘พี่เมษ’ เพื่อจะได้เรียกเด็กหญิงอีกคนว่า ‘น้องดา’

สีหน้าหญิงวัยกลางคนสลดลงเล็กน้อย ดึงพ่อหนุ่มช่างพูดเข้ามากอดแนบอก ลูบหัวลูบหลังด้วยความรักปนปลอบใจ

‘จ้ะๆ ไหนไปดูซิ ตู้โชว์หุ่นยนต์ของลูกถูกใจไหม’ นางจูงมือเด็กชายตัวน้อยไปยืนอยู่หน้าตู้กระจกที่มีหุ่นยนต์มากมายเรียงรายวางอวดสายตาอยู่เต็มไปหมด

และเวลานี้ตู้ใบนั้นก็ตั้งอยู่ตรงหน้าเมษรักษ์ในวัยเติบโตที่ยืนอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง นิ้วเรียวใหญ่ลูบไล้ตู้กระจกนั้นแผ่วเบา ความรู้สึกโหยหาบางอย่างแล่นปราดเข้าสู่หัวใจ พัดพาความเจ็บปวดกลั่นเป็นหยดน้ำมารออยู่ตรงกรอบดวงตา

“พี่เมษ...” เสียงจากด้านหลังทำให้เขาต้องกระพริบตารัวถี่ขับไล่หยดน้ำแห่งความอ่อนแอออกไป ชายหนุ่มหันกลับมามองคนเบื้องหลังนิ่ง สายตาว่างเปล่า แต่น้ำเสียงเอ่ยคล้ายไม่พอใจ

“ทำไมเรียกผมอย่างนี้”

“อ้าว...ก็นึกว่าพี่...ป้านึกว่าเมษจะเลิกอคติกับชื่อนี้แล้วเสียอีก เห็นแม่หนูคนนั้นละเมอเรียกชื่อนี้ตั้งหลายครั้ง ถ้ายังอคติอยู่ต่อให้เขาเด็กกว่าเมษก็จะต้องให้เขาเรียกว่าคุณ ไม่ใช่เรียกพี่อย่างนี้” หญิงสูงวัยตั้งข้อสังเกต “เอ้...หรือว่าคนนี้ ‘พิเศษ’ สำหรับเมษ”

ร่างสูงเดินมาทรุดนั่งตรงขอบเตียง ไม่ตอบคำถามคนเป็นป้า ทว่าคนผ่านร้อนผ่านหนาวมากกว่าไม่ถือสากลับอมยิ้มอย่างพึงพอใจ แค่อาการนิ่งเฉยก็พอจะเป็นคำตอบได้บ้างแล้ว

“ผมจะมาอยู่ที่นี่สักระยะ”

“รวมทั้งแม่หนูคนนั้นด้วย?”

เขามองคนเป็นป้าชั่วอึดใจก่อนพยักหน้ารับ “เขาชื่อ...เพลงพรรษ”

“ชื่อเพราะ” กันยามาศออกปากชมด้วยรอยยิ้มชนิดเมษรักษ์ต้องเมินมองไปทางอื่น คนเป็นป้ายิ่งยิ้มกว้าง ไปนั่งลงข้างๆ หลานชายเอื้อมลูบแขนหนาแน่นด้วยมัดกล้ามแผ่วเบา “เมษ...อย่าทำตัวเองเป็นคนเย็นชาอย่างนี้นักเลย แค่ป้าเห็นหนูเพลงพรรษแวบเดียว ป้าก็รู้แล้วว่าเมษคิดอะไรอยู่ ลืมๆ มันไปเสียบ้างเถอะ อดีตน่ะ”

“อดีตผมมันเลวร้ายเกินกว่าจะลืมได้ลง และต่อให้ผมพยายามลืม มันก็คอยเตือนผมในฝันทุกค่ำคืน” ยามพูดเรื่องนี้มือเขากำผ้าปูที่นอนแน่นอย่างไม่รู้ตัว คนเป็นป้าถอนหายใจ นางรู้และเข้าใจ

“เอาเถอะ ป้าไม่เคยเปลี่ยนเมษได้สักที แต่ป้าหวังว่าหนูเพลงพรรษจะเปลี่ยนเมษได้ ซึ่งนั่นก็มีข้อแม้ว่า...เมษต้องไม่เอาเรื่องในอดีตมาเกี่ยวข้องกับเธอนะลูก มันคนละคนกัน” ชายหนุ่มเงียบเป็นคำตอบ “ไปเถอะ ป้าตั้งโต๊ะให้แล้วป่านนี้เธอคงหิวแล้วกระมัง อ้อ ทานกันสองคนนะ ป้าจะไปทานกับลุงตรงศาลา ที่โปรดของลุงเขา เห็นไปจัดรออยู่แล้วล่ะ”

บอกเสร็จร่างหญิงสูงวัยก็ลุกนำไปก่อน เมษรักษ์มองตามหลังคนเป็นป้าอย่างครุ่นคิด ถึงเวลานี้เขาเองก็ยังสับสนกับหลายสิ่งหลายอย่างในหัวใจที่มันผิดแผนอยู่เหมือนกัน...เธอ คนที่ไม่น่ามาข้องเกี่ยวในธุรกิจ กลับมาทำให้เขาต้องปั่นป่วนอย่างไม่เคยวางแผนไว้



เพลงพรรษคิดไม่ออกว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี โทรศัพท์กับกระเป๋าของเธอก็ไม่รู้ว่าเขาเก็บไปไว้ที่ไหน และตอนนี้เธออยู่ทะเลที่ไหนจังหวัดอะไรหญิงสาวก็ไม่รู้เหมือนกัน...ป่านนี้ปรานต์กับยายคงเป็นห่วงเธอแย่แล้วแน่ๆ เลย ยิ่งคิดหญิงสาวยิ่งกังวลเป็นทวีคูณ

เพราะมัวแต่คิดนู่นคิดนี่เธอจึงไม่รับรู้ถึงการเดินเข้ามาภายในห้องของใครบางคน ความกระวนกระวายใจทำให้หญิงสาวก้มมองแต่มือที่บีบกันแน่น ไม่ว่าอย่างไรเธอต้องไปจากที่นี่ให้ได้...ถึงปรานต์จะไม่เชิญเธอไปร่วมงาน แต่เธออยากกลับไปแสดงความยินดีกับเขาอยู่ห่างๆ ในเรือนหลังเล็กก็ยังดี

คิดมาถึงตรงนี้หัวในดวงน้อยก็รานร้าวไปทั้งดวง

“หิวหรือยัง” คำถามเรียบไม่อ่อนไม่แข็งทำเอาคนถูกถามสะดุ้งสุดตัว เงยขวับมามองเขาแล้วลุกยืนพร้อมกับก้าวถอยหลังไปอีกสองก้าว ดวงตากลมโตจ้องมองร่างสูงด้วยแววตาหวาดหวั่น แม้อาการตอนนี้ของเขาสงบลงแล้วแต่เพลงพรรษก็ยังไม่วางใจ คนอย่างเขาเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เอาแน่เอานอนยาก “ไปกินข้าวกันเถอะ”

เขาไม่สนใจอาการของเธอ เดินเข้ามาดึงมือให้ก้าวออกจากห้องไปด้วยกัน แอบแปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ขัดขืนการกระทำของเขา อาจเพราะเธอนึกกลัวว่าเขาจะโกรธอีกก็เป็นได้

อาหารทะเลประมาณสี่ห้าอย่างถูกจัดวางไว้อย่างสวยงามน่ารับประทาน เก้าอี้รอบโต๊ะอาหารมีประมาณเจ็ดตัว แต่ทุกตัวว่างเปล่า นั่นแสดงว่าจะมีแค่เขากับเธอสองคนเท่านั้นล่ะหรือที่ต้องทานมื้อเย็นนี้ด้วยกัน

“เชิญนั่ง” เขาขยับเก้าอี้ให้เธอ เพลงพรรษเก้ๆ กังๆ เดินไปทรุดนั่ง มองเขาแล้วต้องหลบตาวูบ “เอ้า...กินสิ ตั้งแต่ตอนบ่ายคุณยังไม่ได้กินอะไรไม่ใช่เหรอ กินเอาแรงไว้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน” เขาพูดเหมือนล่วงรู้ความคิดเธอ แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวเป็นการตัดบทสนทนาทั้งปวง

เพลงพรรษไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น เธอร้อนรน หวาดกลัว สงสัย ต้องการคำตอบสำหรับทุกสิ่ง และต้องการกลับบ้าน หากพอเขารู้สึกว่าเธอนั่งนิ่งไม่ยอมขยับช้อนก็เงยมองด้วยสายตาเรียบนิ่ง ทว่าทำให้เพลงพรรษจับช้อนตักข้าวเข้าปากง่ายดาย

ระยะเวลาสั้นๆ เมษรักษ์รวบช้อนแล้วยกน้ำขึ้นดื่มจนหมดแก้ว ส่งผลให้อีกฝ่ายที่เพิ่งทานไปไม่กี่คำทำตามอย่างกระตือรือร้นดวงตากลมโตจ้องมองเขาอย่างรอคอย ชายหนุ่มพิงพนักล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง

“ลุกมานั่งตรงนี้...ข้างๆ ผม” เขาพยักพเยิดไปยังเก้าอี้ข้างตัว คนถูกสั่งทำท่าอึกอัก “ถ้าขืนคุณชักช้ากว่านี้ผมจะไปอาบน้ำแล้วเข้านอน นั่นหมายถึงว่าคุณต้องอยู่ที่นี่ไปอีกหลายวัน อย่างไม่มีกำหนด และโดยไม่รู้เหตุผลอะไรเลย ว่าไง จะมานั่งนี่หรือเปล่า”

หญิงสาวลุกมายืนรีๆ รอๆ ครู่หนึ่งก่อนทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เขา ไม่กล้าเงยสบดวงตาไหวระริก แขนข้างหนึ่งยกขึ้นโอบไหล่บางมาชิดตัว เพลงพรรษเกร็งตัวโดยสัญชาตญาณ ก่อนเธอจะอ้าปากทักท้วงมืออีกข้างของเขาก็ล้วงโทรศัพท์ของเธอออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“เรื่องที่คุณต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสักระยะ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ผมจะให้คุณโทรบอกคนที่บ้าน เพื่อความสบายใจของคุณและทางนั้นจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” เขายื่นโทรศัพท์มาตรงหน้า หญิงสาวยื่นมือไปจับแต่เขากลับรวบมือเธอค้างไว้พร้อมบอก “บอกคนที่คุณโทรหาว่าคุณปลอดภัยดี มาพักกับเพื่อนคนไหนสักคนของคุณ ห้ามพูดนอกเหนือจากนี้ ไม่งั้น...คุณต้องอยู่ที่นี่ตลอดชีวิต”

พูดจบเขาก็ปล่อยมือออกแต่ไม่ยอมยกแขนที่โอบบ่าหนี คล้ายกักขังไว้ไม่ให้เธอลุกหนีและต้องการฟังในสิ่งที่เธอกำลังจะสนทนากับคนทางโทรศัพท์ด้วย

“ได้โปรดเถอะค่ะพี่เมษ กรุณาบอกพรรษสักนิดว่าพี่เมษทำอย่างนี้ทำไม ถ้าพรรษทำอะไรให้พี่เมษไม่พอใจ ก็บอกสิคะ พรรษยินดีปรับปรุง แต่พรรษอยู่ที่นี่ไม่ได้จริงๆ ค่ะ พาพรรษกลับเถอะนะคะ” น้ำเสียงอ้อนวอนเอ่ยพร้อมดวงตาขอความเห็นใจเหลือล้น

ดวงตาสีเข้มหันมาจ้องมองใบหน้าเรียวระยะใกล้

“คุณไม่เชื่อหรือกับสิ่งที่ผมบอกไปตรงชายหาด หรือแค่คำพูดมันไม่เพียงพอ ต้องการการกระทำเป็นเครื่องยืนยันใช่ไหม?” ใบหน้าคมขยับใกล้อีกนิดจนคนในอ้อมแขนเอนตัวหนี ยอมก้มลงมองโทรศัพท์ในมือแล้วกดโทร.ออกตามชื่อที่ต้องการอย่างรู้ตัวว่าเธอไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากทำตามคำสั่งเขาเท่านั้น

รอสายนานพอสมควรปลายทางจึงตอบรับกลับมา เพียงแค่ได้ยินเสียงริมฝีปากของเพลงพรรษก็สั่นขึ้นจากอาการกลั้นสะอื้น มือข้างหนึ่งยกปิดปาก ฝืนกลืนก้อนตีบตันเพื่อบังคับไม่ให้เสียงสั่นจนคนปลายสายเรียกซ้ำหลายครั้ง

“พรรษ...พรรษ ได้ยินไหม”

“จ้ะยาย พรรษได้ยินจ้ะ” พอเธอตอบรับ คนนั่งข้างก็แสดงสีหน้าแปลกใจ ผิดคาดว่าเธอจะโทรหาปรานต์ “ยายไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ พรรษ...พรรษปลอดภัยดีจ้ะ”

“แล้วนี่พรรษอยู่ไหนล่ะลูก ทำไมยังไม่กลับบ้านคุณปรานต์เวียนมาถามหลายรอบแล้วบอกว่าติดต่อหนูไม่ได้” นางเอื้องถามร้อนรน การที่เพลงพรรษกลับบ้านผิดเวลาในช่วงหลังทำให้นางไม่ค่อยแปลกใจที่วันนี้หลานสาวยังไม่กลับถึงบ้าน แต่พอปรานต์มาถามหาด้วยท่วงท่าร้อนรนนางเอื้องเลยพลอยห่วงไปด้วย

“พรรษอยู่กับ...” หญิงสาวเงียบ เธอไม่อยากพูดปดกับคนเป็นยาย มือหนาที่หัวไหล่กระชับเป็นการเตือน จึงจำเป็นต้องเอ่ยต่อ “พรรษขออยู่กับเพื่อนสักพักนะจ๊ะยาย”

“เพื่อนคนไหน แล้วไปอยู่ที่ไหน จะกลับเมื่อไหร่ ยายจะได้บอกคุณปรานต์เธอถูกถ้าเธอมาอีกรอบ” คนเป็นยายมิใคร่วางใจนัก เพราะเพลงพรรษไม่ใช่คนเพื่อนเยอะ รวมถึงเพื่อนที่มีก็หาคนสนิทสนมขั้นไปนอนค้างอ้างแรมด้วยยาก

“ดาน่ะจ้ะยาย เพื่อนที่ทำงานที่พรรษเคยเล่าให้ยายฟังไงจ๊ะ ว่าเขาดีกับพรรษมาก ยายไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ เมื่อพรรษพร้อมพรรษจะกลับนะจ๊ะ”

“เสียใจเรื่องคุณปรานต์เหรอลูก” คนเป็นยายเข้าใจไปอย่างนั้น ยิ่งได้รับความเงียบตอบกลับนางเอื้องยิ่งสงสารหลานจนต้องถอนหายใจออกมา “ยายเคยบอกแล้วว่าเรากับเขาแตกต่างกัน ถึงวันนี้ไม่จากวันหน้าก็ต้องจากกันล่ะพรรษเอ้ย เอาเถอะ ถ้าพรรษยังทำใจไม่ได้ก็พักกับเพื่อนไปก่อน ยายจะบอกคุณปรานต์ให้”

ริมฝีปากบางเม้มแน่น กลืนเสียงสะอื้นลงคอ ข่มน้ำเสียงไม่ให้สั่นยามเอ่ยตอบคนเป็นยาย

“ฝากยินดีกับพี่ปรานต์ด้วยนะจ๊ะยาย...พรรษยินดีที่เขาได้เจอคนดีๆ และคู่ควร”

ล่ำลากันเรียบร้อยหญิงสาวก็กดตัดสัญญาณ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงผ่านแก้ม สั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขนที่เธอมิได้ปรารถนา มือที่ส่งโทรศัพท์ให้เธอก่อนหน้านี้เลื่อนมาดึงมันกลับไป หญิงสาวไร้เรี่ยวแรงจะยื้อยุดมันไว้ ต่อให้เธอพยายามเท่าไรคงไม่สำเร็จ

“ผู้หญิงคนนั้นดี แต่ไม่คู่ควรกับทายาทพสุธาเทพหรอก” เขาเอ่ยเรียบๆ อีกครั้งที่แววตาเพลงพรรษฉายแววสงสัย “ส่วนคุณก็ไม่เหมาะสมกับเขา...เพราะคุณมีค่ามากกว่านั้น” ปลายเสียงของคนพูดอ่อนโยนนุ่มนวล จนเพลงพรรษยิ่งสับสนหนักกว่าเก่า เธอจ้องลึกในดวงตาเขาคล้ายจะเรียกหาความกระจ่างแจ้ง แต่ได้รับกลับมาเพียง...

จุมพิตบนเรือนผมใกล้ขมับซ้ายอ่อนเบาทะนุถนอม

เขาลุกไปจากตรงนั้นแล้ว แต่ทุกอย่างยังวนเวียรอบตัวหญิงสาว ความสงสัยที่ค้างคา รอยหนักๆ ของลำแขนบนบ่า และสัมผัสอุ่นซ่านตรงขมับซ้าย...ไม่มีอะไรทำให้เธอเข้าใจสักอย่าง แม้กระทั่งเหตุผลที่เขาบอกริมทะเลยังไม่กล้าเชื่อถือ...แล้วเขาต้องการอะไรกันแน่ ทำแบบนี้เพื่ออะไรกัน


โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติ-ชมค่ะ ^^



ปลากัด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ค. 2554, 10:48:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 พ.ค. 2554, 10:48:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 2053





<< oOo รุ้งฤดูร้อน - บทที่ 11 oOo   
Pat 30 พ.ค. 2554, 12:24:24 น.
เมื่อไหร่จะเข้าใจน้อ หึหึ สงสารพรรษจริง


anOO 30 พ.ค. 2554, 22:24:29 น.
พรรษก็น่าสงสาร
แต่น้องดาต้องแต่งงานเลยนะ น่าจะน่าสงสารกว่า


คิมหันตุ์ 31 พ.ค. 2554, 02:27:49 น.
มารอลุ้นจ่ะ.... จะไหวไม๊น๊อ


wane 1 มิ.ย. 2554, 09:57:56 น.
ลุ้น ลุ้น ค๊า


คิมหันตุ์ 3 ก.ค. 2554, 00:16:33 น.
หายไปไหนน๊อออออออ??


pretty 5 ส.ค. 2554, 16:59:50 น.
เมื่อไหร่จะมาต่อน๊า


roseolar 2 ธ.ค. 2554, 22:50:55 น.
คิดถึงเรื่องนี้เสมอ

กำลังถึงฉากสำมะคัญเลย จนคนอ่านชักเริ่มๆคัน

วานคนเขียนมาลงต่อแก้คันให้หน่อยได้มั้ยคะ ^ ^


ปลากัด 5 ธ.ค. 2554, 16:08:38 น.
ขอบคุณทุกทานที่รอนะคะ ขอเวลาสำหรับเรื่องนี้อีกสักหน่อย เพราะมีคิวอีกหนึ่งคิวมาตัดหน้า และต้องปรับปรุงเพื่อความสนุกอีกสักหน่อย ดีใจที่ยังมีคนรอนะคะ แต่ชอบเรื่องนี้มากเหมือนกัน ไม่ทิ้งแน่นอนนะคะ ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account