พันธนาการหวาม
ถ้าคุณชื่นชอบ เส้นทางระหว่างหัวใจ คุณก็ไม่ควรพลาดเรื่องนี้
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่9



ท่าเรือภูเก็ต...

เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีผู้คนค่อนข้างพลุกพล่าน แม้วันนี้จะไม่ใช่วันหยุด แต่เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว ความคึกคักจึงมีอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน และนั่นก็ทำให้โสภิตาถึงกับเผลอยิ้มเมื่อความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในสมอง

เธอมองไปยังฝูงชนที่เดินผ่านไปมาด้วยความหวัง ความพลุกพล่านของผู้คนจะเป็นประโยชน์กับเธออย่างยิ่งในการหนี...นั่นคือสิ่งที่เธอควรทำที่สุด ไม่มีวันที่เธอจะมาทนทำงานรับใช้เจ้านายจอมหื่น เถื่อน โหด อย่างนายเพียวคนนี้เด็ดขาด เธอไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอกที่ไหนสักหน่อย

รถตู้แล่นเข้ามาจอดใกล้ท่าเทียบเรือแห่งหนึ่ง โสภิตามองไปรอบๆความแปลกตาที่ปรากฏ ท้องฟ้าสีคราม มีนกบางชนิดบินว่อน ฉวัดเฉวียนไปมา ไม่รู้ว่านกที่เห็นจะใช่นกนางนวลหรือเป็นนกชนิดอื่น พื้นน้ำสีครามมีเรือหลายชนิดหลายขนาดทั้งเรือยอร์ซเรือใบ และเรือโดยสารอื่นๆ จอดเรียงรายแน่นขนัด โยกตัวไปมาตามกระแสคลื่นที่โถมซัดเข้าสู่ฝัง

“ลุงอ่ำขนกระเป๋าลงไปที่เรือเลยนะ แล้วลุงก็ค่อยขับรถกลับไปบ้าน ถ้าแม่ถามบอกแม่ด้วยว่าฉันจะไปดูงานที่เกาะก่อน ค่อยจะแวะไปกราบท่าน” เพียวสั่งก่อนจะเปิดประตูรถตู้ ทั้งกระโดดลงมายืนสูดกลิ่นทะเลภายนอก

“ถึงแล้วลงมาสิครับ” เขาหันไปเรียกคนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับลงจากรถ ทั้งๆที่เหลืออยู่แค่คนเดียว

โสภิตาลุกขึ้นยืน เธอหยุดนิ่งเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง มือกระชับกระเป๋าถือเอาไว้แน่น ก่อนจะค่อยๆก้าวลงมาจากรถตู้ สายตาของเธอจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังกว้างของตัวอันตรายที่กำลังหันไปสั่งการอะไรบางอย่างกับคนขับรถเพิ่มเติม อีกทั้งยังปราศรัยบุคคลหลายคนที่เดินเข้ามาทักทายอย่างสนิทชิดเชื้อ และนี่ก็คือโอกาสดีของเธอที่อาจจะเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในการหนีเอาตัวรอด

เร็วเท่าความคิด เมื่อเท้าแตะพื้นโสภิตาก็ออกวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต เธอไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงเรียกที่ดังอยู่ข้างหลัง หรือแม้แต่เส้นทางที่เธอมุ่งไปข้างหน้า ขอให้พ้นจากนายคนโรคจิตคนนี้ก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที

“นั่นจะไปไหน กลับมาเดี๋ยวนี้นะโสภิตา คุณคิดว่าคุณจะหนีผมพ้นเหรอ”

เสียงร้องเรียกดังอยู่ข้างหลังแกมเสียงฝีเท้าที่ก้าวฉับๆถี่เร็วใกล้เข้ามาทุกที แต่จะในระยะเท่าไหร่เธอไม่อาจรู้ เพราะไม่มีเวลาแม้สักวินาทีที่จะหันไปมอง นั่นทำให้เธอต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น อย่างที่เรียกว่าหนีไม่คิดชีวิต แต่ไม่ว่าเธอจะวิ่งหนีเลี้ยวหลบไปทางไหน เสียงไล่กวดอยู่ข้างหลังก็ยังคงดังเข้ากระทบโสตประสาทไม่เลือนหาย จนกระทั่ง...

“ว้าย...ปล่อยนะไอ้คนบ้า ไอ้โรคจิต ฉันไม่ไปไหนกับแกทั้งนั้น บอกให้ปล่อย” โสภิตาดิ้นสุดแรง เพื่อช่วยให้ตัวเองหลุดออกจากวงแขนแข็งแกร่งนั้น “ช่วยด้วยค่ะช่วยฉันด้วย ผู้ชายคนนี้จะฉุดฉันไปเรียกค่าไถ่” เสียงร้องดังลั่นไปทั่ว ทว่าก็หาได้มีใครยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้อง ดูเหมือนว่าพวกเขาเหล่านั้นจะทำเพียงแค่หันมามองแล้วอมยิ้มให้เท่านั้น คนเมืองนี้มันเป็นยังไงกันนะ คำว่าน้ำใจไม่มีติดในความคิดเลยสักหยดเชียวหรือ...

“ว้าย...”จากร้องลั่นเปลี่ยนเป็นร้องเสียงหลง เมื่อร่างของเธอถูกยกลอยหวือขึ้นพาดบนบ่าของคนที่เธอยกให้เขาเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่ง

“นั่นคุณเพียวนี่นา...อุ้มสาวที่ไหนมานั่น”

“อย่าไปยุ่งเรื่องของเขาเลย หล่อๆอย่างคุณเพียว จะอุ้มสาวไหนเล่าถ้าไม่ใช่แฟน”

เสียงซุบซิบจากคนที่เดินผ่านมาในละแวกนั้น ตามด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก ยิ่งสร้างความอับอายให้แก่หญิงสาวอย่างมาก และนั่นมันก็ยิ่งทำให้เธอต่อต้าน

“อยู่เฉยๆ อย่าดิ้น ไม่อย่างนั้นผมจะจับคุณโยนลงทะเลเดี๋ยวนี้” เพียวขู่เสียงเข้ม แต่มันก็ไร้ประโยชน์

“ช่วยด้วยค่ะช่วยที คุณตำรวจช่วยด้วย” โสภิตาตะโกนลั่น รู้สึกมีความหวังเพิ่มขึ้น เมื่อรถสายตรวจของตำรวจแล่นผ่านมาแล้วก็จอดสนิทเบื้องหน้าชายหนุ่ม

“เกิดอะไรขึ้นครับ” หนึ่งในผู้มีดาวประดับบ่าอยู่สองดวงถามขึ้น

“ไม่มีอะไรหรอกครับผู้หมวด แฟนผมเขางอน จะหนีกลับกรุงเทพฯ ก็เลยต้องตามง้อตามจับกันแบบนี้ล่ะครับ” เพียวยิ้ม เขาปล่อยร่างของโสภิตาลงมายืนที่พื้น แต่ยังไม่ยอมให้เธอได้รับอิสระ

“อย่าไปเชื่อค่ะคุณ เขากำลังฉุดฉันเห็นๆ เขาอาจจะเป็นคนร้าย คนโรคจิต หรือไม่ก็พวกมิจฉาชีพ” โสภิตาพยายามหาข้ออ้าง

“โถที่รัก...กล่าวหาผมซะเสียเชียว จะโกรธจะงอนผมก็ตามง้อ ไม่เคยคิดทำร้ายให้ระคายผิว ยังจะมาใส่ความกันให้เจ็บช้ำน้ำใจ” เพียวว่าด้วยสายตาที่เว้าวอน น้ำเสียงอ่อนหวาน

“ผมว่าค่อยๆพูดค่อยๆจากันเถอะครับ คนรักกันอยู่ใกล้ชิดกัน มันก็เหมือนลิ้นกับฟัน มีกระทบกระทั่งกันบ้าง”

“บอกแล้วไงคะว่า เขาไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน คุณตำรวจต้องเชื่อฉันสิคะ ฉันเป็นผู้เสียหายนะ” โสภิตาพยายามแย้ง ทว่ามันคงไร้ผล เมื่อนายตำรวจไม่ได้คิดสนใจในสิ่งที่เธอพูดแม้แต่น้อย

“แฟนสวยนะครับคุณเพียว ก็ธรรมดาล่ะครับ ผู้หญิงสวยมักงอนเก่ง พยายามง้อเข้านะครับขอให้ง้อสำเร็จผมเอาใจช่วย”

ขอบคุณครับหมวด ผมพยายามเต็มที่อยู่แล้ว”

“พวกผมไปก่อนล่ะ โชคดีนะครับ”

ที่แท้พวกเขาก็รู้จักกัน อย่างที่บอกเอาไว้ว่าที่นี่คือถิ่นของเขา โสภิตามองเห็นประตูแห่งอิสรภาพค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆไปพร้อมกลับรถสายตรวจที่แล่นจากไปจนลับตายังทางแยกข้างหน้า ก่อนที่เธอจะหันมาเผชิญกับร่างสูงที่ข่มเธอจนทำให้รู้สึกได้ว่าเธอเป็นเพียงลูกเจี๊ยบตัวเล็กๆเท่านั้น

“ยังไม่ทันได้เริ่มทำอะไรเลย คิดหนีกลับซะแล้ว นิสัยอย่างคุณ ไม่ต้องมีใครบอกก็พอดูออกแล้วล่ะ จับจด เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ”

“มันจะมากไปแล้วนะ”

“หรือไม่จริงล่ะ...คุณหนูผู้ไม่เคยเผชิญหน้ากับความลำบาก จะทำอะไรได้” เพียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงยามเหยียด

“ไม่จริง...คนอย่างเจนนี่ทำได้ทุกอย่างล่ะถ้าจะทำ แต่ที่ไม่ทำก็เพราะนายนั่นแหละ ฉันยอมรับกับการที่ต้องมาอยู่ในความควบคุมของเจ้านายเส็งเคร็งอย่างนายไม่ได้” เธอเถียงขึ้นทันที

“ข้ออ้าง”

“เรื่องจริง”

“พิสูจน์สิ...อยู่ให้ได้ ถ้าทำได้ ผมจะอโหสิกรรมในทุกเรื่องที่ผ่านมา”

น้ำเสียงของเขาไม่ได้บอกถึงการยั่วยวนล้อเล่น แต่มันแฝงไปด้วยอะไรบางอย่างที่โสภิตาไม่อาจเข้าใจ โดยเฉพาะคำว่าอโหสิกรรมที่เขาพูดขึ้นมา แต่เมื่อตกอยู่ในอารมณ์ที่ถูกยั่วยุ ทำให้เธอลืมที่จะคิดถึงรายละเอียดของมันไปซะสนิท

“ไม่...”

“ถึงจะปฏิเสธ คุณก็ต้องไปกับผมอยู่ดี อยู่บนเกาะโน่นทำงานจนกว่าผมจะพอใจ ถ้าไม่ดื้อรันเกินไปนัก คุณก็อาจจะเป็นอิสระเร็วขึ้น แต่ถ้ายังทำแบบนี้อีก เราอาจจะต้องอยู่ด้วยกันอย่างนี้ไปจนตาย”

“คอยดูเถอะฉันจะฟ้องพี่ภณ”

“ตามสบาย...”

“ฉันจะฟ้องพี่พลอย...”

“ก็ตามใจ”

“ฉันจะฟ้อง...”

“อย่ามัวแต่โอ้เอ้ เราเสียเวลามามากแล้วนะ ต้องรีบเดินทางให้ถึงเกาะก่อนมืด เร็วเข้าสิ หรือจะให้ผมอุ้ม แต่คราวนี้ผมจะไม่อุ้มเปล่าๆหรอกนะ คงต้องขอค่าเหนื่อยสักฟอดสองฟอด” เพียวเอ่ย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขาวาววับผนวกกับรอยยิ้มที่ทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกร้อนๆหนาวๆเหมือนจับไข้

“ปล่อย...ฉันจะเดินเอง” เธอบอกด้วยน้ำเสียงห้วนจัด

“แน่ใจนะว่าจะไม่หนี” เพียวถาม ทั้งที่ยังยึดอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขนแข็ง ในใจยังนึกเสียดายอยู่บ้างหากต้องปล่อยร่างนุ่มนิ่มนี้ออกไป

“ตอนนี้ฉันคงไม่หนี แต่ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ก็ไม่แน่” เธอตอบตามที่คิดโดยไม่ปิดบัง และมันก็เรียกเสียงหัวเราะให้กับชายหนุ่มได้ไม่น้อย

“ครับ...ตามสบาย แต่อย่าให้ผมจับได้ก็แล้วกัน...คงไม่ต้องให้บอกหรอกนะว่าผลจะเป็นยังไง” เพียวปล่อยเธอออกจากอก แต่ไม่ยอมปล่อยข้อมือเล็กๆนั้น

ถึงเธอจะบอกว่าไม่หนีในเวลานี้ แต่เขาก็ยังไม่อยากเสี่ยงที่จะเหนื่อยอีกรอบ จับจูงกันไปแบบนี้แหละดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด และไม่ต้องแบกให้เหนื่อย ถึงแม้เขายินดีอย่างยิ่งที่จะเหนื่อยเพราะเหตุนั้นก็ตาม

เรือเร็วหรือในชื่อที่เรียกกันอย่างแพร่หลายคือสปีดโบ๊ดขนาดยี่สิบที่นั่งแล่นผ่านเกลียวคลื่นเข้าจอดเทียบท่าน้ำที่เป็นสะพานไม้สีขาวทอดยาวออกมาจากเกาะ ด้วยฝีมือคนขับผู้ชำนาญการ โดยมีผู้โดยสารที่ร่วมเดินทางครั้งนี้เพียงแค่สองคน ซึ่งดูเหมือนพวกเขาจะไม่พูดไม่จาอะไรกันแม้สักคำในระหว่างการเดินทางครั้งนี้

“นพ...เอากระเป๋าขึ้นไปก่อน แล้วโทรติดต่อคนที่ร้านมารับด้วย ส่วนนายขับเรือกลับไปเกาะใหญ่” เพียวสั่งคนขับ ก่อนที่เขาจะยกกระเป๋าไปรวมกันไว้ในที่ที่คิดว่าลำเลียงขึ้นฝั่งได้สะดวก

“ครับคุณเพียว” คนขับเรือชื่อนพรับคำ ขณะลุกจากเบาะในตำแหน่งคนขับ เข้ามาหิ้วกระเป๋าเดินทางสองใบขึ้นไปวางบนพื้นกระดานท่าน้ำ เพื่อนำขึ้นฝั่งตามคำสั่ง

“ถึงแล้วลุกขึ้นสิคุณ...หรืออยากจะนอนอยู่บนเรือ” เพียวเอ่ย เขาเอื้อมมือไปข้างหน้าหวังฉุดร่างบางให้ลุก ทว่าอีกว่ากลับเบี่ยงหลบ

“ฉันลุกเองได้ เดินเองได้ ไม่ต้องยุ่ง”

“เรือมันโครงเครง ไม่เคยชินเดี๋ยวก็ได้ล้มหัวฟาด” เพียวเตือนด้วยความหวังดี

“ช่างฉัน...”

น้ำเสียงตอบกลับแบบมะนาวไม่มีน้ำ ทั้งท่าทางเก้กัง ในขณะที่โสภิตากำลังประครองตัวเองให้เดินไปยังท่าเรือ มันช่างดูน่าขบขันมากกว่าชวนให้โกรธ แล้วเพียวก็ต้องโผเข้าไปประครองก่อนที่คนเก่งจะเซถลาหงายท้องหัวฟาดพื้นไปจริงๆเมื่อเรือเกิดอาการเอียงวูบกะทันหันจากคลื่นลูกใหญ่ที่ซัดเข้าฝั่งแบบไม่ทันตั้งตัว

โสภิตาถึงกับหน้าซีดด้วยความตกใจ ก่อนจะแดงระเรื่อขึ้นมาแทนเมื่อได้สบตาคมกล้าวาววับบนใบหน้าคมคายที่อยู่ห่างไม่ถึงคืบและดูเหมือนว่ามันจะค่อยๆก้มต่ำลงมาซะทุกที หัวใจของเธอเต้นแรง รับรู้ถึงอาการร้อนวูบวาบไปทั้งเนื้อทั้งตัว ซึ่งเธอก็พยายามบอกกับใจตัวเองว่ามันคือความรู้สึกอับอายขายหน้า ไม่มีความรู้สึกอื่นใจมาปะปน

“ปล่อย” น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกไปนั้นสั่นเทาอย่างบังคับไม่อยู่

“บอกแล้วว่ามันอันตราย” เสียงทุ้มๆ เอ่ยเบาๆเหมือนกระซิบ สายตาของเขาไม่ได้ละไปจากวงหน้าเนียนใสงดงามปานภาพจิตรกรรมนั้นแม้เสี้ยววินาที

“ช่าง...ยังไงตัวนายก็อันตรายกว่า” เธอตอบกลับทั้งแอบกลืนน้ำลายลงคอ

“ผมเจ้านายคุณนะ...กรุณาเรียกใหม่ อย่าใช้สรรพนามแบบนั้น” เพียวยังไม่ปล่อย แต่เขากลับหาเหตุไปอีกเรื่อง แถมยังกระชับอ้อมกอดแน่นเข้าไปอีกอย่างตั้งใจ

“ปล่อย...ฉันบอกให้ปล่อยไง หูแตกเหรอ”

อีกฝ่ายออกอาการดิ้น เมื่อคิดย้อนกลับไปแล้วพบว่า วันนี้เกือบทั้งวันที่เธอต้องถูกนายบ้าคนนี้เอารัดเอาเปรียบ มันช่างเป็นเรื่องที่แย่ที่สุดตั้งแต่เกิดมา ทำไมชีวิตของเธอต้องมาพัวพันกับผู้ชายคนนี้ด้วยนะ

“พูดดีๆ พูดว่าพี่เพียวขา ปล่อยเจนนี่เถอะค่ะ...พูดเป็นไหมแบบนี้” เขาสอน

“ไม่...”

“แสดงว่าอยากให้กอดนานๆ ล่ะสิ...ได้ไม่มีปัญหา” พูดจบเพียวก็ย่อตัวลงช้อนร่างบางที่สำหรับเขาแล้วน้ำหนักของเธอคงไม่ต่างจากกระสอบนุ่นมากนัก

“ว้าย...ปล่อยนะปล่อย บอกให้ปล่อย ไอ้บ้า ไอ้คนโรคจิต ฉันจะเดินเอง...ไอ้...”

ริมฝีปากเรียวประกบปิดปากนุ่มๆนั้นเอาไว้ก่อนที่มันจะหลุดคำพูดอันแสนระคายหูออกมาอีก ดูเหมือนว่ามันเป็นการหาเรื่องที่ดีไม่น้อยสำหรับเขาในการทำให้เธอโกรธ เพื่อได้มาซึ่งบทลงโทษในแบบฉบับที่เขานึกอยากจะทำตั้งแต่อยู่บนเครื่องบิน หรือริมฝีปากนุ่มๆหวานๆอันนี้มันจะเคลือบยาเสน่ห์เอาไว้ เขาชักสงสัย เพราะเมื่อมองเห็นมันครั้งใดความรู้สึกอยากลิ้มชิมรสก็เกิดขึ้นในใจเมื่อนั้น

จุมพิตที่คิดว่ามันคือบทลงโทษไม่ได้รุนแรงอย่างที่น่าจะเป็น ทว่ามันกลับเร้าร้อนอ่อนหวานและเชิญชวนให้ตอบสนอง ร่างบางในวงแขนอบอุ่นแข็งแกร่งเป็นพันธนาการที่ยากจะดิ้นหลุดนั้นสั่นเทา กำปั้นน้อยๆที่พยายามทุบอกกว้างนั้นให้เจ็บเพื่อเขาจะได้ปล่อยเธอเป็นอิสระมันเริ่มไร้เรียวแรงและอ่อนล้าลงไปกระทั่งเธอได้แต่วางฝ่ามือแนบอกของเขาเอาไว้เท่านั้น เธอสัมผัสถึงอาการเต้นเบาๆภายใต้เสื้อยืดผ้าเนื้อดี และรับรู้ว่าเวลานั้นจังหวะการเต้นที่สัมผัสได้มันเป็นจังหวะเดียวกันกับการเต้นของหัวใจเธอ

“พูดดีๆ ทำตัวดีๆ อย่าดื้อ ไม่งั้นคุณจะเจอยิ่งกว่านี้...แต่เอ...หรือคุณจะไม่พอใจว่าแค่จูบมันน้อยเกินไป เอาเถอะ ไว้ว่างๆ ผมจะจัดหนักให้ตามต้องการ”

เพี๊ยะ...เสียงฝ่ามือกระทบซีกหน้าคมคายนั้นแรงพอที่จะทำให้เกิดรอยนิ้วเป็นปื้นขึ้นมาทันตาเห็น ดวงตาของเขาวาวโรจน์รุกโชนราวกับมีกองเพลิงสุมอยู่แล้วมันก็ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกกลัวจนต้องหดหัวหลับตาปี๋ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาจะตอบแทนรอยฝ่ามือที่หน้าอีกครั้ง และนั่นก็คงไม่พ้นการถูกจูบที่รุนแรงอันแตกต่างจากรสจูบเว้าวอนเรียกร้องแบบเมื่อครู่

โสภิตารับรู้ถึงอาการเคลื่อนไหว แต่เธอก็ยังกลัวเกินกว่าจะลืมตาขึ้นมามองว่าเขาจะอุ้มเธอไปไหน แต่ไม่อยากลืมตาก็ต้องลืมเมื่อเธอรู้ตัวว่าลอยหวือขึ้นสู่อากาศแล้วร่วงลงสู่พื้นน้ำอย่างเร็ว มันเร็วเกินกว่าที่จะตั้งตัวทัน

ตูม...!

“ว้าย...”

“พยศนักก็อยู่ในนั้นแหละ” เพียวบอกก่อนจะก้าวขึ้นเรือแล้วเดินจากไปตามสะพานท่าน้ำ ไม่สนใจจะหันกลับมามองคนที่กำลังตะเกียกตะกายอยู่ในทะเล

“ช่วยด้วย...ฉัน...ว่ายน้ำไม่เป็น...ช่วย...ด้วย”

เสียงตะโกนขาดๆหายๆไปเป็นช่วงๆ ดูเหมือนจะไม่มีผลสำหรับคนที่กำลังเดินจากไป ก็ในเมื่อระดับน้ำบริเวณนั้นมันไม่ได้ลึกมากมายเกินกว่าความสูงของโสภิตาจะหยั่งได้ หากไม่มีคลื่นลูกใหญ่ม้วนตัวสูงขึ้นจนสามารถโอบอุ้มร่างเล็กๆให้ลอยขึ้น และพร้อมจะพาเธอออกไปนอกทะเล

“ช่วยด้วย...” เสียงสุดท้ายดังขึ้นก่อนมันจะเงียบลง มันนานพอที่จะทำให้คนที่กำลังจะเดินห่างไปหันกลับมามอง

คลื่นทะเลยกตัวขึ้นสูง เพราะวันนี้ลมค่อนข้างแรงกว่าปกติ มันมีผลอย่างมากสำหรับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้มีความคุ้นเคยกับทะเล อย่าว่าแต่คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นเลย ต่อให้ว่ายน้ำได้ ก็ค่อนข้างจะลำบากในการพยุงตัว

เมื่อคิดได้ร่างสูงก็เร่งฝีเท้าวิ่งกลับมาทั้งกระโดดลงไปยังจุดที่เขาเพิ่งจะโยนผู้หญิงหัวดื้อจอมรั้นลงไป ณ เวลานี้ เขาไม่เห็นเธออยู่ในสายตา เธอหายไปไหน หรือเธอจะถูกคลื่นซัดออกทะเลไปแล้ว...

“โสภิตา...คุณอยู่ไหน อย่าเป็นอะไรนะ” ชายหนุ่มทั้งดำน้ำทั้งตะโกนเรียกด้วยความรู้สึกหวั่น

แม้ความเค็มของน้ำทะเลจะทำให้เขาแสบตาจนแทบลืมตาไม่ขึ้น แต่ความปลอดภัยของผู้หญิงที่เขาจะต้องรับผิดชอบชีวิตมันสำคัญยิ่งกว่า ถ้าเธอเป็นอะไรไปคงยากที่จะอธิบายชี้แจงต่อนายโสภณ กับพิมพ์พลอยเพื่อนที่อุตส่าห์ฝากฝังให้เขาดูแล และที่สำคัญคือหัวใจของเขาที่มันรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาจนสุดจะทน

“เกิดอะไรขึ้นครับคุณเพียว คุณเพียวหาอะไรครับ”

เสียงตะโกนถามจากคนบนท่าเรือไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้การค้นหาร่างบางที่เขาเพิ่งจับโยนทะเลหยุดลงได้เท่าอาการเหนื่อยหอบจากการดำน้ำค้นหาคนที่ยังสูญหาย

“เร็วเข้านพ มาช่วยกันหาเร็ว” เพียวบอกอย่างร้อนรน

“หาอะไรครับ”

“คุณผู้หญิงที่มากับฉันไง เธอหล่นลงน้ำ ถูกคลื่นซัดไปไหนแล้วก็ไม่รู้”

“เอ่อ...คุณเพียวหมายถึง...”

“เออ..เร็วๆสิ จะถามอะไรนักหนา ชีวิตคนทั้งชีวิตนะโว้ย...จะให้มันจบลงเพราะต้องมาเสียเวลาตอบคำถามของแกหรือไงไอ้นพ” ผู้เป็นเจ้านายชักมีน้ำโห

“คือผมจะบอกว่า...คุณผู้หญิงที่คุณเพียวกำลังหา เธออยู่โน่นครับ” นพชี้มือไปทางชายหาดที่อยู่ห่างไปประมาณห้าสิบเมตร และที่นั่นก็มีร่างบางของหญิงสาวสภาพเปียกปอนไปทั้งตัวกำลังเดินลุยน้ำขึ้นไปบนฝั่ง แล้วก็นั่งแหมะลงที่หาดทรายสีขาวอย่างคนหมดแรง

“ยัยตัวแสบเอ๊ย...หลอกให้เปียกด้วยกันจนได้ มันน่าจับไปโยนใหม่ที่กลางทะเลนักเชียว” เพียวกัดฟันกรอด

แม้จะรู้สึกเจ็บใจที่ถูกย้อนรอย แต่ความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจนั่นก็คือความรู้สึกโล่งอก เมื่อรู้ว่าเธอยังสุขสบายดี ไม่ถูกคลื่นซัดหายออกทะเลอย่างที่เขานึกหวั่นกลัวในตอนแรก ชายหนุ่มปีนขึ้นมานั่งหอบหายใจบนท่าน้ำ พอบรรเทาอาการเหนื่อยลงบ้าง เขาก็ลุกขึ้นยืน

เพียวปีนป่ายขึ้นบนสะพานไม้มุ่งไปยังจุดที่ยัยตัวแสบนั่งอยู่ ไม่ได้สนใจว่านพจะเดินตามเขามาด้วยหรือไม่ เพราะความสนใจของเขาเวลานี้พุ่งตรงไปที่คนบนหาด คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแววตาเปล่งประกายความดุส่งไปให้ชนิดไม่วางตา จนเข้าไปยืนตรงหน้าเธอในท่าเท้าสะเอวอย่างคนเอาเรื่อง

แม้จะรู้สึกสะใจที่สามารถแก้แค้นคืนได้ทันควัน แต่มันก็ยังไม่หนำใจนัก เพราะเธอเกือบตายไปจริงๆจากที่ถูกเขาจับโยนทะเลโชคยังดีที่คลื่นมันซัดเธอไปทางเสาสะพาย ทำให้สามารถใช้มันเป็นที่ยึดเกาะจนไต่ขึ้นมาบนฝั่งได้ เมื่อเธอต้องมาเปียกปอนเป็นลูกหมาตกน้ำ แล้วมันเรื่องอะไรที่เธอจะยอมเปียกอยู่คนเดียว เขาผู้ก่อเรื่องก็ต้องเปียกปอนยิ่งกว่าลูกหมาตกน้ำเหมือนกัน...

“แสบเหลือเกินนะแม่คุณ”

“ยังไงก็ไม่เท่านายหรอก”

“ถ้าคุณยังใช้คำว่านายเรียกผมอีก ผมจะปิดปากคุณเอาให้พูดไม่ออกสักเป็นเดือนเลย ไม่เชื่อก็ลองดู”

แก้มใสๆแดงระเรื่อขึ้นทันตา เมื่อคิดตามถึงวิธีปิดปากอย่างเขาว่า ไม่มีคำตอบรับหรือปฏิเสธนอกจากความเงียบ ก็มันเรื่องอะไรที่เธอจะตอบให้เขารู้ล่ะ ถ้ายอมรับตามเขาพูดขู่คงได้ใจเพราะคิดว่าเธอกลัวคำขู่ของเขา แต่ที่เธอไม่ตอบปฏิเสธไปทันทีในตอนนี้ก็เพราะเธอที่จะสู้รบต่อกรกับเขาต่างหากล่ะ

เสียงเครื่องยนต์ดังมาให้ได้ยินก่อนชายหนุ่มจะมองเห็นรถกระบะคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดใกล้ๆ มันเป็นรถของบริษัทที่ใช้ในส่วนของช็อปดำน้ำ พระอาทิตย์กำลังจะลับแผ่นน้ำ ความหิวกำลังมาเยือน เพราะเมื่อพบกับความวุ่นวายมาทั้งวัน เขาต้องสูญเสียพลังงานอย่างมาก แถมอาหารก็ตกถึงท้องเพียงแค่มื้อเช้ามื้อเดียว หากเขาต้องทนหิวต่อไปอีกสักชั่วโมงสองชั่วโมง งานนี้มีหวังคงได้งาบหัวยัยแสบตรงหน้านี้เป็นอาหารเย็นแน่ๆ

“นพ...แกขนสัมภาระพวกนี้กลับไปที่เรือ” เพียวสั่งลูกน้อง ทว่าสายตายังคงจับอยู่ที่ใบหน้าหวานๆ

“อ้าว..ไม่ไป...” นพทำหน้างง

“ไม่ต้องมาทำหน้าสงสัย ทำตามที่สั่งก็พอ...ยัยป่วนนี่ต้องเข้าคอร์สฝึกงานโปรแกรมพิเศษจะได้รู้จักโลกมากขึ้น...” ฟันกรามถูกขบจนเป็นสันนูนเมื่อมองไปที่หญิงสาว

“จะพาฉันไปไหนอีก ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น” โสภิตาปักหลักต่อต้านด้วยหัวใจไหวหวั่น

“เอาของไปไว้ในเรือแล้วติดเครื่องรอไว้เลย...เร็ว!” เพียวสั่งซ้ำ

“เอ่อ...ครับๆๆๆ” ถึงจะงง แต่ก็ยอมทำตามคำสั่งด้วยการหิ้วสัมภาระกลับไปยังเรือเหมือนเดิม เพราะเมื่อเจ้านายมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่เห็นอยู่ในขณะนี้ ก็เป็นอันรู้กันดีว่าห้ามใครเข้ามาทู่ซี้ไถ่ถามเป็นอันขาด

“ลุกขึ้น! ” เพียวสั่งเสียงเข้ม

“จะพาฉันไปไหน...” แววตาที่มองตอบไม่ได้มีความไว้วางใจเลยแม้แต่น้อย

“จะที่ไหนเดี๋ยวก็รู้เอง...เร็ว จะไปหรือไม่ไป” เพียวเร่ง

“ไม่...ฉันไม่ไปกับนาย” เธอตอบทั้งเมินหน้าหนีไปอีกทาง

“อย่ามาทำเรื่องมากตอนนี้ได้ไหม...คนยิ่งหิวๆอยู่ด้วย เดี๋ยวก็ได้จับหักคอจิ้มน้ำพริกกินเดียวนี้ซะหรอก” เพียวขู่ ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้คนตรงหน้าขยับตัวตามคำสั่งไม่

สุดจะทนรอ...ชายหนุ่มจึงโน้มตัวลงช้อนร่างอ้อนแอ้นขึ้นสู่วงแขน เมื่อเขาไม่ต้องการจะเสียเวลาไปมากกว่านี้อีกแล้ว

“นี่...” โสภิตากำลังจะอ้าปากประท้วง แล้วเธอก็ต้องหุบปากนิ่งเมื่อเจอคำขู่

“เงียบเดี๋ยวนี้...อย่าพยายามพูดอะไรที่จะทำให้ผมโมโห เพราะคุณจะไม่แค่ถูกโยนลงทะเลตื้นๆแถวนี้ แต่คุณอาจจะกลายเป็นเหยื่อของปลาฉลามกลางทะเลลึกโน่น”



ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 เม.ย. 2556, 06:04:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 เม.ย. 2556, 06:04:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 2674





<< ตอนที่8   ตอนที่10 >>
nongnong79 28 เม.ย. 2556, 07:32:36 น.
พอๆกันเลยสองคนนี้สนุกค่ะ


supayalak 28 เม.ย. 2556, 12:52:18 น.
ชอบบบบบบ ดีค่ะทันกันดี แบบนี้เค้าเค้าเรียกว่าขิงก็ราข่าก็แรง เผ็ดร้อนแซบเว่อร์รรรรรร


Zephyr 28 เม.ย. 2556, 13:13:17 น.
โฮ้ยยยย ดี แรง
ฮ่าๆๆๆ หมั่นไส้เจนนี่ เชียร์พี่เพียวดีกว่า
พี่เพียวสู้ๆ พี่เพียวสู้ตาย เย้ เย้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account