พันธนาการหวาม
ถ้าคุณชื่นชอบ เส้นทางระหว่างหัวใจ คุณก็ไม่ควรพลาดเรื่องนี้
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่10

๑๐



เรือแล่นออกจากท่าน้ำอีกครั้งทั้งๆที่พระอาทิตย์กำลังเคลื่อนคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ...

เจนนี่เหล่ตามองชายหนุ่มผู้เริ่มจะแสดงอำนาจเหนือชีวิตเธออย่างหน้าด้านๆด้วยแววตาเขียวปัด ระคนหวาดหวั่นไม่วางใจกับสถานที่ใหม่ที่เขาสั่งเรือให้แล่นฝ่าคลื่นสูงท่ามกลางบรรยากาศขมุกขมัวของท้องฟ้าที่มืดครึ้มด้วยเมฆสีดำก้อนใหญ่แผ่กระจายครอบคลุมเป็นวงกว้าง

“ขอโทรศัพท์ของฉันคืนด้วย” เธอโพล่งขึ้น ทั้งแบมือไปยังคนที่ริบโทรศัพท์ของเธอไปเก้บไว้

“อ้อ...จริงสิ” ชายหนุ่มล้วงหยิบโทรศัพท์เครื่องจิ๋วจากกระเป๋าส่งให้เจ้าของด้วยรอยยิ้มพร่างพราย

แปลกใจที่เขาไม่มีท่าทีขัดขืนหรือบ่ายเบี่ยง แต่นั่นก็ดีแล้วเพราะเธอเบื่อและเหนื่อยที่จะต่อกรกับใครต่อใครแล้วในเวลานี้

“คุณคงใช้มันไม่ได้แล้วล่ะมันหล่นลงไปในทะเลพร้อมผม ไว้ผมจะหาเครื่องใหม่มาเปลี่ยนให้ก็แล้วกันนะ เครื่องใหม่ซิมเดิมคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะครับ”

โสภิตามองโทรศัพท์ที่เปียกโชกในมือกับอารมณ์ครุกรุ่นไปด้วยความโกรธ โมโห และแค้นใจ อึดอัดเพราะไม่อาจทำอะไรเขาได้ แล้วนี่เธอต้องทนอยู่ในภาวะจำยอมแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่กันนะ ให้ตายเถอะถ้ามีหนทางหนีออกไปพ้นได้เมื่อไหร่ เธอจะไม่ลังเลเลยจริงๆ

“ดูท่าคืนนี้ฝนคงตกหนัก...คุณเพียวจะไปที่นั่นจริงๆเหรอครับ” นพถามทั้งแหงนมองท้องฟ้าทะมึน

“รีบๆไปเถอะ...ถึงแล้วค่อยว่ากัน” เพียวเอ่ย ทั้งยังขยับกระเป๋าสัมภาระที่วางเกะกะให้เข้าที่เข้าทาง

“นี่ๆๆ...อย่าโยนสิข้าวของที่อยู่ในกระเป๋าฉันเสียหายหมด” เจนนี่ท้วงเสียงแว๊ด อย่างเอาเรื่อง เมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้าโยนกระเป๋าเธอด้วยเจตนาที่มองออกว่าไม่ใส่ใจ

“ก็แค่เสื้อผ้า จะเสียหายอะไรนักหน้ากันล่ะคู้น!...”

“เครื่องสำอางของฉันอยู่ในนั้นราคาเป็นหมื่นนะจะบอกให้ ไม่รู้เรื่องอะไรก็อย่ามาทำพูดดีนักเลย” โสภิตาขยับเข้ามาใกล้ หวังจะเคลื่อนสัมภาระของเธอมาอยู่กับตัว

“ในนี้น่ะเหรอ...ในดูซิ ไอ้เครื่องสำอางราคาเป็นหมื่นหน้าตามันเป็นยังไง” เพียวคว้ากระเป๋าเดินทางใบนั้นมาวางไว้บนตักเสียก่อนที่มันจะมีโอกาสได้กลับไปอยู่กลับเจ้าของ

“เอากระเป๋าของฉันมานะ” โสภิตายื่นมือไปข้างหน้า หมายจะแย่งคืน แต่เธอก็ต้องชะงัก เมื่ออีกฝ่ายยกกระเป๋าหนี ทั้งยังทำท่าจะหย่อนลงทะเล

“ขอดูหน่อยจะเป็นไรไป...แค่นี้ทำหวง”

“นายมันบ้า...” โสภิตาโพล่งขึ้นอย่างเหลืออด

“บอกแล้วว่าอย่าเรียกนาย...หรือว่าอยากจะโดน...”

คำขู่ของเพียวทำเอาคนที่กำลังอยู่ในอารมณ์โมโห ถึงกับผงะออกห่าง เมื่อความหวาดหวั่นผุดขึ้นมาแทนที่ ได้แต่ส่งแววตาที่อยากจะแล่เนื้อเอาเกลือทาให้เจ็บแสบนั้นไปแทนด้วยความรู้สึกแค้นใจ

เพียวค่อยๆรูดซิปกระเป๋าอย่างช้าๆ ในขณะที่สายตายังจับจ้องอยู่บนใบหน้ารูปไข่ แววตาของเขาวาววับ รู้สึกสนุกกับการได้แกล้ง...พอใจที่เห็นตาคมดุนั้นเปล่งประกายเหมือนมีไฟลุกโชน และนี่ก็ยิ่งทำให้เขายืนยันและมั่นใจได้เต็มร้อยว่าดวงตาคู่นี้เหมือนดวงตาของนายโสภณไม่ผิดเพี้ยน

“ไหนดูซิ...เครื่องสำอางที่ใช้แปลงโฉมลูกเป็ดขี้เหร่ให้กลายเป็นหงส์ มีอะไรบ้าง” เพียวหยิบกระเป๋าใบเล็กๆออกมาเปิด ด้วยความสนใจ

“ลิฟต์สติก...อืม...สีสวยนะ แต่อย่างคุณนี่ไม่ต้องใช้ ปากก็น่าจูบอยู่แล้ว นี่อะไร...อ้อ...ตลับแป้ง...ที่ปัดแก้ม...อะไรมันจะเยอะแยะขนาดนี้...” เพียวรื้อเครื่องสำอางออกมากองบนพื้นเรือ ไม่ได้มีความคิดที่จะถนอมของเหล่านั้นแม้แต่น้อย ในขณะที่โสภิตาตามเก็บทุกชิ้นอย่างรวดเร็วราวกลับกลัวว่าถ้าช้าไปอีกนิด มันจะสูญสลายหายไปในอากาศ

“ถึงจะแต่งหน้าทาปากหนาแค่ไหนมันก็เป็นได้แค่หน้ากากเท่านั้นแหละ เพราะยังไงจิตใจที่อยู่ข้างในยังไงมันก็ไม่สามารถจะถูกแต่งให้สวยเหมือนหน้าไม่ได้” เพียวเอ่ย...สายตาของเขาที่จ้องมองมายังหญิงสาวไม่มีแววที่เรียกว่าเย้าแหย่ แต่มันกลับจรืงจังเสียจนโสภิตาต้องเผลอกลืนน้ำลายลงคอ

“อ้อ...ลืมไปว่าคุณคงยังไม่รู้ เกี่ยวกับตัวผม”

“ใครเค้าอยากจะรู้เรื่องของคุณมิทราบ” โสภิตาเชิดหน้าทั้งเมินมองไปทางอื่น ที่ไม่มีใบหน้าคมคาย หล่อเหลาที่คอยเฝ้าแต่จะยั่วโมโห

“ผมชอบผู้หญิงสวยแบบธรรมชาติมากกว่านะ...ถ้าคุณนึกอยากจะเอาใจผม คงคิดได้ว่าควรทำยังไง” เพียวยื่นหน้าเข้าไปบอกใกล้ๆ ทำให้อีกคนถึงกับผละออกห่างด้วยความตกใจ อาการเช่นนั้นก็ยิ่งทำให้เขาหัวเราะเสียงดังแข่งกับเสียงเรือ



มาฝึกงานทั้งที คุณหนูอย่างคุณเตรียมเสื้อผ้าแบบไหนมาบ้าง” น้ำเสียงนั้นยั่วเย้าอย่างคนอารมณ์ดี ทว่ามันกลับยิ่งเติมเชื้อไฟอารมณ์ของอีกฝ่ายให้พวยพุ่งแรง

ชุดกระโปรงสีหวานพิมพ์ลายดอกไว้ทั้งตัวถูกดึงมาอวดสายตาเป็นตัวแรก...เพียวมองนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะปล่อยให้สายลมพัดชุดสวยสุดหรูนั่นปลิวลงสู่ทะเล

“ตายแล้ว...นั่นชุดโปรดของฉันนะ” หญิงสาวโวยวายด้วยความรู้สึกเสียดาย

“มันสวยเกินไป หรูเกินไป ไม่เหมาะที่จะใช้ในการใส่ฝึกงาน...ตัวนี้ด้วย...แล้วก็ตัวนี้อีก” เสื้อผ้าหลากสีสันหรูหราเกินกว่าจะใช้ในการทำงานถูกดึงออกมาทีละชุด ให้ประจักษ์แก่สายตาก่อนที่มันจะถูกปล่อยตามชุดแรกไป โดยไม่สนใจสายตาดุๆที่บัดนี้แดงก่ำ ทั้งยังมีน้ำใสๆเอ่อคลอ

“คนบ้า...ทำแบบนี้ทำไม คอยดูเถอะฉันจะฟ้องพี่ภณให้เอาเรื่องนายให้ถึงที่สุด”

หลังมือยกขึ้นปาดน้ำตาทิ้ง ด้วยความโกรธ เสียใจ และเสียดาย แต่คนอย่างโสภิตา ไม่คิดที่จะยอมถูกรังแกแต่ฝ่ายเดียวแน่ เมื่อเขาแกล้งเธอได้เธอก็จะเอาคืนอย่างสาสมแล้เท่าเทียม

เมื่อไม่สามารถแย่งสมบัติของตัวเองกลับคืนมาได้ เธอก็ไม่ยอมให้เขามีสมบัติของตัวเองเหมือนกัน ไวเท่าความคิดมือนุ่มคว้าหมับเข้าที่เป้สะพายของคนที่สนุกกับการได้แกล้งคน ออกแรงกระชากให้มันเข้ามาตกเป็นตัวประกันในมือ

“นั่นจะทำอะไรน่ะ...” เพียวมองอีกฝ่ายหน้าตื่น

“ทำเหมือนอย่างที่นายทำกับสมบัติของฉันไง...แต่ฉันไม่ยอมเสียเวลาอย่างนายหรอกนะ เพราะฉันจะส่งมันลงทะเลไปซะทีเดียวแบบนี้”

“อย่า!...” จบคำพูด เป้ใบใหญ่ก็มีหล่นลงสู่ทะเล พร้อมรอยยิ้มสะใจของคนที่หย่อนมันลงไป

“นพจอดเรือ!...” เพียวตะโกนสั่งก่อนที่เขาจะกระโจนตามเป้ลงไปคว้ามันกลับมาให้ได้



ณ กรุงเทพมหานคร...

เสียงจามสนั่นของคนท้องแก่ดังมาจากครัว เรียกความสนใจให้เจ้าของคฤหาสน์หลังงามที่กำลังจะเดินผ่านไป ต้องเปลี่ยนเส้นทางจากจุดหมายห้องนั่งเล่นมาเป็นห้องครัวแทน

“เป็นหวัดเหรอครับคุณพลอย เสียงจามดังไปถึงข้างนอก” โสภณถามขึ้นเมื่อเดินเข้ามาโอบเอวหนาๆของภรรยา ทั้งยังใช้หลังมือทาบลงบนหน้าฝากแทนปรอทวัดไข้ ไม่สนใจสายตาแม่ครัวเอกและลูกมือที่กำลังช่วยกันจัดเตรียมอุปกรณ์ประกอบอาหาร พวกเขาต่างหันหน้ายิ้มให้กันด้วยความรู้สึกเอ็นดูกับการแสดงความรักต่อกันของเจ้านายทั้งสอง ซึ่งคนที่เขินอาย แก้มแดงระเรื่อคนต้องเบี่ยงตัวออกห่างก็ไม่พ้นเป็นนายผู้หญิง

“พลอยไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่สำลักกลิ่นเครื่องแกงเท่านั้นเอง” ภรรยาสาวปฏิเสธ

โสภณชะโงกหน้าข้ามไปดูหม้อแกงเผ็ดที่ยังวางอยู่บนเตา กลิ่นเครื่องแกงหอมฟุ้ง สีสันชวนเรียกน้ำย่อยแล้วก็หันมาคว้าแขนภรรยา

“คุณไม่ควรเข้ามาทำอะไรในนี้นะครับ หน้าที่ทำครัวไม่ใช่ของคุณ ปล่อยให้เจ้าของหน้าที่เขาทำไปเถอะ คุณออกไปทำหน้าที่หลักของคุณจะดีกว่า” โสภณสั่ง ทั้งจูงมือภรรยาออกไปจากครัว

“แต่พลอยอยากทำนี่คะ วันนี้ตั้งใจจะทำอาหารไปสมทบกับคุณยาย นัดคุณยายเอาไว้แล้วว่าจะไปรับประทานมื้อค่ำกับท่าน” พิมพ์พลอยบอกจุดประสงค์ที่เธอลงมือทำกับข้าวเอง

“เอาเถอะ เรื่องอาหารแม่ครัวของเรา เขาเก่งอยู่แล้ว มีลูกมือช่วยตั้งคนสองคน คุณมาทำหน้าที่ของคุณดีกว่า”

“อะไรคะ...”

“ดูแลผมไง...วันนี้ผมมีโอกาสได้หยุดสักที ก็อยากอยู่ใกล้เมียใกล้ลูก คุณน่ะปล่อยให้ผมเหงาอยู่คนเดียว” คนตัวสูงทำเสียงเง้างอน จนคนฟังถึงกับอมยิ้ม แต่ก็อดที่จะค้อนให้ไม่ได้

“แหม...อยู่ด้วยกัน เห็นหน้ากันทุกวัน ไม่เบื่อหรือไงคะ”

“เชื่อเถอะว่าจะไม่มีวันนั้นสำหรับผม ยิ่งเขากำลังจะมีเจ้าตัวเล็กมาเป็นอีกหนึ่งสมาชิกในบ้าน ผมก็ยิ่งจะรักคุณมากขึ้นอีกหลายเท่า” พูดจบก็โน้มเข้าจุ๊บแก้มนุ่มของภรรยาสาวเป็นรางวัล

“คุณภณละก็ ทำอะไรประเจิดประเจ้อ เดี๋ยวไม่กลัวเด็กในบ้านจะมาเข้ามาเห็นหรือคะ” พิมพ์พลอยมองค้อนด้วยความรู้สึกเขินอาย

“เห็นจะเป็นไรไปเล่า”

“เป็นสิคะ ก็พลอยอายนี่” ว่าแล้วคนท้องแก่ก็เบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนสามีเดินไปนั่งลงบนโซฟายาวบุนวมตัวนุ่ม โดยอีกฝ่ายก็เข้ามานั่งเบียดใกล้ๆ

“พูดถึงสมาชิกในครอบครัวแล้วก็คิดถึงยัยตัวแสบเจนนี่นะครับ ไม่รู้เป็นไงบ้าง ไม่เห็นติดต่อกลับมาเลย หรือว่าจะงอนพี่ชายจนไม่อยากพูดด้วยก็ไม่รู้” โสภณปรารภกับภรรยาด้วยความรู้สึกกังวลที่มีอยู่ลึกๆ

“คุณเจนนี่อาจจะยังไม่มีเวลาก็ได้นะคะ แต่คิดว่าน่าจะเดินทางไปถึงแล้ว”

“ผมกลัวแต่ว่ายัยตัวแสบจะหาเรื่องหนีไปเที่ยวที่อื่นนะสิ”

“ไม่หรอกค่ะ คุณเจนนี่เธอคำไหนคำนั้น คุณก็รู้” พิมพ์พลอยแย้ง

“โอ๊ย...อย่าไปเชื่อน้ำมนต์ยัยเจนนี่นักเลย คุณไม่รู้อะไร ตอนเด็กๆยัยแสบนี่จับได้ไล่ทันซะที่ไหน ไม่แน่นะที่ไม่โทรมา อาจเป็นอย่างผมว่าก็ได้ คือแอบหนีไปเที่ยวที่อื่น”

“ถ้าอย่างงั้นต้องพิสูจน์แล้วล่ะ ระหว่างพลอยกับคุณ ใครจะคิดถูก” พิมพ์พลอยยิ้มหวาน

“พิสูจน์ยังไงครับ”

“ก็จะยากอะไรล่ะคะ...ก็ถ้าคุณเจนนี่ไม่โทรมา เราก็โทรไปสิ” ว่าแล้วพิมพ์พลอยก็คว้าโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะกระจกด้านหน้าโซฟามากดหมายเลขส่งสัญญาณลงใต้

“ไม่มีสัญญาณตอบรับเลยค่ะ” พิมพ์พลอยหันมาบอกด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง

“ก็คงปิดมือถือ เพราะกลัวเราจะจับไต๋ได้นะสิ” โสภณทำเสียงเยาะ ถึงรู้ดีว่านิสัยน้องสาวเป็นอย่างไร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเปลี่ยนแปลง เมื่อสังคมเมืองนอกที่แสนจะอิสรเสรีสถานที่ที่น้องสาวได้อาศัยเล่าเรียนอยู่หลายปี ยิ่งผนวกเข้ากับความไม่รู้จักโตของเธอก็มันคงมีผลอยู่ไม่น้อยกับความเปลี่ยนแปลงอันนี้ไม่น้อย

“งั้นเดี๋ยวพลอยโทรถามคุณเพียวดู” พิมพ์พลอยลดโทรศัพท์ลงจะกดหมายเลขใหม่ แต่กดไปยังไม่ทันครบมือนั้นก็ถูกรวบเอาไว้ก่อน

“ไว้ผมโทรหาไบรอันดีกว่า...” โสภณยึดโทรศัพท์จากมือภรรยามาถือไว้ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกด้วยสีหน้าที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ หึง



กระท่อมไม้หลังกะทัดรัดตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าทำเอาคนที่เพิ่งจะถูกบังคับให้ลงจากเรือถึงกับต้องกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอแบบฝืดๆ

“อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันพักที่นี่” โสภิตาหันมาถามหน้าตื่น เมื่อพิจารณาถึงโครงสร้างของอาคารที่เธอไม่อยากเชื่อจริงๆว่ามันจะสามารถทนแรงกระหน่ำของพายุลมฝนของทะเลได้

“เราจะพักที่นี่...” เพียวเอ่ยก่อนจะเดินนำไปยังกระท่อมที่จะเป็นที่พักของเขาในช่วงระยะเวลายังไม่ได้กำหนดว่านานแค่ไหน แต่น่าจะจนกว่าเขาจะเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงหัวดื้อคนนี้

“หะ...ว่าไงนะ...คุณบอกว่าเราหรือ...หมายความว่ายังไง” โสภิตาถามทั้งยังก้าวตามร่างสูงนั้นไปให้ทันอย่างเอาเรื่อง “นี่ๆๆ...หยุดเดินแล้วมาพูดกันให้รู้เรื่อง”

เพียวชะงักฝีเท้าตามแรงฉุดของอีกฝ่าย ทั้งหันมามองเธอด้วยแววตาเอือมระอา ไม่คิดที่จะเอ่ยคำตอบตามที่เธอต้องการเพราะเวลานี้เขาเหนื่อย เหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัว และที่สำคัญคือ เขาหิวมาก...

“ว่าไง...ที่บอกว่าเราจะพักที่นี่ คงไม่ได้หมายถึงคุณกับฉัน...”

“ตามที่คิดนั่นแหละ...เลิกถามซะทีก่อนที่ผมจะหมดความอดทนกับคุณ” เพียวขู่ตะคอกเสียงเข้ม ก่อนจะหันไปตะโกนสั่งลูกน้องที่เดินหิ้วกระเป๋าสัมภาระสองใบที่มีน้ำหนักต่างกันมากกว่าเดิมมากเดิมตามมา “นพ รีบเอากระเป๋าเข้าไปเก็บแล้วก็รีบไปหาอะไรมากิน...อย่างด่วนนะ...ก่อนที่ฉันจะจับยัยนี่หักคอเพราะโมโหหิว”

“ครับๆๆๆ...ใจเย็นๆนะครับ ไปเดี๋ยวนี้เลยครับ” นพรีบเอากระเป๋าไปวางไว้ที่แคร่ไม้ไผ่หน้าเรือน เพราะไม่อยากให้เรือนเปียกจากน้ำที่ไหลออกมาจากเป้ ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งกลับไปที่เรืออีกครั้งเพื่อทำตามคำสั่ง

สั่งงานแล้วเขาก็เดินต่อไปยังแคร่ไม้ไผ่ จุดที่ข้าวของถูกวางเอาไว้ เสื้อผ้าเปียกโชกถูกรื้อออกมากองบนแคร่ ร่วมไปถึงข้าวของอื่นๆ พอเห็นสภาพเละไม่เป็นท่าแล้วก็อดที่จะหันไปมองเขม็งยังคนทำไม่ได้

“ไม่ต้องมามองอย่างนั้นเลย...ความผิดตัวเองเห็นๆ” โสภิตาเอ่ย ทั้งยังคว้ากระเป๋าตัวเองเร่งฝีเท้าขึ้นไปบนกระท่อม ความเหนียวเหนอะหนะจากน้ำทะเลทำให้เธออยากจะจัดการทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้าเปียกชื้นนี้ออกไปซะที

บนกระท่อมที่ภายนอกมองดูเหมือนจะเล็ก ทว่าพาโสภิตาย่างกรายเข้าไปภายใน เธอกลับพบว่ามันถูกแบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็นสัดส่วน ดูเป็นระเบียบสะอาดสะอ้าน ราวกับว่าที่นี่ได้รับการดูแลอยู่เสมอ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอจะมาสนใจในเวลานี้เทียบเท่า ห้องน้ำที่มีน้ำจืดเต็มตุ่มรอให้เธอใช้ประโยชน์จากมัน เธอยิ้มเมื่อพบมัน แล้วยึดห้องนอนประจำกระท่อมเป็นที่จัดแจงเตรียมเครื่องใช้ต่างๆในการอาบน้ำที่รอดพ้นจากการถูกโยนลงทะเล และโชคของเธอก็ยังดีอยู่ที่ยังหลงเหลือเสื้อผ้าให้เปลี่ยนอยู่บ้าง พอนึกไปถึงอีกคน รอยยิ้มสะใจก็ผุดขึ้นบนมุมปาก ไม่รู้จะมีเสื้อผ้าแห้งๆมาให้เปลี่ยนหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่เรื่องแค่นี้เธอไม่คิดสงสารหรอก ใครบอกให้คิดมาแกล้งเธอล่ะ นี่แหละที่เขาเรียกว่า ให้ทุกข์แก่ท่านทุกนั้นถึงตัว

ในขณะที่เพียวหอบข้าวของเปียกโชกขึ้นมาวางบนระเบียง จุดที่ลมฝนจะไม่สามารถหอบสิ่งต่างๆพวกนี้กลับลงไปกองอยู่บนพื้นทรายได้ เขาถอดเสื้อเปียกๆออกผึ่งไว้ที่ราว ก่อนจะเดินเข้าไปภายในกระท่อม หายเข้าไปอีกห้องหนึ่ง ได้ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่พันท่อนล่างแทนกางเกงตัวเปียก

“เดี๋ยวๆๆๆ...” เสียงร้องห้ามดังขึ้นก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินผ่านประตูห้องน้ำ

“อะไรล่ะครับ...หรืออยากจะอาบน้ำกับผม” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงในเชิงถาม

“บ้าสิ...ใครจะอยากอาบกับ นะ...เอ่อ...คุณ” โสภิตาปฏิเสธ ผิวแก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ

“แล้วเรียกผมไว้ทำไม”

“ฉันจะอาบก่อน...ถอยไป...รู้จักไหมเลดี้เฟิร์สน่ะ” โสภิตาบอกทั้งยังถือวิสาสะดึงเขาให้พ้นประตูห้องน้ำ ก่อนที่เธอจะแทรกตัวเข้าไปภายในแทน ทั้งปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา

หลังวางเครื่องใช้ที่จำเป็นเข้าไว้ยังจุดที่น่าจะพ้นจากการกระเซ็นของน้ำ...เธอก็ไม่ประมาทที่จะสำรวจไปรอบๆห้อง ว่ามีช่องโหว่ไหนให้คนภายนอกใช้เป็นถ้ำมองได้ เมื่อไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ เสื้อผ้าบนร่างกายของเธอก็ถูกปลดออกจากร่างกายจนไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว

โสภิตาใช้เวลาในห้องน้ำค่อนข้างนานกว่าปกติ ใช้น้ำไปจนเกือบจะครึ่งโอ่งมังกร กระทั่งเสียงลมพัดกรรโชกอยู่ภายนอก เธอจึงรีบแต่งตัวแล้วรีบออกมาจากห้องน้ำ เอาข้าวของกลับไปเก็บให้ห้องที่เธอหมายตายึดครองเป็นพื้นที่ส่วนตัว พอใจที่เมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้วไปพบใบหน้ากวนๆของผู้ชายคนนั้น และไม่คิดสนใจด้วยว่าเขาจะหายไปไหน

แต่แล้วความคิดที่ว่าจะไม่สนใจเขาก็มีอันถูกลบล้างไปเมื่อความมืดได้คืบคลานเข้ามาครอบคลุมเร็วกว่ากำหนด จากเมฆดำทะมึนบนท้องฟ้า มีหาใช่แผ่รัศมีจนเต็มพื้นที่เท่านั้น แต่ยังผนวกสายลมกรรโชกแรงขึ้นเป็นเท่าตัว ตบท้ายด้วยเสียงฟ้าร้องกระหึ่ม จนโสภิตาถึงกับกระโจนขึ้นไปนั่งตัวสั่นอยู่บนเตียง

“ว้าย...” เธอเอามืออุดหูทั้งสองข้างแน่น “กระท่อมบ้าๆ ไฟฟ้าก็ไม่มี ถ้าฟ้ามืดกว่านี้แล้วฉันจะอยู่ยังไง” อดตัดพ้อกับสถานที่ไม่ได้ สุดท้ายก็โยนความโมโหทั้งหมดไปยังเจ้าของ “นายเพียวบ้า หายไปไหนนะ ไม่รู้หรือไงว่าฉันกลัวจะแย่อยู่แล้ว”



ทองหลาง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 เม.ย. 2556, 13:57:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 พ.ย. 2556, 11:04:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 2592





<< ตอนที่9   
Zephyr 1 พ.ค. 2556, 04:41:44 น.
อ้าว ไหงมาร้องหาแล้วล่ะเจนนี่
ไม่อยากอยู่ใกล้ไม่ใช่เหรอ หุหุ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account