ดาวปาฏิหาริย์
เพราะ 'เธอ' ประสบอุบัติเหตุตอนที่อยู่กับเขา
สิตะจึงต้องรับผิดชอบ
ปากบอกไม่ชอบหน้า แต่ว่ากลับปรารถนาจะอยู่ใกล้ๆ
การเดินทาง 'หนี' คนร้ายที่ทำลายชีวิต กลับทำให้เขาค้นพบปาฏิหาริย์ในชีวิตที่ค้นหามานาน
Tags: เกาหลีใต้

ตอน: ดาวปาฏิหาริย์ บทที่ 31



ดาวประกายลืมตามาด้วยความรู้สึกปวดหนึบๆ ที่ศีรษะ ภาพตรงหน้าเคลื่อนไหวไปมาแต่ทว่าพร่ามัว ต้องกระพริบตาถี่ๆ อยู่หลายครั้งกว่าอาการเหล่านั้นจะหายไป

หญิงสาวร่างบางค่อยๆ ประคองตัวขึ้นด้วยความมึนงง ที่นี่ที่ไหน เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้ว....

“ตื่นแล้วเหรอ”

เสียงที่ดังขึ้นด้านบนทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมอง พบร่างหนึ่งยืนอยู่ใต้แสงสว่างจากโคมไฟ ซึ่งปรากฏออกมาเป็นเงาดำทะมึน ดูไม่ออกว่าใคร ต้องรออยู่อึดใจนั้นแหละว่าดวงตาจะปรับสภาพได้

“คุณ...เทียนแก้ว!?!”

“ใช่ ฉันเอง”

“ที่นี่ที่ไหน ไม่ใช่บ้านฉันนี่ ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”

หญิงสาวนิ่งคิดก่อนเริ่มกวาดตามองไปทั่ว ตรงหน้าเต็มไปด้วยหนังสือที่กองเป็นตั้ง เรียงกันเป็นระเบียบ ส่วนด้านหลัง... ความสูงเป็นสิ่งแรกที่เธอตระหนัก คนขี้กลัวจึงรีบกระเถิบตัวออกห่าง ก่อนพิจารณาเบื้องล่างหลังรั้วเหล็กซี่ห่างอีกครั้ง

ไม่ต่างจากที่เห็นเมื่อครู่ ตั้งหนังสือวางเรียงเต็มพื้นที่ เงยหน้ามองขึ้นไป โครงหลังคาเหล็กดูอย่างไรก็ไม่น่าใช่บ้าน

“ที่นี่ที่ไหน”

“โกดังเก็บหนังสือของมหาคำ”

“แล้วฉันมาทำอะไรที่นี่”

“คุณมาหาคุณสิตะไง”

“คุณสิตะ!?! คุณสิตะอยู่ที่นี่เหรอคะ” ถามออกไปแม้จะเริ่มรู้สึกแปลกๆ... เธอ ‘ถูก’ พามาหาสิตะที่นี่โดยที่เธอจำอะไรไม่ได้ ตื่นมา ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้นที่เปื้อนฝุ่น ขณะที่หญิงสาวตรงหน้ากลับยืนดูเฉยๆ ไม่ช่วย หรือไม่ตกใจ... ทำไม!?!

“เดี๋ยวคุณสิตะก็มาหาคุณ”

“ฉันขอถามเพื่อความแน่ใจ คุณไม่ได้จับฉันมาใช่ไหม”

เทียนแก้วเหยียดยิ้ม หัวเราะในลำคออย่างเห็นเป็นเรื่องขำ “ฉันจะจับคุณมาทำไมล่ะคะ”

“ก็ไม่รู้ เรียกค่าไถ่ หรืออะไรก็ตาม ฉากแบบนี้มันเหมือนในหนัง อยู่ในโกดัง ไม่มีคน แล้วก็มีการต่อสู้”

นักสืบสาวหัวเราะอีกครั้ง แต่คราวนี้แววตากลับมีแต่ความสมเพช “ถ้าคุณจะคิดแบบนี้ ก็ไม่น่าขึ้นรถมากับฉันตั้งแต่แรกนะ”

แม้จะไม่คนฉลาดปราดเปรื่อง แต่ดาวประกายก็สำเหนียกได้ถึงกระแสเสียงที่ผิดปกติ เธอจึงรีบลุกขึ้น จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น “สรุปว่าคุณจับตัวฉันมาจริงๆ เหรอ”

“แล้วเห็นว่ามีโซ่ล่ามคุณเหมือนในละครหรือเปล่าล่ะ”

สาวร่างบางมองมือและเท้าตัวเอง ไม่มีอะไรพันธนาการไว้ แต่เมื่อสังเกต ก็เห็นรอยฝุ่นที่เปื้อนเต็มตัวไปหมด

“ฉันว่าฉันไปรอที่อื่นดีกว่า” เธอว่า ก่อนเดินตรงไปยังประตูบานเดียวที่มองเห็น เทียนแก้วไม่ได้ห้าม เพราะรู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร ดาวประกายหมุนลูกบิด แต่ก็ไม่มีอะไรขยับ

“มันถูกล็อคจากด้านนอกด้วยแม่กุญแจ เปิดไม่ได้หรอก”

“หา!?! ล็อคจากด้านนอก ใครล็อค”

เทียนแก้วแสยะยิ้มอีกครั้ง พร้อมชูลูกกุญแจในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา ดาวประกายถึงกับเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจ “นี่มันอะไรกันคุณเทียน คุณกำลังคิดจะทำอะไร”

“ฉันไม่ได้ลักพาตัวคุณมา แต่ว่าคุณขึ้นรถมากับฉันเอง แล้วฉันก็ไม่จับตัวคุณด้วย คุณยังมีอิสรภาพเต็มที่ ถ้าคุณอยากไปที่อื่น นั่นไง หน้าต่าง... ไม่ก็กระโดดลงจากระเบียง ความสูงแค่สองชั้น ไม่ทำให้ตายหรอกค่ะ”

“คุณ!?!” เพราะมัวแต่ตื่นตะลึงดาวประกายจึงพูดอะไรไม่ออก เธอได้แต่อ้าปากค้าง มองอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง “คุณ...ต้องการอะไร”

“เดี๋ยวคุณสิตะก็ตามมาช่วยคุณ รอฟังพร้อมกันตอนนั้นดีกว่า”

“หมายความว่าไง?” ถามออกไปแล้วก็เริ่มคิดได้ เหตุการณ์แบบนี้เธอเคยผ่านตามานับไม่ถ้วน ทั้งละครทั้งนิยาย นักเขียนที่เต็มไปด้วยจินตนาการจึงพยายามปะติดประต่อเรื่องด้วยตัวเอง “คุณพาฉันมาที่นี่เพื่อให้คุณสิตะตามมา คุณรู้ใช่ไหมว่าฉันกลัวความสูงเลยคิดวิธีนี้ แสดงว่าคุณต้องวางแผนมาอย่างดี แต่ว่าคุณต้องการอะไร อ๋อ หรือว่าคุณเป็นพวกเดียวกับที่ไล่ยิงคุณสิตะ แล้วก็ลอบเข้ามาทำร้ายฉันในห้องนอน ใช่ไหม!?! เอ๊ย นี่คุณเทียน นี่คุณกลายเป็นคนร้ายได้ยังไงกันเนี่ย”

“ฉันไม่ได้อยากร้าย แต่ในเมื่อคนร้ายตัวจริงมันลอยนวล ฉันก็ทนไม่ไหว แต่ฉันไม่ได้เป็นพวกเดียวกับที่ไล่ยิงคุณ แล้วเรื่องที่ห้องนอนของคุณ... ฉันก็ไม่ตั้งใจจะทำร้ายคุณด้วย ความจริงฉันก็ไม่ได้คิดจะฆ่าคุณสิตะ แค่อยากจะสั่งสอนให้เขารู้ว่าช่วงจังหวะที่ใกล้จะขาดใจตายมันเป็นยังไง แต่พวกคุณดันแลกห้องกัน มันก็ช่วยไม่ได้ แล้วถ้าคุณหมดสติไปตั้งแต่ฉันพ่นยาสลบใส่คุณ คุณก็คงไม่ต้องเจ็บตัว ส่วนเรื่องที่คุณสิตะโดนแทง...มันเป็นการป้องกันตัวเท่านั้น ฉันจำเป็นต้องทำ”

เทียนแก้วเอ่ยยาวเหยียดเหมือนเตรียมคำพูดเหล่านี้ไว้นานแล้ว น้ำเสียงราบเรียบ แต่แววตากลับหวั่นไหว บางทีเธอคงต้องการแก้ตัวให้ใครสักคนฟัง เหมือนที่พยายามบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าเธอไม่ใช่คนเลว

“คุณเทียน คุณพูดเหมือนว่ามันเป็นเรื่องปกติได้ยังไง สั่งสอนให้รู้จักช่วงจังหวะที่จะขาดใจตาย นั่นมันไม่เรียกว่าพยายามฆ่าหรอกเหรอ.... ฉันงงไปหมดแล้วจริงๆ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ คุณทำอย่างนี้ทำไม ต้องการอะไร ฉันไม่เข้าใจจริงๆ อธิบายฉันหน่อยเถอะ”

“ฉันเกลียดคุณสิตะ เกลียดมาก ฉันต้องการให้เขาเจ็บปวดมากที่สุด ให้สมกับที่เขาเคยทำกับฉัน”

“ทำไม? อย่าบอกนะว่าเขาเคยหักอกคุณ คุณก็เลยจะแก้แค้น”

“หึ... เรื่องของฉันไม่งี่เง่าเหมือนนิยายของคุณหรอก ฉันเกลียดเขา เพราะเขาเคยฆ่าแม่ฉัน”

“หา!!! ฆ่าแม่!?! หมายถึงแม่ของคุณนะเหรอ... ไม่จริงหรอก เป็นไปไม่ได้” ดาวประกายส่ายหน้าไม่เชื่อ เทียนแก้วเลยตวาดด้วยความไม่พอใจ

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ เขาฆ่าแม่ฉัน เหมือนที่ฆ่าพ่อของคุณไง อุบัติเหตุคราวนั้นนั่นแหละ คุณก็รู้แล้วนี่ว่าเป็นฝีมือเขา แต่ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณหายโกรธเขาเร็วนัก ทั้งๆ ที่พ่อคุณตายเพราะเขา”

“ไม่ใช่....”

“เธอมันโง่” สรรพนามเปลี่ยนไปเพราะความโมโห “ดูไม่ออกหรือไงว่าเขาเลวแค่ไหน ครอบครัวของเขาก็เหมือนกัน เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น”

แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีก่อนก็ปรากฏขึ้น ร่างหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ริมฟุตบาท ถูกรถหรูพุ่งชนจนกระเด็นไปตกอยู่ในพงหญ้า ลูกสาวรีบวิ่งไปหาพบว่าแม่ยังไม่ตาย เธอร้องสุดเสียงเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กลับไม่มีใครเหลียวแล เนิ่นนานกับความเจ็บปวด แม่รอคอยด้วยลมหายใจรวยรินสุดท้ายแม่ก็ทนไม่ไหว

“รถพยาบาลมาถึง... มารับแม่เป็นคนสุดท้าย แต่มันก็ไม่ช่วยอะไร เพราะแม่ขาดใจตายตั้งแต่อยู่ในอ้อมแขนฉันแล้ว ผู้ชายคนนั้นฆ่าแม่ฉัน พ่อของเขาก็เหมือนกัน ฟาดเงินก้อนใหญ่มาเพื่อปิดปากฉันที่เห็นเหตุการณ์ พวกเขาไม่ต้องการให้สื่อรู้ว่ามีคนตายเพราะเขา ไม่อยากให้ตระกูลมหาคำสุวรรณเสียชื่อเสียง ทุเรศสิ้นดี เขาทำให้คนสองคนต้องตาย แต่กลับไม่สำนึกผิด ฉันเกลียดเขา....” เทียนแก้วเอ่ยด้วยเสียงรอดไรฟันอย่างโกรธเกรี้ยว มือกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูนโปน

ดาวประกายกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ เรื่องที่ได้ฟังมันยิ่งใหญ่กว่าที่เธอคาดไว้ เธอเพิ่งตระหนักว่าความเกลียดชังนั้นมีอานุภาพมากมาย สามารถทำลายความดีงามจากหัวใจได้อย่างน่ากลัว

‘ดาวประกาย... ถึงเวลาที่หล่อนต้องช่วยฉันอีกแล้วนะ ช่วยด้วย ช่วยบอกชะนีคนนี้ด้วย ว่าฉันขอโทษ’

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว ซึ่งเธอก็รู้ว่าเป็นเสียงใคร เธอพยักหน้าเข้าใจ นี่สินะ สาเหตุที่ทำให้เธอได้ยินเสียงของสิทธา

“ฉันเสียใจเรื่องแม่ของคุณนะคะ แต่ว่า คุณสิตะไม่ได้เป็นคนทำนะ”

เทียนแก้วตวัดสายตามามองด้วยความเคืองขุ่น “เธอก็เข้าข้างเขา ยังโง่เง่าไม่เลิกเลยนะ”

“ตอนแรกฉันก็โกรธเขามากเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าฉันได้รู้ความจริงบางอย่าง ถ้าคุณได้อยู่ในเหตุการณ์คุณน่าจะเห็นนะคะ คุณสิตะถูกไล่ยิงและรถของเขาก็ถูกตัดสายเบรก ตอนที่เกิดเรื่อง คุณสิทธา...น้องชายของคุณสิตะ เป็นคนหักพวงมาลัยหนีคนร้าย รถก็เลยพุ่งมาหารถของพ่อฉัน แล้วก็ชนแม่ของคุณ แต่คุณสิทธาก็ไม่ได้ตั้งใจนะคะ เขาเองก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกัน”

“เธอพูดเรื่องอะไร”

“อย่าโกรธคุณสิตะเลยนะคะ แล้วก็ให้อภัยคุณสิทธาด้วยนะคะ เพราะว่าเขาก็ต้องเสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้เหมือนกัน”

“ไม่….” เทียนแก้วส่ายหน้า ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยินเท่าไร

“คุณอยู่ในเหตุการณ์ คุณลองนึกดีๆ สิว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น รถของคุณสิตะโดนไล่ยิง มันเกิดอุบัติเหตุเพราะถูกไล่ยิง ถ้าคุณจะโกรธ ก็ต้องโกรธคนที่ยิงเขานะ”

นักสืบสาวส่ายหน้าอีกครั้งก่อนหลับตา แล้วภาพที่เธอทะเลาะกับแม่ริมถนนย้อนกลับสู่ความทรงจำ ตอนนั้นเธอจำอะไรไม่ได้หรอก เพราะมัวแต่โกรธที่แม่ไม่อนุญาตให้เธอไปค่ายอาสาจึงเดินหนีออกมา แล้วหลังจากนั้นก็มีเสียงล้อเบียดถนนดังลั่น ก่อนตามมาด้วยเสียงโครมใหญ่ที่สนั่นสะเทือนไปทั้งหัวใจ

“ไม่... ไม่ใช่ฉัน เพราะพวกมัน เพราะพวกมันต่างหาก” หญิงสาวร่างสูงโปร่งพยายามบอกตัวเอง ท่าทางรุ่มร้อนจนดาวประกายแปลกใจ

“คุณเทียน คุณใจเย็นๆ นะคะ ฉันรู้ว่ามันยากที่จะยอมรับ แต่ว่าให้อภัยเถอะ เราทุกคนก็สูญเสียไม่ต่างกัน ไม่มีใครอยากให้มันเกิดเรื่องแบบนี้”

เทียนแก้วยังคงส่ายหน้า เหมือนไม่ต้องการรับรู้อะไรมากกว่า ดาวประกายเลยไม่รู้จะทำอย่างไร แล้วนาทีที่เธอเงียบไป เธอก็กลิ่นบางอย่าง

สาวร่างบางทำจมูกฟุตฟิต และเมื่อสูดดมจนแน่ใจ เธอก็ร้องถามด้วยความสงสัย “คุณเทียน คุณได้กลิ่นไหม้หรือเปล่า”

“กลิ่นไหม้?” เทียนแก้วทวนคำก่อนเงียบไป คราวนี้ไม่ใช่แค่กลิ่นไหม้ แต่เธอยังเห็นกลุ่มควันลอยขึ้นมาจากเบื้องล่าง

ไวเท่าความคิด นักสืบสาวชะโงกศีรษะไปดูที่ระเบียง เห็นเพลิงสีแดงร้อนแรงกำลังลุกลามไปบนกองหนังสือที่วางเรียงอยู่ ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว เธอหันกลับมาบอกอีกคนด้วยใบหน้าตื่นตระหนกทันที

“ไฟไหม้!!!!”



สิตะมองเห็นควันไฟสีดำลอยอยู่เหนือที่ตั้งของโกดัง ขณะที่รถของเขาซึ่งมีอนณเป็นคนขับกำลังมุ่งหน้าไป

ชายหนุ่มรู้สึกกระวนกระวาย ตั้งแต่ช่อชมพูโทรศัพท์มาเตือนให้เขาระวังทรัพย์สินของตนเอง ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรเพราะเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าพ่อจะลงมือทำอะไรกันแน่ แต่ตอนนี้...เขาคิดว่าเขาพบคำตอบแล้ว

ชัชวาลสั่งเผาโกดังของเขา ซึ่งมีแต่หนังสือเก่าๆ ที่ถูกตีกลับจากร้านค้า มันอาจเป็นเหตุเพลิงไหม้ธรรมดา ถ้าหากว่าดาวประกายจะไม่อยู่ข้างใน

ด้วยความหวัง... ชายหนุ่มภาวนาขอให้ตัวเองเดาที่อยู่จากรูปถ่ายผิดพลาด จะยังไงก็ได้ แต่ขอให้เธอไม่อยู่ที่นี่

“นั่นรถของคุณเทียนนี่ครับ” เสียงร้องของคนสนิททำลายความหวังของเขาไม่เหลือชิ้นดี สิตะมองตรงไป เห็นรถญี่ปุ่นคันเล็กจอดอยู่ข้างโกดัง

ไม่สิ... จะต้องไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ชายหนุ่มยังพยายามให้ความหวังตัวเอง ขณะวิ่งลงจากรถไปยังประตูเหล็กที่ปิดอยู่ แต่ทันทีที่เขาเห็นชายคนหนึ่งในชุดรปภ. นอนสลบอยู่ไม่ไกลจากรถของเทียนแก้ว ความหวังของเขาก็พังลงอีกครั้ง

“โทรเรียกรถดับเพลิง” สิตะสั่ง ขณะมองซ้ายมองขวาหาทางเข้าไปด้านใน ทั้งที่ไม่รู้ว่าดาวประกายอยู่ที่นี่จริงไหม แต่เขาก็เป็นห่วงเธอเหลือเกิน

อนณยกโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสาย โชคดีที่เขาบันทึกหมายเลขฉุกเฉินแทบทุกหน่วยงานเอาไว้ทำให้ไม่เสียเวลาหา ชายหนุ่มยืนคุยไม่นาน รถตำรวจของเสกสาระก็แล่นเข้ามา เป็นจังหวะเดียวกับที่สิตะได้ยินเสียงแว่วดังมาจากที่ห่างไกล

“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย ทางนี้...”

เสียงหนึ่งที่คุ้นหู เขาจำได้ว่าเคยได้ยินมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่เวลาระลึกความหลัง เขารีบวิ่งตามเสียงเรียกนั้น ก่อนจะเห็นใครคนหนึ่งกำลังโบกไม้โบกมือมาจากหน้าต่างชั้นสอง

“เทียนแก้ว!!!”













------------------

มาต่ออีกตอนแล้วนะคะ เป็นยังไงบ้างคะ หวังว่ายังไม่ลืมกันนะคะ





ปลายสี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 เม.ย. 2556, 00:11:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 เม.ย. 2556, 00:11:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1230





<< ดาวปาฏิหาริย์ บทที่ 30   ดาวปาฏิหาริย์ บทที่ 32 >>
Pat 30 เม.ย. 2556, 07:37:45 น.
คลายไปทีละปม ทีนี้ก็แหลือแต่ปมของพ่อช่อชมพูล่ะ


goldensun 30 เม.ย. 2556, 13:18:13 น.
ว่าแล้ว ลุ้นปมพ่อพู่แล้ว น่าจะก่อนเกิดเรื่องไล่ยิงแน่


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account