เล่ห์รักเล่ห์เสน่หา
เล่ห์เหลี่ยมมีไว้ใช้กับคนรอบกาย
แต่หัวใจ...ใช้เพียงเล่ห์รักเท่านั้น
แต่หัวใจ...ใช้เพียงเล่ห์รักเท่านั้น
Tags: พฤกษ์ หทัยภัทร บุษบาฮาวาย
ตอน: ตอนที่ 19
ตอนที่ 19
เช้าวันรุ่งขึ้น หทัยภัทรก็ตามติดพฤกษ์ไปยังไซด์งานเหมือนเดิม เธอยินดีคอยเขาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมตามที่พฤกษ์สั่งเอาไว้เป็นอย่างเคร่งครัด ทว่าขนมถุงใหญ่ที่หอบหิ้วไปด้วยและพฤกษ์ก็ไม่มีทางจะเชื่อเด็ดขาดว่าจะสามารถเข้าไปอยู่ในท้องของเธอเพียงคนเดียวได้หมด ก็ทำให้คนที่รับคำเป็นมั่นเหมาะแอบย่องออกจากห้องพักนั้นไปในเวลาบ่ายแก่ ๆ จนได้
เสียงเด็กที่คุยกันจ้อกแจ้กดังมาเข้าหู ทำเอาคนที่คอยให้ถึงเวลาโรงเรียนเลิกอย่างใจจดใจจ่อ รีบเปิดประตูออกไปจากห้องพร้อมขนมขบเคี้ยวในถุงหิ้วขนาดใหญ่
หทัยภัทรเดินลัดเลาะไปยังลานด้านหน้าแคมป์คนงาน ที่มีเด็กชายหญิงวัย 8 – 11 ขวบจำนวน 5 คนนั่งล้อมวงรับประทานบางอย่างด้วยความเอร็ดอร่อย และพอได้เห็นคนแปลกหน้า ที่สำคัญสวยกว่าใคร ๆ ในไซด์งานนี้ทั้งหมด กลุ่มเด็ก ๆ จึงหยุดกิริยาโดยพลัน
“สวัสดีจ้า ทำอะไรกันอยู่ ขอนั่งด้วยคนได้ไหม”
ความสวยและรอยยิ้มที่เปิดกว้างอย่างไร้จริตของหทัยภัทร ทำให้เด็ก ๆ เริ่มหันมาหา และเด็กชายหนึ่งในนั้นซึ่งดูจะตัวโตกว่าใครเพื่อน ก็เป็นคนขยับที่นั่งให้พร้อมเอ่ยบอกอย่างขัดเขิน
“กินส้มตำกันครับ”
“ฝีมือใครทำจ๊ะ”
หทัยภัทรมองส้มตำน้ำสีเข้มข้นในกาละมังเคลือบสีขาวกระดำกระด่างนั้นแล้วเอ่ยถาม กลิ่นปลาร้ากลิ่นกะปิโชยมาชวนให้น้ำลายสอ
“แม่อีปุ๊กเป็นคนทำครับ”
คนที่ถูกเรียกขานว่า ‘อีปุ๊ก’ ซึ่งยังคงสวมชุดนักเรียนมอมแมมฉีกยิ้มฟันขาว ก่อนจะย้ำออกมาอีกให้หทัยภัทรเข้าใจ
“แม่ทำไว้ให้ตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว”
“แล้วยังอร่อยอยู่ไหม”
“ก็อร่อยค่ะ”
แม้ส้มตำจะถูกปรุงทิ้งไว้แล้วร่วม 4 ชั่วโมง ทว่าท่าทีเอร็ดอร่อยของเด็ก ๆ ก็กลับทำให้หทัยภัทรยอมเชื่ออย่างสนิทใจว่ารสชาติของมันจะยังไม่จืดชืดไปจากเดิมมากนัก
“เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนกันเหรอ”
ความแปลกหน้า ทำให้คนที่กำลังต้องการเพื่อนอย่างหทัยภัทร เพียรหาคำถามมาพูดคุยกับเด็ก ๆ ที่ตอนนี้นอกจากจะชะงักมือที่กำลังจกส้มตำกันอย่างเมามันเมื่อครู่แล้ว ยังมีท่าทีขัด ๆ เขิน ๆ ต่อคนแปลกหน้าเช่นเธอเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่งด้วย
“ค่ะ”
“ไหน...ชื่ออะไรกันบ้าง พี่จะได้เรียกถูก คนนี้ชื่อปุ๊กแล้วคนอื่นล่ะ”
หทัยภัทรพยักหน้ารับเมื่อเด็ก ๆ พากันบอกชื่อตัวเองแล้วหันไปหาคนถัดไปประหนึ่งกำลังถูกคุณครูสั่งให้นับตามลำดับ ในที่สุดหทัยภัทรก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่มมาทีเดียว 5 คนรวด มีชื่อเสียงเรียงนามว่าปุ๊ก ส้ม เหน่ง จ้อนและลัดดา
“แล้วพี่ล่ะคะ ชื่ออะไร”
เด็กหญิงปุ๊กเอ่ยถามอย่างเหนียมอาย หทัยภัทรอมยิ้มให้กับภาพมือเล็ก ๆ ที่คอยสะกิดกันอยู่ 2 – 3 ทีจนมาหยุดอยู่ที่เจ้าของกาละมังส้มตำ แม้จะเป็นไปด้วยความขัดเขินแต่ก็ต้องยกนิ้วให้ความกล้าของเธอที่ดูจะมีมากกว่าใคร
“ชื่อหลิวจ๊ะ เรียกพี่หลิวก็ได้”
พอสังเกตเห็นแววตาใสซื่ออยากรู้อยากเห็นของเด็ก ๆ เหลือบแลไปยังถุงขนมขบเคี้ยวที่อุตส่าห์ดั้นด้นไปซื้อแม้จะถูกพฤกษ์แกล้งเย้าแหย่ให้เสียความมั่นใจ หทัยภัทรก็ไม่รอช้าที่จะหยิบมันขึ้นมา แล้วแจกจ่ายให้สมาชิกในวงจนครบทุกคน
มือป้อม ๆ มอมแมมตามประสาเด็กบ้านนาคลุกฝุ่นคลุกดิน ผลัดกันยกขึ้นไหว้แล้วรับของไปจากมือหทัยภัทรอย่างรวดเร็ว สีหน้าชื่นชอบและถูกอกถูกใจทั้ง 5 คู่ ทำให้หทัยภัทรกล้าที่จะรับปากบางอย่างออกไปในที่สุด
“วันหน้าพี่จะเอามาฝากอีกนะ”
“พี่หลิวซื้อมาจากไหนครับ”
“พี่ซื้อมาจากในเมืองจ๊ะ”
“งั้นคราวหน้าเปลี่ยนเป็นพิซซ่าได้ไหมครับ”
เด็กชายจ้อนที่ดูตัวเล็กกว่าใครเพื่อนเอ่ยบอก ก่อนจะต้องได้กุมศีรษะแล้วเบี่ยงตัวหลบมะเหงกของเหน่ง ท่ามกลางคำบริภาษของคนอื่น ๆ
“เอ็งเคยกินเหรอพิซซ่า”
“นั่นสิ รู้จักเหรอ”
“ก็เห็นในทีวีไง เพราะไม่เคยกินนั่นแหละถึงได้อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง”
หทัยภัทรหัวเราะให้กับเด็ก ๆ ที่ส่งเสียงเซ็งแซ่วิพากษ์วิจารณ์คำพูดของจ้อน และพอเธอรับปากว่าวันหน้าจะหามาให้ลองชิม จากที่บางคนมีปฏิกิริยาต่อต้านในความคิดของจ้อน ก็กลายเป็นพยักเพยิดแล้วยิ้มอย่างชอบใจ
“พี่หลิวกินส้มตำไหมคะ แม่หนูทำอร่อยนะ”
ปุ๊กเอ่ยชวนขณะในมือกำถุงมันฝรั่งทอดขนาดใหญ่นั้นเอาไว้อย่างหวงแหน
“ไม่เอาล่ะจ๊ะ กินกันให้อิ่มเลยตามสบาย”
“แลกกับขนมที่พี่หลิวให้พวกเราไงคะ”
หทัยภัทรส่ายหน้าไม่ใช่เพราะรังเกียจที่มือน้อย ๆ ทั้ง 5 ผลัดกันหยิบส้มตำจากกาละมังเข้าปากโดยปราศจากช้อน ทว่าเธอยังไม่อยากลิ้มลองส้มตำน้ำสีดำเข้มข้นที่ไม่รู้ว่าใส่อะไรเข้าไปบ้างนั่นต่างหาก
“ไม่เป็นไรจ้ะ พี่ไม่ค่อยชอบกินส้มตำ ขอพี่นั่งดูพวกเรากินแล้วก็วิ่งเล่นแก้เหงาดีกว่า”
ดูเหมือนคำพูดของหทัยภัทรจะไปสะกิดอะไรบางอย่างของเด็กทั้งกลุ่มเข้า เพราะสายตาทั้ง 5 คู่หันขวับไปมองสบกันราวกับนัดไหว้
“เอาไงดีล่ะ พูดดีหรือไม่พูดดี”
เสียงเหน่งกระซิบกระซาบพลางขยิบตาราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ในขณะที่เหน่งกับจ้อนทำหน้าตาเลิ่กลั่ก ปุ๊กกับส้มกลับพากันหัวเราะเบา ๆ
“ก็พูดสิ พูดได้ไม่เห็นเป็นไร”
ลัดดาที่พูดน้อยที่สุดและสงบเสงี่ยมที่สุดในกลุ่มเอ่ยออกมา ทำให้หทัยภัทรนึกอยากรู้ขึ้นมาติดหมัดว่าเด็ก ๆ กำลังส่งสัญญาณและปรึกษาหารืออะไรกัน และที่สำคัญเสียงก็เริ่มแตกออกเป็นสองฝ่ายชวนให้น่าสงสัยยิ่ง
“มีอะไรกันเหรอจ๊ะ”
“คือ...พวกเราคุยกันว่าถ้ากินส้มตำเสร็จ เราจะไปจับปลากัดกันครับ”
“คะ?”
หทัยภัทรเบิกตาโตให้กับเรื่องที่ได้ยิน และแค่คิดว่าเธอจะได้เห็นปลาสวยงามที่คนนิยมจับใส่ขวดใสให้มันแผ่พวงหางสีสดสวยอวดสายตาคน เธอก็แทบระงับความตื่นเต้นไม่อยู่แล้ว
“ไปจับปลากัดเหรอ”
“ใช่ครับ”
“ที่ไหนล่ะ ไปไกลไหม”
“ไม่ไกล”
เสียงเล็ก ๆ นั้นตอบประสานกันชวนให้หทัยภัทรยอมเชื่อว่าต้องเป็นความจริง ก่อนจะพยักหน้าเมื่อเหน่งลุกขึ้นยืนบนแคร่แล้วชี้นิ้วไปยังแนวพงหญ้าสีเขียวสดยาวเป็นทางตัดกับสีเหลืองทองของตอข้าวแห้งกรอบ
“โน่นไงครับ”
“ขอพี่ไปด้วยคนนะ”
หากมีใครได้เห็นตาโตที่ทอประกายสุกใสเริงร่าของหทัยภัทรในขณะนี้ ก็คงฟันธงได้เลยว่าเธอจะไม่มีทางเลิกล้มความตั้งใจที่จะตามเพื่อน ๆ ต่างวัยไปจับปลากัดอย่างแน่นอน แม้เสียงที่เซ็งแซ่อยู่เมื่อครู่จะกลายเป็นเงียบกริบไปในทันทีที่เธอพูดจบ หากแต่หทัยภัทรก็ยังไม่ยอมละความพยายาม
“พี่อยากเห็นว่ามันอยู่กันยังไง มีเยอะไหม”
“งั้นก็รีบกินส้มตำให้หมดแล้วไปกันเถอะพวกเรา”
“อ้าว...ยังไม่ได้กินขนมเลย”
จ้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเสียดาย เมื่อเหน่งซึ่งตัวโตที่สุดในกลุ่มและดูเหมือนทุกคนจะยกให้เขาเป็นหัวโจกออกคำสั่งให้ทุกคนรีบจัดการกับส้มตำในกาละมังให้หมด เพื่อจะได้ไปจับปลากัดกันเหมือนที่วางแผนไว้แต่แรก และเมื่อไม่มีคำคัดค้านใด ๆ ดังมาให้ได้ยิน หทัยภัทรก็จะถือว่าเธอถูกรับเข้าร่วมกลุ่มแล้ว
“ขนมนั่นพี่ให้คนละถุงอยู่แล้ว เก็บไว้กินที่บ้านของใครของมันสิจ๊ะ”
“เออ นั่นสิ ยังไม่ต้องตะกละกินให้หมดเสียตอนนี้ทีเดียวหรอกไอ้จ้อน”
เสียงใครบางคนที่ดังขึ้นพร้อมกับลูกคู่ต่างพยักหน้าสนับสนุนเล่นเอาจ้อนพูดไม่ออก ยอมเก็บถุงขนมใบโตเกือบเท่าศีรษะเจ้าของวางลงบนตักอย่างทะนุถนอมและหวงแหนต่อไป
หทัยภัทรมองแล้วยิ้มด้วยใจที่เป็นสุข เด็ก ๆ กับขนมเป็นของคู่กัน ในฐานะผู้ให้จะมีภาพใดที่ทำให้หัวใจพองโตได้มากเท่ากับการเห็นสิ่งที่ตนหยิบยื่นให้เป็นที่ชื่นชอบและถูกใจผู้รับ
การรีบร้อนหยิบส้มตำใส่ปากกันคนละทีสองทีแทรกด้วยเสียงสูดปากเพราะรสชาติเผ็ดเปรี้ยว ทำให้หทัยภัทรถึงกับแอบกลืนน้ำลายและสุดท้ายส่วนที่เป็นเนื้อก็หมดลงเหลือแต่น้ำสีคล้ำ
“กินหมดแล้วอีปุ๊กเอาไปล้าง”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่กลับมาล้าง”
เมื่อเห็นว่าเจ้าของที่อุตส่าห์ยกลงมาจุนเจือถูกโยนหน้าที่ล้างกาละมัง หทัยภัทรที่นั่งมองอยู่ด้วยความสนใจก็ถึงกับกระแอมไอแล้วเอ่ยคำพูดบางอย่างออกมา
“ปุ๊กมีน้ำใจยกส้มตำมาให้ทุกคนกินแล้ว ทั้ง ๆ ที่เค้าสามารถเก็บไว้กินคนเดียวได้ แล้วทำไมถึงต้องโยนภาระในการล้างให้คนที่เผื่อแผ่เราด้วยล่ะ”
แล้วแววตาทั้ง 5 คู่ก็หันมามองหทัยภัทรพร้อมกันราวกับนัดไว้ โดยไม่มีใครคิดจะเอ่ยอะไรออกมา
“และยิ่งจะทิ้งไว้ให้แม่ของปุ๊กมาล้างเอง ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ทีนี้ทุกคนรู้หรือยังว่าต้องทำอย่างไร”
“งั้นก็เอามานี่ ข้าไปล้างเองก็ได้”
เหน่งซึ่งตัวโตที่สุดในกลุ่มขันอาสายกกาละมังใส่ส้มตำไปล้าง โดยไม่วายจะหนีบถุงขนมที่รับไปจากมือของหทัยภัทรเอาไว้ที่รักแร้เรียกรอยยิ้มจากผู้ให้ได้อีกหน เพียงครู่หทัยภัทรก็ได้แอบเดินตามกลุ่มเด็ก ๆ ไปช้อนปลากัดในคลองสมใจ
หทัยภัทรใช้เวลาลุยโคลนจับปลากัดกับเด็ก ๆ และกระหืดกระหอบกลับแคมป์คนงานก่อนเสียงกริ่งที่ดังลั่นทุ่งได้อย่างฉิวเฉียด ที่สำคัญคือโชคยังเข้าข้างเธอเพราะพฤกษ์ยังไม่กลับมา
หทัยภัทรไม่คิดเลยว่าแอ่งน้ำเล็ก ๆ ในฤดูแล้งนั้นจะมีปลากัดสีสวยลอยคออยู่กันเต็มไปหมด เหตุเพราะเห็นว่าน้ำในคูแห้งขอด เธอและพวกเด็ก ๆ จึงร่วมมือกันช้อนปลาในนั้นออกมาจนหมด เพราะขืนปล่อยไปตามยถากรรม ไม่เกิน 1 หรือ 2 วัน ปลาก็คงขาดน้ำและตายไปอย่างน่าสงสารอยู่ดี
“แล้วทีนี้จะเอาไปเลี้ยงที่ไหนดี”
“ถังน้ำไง เดี๋ยวข้าไปหาถังน้ำมาให้”
เหน่งวิ่งไปสอดส่ายสายตาหาถังน้ำตามแคมป์คนงาน ก่อนจะกลับมาพร้อมถังพลาสติกสีดำ ที่พอถามว่าไปหยิบมาจากไหน เจ้าตัวก็ชี้มือชี้ไม้ไม่ยอมบอกว่าเป็นของใคร
“มันวางอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ของใคร”
“งั้นเหน่งก็ต้องเอาไปคืนที่เดิม เพราะเจ้าของเขาต้องตามหา”
“เราแค่ยืมมาใส่ปลาเอง ไม่ได้เอาไปที่ไหนสักหน่อย”
เหน่งเถียงเพราะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหทัยภัทร ขณะนี้ปลาในถุงพลาสติกกำลังพากันลอยคอราวกับอยู่ในชุมชนแออัด อากาศไม่พอจะหายใจ
“ไม่ได้ เอาไปวางไว้ที่เดิมเสียเถอะจ๊ะ”
“แล้วจะเอาอะไรมาใส่ล่ะครับ น้ำในถุงก็ขุ่น เดี๋ยวตายหมดยกถุงพอดี”
เหน่งทำท่ากังวล ในขณะที่คนอื่น ๆ ที่นั่งยอง ๆ มองดูต่างพากันพยักหน้าสนับสนุน จริง ๆ น้ำในแอ่งก็ใสเพราะตกตะกอน แต่พอไปถึงสมุนทั้ง 5 ก็พากันกระโจนลงไปโดยยังไม่ทันได้ตักน้ำใส ๆ ใส่ถุงเสียก่อน ดีที่สุดจึงได้แค่นี้เอง
“นั่นสิคะพี่หลิว ปลามันลอยคอเหมือนจะตายอยู่แล้ว”
“เดี๋ยวพี่ไปเอากระติกในห้องมาใส่ก็ได้”
เมื่อนึกไปถึงภาชนะที่มีอยู่ใกล้ตัวที่สุด หทัยภัทรก็เป็นฝ่ายยอมเดินกลับไปเปิดกุญแจห้อง หยิบกระติกน้ำใบย่อมในห้องออกมาให้อย่างไม่รอช้า
“หนูขอเอาไปเลี้ยงบ้าง”
ส้มที่นั่งมองอยู่นานและมีปากมีเสียงน้อยที่สุด เอ่ยออกมาก่อนที่ปลาในถุงจะถูกยักย้ายถ่ายเทลงไปในกระติก และพอมีหนึ่งเสียงดังขึ้น อีกหลายเสียงที่เหลือก็ดังตามมา
“ผมเอาด้วย”
“หนูก็จะเอา”
สุดท้ายเด็กทั้งกลุ่มก็วงแตกวิ่งกลับไปหาภาชนะมาเลือกจับปลากัดสีสวยเพื่อนำกลับไปเลี้ยงดูตามต้องการ ท่ามกลางการเมียงมองของผู้ปกครองหลายคนที่อยากรู้ว่าลูกของตนมาอยู่กับหญิงสาวแปลกหน้าที่คนงานพากันร่ำลือถึงความสวยของเธอแทบทั้งวันได้อย่างไร
เมื่อแจกจ่ายกันจนเป็นที่พอใจแล้ว หทัยภัทรก็หิ้วกระติกน้ำกลับห้องพัก ตั้งใจเอาไว้ว่าจะพากลับโรงแรมด้วยแล้วค่อยขยับขยายหาขวดแก้วหรือโหลพลาสติกมาเพิ่มในภายหลัง
สิ่งที่ต้องซื้อหาเป็นอย่างแรกคืออาหารปลา ในวัยเด็กเธอกับพี่ชายก็เคยพากันไปช้อนปลาหางนกยูงจากในคลองข้างบ้านมาเลี้ยงเช่นกัน ความที่ยังเล็กทำให้มักแอบไปหยิบข้าวจากในหม้อมาหย่อนให้ปลากิน กระทั่งพากันค้นพบว่าอาหารที่มันโปรดปรานคือไข่แดงต้มสุก เพราะแค่ปล่อยลงยังผิวน้ำ ปลาทั้งหลายก็กรูกันเข้ามาดึงทึ้งอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว
ก๊อก ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำให้หทัยภัทรซึ่งยังคงนั่งมองความสวยงามของปลากัดนับสิบตัวต้องหยิบฝากระติกน้ำมาปิดโดยจงใจแง้มให้อากาศถ่ายเทเพียงเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินไปเปิดประตูเพราะคนที่ยืนคอยอยู่ด้านนอกได้ส่งเสียงเร่งเร้ามาอีก
พอบานประตูเปิดออกและได้เห็นหทัยภัทรโผล่หน้าออกไปหา คนใจร้อนก็มองสำรวจจากหลังเลนส์สีดำแล้วเอ่ยถามขึ้นทันใด
“ทำอะไรอยู่”
“เอ่อ...ก็อ่านหนังสือ นอนเล่นไปตามเรื่องค่ะ”
หทัยภัทรตอบแค่นั้นก่อนจะเบี่ยงตัวหลบให้คนตัวโตเดินผ่านหน้าเข้ามาในห้อง เหงื่อที่ซึมติดเสื้อด้านหลังของพฤกษ์เป็นด่างดวงช่วยยืนยันถึงความร้อนระอุของอากาศภายนอกได้เป็นอย่างดี
ร่างสูงวางหมวกนิรภัยสีขาวที่ถูกหนีบไว้ข้างตัวลงบนโต๊ะทำงานแล้วลากเก้าอี้ออกมานั่งหันหน้าไปหาคนที่ยืนหันรีหันขวางประหนึ่งไม่รู้จะหยิบจับสิ่งใดก่อน
“อากาศข้างนอกร้อนมาก ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องออกไปนะ”
แม้ในห้องสี่เหลี่ยมนั้นจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าด้านนอกด้วยมีเครื่องปรับอากาศช่วย แต่ก็ยังไม่ทันใจคนที่มาใหม่ เพราะเห็นเขาหยิบกระดาษขึ้นมากระพือลมให้ตนเอง
หทัยภัทรรับคำก่อนจะชำเลืองมองกระติกน้ำซึ่งวางอยู่ใกล้กับบริเวณที่พฤกษ์นั่งอยู่ แม้เขาจะต้องได้ทราบแน่ ๆ ว่าเธอนำสัตว์เลี้ยงตัวน้อยเหล่านั้นมาไว้ในห้อง ทว่าเวลานี้หทัยภัทรกลับยังขยาดที่จะบอก อาจเป็นเพราะเกรงว่าอุณหภูมิที่ร้อนระอุจะทำให้เขาไม่ใจดีเท่าที่ควร
“เดี๋ยวนายดิษย์จะแวะเอากุญแจห้องมาให้”
“คะ?”
“ค่ำนี้หมอจะกลับเข้ากรุงเทพ ในห้องนั้นมีของหลายอย่างที่ต้องใช้ จะได้มีกุญแจไปเปิดเอาได้”
การถูกผู้เป็นแม่ตั้งข้อสังเกตว่าพากันมาจมอยู่ที่ไซด์งานทั้งคู่ ทำให้พฤกษ์ตัดสินใจสั่งดิษย์กลับเข้าไปนั่งทำงานที่บริษัท เหตุผลหลัก ๆ ที่คนกลับไม่ใช่เขาก็เพราะใครบางคนที่ถูกพาติดสอยห้อยตามยังไม่สามารถกลับเข้าบ้านได้จนกว่าจะครบ 1 สัปดาห์และเขาเองก็ไม่ปรารถนาจะปล่อยให้เธอคลาดสายตาในเวลานี้
“แล้วคุณไม่กลับด้วยเหรอคะ”
“ให้นายดิษย์กลับแค่คนเดียวก็พอ เดี๋ยวจะไม่มีใครอยู่ทางนี้”
พฤกษ์ว่าพลางหวนนึกถึงสิ่งที่กำลังจะทำให้เขาลำบากใจ จะมีการประมูลงานก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลน่ะไม่ใช่ข่าวโคมลอย แต่เป็นเขาต่างหากที่ยังหลงเหลือคำถามในใจบางประการ
“แล้วทำไมไม่ให้คุณดิษย์กลับไปตั้งแต่บ่ายคะ อีกเดี๋ยวก็มืดค่ำ ขับรถกลางคืนคงลำบากน่าดู”
“ไม่เป็นไรหรอก เราขับรถไปมากันบ่อย ๆ จนชินทางแล้ว”
การถูกน้องสาวโทร.มากำชับว่าคนเป็นแม่ต้องการให้พฤกษ์กลับบ้าน ทำให้เขาต้องหาวิธีบ่ายเบี่ยงด้วยการรีบสั่งให้ดิษย์กลับเข้ากรุงเทพ เพื่อจะได้เป็นข้ออ้างว่าทางนี้ไม่มีใคร ซึ่งก็เป็นอันเข้าใจกันว่าพฤกษ์ไม่เคยทิ้งให้ลูกน้องทำงานกันเองต่อให้จะมีทีมวิศวกรและสถาปนิกดูแลอยู่แล้วก็ตาม
พูดกันยังไม่ทันขาดคำ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พฤกษ์พยักหน้าให้หทัยภัทรซึ่งยืนอยู่ใกล้กับประตูห้องมากที่สุดเป็นคนเปิด เพราะรู้ดีว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากดิษย์
“ผมเข้าไปได้ไหมครับ”
ดิษย์โผล่หน้าเข้ามาถามอย่างมีมารยาท
“เชิญค่ะ”
หทัยภัทรเชื้อเชิญพลางเปิดยิ้มให้เพราะจากที่ได้รับประทานอาหารมื้อเที่ยงร่วมกันมาแล้ว 2 มื้อ ได้มีโอกาสพูดคุยกันก็หลายคำ เธอจึงค่อย ๆ ซึมซับความคุ้นเคย อีกอย่างดิษย์ก็เป็นเพื่อนของพฤกษ์ ต่างคนก็ต่างอาวุโสกว่าเธอพอ ๆ กัน ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กในสายตาพฤกษ์อย่างไร กับดิษย์เธอก็กำลังรู้สึกไม่ต่างกัน
“น้ำไหม”
จู่ ๆ พฤกษ์ซึ่งเห็นนั่งประจำที่อยู่ก็ลุกไปหยิบแก้วน้ำแล้วเปิดก๊อกที่กระติก ก่อนจะเอ่ยชวนดิษย์ซึ่งกำลังเดินเข้ามาในห้องและฝ่ายนั้นก็ไม่ปฏิเสธด้วย
“ดีเหมือนกัน น้ำในกระติกที่ห้องหมดพอดี จะไม่อยู่ก็เลยไม่ได้ให้คนเอาไปใส่ไว้”
“เอ่อ...”
หทัยภัทรอ้าปากค้าง ด้วยความตะลึงเพราะไม่คิดว่าผู้ชายทั้งสองคนจะพากันมาดื่มน้ำจากกระติกใบนี้ ที่สำคัญมันไม่ได้อยู่ในภาวะพร้อมดื่มเลยแม้แต่น้อย
พฤกษ์ได้ยินเสียงของหทัยภัทร ทว่าเขาทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม ก่อนจะกระดกแก้วน้ำในมือเข้าปากบ้าง ส่วนดิษย์นั้นเขาจัดการกับแก้วน้ำในมือที่เพิ่งรับมาจากพฤกษ์จนหมดเกลี้ยงนำหน้าไปแล้ว
หทัยภัทรเบะหน้าคล้ายจะร้องไห้ ทำอะไรไม่ถูกด้วยไม่รู้จะบอกเรื่องทั้งหมดออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร ที่สำคัญคนที่เธอหวั่นว่าจะดื่มน้ำในแก้วจนหมดตามดิษย์ไปอีกคนก็กำลังลดแก้วที่ยังเหลือน้ำอยู่กว่าครึ่งในมือลงพลางยกขึ้นส่องดู
เมื่อเปิดฝากระติกที่ถูกแง้มไว้แล้วชะโงกหน้าไปก้มดูแล้วได้สัตว์น้ำตัวเล็กสีสดพากันแหวกว่ายอยู่นับสิบตัว พฤกษ์ก็กระแอมไอ ชายหนุ่มหันไปมองเพื่อนรักที่ถือแก้วน้ำว่างเปล่าไว้ในมือด้วยความสงสาร สาบานได้เลยว่าต้องสำเร็จโทษคนที่บังอาจเอาปลามาใส่ในกระติกน้ำของเขาในทันทีที่สบโอกาส
“นายจะออกเดินทางแล้วใช่ไหม”
“ใช่ เอ้า...นี่กุญแจ”
“ดื่มน้ำดื่มท่าเสร็จแล้วก็รีบไปเถอะ จะได้ไปถึงไม่ดึกมาก”
พฤกษ์รับกุญแจพร้อมแก้วน้ำมาจากมือดิษย์แล้วเอ่ยบอก แม้จะพูดกับเพื่อนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ทว่าสายตาที่เหลือบแลไปยังหทัยภัทรกลับหมายมาดคาดโทษน่าดู
“งั้นก็ไปนะ”
“ฮื่อ มีอะไรทางโน้นก็โทร.มานะ”
“ไปนะครับคุณหลิว ค่อยเจอกันใหม่”
“ค่ะ โชคดีนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
“ขับรถดี ๆ มีอะไรก็โทร.มา”
พฤกษ์บอกพลางตบฝ่ามือลงบนไหล่ของดิษย์หนัก ๆ 2 ทีก่อนจะเดินตามออกไปส่งถึงหน้าประตู โดยไม่วายจะส่งสายตาที่ทำให้หทัยภัทรทั้งอยากหัวเราะและอยากร้องไห้ในเวลาเดียวกันมาให้
เช้าวันรุ่งขึ้น หทัยภัทรก็ตามติดพฤกษ์ไปยังไซด์งานเหมือนเดิม เธอยินดีคอยเขาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมตามที่พฤกษ์สั่งเอาไว้เป็นอย่างเคร่งครัด ทว่าขนมถุงใหญ่ที่หอบหิ้วไปด้วยและพฤกษ์ก็ไม่มีทางจะเชื่อเด็ดขาดว่าจะสามารถเข้าไปอยู่ในท้องของเธอเพียงคนเดียวได้หมด ก็ทำให้คนที่รับคำเป็นมั่นเหมาะแอบย่องออกจากห้องพักนั้นไปในเวลาบ่ายแก่ ๆ จนได้
เสียงเด็กที่คุยกันจ้อกแจ้กดังมาเข้าหู ทำเอาคนที่คอยให้ถึงเวลาโรงเรียนเลิกอย่างใจจดใจจ่อ รีบเปิดประตูออกไปจากห้องพร้อมขนมขบเคี้ยวในถุงหิ้วขนาดใหญ่
หทัยภัทรเดินลัดเลาะไปยังลานด้านหน้าแคมป์คนงาน ที่มีเด็กชายหญิงวัย 8 – 11 ขวบจำนวน 5 คนนั่งล้อมวงรับประทานบางอย่างด้วยความเอร็ดอร่อย และพอได้เห็นคนแปลกหน้า ที่สำคัญสวยกว่าใคร ๆ ในไซด์งานนี้ทั้งหมด กลุ่มเด็ก ๆ จึงหยุดกิริยาโดยพลัน
“สวัสดีจ้า ทำอะไรกันอยู่ ขอนั่งด้วยคนได้ไหม”
ความสวยและรอยยิ้มที่เปิดกว้างอย่างไร้จริตของหทัยภัทร ทำให้เด็ก ๆ เริ่มหันมาหา และเด็กชายหนึ่งในนั้นซึ่งดูจะตัวโตกว่าใครเพื่อน ก็เป็นคนขยับที่นั่งให้พร้อมเอ่ยบอกอย่างขัดเขิน
“กินส้มตำกันครับ”
“ฝีมือใครทำจ๊ะ”
หทัยภัทรมองส้มตำน้ำสีเข้มข้นในกาละมังเคลือบสีขาวกระดำกระด่างนั้นแล้วเอ่ยถาม กลิ่นปลาร้ากลิ่นกะปิโชยมาชวนให้น้ำลายสอ
“แม่อีปุ๊กเป็นคนทำครับ”
คนที่ถูกเรียกขานว่า ‘อีปุ๊ก’ ซึ่งยังคงสวมชุดนักเรียนมอมแมมฉีกยิ้มฟันขาว ก่อนจะย้ำออกมาอีกให้หทัยภัทรเข้าใจ
“แม่ทำไว้ให้ตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว”
“แล้วยังอร่อยอยู่ไหม”
“ก็อร่อยค่ะ”
แม้ส้มตำจะถูกปรุงทิ้งไว้แล้วร่วม 4 ชั่วโมง ทว่าท่าทีเอร็ดอร่อยของเด็ก ๆ ก็กลับทำให้หทัยภัทรยอมเชื่ออย่างสนิทใจว่ารสชาติของมันจะยังไม่จืดชืดไปจากเดิมมากนัก
“เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนกันเหรอ”
ความแปลกหน้า ทำให้คนที่กำลังต้องการเพื่อนอย่างหทัยภัทร เพียรหาคำถามมาพูดคุยกับเด็ก ๆ ที่ตอนนี้นอกจากจะชะงักมือที่กำลังจกส้มตำกันอย่างเมามันเมื่อครู่แล้ว ยังมีท่าทีขัด ๆ เขิน ๆ ต่อคนแปลกหน้าเช่นเธอเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่งด้วย
“ค่ะ”
“ไหน...ชื่ออะไรกันบ้าง พี่จะได้เรียกถูก คนนี้ชื่อปุ๊กแล้วคนอื่นล่ะ”
หทัยภัทรพยักหน้ารับเมื่อเด็ก ๆ พากันบอกชื่อตัวเองแล้วหันไปหาคนถัดไปประหนึ่งกำลังถูกคุณครูสั่งให้นับตามลำดับ ในที่สุดหทัยภัทรก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่มมาทีเดียว 5 คนรวด มีชื่อเสียงเรียงนามว่าปุ๊ก ส้ม เหน่ง จ้อนและลัดดา
“แล้วพี่ล่ะคะ ชื่ออะไร”
เด็กหญิงปุ๊กเอ่ยถามอย่างเหนียมอาย หทัยภัทรอมยิ้มให้กับภาพมือเล็ก ๆ ที่คอยสะกิดกันอยู่ 2 – 3 ทีจนมาหยุดอยู่ที่เจ้าของกาละมังส้มตำ แม้จะเป็นไปด้วยความขัดเขินแต่ก็ต้องยกนิ้วให้ความกล้าของเธอที่ดูจะมีมากกว่าใคร
“ชื่อหลิวจ๊ะ เรียกพี่หลิวก็ได้”
พอสังเกตเห็นแววตาใสซื่ออยากรู้อยากเห็นของเด็ก ๆ เหลือบแลไปยังถุงขนมขบเคี้ยวที่อุตส่าห์ดั้นด้นไปซื้อแม้จะถูกพฤกษ์แกล้งเย้าแหย่ให้เสียความมั่นใจ หทัยภัทรก็ไม่รอช้าที่จะหยิบมันขึ้นมา แล้วแจกจ่ายให้สมาชิกในวงจนครบทุกคน
มือป้อม ๆ มอมแมมตามประสาเด็กบ้านนาคลุกฝุ่นคลุกดิน ผลัดกันยกขึ้นไหว้แล้วรับของไปจากมือหทัยภัทรอย่างรวดเร็ว สีหน้าชื่นชอบและถูกอกถูกใจทั้ง 5 คู่ ทำให้หทัยภัทรกล้าที่จะรับปากบางอย่างออกไปในที่สุด
“วันหน้าพี่จะเอามาฝากอีกนะ”
“พี่หลิวซื้อมาจากไหนครับ”
“พี่ซื้อมาจากในเมืองจ๊ะ”
“งั้นคราวหน้าเปลี่ยนเป็นพิซซ่าได้ไหมครับ”
เด็กชายจ้อนที่ดูตัวเล็กกว่าใครเพื่อนเอ่ยบอก ก่อนจะต้องได้กุมศีรษะแล้วเบี่ยงตัวหลบมะเหงกของเหน่ง ท่ามกลางคำบริภาษของคนอื่น ๆ
“เอ็งเคยกินเหรอพิซซ่า”
“นั่นสิ รู้จักเหรอ”
“ก็เห็นในทีวีไง เพราะไม่เคยกินนั่นแหละถึงได้อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง”
หทัยภัทรหัวเราะให้กับเด็ก ๆ ที่ส่งเสียงเซ็งแซ่วิพากษ์วิจารณ์คำพูดของจ้อน และพอเธอรับปากว่าวันหน้าจะหามาให้ลองชิม จากที่บางคนมีปฏิกิริยาต่อต้านในความคิดของจ้อน ก็กลายเป็นพยักเพยิดแล้วยิ้มอย่างชอบใจ
“พี่หลิวกินส้มตำไหมคะ แม่หนูทำอร่อยนะ”
ปุ๊กเอ่ยชวนขณะในมือกำถุงมันฝรั่งทอดขนาดใหญ่นั้นเอาไว้อย่างหวงแหน
“ไม่เอาล่ะจ๊ะ กินกันให้อิ่มเลยตามสบาย”
“แลกกับขนมที่พี่หลิวให้พวกเราไงคะ”
หทัยภัทรส่ายหน้าไม่ใช่เพราะรังเกียจที่มือน้อย ๆ ทั้ง 5 ผลัดกันหยิบส้มตำจากกาละมังเข้าปากโดยปราศจากช้อน ทว่าเธอยังไม่อยากลิ้มลองส้มตำน้ำสีดำเข้มข้นที่ไม่รู้ว่าใส่อะไรเข้าไปบ้างนั่นต่างหาก
“ไม่เป็นไรจ้ะ พี่ไม่ค่อยชอบกินส้มตำ ขอพี่นั่งดูพวกเรากินแล้วก็วิ่งเล่นแก้เหงาดีกว่า”
ดูเหมือนคำพูดของหทัยภัทรจะไปสะกิดอะไรบางอย่างของเด็กทั้งกลุ่มเข้า เพราะสายตาทั้ง 5 คู่หันขวับไปมองสบกันราวกับนัดไหว้
“เอาไงดีล่ะ พูดดีหรือไม่พูดดี”
เสียงเหน่งกระซิบกระซาบพลางขยิบตาราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ในขณะที่เหน่งกับจ้อนทำหน้าตาเลิ่กลั่ก ปุ๊กกับส้มกลับพากันหัวเราะเบา ๆ
“ก็พูดสิ พูดได้ไม่เห็นเป็นไร”
ลัดดาที่พูดน้อยที่สุดและสงบเสงี่ยมที่สุดในกลุ่มเอ่ยออกมา ทำให้หทัยภัทรนึกอยากรู้ขึ้นมาติดหมัดว่าเด็ก ๆ กำลังส่งสัญญาณและปรึกษาหารืออะไรกัน และที่สำคัญเสียงก็เริ่มแตกออกเป็นสองฝ่ายชวนให้น่าสงสัยยิ่ง
“มีอะไรกันเหรอจ๊ะ”
“คือ...พวกเราคุยกันว่าถ้ากินส้มตำเสร็จ เราจะไปจับปลากัดกันครับ”
“คะ?”
หทัยภัทรเบิกตาโตให้กับเรื่องที่ได้ยิน และแค่คิดว่าเธอจะได้เห็นปลาสวยงามที่คนนิยมจับใส่ขวดใสให้มันแผ่พวงหางสีสดสวยอวดสายตาคน เธอก็แทบระงับความตื่นเต้นไม่อยู่แล้ว
“ไปจับปลากัดเหรอ”
“ใช่ครับ”
“ที่ไหนล่ะ ไปไกลไหม”
“ไม่ไกล”
เสียงเล็ก ๆ นั้นตอบประสานกันชวนให้หทัยภัทรยอมเชื่อว่าต้องเป็นความจริง ก่อนจะพยักหน้าเมื่อเหน่งลุกขึ้นยืนบนแคร่แล้วชี้นิ้วไปยังแนวพงหญ้าสีเขียวสดยาวเป็นทางตัดกับสีเหลืองทองของตอข้าวแห้งกรอบ
“โน่นไงครับ”
“ขอพี่ไปด้วยคนนะ”
หากมีใครได้เห็นตาโตที่ทอประกายสุกใสเริงร่าของหทัยภัทรในขณะนี้ ก็คงฟันธงได้เลยว่าเธอจะไม่มีทางเลิกล้มความตั้งใจที่จะตามเพื่อน ๆ ต่างวัยไปจับปลากัดอย่างแน่นอน แม้เสียงที่เซ็งแซ่อยู่เมื่อครู่จะกลายเป็นเงียบกริบไปในทันทีที่เธอพูดจบ หากแต่หทัยภัทรก็ยังไม่ยอมละความพยายาม
“พี่อยากเห็นว่ามันอยู่กันยังไง มีเยอะไหม”
“งั้นก็รีบกินส้มตำให้หมดแล้วไปกันเถอะพวกเรา”
“อ้าว...ยังไม่ได้กินขนมเลย”
จ้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเสียดาย เมื่อเหน่งซึ่งตัวโตที่สุดในกลุ่มและดูเหมือนทุกคนจะยกให้เขาเป็นหัวโจกออกคำสั่งให้ทุกคนรีบจัดการกับส้มตำในกาละมังให้หมด เพื่อจะได้ไปจับปลากัดกันเหมือนที่วางแผนไว้แต่แรก และเมื่อไม่มีคำคัดค้านใด ๆ ดังมาให้ได้ยิน หทัยภัทรก็จะถือว่าเธอถูกรับเข้าร่วมกลุ่มแล้ว
“ขนมนั่นพี่ให้คนละถุงอยู่แล้ว เก็บไว้กินที่บ้านของใครของมันสิจ๊ะ”
“เออ นั่นสิ ยังไม่ต้องตะกละกินให้หมดเสียตอนนี้ทีเดียวหรอกไอ้จ้อน”
เสียงใครบางคนที่ดังขึ้นพร้อมกับลูกคู่ต่างพยักหน้าสนับสนุนเล่นเอาจ้อนพูดไม่ออก ยอมเก็บถุงขนมใบโตเกือบเท่าศีรษะเจ้าของวางลงบนตักอย่างทะนุถนอมและหวงแหนต่อไป
หทัยภัทรมองแล้วยิ้มด้วยใจที่เป็นสุข เด็ก ๆ กับขนมเป็นของคู่กัน ในฐานะผู้ให้จะมีภาพใดที่ทำให้หัวใจพองโตได้มากเท่ากับการเห็นสิ่งที่ตนหยิบยื่นให้เป็นที่ชื่นชอบและถูกใจผู้รับ
การรีบร้อนหยิบส้มตำใส่ปากกันคนละทีสองทีแทรกด้วยเสียงสูดปากเพราะรสชาติเผ็ดเปรี้ยว ทำให้หทัยภัทรถึงกับแอบกลืนน้ำลายและสุดท้ายส่วนที่เป็นเนื้อก็หมดลงเหลือแต่น้ำสีคล้ำ
“กินหมดแล้วอีปุ๊กเอาไปล้าง”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่กลับมาล้าง”
เมื่อเห็นว่าเจ้าของที่อุตส่าห์ยกลงมาจุนเจือถูกโยนหน้าที่ล้างกาละมัง หทัยภัทรที่นั่งมองอยู่ด้วยความสนใจก็ถึงกับกระแอมไอแล้วเอ่ยคำพูดบางอย่างออกมา
“ปุ๊กมีน้ำใจยกส้มตำมาให้ทุกคนกินแล้ว ทั้ง ๆ ที่เค้าสามารถเก็บไว้กินคนเดียวได้ แล้วทำไมถึงต้องโยนภาระในการล้างให้คนที่เผื่อแผ่เราด้วยล่ะ”
แล้วแววตาทั้ง 5 คู่ก็หันมามองหทัยภัทรพร้อมกันราวกับนัดไว้ โดยไม่มีใครคิดจะเอ่ยอะไรออกมา
“และยิ่งจะทิ้งไว้ให้แม่ของปุ๊กมาล้างเอง ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ทีนี้ทุกคนรู้หรือยังว่าต้องทำอย่างไร”
“งั้นก็เอามานี่ ข้าไปล้างเองก็ได้”
เหน่งซึ่งตัวโตที่สุดในกลุ่มขันอาสายกกาละมังใส่ส้มตำไปล้าง โดยไม่วายจะหนีบถุงขนมที่รับไปจากมือของหทัยภัทรเอาไว้ที่รักแร้เรียกรอยยิ้มจากผู้ให้ได้อีกหน เพียงครู่หทัยภัทรก็ได้แอบเดินตามกลุ่มเด็ก ๆ ไปช้อนปลากัดในคลองสมใจ
หทัยภัทรใช้เวลาลุยโคลนจับปลากัดกับเด็ก ๆ และกระหืดกระหอบกลับแคมป์คนงานก่อนเสียงกริ่งที่ดังลั่นทุ่งได้อย่างฉิวเฉียด ที่สำคัญคือโชคยังเข้าข้างเธอเพราะพฤกษ์ยังไม่กลับมา
หทัยภัทรไม่คิดเลยว่าแอ่งน้ำเล็ก ๆ ในฤดูแล้งนั้นจะมีปลากัดสีสวยลอยคออยู่กันเต็มไปหมด เหตุเพราะเห็นว่าน้ำในคูแห้งขอด เธอและพวกเด็ก ๆ จึงร่วมมือกันช้อนปลาในนั้นออกมาจนหมด เพราะขืนปล่อยไปตามยถากรรม ไม่เกิน 1 หรือ 2 วัน ปลาก็คงขาดน้ำและตายไปอย่างน่าสงสารอยู่ดี
“แล้วทีนี้จะเอาไปเลี้ยงที่ไหนดี”
“ถังน้ำไง เดี๋ยวข้าไปหาถังน้ำมาให้”
เหน่งวิ่งไปสอดส่ายสายตาหาถังน้ำตามแคมป์คนงาน ก่อนจะกลับมาพร้อมถังพลาสติกสีดำ ที่พอถามว่าไปหยิบมาจากไหน เจ้าตัวก็ชี้มือชี้ไม้ไม่ยอมบอกว่าเป็นของใคร
“มันวางอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ของใคร”
“งั้นเหน่งก็ต้องเอาไปคืนที่เดิม เพราะเจ้าของเขาต้องตามหา”
“เราแค่ยืมมาใส่ปลาเอง ไม่ได้เอาไปที่ไหนสักหน่อย”
เหน่งเถียงเพราะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหทัยภัทร ขณะนี้ปลาในถุงพลาสติกกำลังพากันลอยคอราวกับอยู่ในชุมชนแออัด อากาศไม่พอจะหายใจ
“ไม่ได้ เอาไปวางไว้ที่เดิมเสียเถอะจ๊ะ”
“แล้วจะเอาอะไรมาใส่ล่ะครับ น้ำในถุงก็ขุ่น เดี๋ยวตายหมดยกถุงพอดี”
เหน่งทำท่ากังวล ในขณะที่คนอื่น ๆ ที่นั่งยอง ๆ มองดูต่างพากันพยักหน้าสนับสนุน จริง ๆ น้ำในแอ่งก็ใสเพราะตกตะกอน แต่พอไปถึงสมุนทั้ง 5 ก็พากันกระโจนลงไปโดยยังไม่ทันได้ตักน้ำใส ๆ ใส่ถุงเสียก่อน ดีที่สุดจึงได้แค่นี้เอง
“นั่นสิคะพี่หลิว ปลามันลอยคอเหมือนจะตายอยู่แล้ว”
“เดี๋ยวพี่ไปเอากระติกในห้องมาใส่ก็ได้”
เมื่อนึกไปถึงภาชนะที่มีอยู่ใกล้ตัวที่สุด หทัยภัทรก็เป็นฝ่ายยอมเดินกลับไปเปิดกุญแจห้อง หยิบกระติกน้ำใบย่อมในห้องออกมาให้อย่างไม่รอช้า
“หนูขอเอาไปเลี้ยงบ้าง”
ส้มที่นั่งมองอยู่นานและมีปากมีเสียงน้อยที่สุด เอ่ยออกมาก่อนที่ปลาในถุงจะถูกยักย้ายถ่ายเทลงไปในกระติก และพอมีหนึ่งเสียงดังขึ้น อีกหลายเสียงที่เหลือก็ดังตามมา
“ผมเอาด้วย”
“หนูก็จะเอา”
สุดท้ายเด็กทั้งกลุ่มก็วงแตกวิ่งกลับไปหาภาชนะมาเลือกจับปลากัดสีสวยเพื่อนำกลับไปเลี้ยงดูตามต้องการ ท่ามกลางการเมียงมองของผู้ปกครองหลายคนที่อยากรู้ว่าลูกของตนมาอยู่กับหญิงสาวแปลกหน้าที่คนงานพากันร่ำลือถึงความสวยของเธอแทบทั้งวันได้อย่างไร
เมื่อแจกจ่ายกันจนเป็นที่พอใจแล้ว หทัยภัทรก็หิ้วกระติกน้ำกลับห้องพัก ตั้งใจเอาไว้ว่าจะพากลับโรงแรมด้วยแล้วค่อยขยับขยายหาขวดแก้วหรือโหลพลาสติกมาเพิ่มในภายหลัง
สิ่งที่ต้องซื้อหาเป็นอย่างแรกคืออาหารปลา ในวัยเด็กเธอกับพี่ชายก็เคยพากันไปช้อนปลาหางนกยูงจากในคลองข้างบ้านมาเลี้ยงเช่นกัน ความที่ยังเล็กทำให้มักแอบไปหยิบข้าวจากในหม้อมาหย่อนให้ปลากิน กระทั่งพากันค้นพบว่าอาหารที่มันโปรดปรานคือไข่แดงต้มสุก เพราะแค่ปล่อยลงยังผิวน้ำ ปลาทั้งหลายก็กรูกันเข้ามาดึงทึ้งอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว
ก๊อก ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำให้หทัยภัทรซึ่งยังคงนั่งมองความสวยงามของปลากัดนับสิบตัวต้องหยิบฝากระติกน้ำมาปิดโดยจงใจแง้มให้อากาศถ่ายเทเพียงเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินไปเปิดประตูเพราะคนที่ยืนคอยอยู่ด้านนอกได้ส่งเสียงเร่งเร้ามาอีก
พอบานประตูเปิดออกและได้เห็นหทัยภัทรโผล่หน้าออกไปหา คนใจร้อนก็มองสำรวจจากหลังเลนส์สีดำแล้วเอ่ยถามขึ้นทันใด
“ทำอะไรอยู่”
“เอ่อ...ก็อ่านหนังสือ นอนเล่นไปตามเรื่องค่ะ”
หทัยภัทรตอบแค่นั้นก่อนจะเบี่ยงตัวหลบให้คนตัวโตเดินผ่านหน้าเข้ามาในห้อง เหงื่อที่ซึมติดเสื้อด้านหลังของพฤกษ์เป็นด่างดวงช่วยยืนยันถึงความร้อนระอุของอากาศภายนอกได้เป็นอย่างดี
ร่างสูงวางหมวกนิรภัยสีขาวที่ถูกหนีบไว้ข้างตัวลงบนโต๊ะทำงานแล้วลากเก้าอี้ออกมานั่งหันหน้าไปหาคนที่ยืนหันรีหันขวางประหนึ่งไม่รู้จะหยิบจับสิ่งใดก่อน
“อากาศข้างนอกร้อนมาก ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องออกไปนะ”
แม้ในห้องสี่เหลี่ยมนั้นจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าด้านนอกด้วยมีเครื่องปรับอากาศช่วย แต่ก็ยังไม่ทันใจคนที่มาใหม่ เพราะเห็นเขาหยิบกระดาษขึ้นมากระพือลมให้ตนเอง
หทัยภัทรรับคำก่อนจะชำเลืองมองกระติกน้ำซึ่งวางอยู่ใกล้กับบริเวณที่พฤกษ์นั่งอยู่ แม้เขาจะต้องได้ทราบแน่ ๆ ว่าเธอนำสัตว์เลี้ยงตัวน้อยเหล่านั้นมาไว้ในห้อง ทว่าเวลานี้หทัยภัทรกลับยังขยาดที่จะบอก อาจเป็นเพราะเกรงว่าอุณหภูมิที่ร้อนระอุจะทำให้เขาไม่ใจดีเท่าที่ควร
“เดี๋ยวนายดิษย์จะแวะเอากุญแจห้องมาให้”
“คะ?”
“ค่ำนี้หมอจะกลับเข้ากรุงเทพ ในห้องนั้นมีของหลายอย่างที่ต้องใช้ จะได้มีกุญแจไปเปิดเอาได้”
การถูกผู้เป็นแม่ตั้งข้อสังเกตว่าพากันมาจมอยู่ที่ไซด์งานทั้งคู่ ทำให้พฤกษ์ตัดสินใจสั่งดิษย์กลับเข้าไปนั่งทำงานที่บริษัท เหตุผลหลัก ๆ ที่คนกลับไม่ใช่เขาก็เพราะใครบางคนที่ถูกพาติดสอยห้อยตามยังไม่สามารถกลับเข้าบ้านได้จนกว่าจะครบ 1 สัปดาห์และเขาเองก็ไม่ปรารถนาจะปล่อยให้เธอคลาดสายตาในเวลานี้
“แล้วคุณไม่กลับด้วยเหรอคะ”
“ให้นายดิษย์กลับแค่คนเดียวก็พอ เดี๋ยวจะไม่มีใครอยู่ทางนี้”
พฤกษ์ว่าพลางหวนนึกถึงสิ่งที่กำลังจะทำให้เขาลำบากใจ จะมีการประมูลงานก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลน่ะไม่ใช่ข่าวโคมลอย แต่เป็นเขาต่างหากที่ยังหลงเหลือคำถามในใจบางประการ
“แล้วทำไมไม่ให้คุณดิษย์กลับไปตั้งแต่บ่ายคะ อีกเดี๋ยวก็มืดค่ำ ขับรถกลางคืนคงลำบากน่าดู”
“ไม่เป็นไรหรอก เราขับรถไปมากันบ่อย ๆ จนชินทางแล้ว”
การถูกน้องสาวโทร.มากำชับว่าคนเป็นแม่ต้องการให้พฤกษ์กลับบ้าน ทำให้เขาต้องหาวิธีบ่ายเบี่ยงด้วยการรีบสั่งให้ดิษย์กลับเข้ากรุงเทพ เพื่อจะได้เป็นข้ออ้างว่าทางนี้ไม่มีใคร ซึ่งก็เป็นอันเข้าใจกันว่าพฤกษ์ไม่เคยทิ้งให้ลูกน้องทำงานกันเองต่อให้จะมีทีมวิศวกรและสถาปนิกดูแลอยู่แล้วก็ตาม
พูดกันยังไม่ทันขาดคำ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พฤกษ์พยักหน้าให้หทัยภัทรซึ่งยืนอยู่ใกล้กับประตูห้องมากที่สุดเป็นคนเปิด เพราะรู้ดีว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากดิษย์
“ผมเข้าไปได้ไหมครับ”
ดิษย์โผล่หน้าเข้ามาถามอย่างมีมารยาท
“เชิญค่ะ”
หทัยภัทรเชื้อเชิญพลางเปิดยิ้มให้เพราะจากที่ได้รับประทานอาหารมื้อเที่ยงร่วมกันมาแล้ว 2 มื้อ ได้มีโอกาสพูดคุยกันก็หลายคำ เธอจึงค่อย ๆ ซึมซับความคุ้นเคย อีกอย่างดิษย์ก็เป็นเพื่อนของพฤกษ์ ต่างคนก็ต่างอาวุโสกว่าเธอพอ ๆ กัน ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กในสายตาพฤกษ์อย่างไร กับดิษย์เธอก็กำลังรู้สึกไม่ต่างกัน
“น้ำไหม”
จู่ ๆ พฤกษ์ซึ่งเห็นนั่งประจำที่อยู่ก็ลุกไปหยิบแก้วน้ำแล้วเปิดก๊อกที่กระติก ก่อนจะเอ่ยชวนดิษย์ซึ่งกำลังเดินเข้ามาในห้องและฝ่ายนั้นก็ไม่ปฏิเสธด้วย
“ดีเหมือนกัน น้ำในกระติกที่ห้องหมดพอดี จะไม่อยู่ก็เลยไม่ได้ให้คนเอาไปใส่ไว้”
“เอ่อ...”
หทัยภัทรอ้าปากค้าง ด้วยความตะลึงเพราะไม่คิดว่าผู้ชายทั้งสองคนจะพากันมาดื่มน้ำจากกระติกใบนี้ ที่สำคัญมันไม่ได้อยู่ในภาวะพร้อมดื่มเลยแม้แต่น้อย
พฤกษ์ได้ยินเสียงของหทัยภัทร ทว่าเขาทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม ก่อนจะกระดกแก้วน้ำในมือเข้าปากบ้าง ส่วนดิษย์นั้นเขาจัดการกับแก้วน้ำในมือที่เพิ่งรับมาจากพฤกษ์จนหมดเกลี้ยงนำหน้าไปแล้ว
หทัยภัทรเบะหน้าคล้ายจะร้องไห้ ทำอะไรไม่ถูกด้วยไม่รู้จะบอกเรื่องทั้งหมดออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร ที่สำคัญคนที่เธอหวั่นว่าจะดื่มน้ำในแก้วจนหมดตามดิษย์ไปอีกคนก็กำลังลดแก้วที่ยังเหลือน้ำอยู่กว่าครึ่งในมือลงพลางยกขึ้นส่องดู
เมื่อเปิดฝากระติกที่ถูกแง้มไว้แล้วชะโงกหน้าไปก้มดูแล้วได้สัตว์น้ำตัวเล็กสีสดพากันแหวกว่ายอยู่นับสิบตัว พฤกษ์ก็กระแอมไอ ชายหนุ่มหันไปมองเพื่อนรักที่ถือแก้วน้ำว่างเปล่าไว้ในมือด้วยความสงสาร สาบานได้เลยว่าต้องสำเร็จโทษคนที่บังอาจเอาปลามาใส่ในกระติกน้ำของเขาในทันทีที่สบโอกาส
“นายจะออกเดินทางแล้วใช่ไหม”
“ใช่ เอ้า...นี่กุญแจ”
“ดื่มน้ำดื่มท่าเสร็จแล้วก็รีบไปเถอะ จะได้ไปถึงไม่ดึกมาก”
พฤกษ์รับกุญแจพร้อมแก้วน้ำมาจากมือดิษย์แล้วเอ่ยบอก แม้จะพูดกับเพื่อนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ทว่าสายตาที่เหลือบแลไปยังหทัยภัทรกลับหมายมาดคาดโทษน่าดู
“งั้นก็ไปนะ”
“ฮื่อ มีอะไรทางโน้นก็โทร.มานะ”
“ไปนะครับคุณหลิว ค่อยเจอกันใหม่”
“ค่ะ โชคดีนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
“ขับรถดี ๆ มีอะไรก็โทร.มา”
พฤกษ์บอกพลางตบฝ่ามือลงบนไหล่ของดิษย์หนัก ๆ 2 ทีก่อนจะเดินตามออกไปส่งถึงหน้าประตู โดยไม่วายจะส่งสายตาที่ทำให้หทัยภัทรทั้งอยากหัวเราะและอยากร้องไห้ในเวลาเดียวกันมาให้
บุษบาฮาวาย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 พ.ค. 2556, 22:05:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 พ.ค. 2556, 22:05:24 น.
จำนวนการเข้าชม : 1987
<< ตอนที่ 18 |
phugan 8 พ.ค. 2556, 07:48:46 น.
โดนคาดโทษซะแล้ว....
โดนคาดโทษซะแล้ว....
ผักหวาน 8 พ.ค. 2556, 08:19:26 น.
น้ำลอยด้วยปลากัด อร่อยมั้ยคะคุณดิษฐ์ อิอิ
น้ำลอยด้วยปลากัด อร่อยมั้ยคะคุณดิษฐ์ อิอิ
supayalak 8 พ.ค. 2556, 09:17:14 น.
5555555555 อาหย่อย
5555555555 อาหย่อย
innam 30 พ.ค. 2556, 13:56:25 น.
ไม่รู้คือไม่ผิด
ไม่รู้คือไม่ผิด
์nuch 2 มี.ค. 2557, 10:32:31 น.
ไม่อัพต่อแล้วเหรอ
ไม่อัพต่อแล้วเหรอ