พรหมลิขิตสีดำ(สนพ.อินเลิฟ)
ภาพความใกล้ชิดระหว่างบ่าวสาว คนอื่นมองคงเห็นว่าทั้งสองกำลังกระซิบกระซาบบอกรัก หยอกเย้ากันเหมือนคู่รักคนอื่น แต่ความจริงแล้ว...กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๖

“คุณตรี ตื่นก่อนนะคะ อย่าเพิ่งหลับ” พรนภัสร้องเรียกขณะเดินผ่านประตูริมหาดเข้าไปภายใน “แล้วนี่เอารถไปทิ้งไว้ไหนคะ ถ้าหายขึ้นมาจะทำยังไง”

ไม่มีคำตอบจากคนตัวโต เขาตาปรือ หันมามองหน้าเธอ ปากขยับขมุบขมิบแต่ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวถอนหายใจเฮือก ประคองเขานั่งลงบนทางปูอิฐ แล้วกันไปล็อคประตู ใส่กุญแจแน่นหนา จากนั้นจึงเข้ามาประคองเขาอีกครั้ง

พรนภัสแบกตรีทศเข้ามาในบ้านอย่างทุลักทุเล จากประตูบ้านติดริมหาดกว่าจะมาถึงบันไดสองสามขั้นซึ่งทอดสู่ประตูโค้งที่เปิดอ้าไว้ตอนเธอวิ่งออกมาก็ใช้เวลาพอสมควรทีเดียว หญิงสาวเหนื่อยหอบ พ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างแรงเพราะเหม็นกลิ่นแอลกอฮอล์ มันทำให้เธอรู้สึกวิงเวียนจนแทบไม่มีแรง

“คุณตรี ตรงหน้าเป็นบันไดนะคะ ยกเท้าสูงๆหน่อยค่ะ สูงอีกนิดค่ะ”

พูดไปพลาง ถอนใจไปพลาง จะว่าอิดหนาระอาใจก็คงใช่ แต่ที่มากกว่านั้นคือ เธอไม่อยากใกล้ชิดเขาจนเกินจำเป็น

เมื่อขึ้นมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย เธอก็ประคับประคองเขาเข้าไปในบ้านตรงไปยังห้องรับแขก วางเขาลงบนโซฟาบุหนังแสนนุ่มที่เธอนั่งเอนกายดูโทรทัศน์เมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้านี้ หญิงสาวเดินไปเปิดไฟแล้วกลับมายืนมองผมเผ้าที่รุงรังยุ่งเหยิง และใบหน้าแดงก่ำด้วยความวุ่นวายใจ

พรนภัสอยากทิ้งเขาไว้ตรงนี้ แล้วเดินขึ้นไปนอนบนเตียงกว้างอย่างสบายใจ หากก็ตัดใจทำไม่ได้จริงๆ ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยมีครั้งไหนที่เธอปล่อยปละละเลยเขา ยามเป็นเด็ก เขาเล่นฟุตบอลแล้วหกล้มหัวเขาถลอก หรือโตขึ้นมาหน่อย เขาก็ไปมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนจนปากแตกคิ้วแตก เธอก็เป็นคนปฐมพยาบาลให้ แม้แต่ตอนที่เขาเมาซึ่งนับได้ไม่ถ้วน ก็เธอเองนี่ล่ะที่คอยดูแล แต่ตอนนั้นอยู่ที่บ้าน มีเด็กรับใช้คอยช่วยจึงไม่ลำบากนัก แต่ที่นี่...เธออยู่เพียงลำพัง แล้วใครจะช่วยเธอได้

พรนภัสส่ายหน้ากับตัวเอง ยกมือกุมขมับบีบนวดสองสามที เธอไม่ชอบกลิ่นเหล้า มันเหม็นหึ่งจนทำให้เธอปวดศีรษะทุกครั้งไป

ร่างเล็กทรุดกายลงนั่งคุกเข่า เขย่าตัวเขาพร้อมกับร้องเรียกอย่างไม่เบานัก

“คุณตรี! คุณลุกไหวไหมคะ ขึ้นไปนอนบนห้องเถอะค่ะ”

สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบงัน พรนภัสมองอยู่อึดใจก่อนตัดสินใจให้ตรีทศนอนที่นี่ บนโซฟาตัวนี้ เพราะจะให้เธอแบกเขาขึ้นไปก็คงไม่ไหว ดีไม่ดีจะตกบันไดลงมาแข้งขาหักกันทั้งสองคน

ร่างเล็กค่อยๆถอดรองเท้าแตะทำจากหนังราคาแพงออก นำไปวางไว้ตรงประตู ก่อนหายขึ้นไปด้านบน แล้วกลับลงมาพร้อมผ้าชุบน้ำหมาดๆในมือ เมื่อมาถึง เธอพบว่าเขาลุกขึ้นนั่ง มือข้างหนึ่งกำลังขยี้ผมราวกับเด็กที่กำลังถูกขัดใจ

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอ ชายหนุ่มก็ตวัดสายตามามอง ดวงตาของเขายังหรี่ปรือหากก็ไม่ได้ปิดสนิทเฉกเช่นตอนที่เธอพาเขาเข้ามาในบ้าน เสื้อโปโลสีขาวยับย่นผิดวิสัยนักธุรกิจหนุ่มตระกูลปัจจภาคย์เสียจริง

“คุณลุกไหวแล้ว ก็ขึ้นไปนอนบนห้องเถอะค่ะ”

พรนภัสบอกเขาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย กำผ้าในมือแน่นอย่างชั่งใจว่าจะเข้าไปเช็ดตัวให้ดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจหันหลัง กำลังจะเดินขึ้นบันได เขาก็ร้องเรียกเธอเสียก่อน

“ผ้านั่นน่ะ” เสียงของเขาแหบห้าวราวกับคนที่ไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวัน “จะเอามาเช็ดตัวฉันไม่ใช่รึไง”

หญิงสาวหันกลับไปมองเขา ตอนนี้เธอถือผ้าผืนนั้นไว้ทั้งสองมือ ใจสั่นไหวอย่างหาเหตุผลไม่ได้

“ค่ะ”

เมื่อได้รับคำตอบ เขาก็ถอดเสื้อเปิดเปลือยร่างกายท่อนบนให้เธอเห็นเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็คร้านจะนับ ก่อนจะเอนกายลงนอน แล้วยกมือข้างหนึ่งกวักเรียกเธอให้เข้าไปหา

ไม่ต้องมีคำสั่งใดๆ พรนภัสก็รู้ว่าเขาต้องการให้เธอเช็ดตัวให้ หญิงสาวคุกเข่าลงข้างโซฟา วางผ้าลงบนซอกคอของเขาเป็นอันดับแรก มือของเธอสั่นระริกจนเจ้าตัวต้องพยายามบังคับไม่ให้มันสั่นจนเกินไปนัก

หญิงสาวบรรจงเช็ดซอกคอของเขาอย่างเบามือสองสามครั้งก่อนลากลงมาตรงแผงอกกำยำ เธอเพิ่งสังเกตเป็นครั้งแรกว่าร่างกายของเขาไม่ได้ผ่ายผอมเหมือนตอนเป็นหนุ่มน้อย หากอัดแน่นด้วยมัดกล้ามอย่างคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ หลายปีที่เขาไปเรียนต่อต่างประเทศคงออกกำลังกายบ่อย แขนผอมๆจึงใหญ่โตขึ้น เห็นกล้ามเป็นมัดๆชัดเจนเช่นนี้

พรนภัสลากมือไปตามแผงอก ต่อด้วยที่แขนทั้งสองข้าง เมื่อเสร็จเรียบร้อยเจ้าตัวก็แทบจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เธอเห็นเขานอนแน่นิ่งเสมือนหลับ จึงบอกเขาด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

“เสร็จแล้วค่ะ ฉันขอตัวนะคะ”

ยังไม่ทันที่เธอจะผละจากไป เขาก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือ ปรือตามองเธอแล้วบอกว่า

“ไปเปลี่ยนผ้าแล้วมาเช็ดหน้าให้หน่อย ปวดหัวจะแย่”

สุ้มเสียงของเขาไม่ได้ยียวนกวนประสาท ไม่ได้เกรี้ยวกราดด้วยแรงอารมณ์ หากเป็นถ้อยคำปกติแบบที่เขาใช้พูดคุยกับคนทั่วไป และ...คำปกตินี่ล่ะที่ทำให้หัวใจคนฟังอุ่นซ่านขึ้นมาชั่วขณะ

เชื่อเถอะว่า...หากวันใดที่เขาเอื้อนเอ่ยกับเธอด้วยถ้อยคำแสนหวาน หัวใจเธอคงลอยฟูฟ่องขึ้นไปสู่สวรรค์ชั้นที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบได้

“ได้ยินที่ฉันพูดไหม”

เสียงนั้นเรียกให้เธอตื่นจากภวังค์ พรนภัสกะพริบตาถี่เร็วก่อนพยักหน้า พึมพำรับคำ ก่อนค่อยๆดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของเขา

เพียงครู่เดียว เธอก็กลับมาพร้อมผ้าผืนใหม่ หญิงสาวคุกเข่าลงเหมือนเดิม ก่อนค่อยๆวางผ้าลงบนแก้มสากๆของเขา เช็ดให้อย่างเบามือก่อนทบผ้าสองสามทบวางลงบนหน้าผากกว้าง

ตรีทศนอนหลับตาพริ้ม หน้าอกสะท้อนขึ้นลงสม่ำเสมอ คิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันคลายออกแล้ว เป็นสัญญาณบอกว่าเขาคง...สบายขึ้น เห็นดังนั้นเธอก็เบาใจ ร่างเล็กค่อยๆลุกขึ้นยืน กำลังจะจรดปลายเท้าจากไป แต่คนที่ทำท่าว่านอนหลับกลับเอื้อมมือมากระชากข้อมือเล็ก แรงของเขาทำให้เธอเซซวนล้มลงบนอกเขา

“อุ๊ย” พรนภัสอุทานอย่างตกใจ ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อใบหน้าของเธอลอยเด่นอยู่เหนือใบหน้าของเขา ห่างกันไม่ถึงคืบ

ดวงตาของเขายังหรี่ปรือ หากนัยน์ตามิได้เลื่อนลอยไร้จุดหมายอีกต่อไป อีกทั้งยังไม่ได้อัดแน่นด้วยเพลิงพิโรธเหมือนครั้งก่อนๆอีกด้วย พรนภัสเรียกว่าเป็นสายตาคนคนหนึ่งที่ไม่ได้ยึดเอาอคติ ความแค้น และความชิงชังเป็นหัวใจหลักของการดำเนินชีวิตแบบที่ผ่านมา

สายตาคู่นี้จะเรียกว่าอ่อนโยนก็ไม่ใช่ ปรานีก็ไม่เชิง เป็นสายตาธรรมดาๆของคนธรรมดาคนหนึ่งที่กำลังเหนื่อยล้าและเต็มไปด้วยความสับสน

“อย่าเพิ่งไป” เขาบอกเธอสั้นๆ มือที่จับข้อมือเล็กเลื่อนมากอดกระชับเอวเธอไว้เสียแล้ว

“ปวดหัว”

พรนภัสขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เพราะแม้เธอจะอยู่กับเขา อาการปวดศีรษะก็ไม่มีวันหายไปได้

“เดี๋ยวฉันไปเอายามาให้”

หญิงสาวพยายามปลดมือเขาออก แต่คนตัวโตกลับไม่ยอมปล่อยท่าเดียว

“คุณตรีคะ ปล่อยก่อนค่ะ”

“ไม่”

“ฉันจะไปเอายามาให้ คุณปวดหัว กินยาจะได้หาย”

“อ้อ...จะบังคับฉันเหมือนตอนเด็กอีกแล้วซิ เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบกินยา”

“แต่ยังไงก็ต้องกิน”

พอพูดเรื่องยา ตรีทศก็ทำท่าทางเหมือนหายเมาเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว ชายหนุ่มส่ายหน้าเสียจนผ้าที่วางไว้บนหน้าผากร่วงหล่น พรนภัสเอื้อมมือไปคว้ามันไว้มาวางที่เดิม ขณะที่เขาอ้าปากเอื้อนเอ่ยช้าชัด

“ไม่-กิน!”

พรนภัสออกจะเลือนๆไปแล้วว่า ‘ดื้อแบบเด็กๆ’ ของตรีทศนั้นเป็นอย่างไร เพิ่งจะมาจดจำได้ก็ตอนนี้เอง ความทรงจำในวันวานผุดขึ้นมาให้เธออดขันเล็กๆไม่ได้

‘ไม่เอา ไม่กินยา’

เด็กหนุ่มผอมกะหร่องในวัยสิบสองทำหน้าตาบูดบึ้ง เม้มปากแน่น ไม่ยอมรับยาที่เธอพยายามจะยัดใส่ปากเขา

‘คุณตรีป่วย ต้องกินยาค่ะ’

‘ไม่’

‘ต้อง’
'ไม่!'

‘คุณลุงบอกให้กิน’

‘ก็ไปบอกท่านว่าฉันกินแล้ว’

‘ไม่ได้ค่ะ พูดโกหกไม่น่ารัก’

ตรีทศว่าดื้อแล้ว พรนภัสในวัยเด็กก็ดื้อไม่แพ้กัน ยิ่งเรื่องบังคับให้ ‘คุณตรี’ ทานยาด้วย เธอยิ่งเห็นเป็นเรื่องสนุก ให้นั่งเถียงกันทั้งวันก็ยังได้ หญิงสาวจำไม่ได้แล้วว่าวันนั้นนั่งเถียงกันนานเท่าไหร่ แต่สุดท้ายตรีทศก็เหนื่อยใจจนยอมทานยาได้ในที่สุด ชัยชนะในวันนั้นทำให้เธอถึงกับเล่าให้ใครต่อใครฟังเป็นคุ้งเป็นแควว่า

‘คุณตรีเชื่อฟ้า คุณตรียอมกินยา’ แถมท้ายด้วยประโยคที่ทำให้คุณตรีหงุดหงิดไปเป็นเดือนทีเดียว ‘ถ้าคุณตรีไม่ยอมกินยาอีก บอกฟ้านะคะ ฟ้าจะบังคับคุณตรีเอง’

เรื่องในวัยเด็กสำหรับพรนภัสอาจไม่สวยหรูเท่าของใครอื่นและแม้บางครั้งจะขมขื่นไปบ้าง ถึงกระนั้นก็ยังพอหาความสุขในซอกเล็กๆของความทรงจำได้ แต่เมื่อโตขึ้น ความสุขเหล่านั้นเหมือนหล่นหายไปตามรายทาง หล่นไปทีละนิดละหน่อย จนในที่สุดมันก็เหือดหายไปจนหมด เหลือเพียงหัวใจที่แห้งแล้งเท่านั้น

“กินเถอะค่ะ ถ้าไม่กินแล้วจะหายหรือ”

“นอนๆไปเดี๋ยวก็หายเอง”

พรนภัสเม้มปากแน่น ดวงตากลมโตมีแววดื้อดึงแบบที่ไม่เคยปรากฏมาหลายปี

“โตแล้วยังไม่ชอบกินยาอีกหรือคะ”

“ก็...คนเรามันเปลี่ยนยาก”

นั่นซินะ...ความเกลียดชิงชังมีในหัวใจสักเท่าไหร่ก็คงไม่มีวันลดน้อยถอยลง มีแต่จะเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น

พรนภัสรู้สึกเจ็บแปลบในอกจนต้องเบือนสายตาไปทางอื่น พลางขยับตัวยุกยิกให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดของเขา

“ไม่กินก็ไม่กิน ฉันขี้เกียจเถียงกับคุณ จะขึ้นไปนอนแล้วค่ะ”

“เดี๋ยวนี้เธอไม่ห่วงฉันแล้ว”

หญิงสาวไม่รู้ว่าคำนั้นเป็นคำพูดเปรยๆหรือเป็นคำถามจึงไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไร ปิดปากสนิท ก้มหน้าก้มตาปลดมือเขาออกท่าเดียว เห็นดังนั้นตรีทศก็ไม่รั้งตัวเธอไว้อีก เขาปล่อยเธอเป็นอิสระ แล้วปิดเปลือกตาลง จบสิ้นบทสนทนากันเพียงแค่นั้น

พรนภัสหลุดออกมาได้ก็ยืนมองเขาอยู่ชั่วขณะ ใจยังคงเต้นแรงจนต้องยกมือมาทาบไว้ ปรามไม่ให้มันดังจนเขาได้ยิน เธอบังคับไม่ให้เสียงสั่นบอกเขาว่า

“ฝันดีค่ะคุณตรี”

ยืนละล้าละลังอยู่อึดใจ เห็นเขาไม่ว่าอะไรก็หมุนตัวเดินจากมา ขณะกำลังก้าวขึ้นบันได เสียงห้าวลึกก็ลอยตามหลังมาว่า

“เจอกันพรุ่งนี้”




พรนภัสตื่นเช้าเหมือนทุกวัน เมื่อคืนคงเพราะเหน็ดเหนื่อยกอปรกับยังมีไข้หลงเหลืออยู่ พอทิ้งตัวลงนอนก็แทบหลับเป็นตาย หญิงสาวสลัดผ้าห่มออก ก่อนค่อยๆก้าวลงจากเตียง เดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาและอาบน้ำเพื่อเรียกความสดชื่นให้กับตัวเอง

ใช้เวลาเพียงไม่นานเธอก็มาหยุดยืนหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง มองเสื้อผ้าของตัวเองที่แวะซื้อก่อนเข้าบ้านเมื่อวานด้วยแววตา...ขบขันเล็กน้อย

เสื้อสียืดสีแดงตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นแบบผู้ชายเลยเข่าลงมาเล็กน้อยลายทางแดงดำดูน่าตลกนัก ชุดแบบนี้เป็นชุดของผู้ชายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตรีทศกลับเลือกซื้อให้เธอใส่

‘ใส่ๆไปเถอะ อย่าเรื่องมาก’

หญิงสาวดึงคอเสื้อยืดให้กว้างพอที่จะก้มมองเห็นบราเซียตัวใหม่ที่ตรีทศเป็นคนซื้อมาให้อีกเช่นกัน เขาให้เธอนั่งรอในรถ ส่วนตัวเองวิ่งเข้าไปในห้างสรรพสินค้าซื้อทั้งบราเซียและแพนตี้สีชมพูเข้มมาให้โดยไม่ได้ถามไซต์ของเธอเลยแม้แต่น้อย ราวกับเขาคะเนได้เพียงแค่มอง

ตอนแรกพรนภัสกังขาอยู่มาก ว่าชุดชั้นในที่เขาซื้อมาให้จะหลวมโพรก หรือไม่ก็คับเกินไป แต่ผิดคาดเหลือเกินที่เขาเลือกไซต์ได้ตรงกับที่เธอสวมใส่อยู่เป็นประจำ

‘คุณตรีรู้ได้ยังไงคะว่า...’ เธอถือบราเซียตัวใหม่ค้างไว้ในมือ พร้อมกับเอ่ยถามอย่างอัตโนมัติ ต่อเมื่อสมองสั่งการคำถามจึงหยุดลงเพียงแค่นั้น เห็นเขาเหลือบปลายหางตามามอง แก้มของเธอก็ร้อนผะผ่าว รีบยัดสิ่งที่อยู่ในมือลงไปในถุงแทบไม่ทัน

‘ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเดานี่’

เขาตอบด้วยสุ้มเสียงกังวานชัดเจน สั้นและได้ใจความ ราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ หญิงสาวคิดว่าเขาคงซื้อชุดชั้นในให้สาวๆของเขาบ่อยกระมัง

คิดมาถึงตรงนี้ พรนภัสก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาอีก ชุดชั้นในสีเข้มเธอไม่เคยใส่ ส่วนใหญ่ที่เธอซื้อมักเป็นสีขาว สีเนื้อ หรือสีชมพูอ่อนเท่านั้น เธอไม่ชอบใส่สีเข้มๆ เพราะเวลาสวมเสื้อขาวหรือสีอ่อน เธอกลัวว่ามันจะเด่นชัดจนเกินไป

ร่างเล็กยกมือตบเบาๆบนแก้มสองข้างของตนเองแล้วส่ายหน้าสลัดความฟุ้งซ่านในหัว ก่อนเพ่งมองความเรียบร้อยของตัวเองในกระจก ผมเผ้าของเธอยังดูยุ่งเหยิงไม่น่ามอง จะใช้หวีก็ไม่มีให้ใช้ สุดท้ายจึงต้องใช้มือเสยให้พอเป็นทรงดูไม่น่าเกลียด

เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว พรนภัสก็ลงมาข้างล่าง สิ่งแรกที่เธอทำคือเดินไปที่ห้องรับแขกเพื่อดูว่าตรีทศยังนอนที่เดิมอยู่หรือไม่ โซฟาตัวยาวที่เขานอนเมื่อคืนยามนี้ว่างเปล่า มีเพียงเสื้อโปโลถูกทิ้งขว้างอย่างไม่ไยดีเท่านั้น ถ้าให้เดาตอนนี้เขาคงนอนหลับอุตุอยู่บนห้องเป็นแน่

หญิงสาวเก็บเสื้อตัวนั้นพับเรียบร้อย วางบนโต๊ะทรงเตี้ยหน้าโซฟา จากนั้นจึงเดินเข้าห้องครัว เปิดตู้เย็นดูข้าวของที่ตรีทศซื้อเตรียมไว้ตั้งแต่เย็นซึ่งไม่มีอะไรมาก มีเพียงอาหารแช่แข็งสองสามกล่องเท่านั้น พรนภัสนำมันออกมาตั้งใจว่าจะอุ่นให้เรียบร้อย แล้วค่อยขึ้นไปปลุกเขา หากยังไม่ทันจะอุ่น เสียงฝีเท้าหนักๆก็ดังขึ้นตรงบันได เธอละมือจากอาหารตรงหน้า รีบเดินไปหาเขาทันที

“คุณตรีตื่นแล้วหรือคะ”

เขายังอยู่ในชุดเดิม คือกางเกงตัวเก่า และเปลือยอก หน้าตายยังแดงก่ำ แต่สดใสกว่าเมื่อวานพอสมควร ผมเผ้าของเขายังยุ่งเหยิงแสดงว่าตื่นมาล้างแปรงฟันโดยไม่ได้ส่องกระจกดูตัวเองเลยแม้แต่น้อย

เมื่อได้ยินเสียงของเธอ ตรีทศก็ตวัดสายตามามอง ดวงตาของเขาดำจัด เต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย เธอเคยสัมผัสถึงความนิ่งลึกจนยากจะเข้าใจ และสัมผัสความกราดเกรี้ยวดั่งเพลิงกัลป์จนรู้สึกเหมือนถูกแผดเผา แต่ไม่บ่อยนักที่เธอจะเห็นความขบขันในดวงตาคู่นั้น

ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่มันฉายชัดจนพรนภัสไม่คิดว่าตัวเองตาฝาด

ถึงกระนั้นรอยเต้นระริกในดวงตาเขาก็พัดผ่านมาเพียงวูบเดียวแล้วจางหายไปอย่างน่าเสียดาย

“ก็ถ้าไม่ตื่นแล้วจะเห็นหรือ”

คำตอบยียวนกวนประสาท ชวนให้ความห่วงใยในใจเธอฟุ้งกระจายกลายเป็นควันหายวับไปในอากาศทันที พรนภัสลอบถอนหายใจพร้อมกับหันไปมองอาหารกล่องที่วางบนไมโครเวฟ

“คุณตรีจะรับอาหารเช้าเลยไหมคะ เดี๋ยวฉันจะอุ่นให้”

“ไม่ต้อง ฉันจะไปทานข้างนอกกับแพรวา”

พรนภัสพยักหน้ารับรู้ ไม่เอ่ยคำใดอีก ใจหนึ่งอดน้อยใจเล็กๆไม่ได้ หากความโล่งใจมีมากกว่า...ดีแล้วที่เช้าวันนี้ตรีทศไม่ได้อยู่บ้านให้เธอต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากับถ้อยคำเจ็บแสบของเขาอีก

หากสบายใจได้เพียงเสี้ยววินาที ตอนที่เธอกำลังหมุนตัวกลับนั้น เสียงของเขาก็ลอยตามหลังมาว่า

“เธอต้องไปด้วย”

ใจของพรนภัสแทบหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม หญิงสาวหันขวับไปมองเขา เลิกคิ้วสูง และดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย

“ฉัน...ต้องไปด้วยหรือคะ?”

“ฉันบอกชัดเจนแล้ว ว่าเธอต้องไป ทำไมต้องถามซ้ำ?”

สุ้มเสียงละม้ายหงุดหงิด จนเธอต้องกัดริมฝีปากจนแทบห้อเลือด ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วย แต่ความไม่อยากไปเผชิญหน้าคนรักของเขามีมากกว่าหลายเท่าจึงกลั้นใจปฏิเสธออกไป

“ไม่ไปค่ะ”

“ทำไม?”

“คุณจะไปสวีทกับคุณแพรวาไม่ใช่หรือคะ ทำไมต้องลากฉันไปด้วย” หญิงสาวก้มมองตัวเอง แล้วรู้สึกสมเพชอย่างไรไม่ทราบได้ “คุณจะให้ฉันเดินไปไหนต่อไหนในสภาพแบบนี้หรือคะ”

“สภาพแบบนี้ที่เธอว่าก็ไม่เห็นแย่ตรงไหนนี่” เขาสาวเท้าเข้ามาหาเธอ กวาดสายตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วยักไหล่ สายตาเต็มไปด้วยความดูแคลน “หรือชินกับความหรูหราจนอับอายที่ตัวเองต้องสวมเสื้อผ้าธรรมดาๆแบบนี้”

พรนภัสเม้มปากแน่น โทสะแล่นขึ้นเป็นริ้วๆ ดวงตากลมโตวาววะวับ แต่สีหน้ายังคงความเรียบเฉยเหมือนเคย

“เปล่าค่ะ ฉันแค่รู้สึกว่ามันไม่สุภาพ” เธอเชิดหน้า มองจ้องเขาเต็มตา “ถ้าคุณอยากให้ฉันไปด้วยนัก ฉันก็ยินดีจะไป...ตามคำสั่ง”

“ดี!” ตรีทศเห็นความโกรธในแววตาคู่สวยชัดเจน แต่ก็เหมือนครั้งก่อนๆที่เธอไม่แสดงมันออกมาทางสีหน้า แม้แต่คำพูดก็ยังเรียบเฉยเยือกเย็น ประหนึ่งไม่ใส่ใจกับถ้อยคำถากถางของเขาเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มกัดกรามแน่นจนเป็นสันนูน มองจ้องใบหน้าซีดเซียวไร้สีสันของเธอชั่วขณะ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงห้วนสั้นว่า

“ขอเวลาอาบน้ำแต่งตัวสักห้านาทีเท่านั้น แล้วเราจะออกไปกันเลย ฉันโทรนัดแพรวาเรียบร้อยแล้ว”

พรนภัสรับคำเบาๆ มองตามแผ่นหลังกว้าง แล้วเอนกายพิงกรอบประตู ขอบตาร้อนผ่าวๆเหมือนจะไข้ขึ้นขึ้นมาอีกรอบเสียแล้ว




ตรีทศพาเธอเดินไปตามริมหาดเพื่อไปเอารถที่จอดทิ้งไว้เมื่อคืนนี้ ระยะทางที่เดินค่อนข้างไกลจนทำให้คนที่ยังไม่หายไข้ดีเหนื่อยหอบ หน้าแดงก่ำกว่าปกติ กระนั้นคนที่เดินจ้ำอ้าวนำหน้าก็หาได้เหลียวมาสนใจไม่ แม้แต่ปลายหางตาเขายังไม่ตวัดมามองเลยด้วยซ้ำ พรนภัสอยากจะหัวเราะเย้ยหยันตัวเองที่บางคราก็ลืมตัวเผลอนึกไปว่าเขาจะพอมีใจปรานีกับคนป่วยอย่างเหมือนสมัยครั้งยามเป็นเด็ก

‘เอ้า พ่อบอกให้เอายามาให้’

ตอนนั้นเธออายุสิบเอ็ดขวบส่วนเขาเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้ว อารมณ์จึงแปรปรวนง่ายราวกับคลื่นลมในมหาสมุทร บางคราเขาก็ปฏิบัติต่อเธอเหมือนน้องน้อยที่ต้องทะนุถนอม หากก็มีหลายครั้งที่เขาแสดงความเกลียดชังออกมาอย่างไม่คิดว่าคนรับจะเจ็บช้ำใจเพียงใด

ยกเว้นก็ตอนที่เธอป่วย เขามักจะว่างเว้นจากการกลั่นแกล้ง และปั่นหัวเธอสักระยะ

พรนภัสไม่มีปัญหาเรื่องทานยา เธอไม่ได้เกลียดเหมือนเขา จึงยอมรับยานั้นมาใส่ปากแต่โดยดี เขาก็จะส่งยิ้มให้ แถมยังวางมือบนศีรษะของเธออย่างอ่อนโยนเสียด้วย เพียงแค่นั้นหัวใจที่ว้าเหว่ก็ถูกเติมเต็มด้วยความอบอุ่น แม้จะเพียงช่วงเวลาสั้นๆ หญิงสาวก็ปรารถนาจะได้รับมันอีกหลายต่อหลายครั้ง

ดังนั้นแม้จะครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดศีรษะ กายร้อนสะบัดหนาว หรือแม้แต่อดออกไปวิ่งเล่นที่สนาม พรนภัสก็ไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย เพราะรู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เธอได้รับน้ำใจและความห่วงใยเล็กๆน้อยๆจากตรีทศแทน

ทว่า...ช่วงชีวิตเหล่านั้นมันผ่านไปแล้ว ความห่วงใยที่เคยมีไม่เคยหลงเหลือแม้เพียงเศษเสี้ยวในหัวใจของเขา น้ำใจที่เคยมอบให้กลับกลายเป็นความเมินเฉย เธอเชื่อว่าเขาออกจะสะใจเสียด้วยซ้ำที่เห็นเธอเจ็บป่วยทรมานเช่นนี้

พรนภัสยกมือกอดกระชับตัวเอง เมื่อลมทะเลพัดกรรโชกจนกายสะท้าน ถึงกระนั้นก็หาได้ร้องคร่ำครวญที่ต้องเร่งฝีเท้าตามเขาให้ทันไม่ เธอกัดฟันลากเท้าอย่างคนไร้เรี่ยวแรงมาจนถึงจุดหมาย ตรงหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง รถสปอร์ตสีขาวจอดแน่นิ่งสนิทอยู่ตรงนั้น โชคดีเหลือเกินที่ไม่มีส่วนใดบุบสลายหรือถูกขโมยไป

ตรีทศปลดล็อครถแล้วดุ่มเดินไปเปิดประตูฝั่งคนขับ กำลังจะก้าวเข้าไปนั่งก็ยังไม่วายส่งเสียงเร่ง

“เดินอืดอาดยืดยาดอยู่นั่น รีบหน่อย พรนภัส”

เท้าทั้งสองหยุดชะงักเพียงอึดใจ ก่อนก้าวต่อไปอย่างพยายามให้มั่นคงที่สุด ทั้งที่หัวใจของเธอเจ็บแปลบขึ้นมาอีกแล้ว

พรนภัสรู้ดีว่าเขารีบเร่งเช่นนี้เพราะไม่อยากให้คนรักรอนาน แพรวาเป็นคนที่ไม่ชอบคอยใคร ตั้งแต่เกิดมาคงไม่เคยต้องนั่งคอยใครเสียด้วยซ้ำกระมัง แต่อย่างไรแล้ว โลกใบนี้ก็ยังมีคนคนหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้นคอยได้...ตรีทศ ปัจจภาคย์

ร่างเล็กรีบรุด จะเรียกว่าผวาก็คงได้เมื่อคนที่เข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยบีบแตรขึ้นมายาวๆติดกันสองสามครั้ง พรนภัสเกรงใจคนอื่น จึงจำต้องรวบรวมเรี่ยวแรงวิ่งไปที่ตัวรถโดยเร็ว เมื่อเข้ามานั่งด้านในได้ถึงกับหายใจหอบ ขณะที่เจ้าของรถปรายตามอง ดวงตาของเขาวาววับ...คงสาแก่ใจที่แกล้งเธอได้เหมือนเคยนั่นละ

เท่านั้นยังไม่พอ แทบจะทันทีที่เธอปิดประตูรถ เขาก็เหยียบคันเร่งโดยแรงจนเธอแทบคะมำ พรนภัสต้องใช้มือยันคอนโซลรถทางด้านหน้าไว้ ตั้งตัวชั่วขณะจึงรีบคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างรีบร้อน

ไม่รู้ว่าเพราะจับไข้ขึ้นมาอีกหรืออย่างไรไม่ทราบได้ มือของเธอจึงสั่นระริกและอ่อนแรงจนการคาดเข็มขัดนิรภัยกลายเป็นเรื่องยากไปเสียอย่างนั้น และคงจะทำให้ตรีทศหงุดหงิดพอดู เขาจึงหักพวงมาลัยนำรถจอดข้างทาง แล้วเอี้ยวตัวมาจัดการเข็มขัดนิรภัยให้เธออย่างปุบปับ

แรงกระชากทำให้พรนภัสต้องกลั้นใจ กลัวเกรงไม่น้อยว่าเขาจะโมโหถึงขั้นทำร้ายร่างกายเธอหรือไม่

ทันทีที่ได้ยินเสียงคลิก ชายหนุ่มก็ละมือจากไป แล้วเข้าเกียร์ เหยียบคันเร่งต่อไป โดยไม่เอ่ยอะไรแม้สักคำ บรรยากาศภายในรถจึงอึดอัดตลอดทางกระทั่งถึงโรงแรมที่พักของแพรวา



ลอบบี้ของโรงแรมแห่งนั้นมีคนค่อนข้างบางตาเพราะยังเช้าอยู่ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่คงยังไม่ตื่นกัน ตรีทศสั่งให้พนักงานโทรขึ้นไปแจ้งแพรวาว่าเขามาถึงแล้วจึงเลือกที่จะนั่งรอริมกระจกฝั่งหนึ่งของลอบบี้ พรนภัสเดินตามเขาราวกับสุนัขเดินตามผู้เป็นนาย ยืนละล้าละลังอย่างไม่รู้ว่าจะนั่งตรงไหน ที่น่าอับอายที่สุดคือการแต่งตัวของเธอ...ไม่เหมาะสมเลยที่จะเข้ามายังโรงแรมห้าดาวเลิศหรูแห่งนี้

ชายหนุ่มเอื้อมมือหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งขึ้นมาอ่าน แล้วเอนกายพิงพนัก โดยไม่เหลือบแลเลยว่าคนที่ถูกลากมาด้วยนั้นกำลังอยู่ในอาการกระดากกระเดื่องเพียงใด

“คุณตรีคะ ฉันขอไปรอ...”

....ข้างนอก คำนี้กลืนหายไปในลำคอเมื่อเขาปฏิเสธเสียงเข้ม แถมยังกังวานจนเธอตกเป็นเป้าสายตาของใครๆ

“ไม่อนุญาต”

จากนั้นจึงชี้นิ้วไปยังโซฟาฝั่งตรงข้าม ไม่ต้องให้สั่งซ้ำ พรนภัสก็ไม่คิดเกเร ดื้อดึงดันด้วยไม่อยากให้ตัวเองต้องอับอายขายหน้าไปมากกว่านี้ หญิงสาวทรุดกายลงนั่งอย่างเงียบๆ ทอดสายตามองผ่านกระจกไปยังลานจอดรถด้านนอกอย่างไร้จุดหมาย ในใจได้แต่ภาวนาให้การรับประทานอาหารเช้าในวันนี้จบสิ้นลงเสียโดยเร็ว

รอเพียงครู่เดียวเท่านั้น เธอก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบพื้นเป็นจังหวะรวดเร็วและมั่นคง ยังไม่ทันที่เธอจะหันไปมองเสียงใสๆก็ดังขึ้น

“ตรีขา” เสียงเรียกหวานหยดย้อยบาดหู “ดีใจจังที่ตรีไม่โกรธแพร”

เช้านี้แพรวายังคงคอนเซ็ปต์ของเธอได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย เย็น หรือเวลาใด หญิงสาวไม่เคยปล่อยตัวเองให้ดูแย่เลยสักครั้ง ชุดเดรสสั้นเหนือเข่าอวดปลีน่องเรียวขาวนวล ด้านบนเปลือยไหล่อวดเนินอกขาวผ่อง ผมน้ำตาลเหลือบแดงดัดเป็นลอนตรงปลายปล่อยยาวสยายกลางหลัง พรนภัสสรุปกับตัวเองได้ว่า ผู้หญิงคนนี้ ‘สมบูรณ์แบบ’ ไปเสียหมด...ทั้งท่าทางการเดิน การวางตัว เสื้อผ้าหน้าผม เรียกว่า ‘เป๊ะ’ ไม่แพ้ดาราสาวชื่อดังเลยทีเดียว

ดูเถิด ยามที่เจ้าหล่อนบดเบียดกายอยู่บนตักของตรีทศ ท่วงท่าของเธอดูมีจริตจก้านงดงามไร้ที่ติ แม้พฤติกรรมจะดู...ฝรั่งจ๋าไปหน่อยก็ตาม

“เมื่อคืนแพรพยายามโทรหาคุณเป็นร้อยรอบ คุณก็ปิดเครื่อง แพรคิดว่าคุณจะไม่ยอมพูดกับแพรเสียแล้ว”

ตรีทศระบายยิ้มในหน้า...ยิ้มของเขาอ่อนโยนแบบที่เธอไม่เคยได้รับเลยสักครั้งก็ว่าได้

“ผมจะโกรธแพรได้ยังไง” ว่าพลางรปลายจมูกลงบนแก้มหอมกรุ่น “ตั้งแต่เราคบกัน ผมเคยโกรธคุณหรือ”

“ไม่เคยเลยค่ะ” แพรวาตอบเจือเสียงหัวเราะ ก่อนจะมอบรางวัลให้กับคนรักที่แสนน่ารักด้วยการหอมแก้มซ้ายขวา ประทับลิปสติกสีแดงลงบนแก้มสากๆของตรีทศอย่างไม่อายสายตาใคร แต่เป็นคนที่นั่งราวรูปสลักมาตั้งแต่ต้นทนไม่ไหว ผุดลุกขึ้นยืน แล้วบอกทั้งสองเสียงเยียบเย็นว่า

“ฉันไปรอที่รถนะคะ”

เมื่อนั้น แพรวาจึงได้เห็นว่าเธอมีตัวตน!

“อ้าว” เจ้าตัวเบิกตากว้างเล็กน้อย คิ้วเรียวสวยเข้มจัดขมวดเข้าหากันเพียงน้อย “คุณพามาด้วยหรือคะ”

ตรีทศไม่ตอบ แต่ขยับกายบังคับให้แพรวาต้องลุกจากตักอย่างนึกเสียดายนิดๆ

“ผมพามาทานข้าวด้วย”

แพรวาทำเสียงไม่พอใจในลำคอ และคงจะอาละวาดเสียเดี๋ยวนั้นแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเห็นสภาพ ‘ซอมซ่อ’ ของอีกฝ่าย ดวงตาที่กรีดอายไลเนอร์สีดำเข้มกวาดมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนเลื่อนมาหยุดตรงวงหน้าซีดเซียวไร้สีสัน ในดวงตาคู่นั้น ทำไมพรนภัสจะไม่รับรู้ว่าเธอกำลังถูกเหยียดหยามด้วยสายตา

สภาพของเธอต่างจากแพรวาราวฟ้ากับเหว

เธอมันก็แค่ผู้หญิงเดินดินธรรมดา ส่วนคนรักของตรีทศเฉิดฉายงดงามประหนึ่งนางฟ้า

เธอแค่ก้อนกรวด ส่วนแพรวาเป็นเลอค่าดุจดั่งเพชรนิลจินดาก็คงได้กระมัง

“ใส่ชุดบ้าอะไรมาคะเนี่ย”

เจ้าของเสียงพยายามพูดราวกระซิบ แต่พรนภัสรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการให้เธอได้ยินเต็มสองรูหู

หญิงสาวกำมือแน่น สูดลมหายใจลึกยาว บังคับตัวเองไม่ให้เป็นลมล้มพับไปเสียก่อน พร้อมตวัดสายตามองสบดวงตาสีดำสนิทที่เดาได้ว่าคงมีร่องรอยของความสะใจอยู่ในนั้น

และเธอก็เดาไม่ผิด! สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความสะใจที่เธอโดนดูถูก เหยียดหยามจากคนรักของเขา

ริมฝีปากแห้งผากสั่นระริก เมื่อเจ้าตัวพยายามบังคับให้มันฉีกยิ้ม...เป็นรอยยิ้มที่คงดูประหลาดที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะมันช่างตรงข้ามกับหัวใจอันเจ็บปวดของเธอในตอนนี้เหลือเกิน

“ถ้าคุณมีเรื่องจะคุยกันก็เชิญเถอะค่ะ” โชคดีที่พรนภัสบังคับให้เสียงตัวเองไม่สั่นได้ เธอใจชื้นขึ้นมาบ้างที่ไม่ได้เผลอแสดงความอ่อนแอให้สองคนนั้นได้รับรู้ “ฉันจะไปรอที่รถ”

ไม่รอให้ตรีทศคัดค้าน หญิงสาวรีบเร่งฝีเท้าเกือบจะเป็นวิ่งออกจากโรงแรมแห่งนั้นทันที




ปกติแล้วพรนภัสไม่ใช่คนเรื่องมาก เรื่องอาหารการกินยิ่งแล้วใหญ่ อะไรที่รับประทานได้ เธอสามารถทานได้หมด เพราะถือคติที่ว่ากินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน ตอนอยู่ที่สถานสงเคราะห์ อาหารที่เธอรับประทานมักจะซ้ำๆกันแทบทุกวัน ถึงกระนั้นก็ยังทานอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่อิดเอื้อนพร่ำบ่นเหมือนเด็กคนอื่น

ทว่าวันนี้ อาหารเช้าแบบอเมริกันของอีกโรมแรมหนึ่งที่เริศหรูที่สุดในหัวหินกลับจืดชืด ไร้รสชาติอย่างน่าอัศจรรย์ พรนภัสก้มหน้าก้มตา ‘ยัด’ อาหารตรงหน้าใส่ปาก หวังเพียงให้มันหมดเสียเร็วๆเพื่อจะได้ไม่ต้องทนนั่งเป็นอากาศธาตุต่อหน้าคนรักที่กำลังพลอดรักต่อกันโดยไม่อายสายตาใคร

“แพรป้อนนะคะ”

สาวไฮโซอย่างแพรวามักทำอะไรตามใจตนเองเสมอ จะว่าไปพรนภัสก็ชินเสียแล้ว แต่...อากัปกิริยาป้อนคำหนึ่งจุ๊บแก้มทีหนึ่งแบบนี้มันออกจะมากเกินไปสักหน่อย หญิงสาวแทบกล้ำกลืนฝืนทน บังคับให้ตัวเองรับประทานต่อไปอย่างยากลำบาก กระนั้นความอดทนก็มีมากพอที่ทำให้เธอรับประทานจนหมดถ้วย

“ฉันไปรอที่รถนะคะ”

หลังจากดื่มน้ำเรียบร้อยแล้ว เธอก็เอ่ยประโยคเดิมๆอีกครั้ง

“เชิญคุณทานกันต่อตามสบายค่ะ”

เพียงแค่ลุกขึ้นยืน คนทานั่งเงียบมาตลอดกลับโพล่งออกมาอย่างห้วนสั้น สุ้มเสียงประหนึ่งนายกับบ่าวก็ไม่ปาน

“ฉันยังไม่ได้อนุญาตให้ไป นั่งลงเดี๋ยวนี้”

สมองสั่งการให้เธอก้าวฉับๆออกไปจากห้องอาหารแห่งนั้น ทว่าใจเจ้ากรรมกลับมีอำนาจเหนือส่วนอื่นๆฉุดรั้งให้เธอทรุดกายลงนั่งตามเดิม ต้องทนมองคู่รักตรงหน้าหัวร่อต่อกระซิกกระซิบกระซาบคำรักต่อกันไปจนหมดมื้อ หากจะมีอะไรสักอย่างที่ทำให้หัวใจของเธอไม่เจ็บปวดมากนักคือเสียงเรียกเข้าจากทาศัพท์มือถือของตนเอง

ร่างเล็กแทบสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง หญิงสาวรีบล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วกดรับโดยที่ไม่ได้มองว่าใครโทรมา

“พรนภัสพูดค่ะ”

เจ้าตัวนิ่งฟังอยู่อึดใจ ก่อนจะฉีกยิ้มยินดี ดวงตาหม่นแสงพลันมีประกายแห่งความยินดี แม้จะเพียงชั่วเวลาหนึ่งหากคนที่ลอบมองเอมาตลอดก็สังเกตได้

“พี่โมกข์!”

ชื่อนั้นทำให้ตรีทศเกือบสะดุ้ง ยังดีที่เขาระงับอากัปกิริยาของตนเองไว้ได้ทัน คนที่เบียดกระแซะชิดใกล้จึงไม่ทันได้สำเหนียก ยังคงป้อนเขาพลาง หอมแก้มเขาพลางอยู่เช่นนั้นราวกับสิ่งที่เธอปฏิบัติเป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่ใครๆก็ทำกัน

“กลับมาไทยตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”

พรนภัสเอ่ยด้วยสุ้มเสียงสดใสแบบที่เมื่อยามเป็นเด็กเธอเคยใช้กับตรีทศ แต่นานวันเข้า ความบาดหมางที่มีต่อกันทำให้น้ำเสียงของเธอกระด้างขึ้นจนระคายหู

“โธ่...แล้วทำไมไม่บอกฟ้าสักคำ ฟ้าจะได้ไปรับ”

หญิงสาวตัดพ้อเล็กน้อย นิ่งฟังเขาอยู่ครู่ ก่อนหัวเราะบ้าง ชวนคุยบ้าง ทุกรอยยิ้ม ทุกคำพูด และประกายวิบวับในดวงตากลมโตอยู่ในสายตาคมกริบของตรีทศตลอดเวลา มันทำให้เขานั่งตัวแข็ง ดวงตากร้าวกระด้างชัดเจน กรามขบแน่นจนเป็นสันนูนราวกับกำลังโกรธใครมาสักร้อยชาติ เมื่อนั้นเองที่แพรวาเริ่มเอะใจ

“ตรีทำไมไม่ทานล่ะคะ แพรอุตส่าห์ป้อน”

เขาแทบไม่ฟังเธอเลยด้วยซ้ำ สองตาจับจ้องคนตัวเล็กในเสื้อผ้าไร้รสนิยมของพรนภัสอย่างแน่วแน่ เพียงแค่นั้นไฟร้อนในใจแพรวาก็โหมกระพือ หญิงสาวขว้างมีดลงบนจานส่งเสียงเคร้งคร้างดังไปทั่วห้องจนตกเป็นเป้าสายตาอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ตรีไม่สนใจแพรเลย! ถามจริงเถอะค่ะ ตรีแต่งงานกับมันเพราะรักมันใช่ไหม!”

คำถามนั้นทำให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวในเร็ววันน้าสะดุ้งสุดตัวโดยพร้อมเพรียงอย่างไม่ได้นัดหมาย หนึ่งนั้นหน้าแดงก่ำราวกับคำพูดของแพรวาเป็นคำสบประมาทอันร้ายกาจ ส่วนอีกหนึ่งยิ่งหน้าซีดขาวราวกระดาษ พึมพำเอ่ยอะไรบางอย่างกับคนทางปลายสายแล้วจึงกดตัดสัญญาณ หย่อนโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าตามเดิม

“คุณแพรใจเย็นๆก่อนซิคะ”

พรนภัสพยายามพูดให้แพรวาใจเย็น หากนั้นกลับเหมือนเป็นการสุมเชื้อไฟอย่างดีให้กับอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ฉันพูดกับตรี ไม่ได้พูดกับเธอ!”

และโดยไม่คาดคิด แพรวาทำในสิ่งที่หนังสือสมบัติผู้ดีไม่ได้บัญญัติไว้ มือเรียวสวยเคลือบยาทาเล็บสีแดงวางทาบลงบนแก้วทรงสูงที่บรรจุน้ำไว้เกือบเต็มก่อนผู้เป็นเจ้าของจะตวัดมัน สาดซัดน้ำเย็นใส่หน้าของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามตามแรงอารมณ์

พรนภัสสะท้านเยือก ความเย็นกระทบใบหน้าลามไปทั้งร่างกาย กระนั้นก็ยังไม่หนาวเยือกเท่าหัวใจ น้ำตาใสบริสุทธิ์เอ่อท้นเต็มเบ้า หากเจ้าตัวยังพยายามข่มมันไว้อย่างสุดความสามารถ

ไม่มีวัน...เธอไม่มีวันร้องไห้ต่อหน้าเขาเด็ดขาด!

ประกาศกร้าวกับตนเองแน่วแน่พร้อมกระพริบตาถี่เร็ว เพียงไม่นานน้ำตาก้อนนั้นก็กลืนหายกลับเข้าสู่หัวใจดังประสงค์

“แพรวา!”

ตรีทศนั่งอึ้งไปนาน กว่าเขาจะลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้วตวาดใส่คนรัก หากก็แค่นั้น...พรนภัสรู้ดี คนอย่างเขาไม่มีวันต่อว่าแพรวาอย่างสาดเสียเทเสียหรอก หากจะว่าใครสักคนก็ต้องเป็นเธอ!

...เป็นความผิดเธอเองที่ก่อความหงุดหงิดในหัวใจของผู้หญิงคนนั้น

...เป็นเธอเองที่เป็นส่วนเกิน

...เป็นเธอเองที่เข้ามาเป็นมือที่สามทำให้เขาต้องแต่งงานด้วยแม้ว่าตัวเธอจะไม่ต้องการเฉกกัน

ตอนนั้นพรนภัสตาพร่า สมองอึงอล หูอื้ออึงจับความไม่ได้ เธอได้ยินเสียงตรีทศเอ่ยอะไรแว่วๆ ก่อนเสียงนั้นจะเข้ามาใกล้...ใกล้จนร่างเล็กถูกกระชากให้ลุกขึ้นยืน

มือใหญ่ที่บีบข้อมือเธออยู่ลงน้ำหนักแรงจนต้องนิ่วหน้า พรนภัสกำลังจะอ้าปากบอกให้เขาปล่อย แต่กายของเธอกลับอ่อนปวกเปียก ไม่ทำตามที่สมองสั่งการ ร่างเล็กยืนโงนเงน แทบจะทรงตัวอยู่ไม่ได้ แว่วเสียงห้าวลึกดังอยู่ข้างหู ก่อนทันจะสะท้อนก้องไปทั่วห้อง

“ผมจะกลับกรุงเทพแล้ว แพรก็ขับรถกลับดีๆแล้วกัน”

“คุณจะหนีแพรอีกแล้ว!”

ตรีทศไม่สนใจคำตัดพ้อนั้นเมื่อเอ่ยถ้อยคำเสียดแทงหัวในของคนฟังว่า

“อีกสองอาทิตย์ผมจะแต่งงาน เชิญคุณด้วยนะแพร”

อีกสองอาทิตย์!

นรกกำลังมาเยือนในอีกสองอาทิตย์เท่านั้น!

ความเหน็บหนาวยิ่งเกาะกินหัวใจจนเธอสั่นสะท้าน พรนภัสอยากจะเอื้อนเอ่ยบอกเขาว่ามันเร็วไป แต่เมื่อมาคิดๆดูอีกทีอย่างรอบคอบ ยิ่งแต่งกันเร็วเท่าไหร่ ย่อมหมายความว่าเธอจะได้หลุดพ้นจากขุมนรกที่เขาหยิบยื่นให้มากเท่านั้น คิดได้ดังนั้นเข้าตัวก็ปิดปากเงียบ พยายามปรือสองตามองคนที่พยายามทั้งลากทั้งจูงเธอกลับไปที่รถ

ตอนนั้นแพรวาจะเป็นเช่นไรพรนภัสไม่รู้ แต่คาดเดาได้ว่าเธอคงกำลังช็อคจึงไม่ตามมาอาละวาดแต่อย่างใด

“เข้าไป”

มาถึงรถอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย พรนภัสรู้ว่าเขาหงุดหงิด น้ำเสียงของเขาจึงกระโชกโฮกฮาก เขาจับตัวเธอเข้าไปในรถ คาดเข็มขัดนิรภัยให้อย่างเรียบร้อย ก่อนจะผละจากไปหญิงสาวก็แว่วเสียงของเขาดังอยู่ริมหูนั่นเอง

“ยังไม่ทันแต่งงานก็คิดคบชู้แล้วหรือ”

ชู้? ชู้บ้าชู้บออะไรกัน! พรนภัสอยากตะโกนใส่หน้าเขานัก แต่เรี่ยวแรงของเธอไม่มี แค่จะลืมตาเธอก็แทบจะทำไม่ได้อยู่แล้ว

“อย่าหวังว่าจะได้ลงเอยกับไอ้พี่โมกข์อะไรนั่นเลย ฉันไม่มีวันยอม” ลมหายใจของเขาร้อนจัดกระทบผิวกายร้อนสลับหนาวทำให้เธอต้องเบี่ยงศีรษะหลบ กระนั้นเขาก็ยังตามติดไม่ลดละ “จำไว้พรนภัส! ฉันไม่มีวันยอมให้นามสกุลของฉันต้องเสื่อมเสียเพราะผู้หญิงอย่างเธอเป็นอันขาด!”

จากนั้นเขาจะดูถูก เหยียดหยาม เยาะเย้ยอะไรต่อ พรนภัสไม่รับรู้อีกต่อไปเมื่อสติของเธอพลันดับวูบเพราะพิษไข้ไปเสียแล้ว



จบบทที่ ๖
เฮ้อ...พระเอกคนนี้ของไรท์จะทำให้คนอ่านเกลียดไปถึงเมื่อไหร่ค้าาา TT
ทำตัวดีๆเรียกเรตติ้งให้เท่ากับพระเอกคนอื่นๆหน่อยซิเจ้าคะ!! :'D

บทหน้าแต่งงานกันแล้วนะค้าบบบ โปรดติดตามต่อไป ^__^




ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 พ.ค. 2556, 13:31:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ย. 2556, 12:18:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 2029





<< บทที่ ๕.๒   บทที่ ๗ >>
เคสิยาห์ 8 พ.ค. 2556, 14:36:11 น.
มันก็ขึ้นอยู่กับไรเตอร์อ่ะนะคะ อ่านแล้วจ้า เออใช่ตาคนนี้แปลกกว่าพระเอกทุกคนของคุณจริงๆ ยังไงก็ยังรอ องค์รเณศนะเจ้าคะ อย่าหักโหมล่ะ


คิมหันตุ์ 8 พ.ค. 2556, 14:50:44 น.
น่าสงสาร


Zephyr 8 พ.ค. 2556, 15:57:42 น.
สงสารใครดีว้า
ระหว่าง คนที่ดูยังไงก็น่าสงสารอยู่แล้ว กับ คนที่ยังปากแข็งไม่รู้ใจตัวเอง ทำเค้าแล้วตัวเองก็เจ็บเนี่ย เฮ่อ


phakarat 8 พ.ค. 2556, 17:02:24 น.
โหดแท้


mhengjhy 8 พ.ค. 2556, 18:18:22 น.
ชิ เมื่อไหร่ นายจะรู้ตัวว่ารักแพรนภัสล่ะ
เอาคืนกลับซะให้เข็ด


kaelek 8 พ.ค. 2556, 20:32:39 น.
แอบลุ้นว่าจะเป็นคนใจดีเร็วๆนี้ (ใช่มั้ยน๊าาา)


ปั้นฝัน 8 พ.ค. 2556, 21:03:37 น.
สงสารหนูฟ้าที่สุดเลย


Pampam 9 พ.ค. 2556, 01:31:03 น.
อยากจะเอากบตบปากพระเอกนัก


หมูอ้วน 10 พ.ค. 2556, 06:04:58 น.
สงสารนางเอกค่าาา


แกงส้ม 13 พ.ค. 2556, 17:49:31 น.
นี่พระเอกหรือจอมมารกันแน่....น๊อ (ใจร้ายขนาดดดดด....ด เลยเน้อ)


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account