ข้ามกาล
อุบัติเหตุทำให้พระจันทร์ย้อนอดีตมาอยู่ในวังของหม่อมเจ้าใครเลยจะคิดว่าชีวิตลูกกำพร้าผู้ต่ำต้อยเช่นพระจันทร์
จะมีดาวฤกษ์อย่างดวงอาทิตย์มาโคจรรอบตัวถึงสามดวง
ดวงแรกนั้นพระจันทร์ทั้งรักและเทิดทูน ยึดเป็นที่พึ่งทางใจเสมอมา
พระอาทิตย์ดวงนี้เมตตาพระจันทร์ยิ่งนัก แต่ก็สงวนท่าทีเหลือเกิน
ใจท่านคิดเช่นไร พระจันทร์ไม่อาจรู้ได้เลย
ดวงที่สองร้อนแรงดังเพลิงกัลป์ หยิ่งทระนงหนักหนา
ทั้งยังเป็นคู่อริกันมาช้านาน ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ในวันที่หนาวเหน็บที่สุด
พระอาทิตย์วายร้ายกลับเต็มใจมาอยู่เคียงข้างพระจันทร์
คอยส่องแสงให้ความอบอุ่นโดยไม่ต้องร้องขอ
ส่วนดวงที่สามพระจันทร์รักเคารพเสมอเหมือนพี่ชาย
ความที่เขามีคู่หมายซึ่งเหมาะสมกันอยู่แล้ว
พระจันทร์จึงไม่เคยคิดเป็นอื่น แต่โชคชะตากลับเล่นตลก
ส่งกามเทพมาแผลงศรทำให้พี่ชายเผลอรักพระจันทร์หมดใจ
จะมีดาวฤกษ์อย่างดวงอาทิตย์มาโคจรรอบตัวถึงสามดวง
ดวงแรกนั้นพระจันทร์ทั้งรักและเทิดทูน ยึดเป็นที่พึ่งทางใจเสมอมา
พระอาทิตย์ดวงนี้เมตตาพระจันทร์ยิ่งนัก แต่ก็สงวนท่าทีเหลือเกิน
ใจท่านคิดเช่นไร พระจันทร์ไม่อาจรู้ได้เลย
ดวงที่สองร้อนแรงดังเพลิงกัลป์ หยิ่งทระนงหนักหนา
ทั้งยังเป็นคู่อริกันมาช้านาน ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ในวันที่หนาวเหน็บที่สุด
พระอาทิตย์วายร้ายกลับเต็มใจมาอยู่เคียงข้างพระจันทร์
คอยส่องแสงให้ความอบอุ่นโดยไม่ต้องร้องขอ
ส่วนดวงที่สามพระจันทร์รักเคารพเสมอเหมือนพี่ชาย
ความที่เขามีคู่หมายซึ่งเหมาะสมกันอยู่แล้ว
พระจันทร์จึงไม่เคยคิดเป็นอื่น แต่โชคชะตากลับเล่นตลก
ส่งกามเทพมาแผลงศรทำให้พี่ชายเผลอรักพระจันทร์หมดใจ
Tags: พีเรียต ย้อนยุค ช่วงปี 2493-2507 คุณชาย ท่านชาย นายแพทย์ พระเอกในเรื่องไม่รู้เป็นใคร แต่หนุ่มๆ แซ่บเวอร์ วัง หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ ย้อนเวลา โรแมนติก คอมเมดี้ หวานๆ ดราม่าเบาๆ ภาษาอ่านง่าย
ตอน: บทที่ 1 ลางร้าย
ข้ามกาล
บทที่ 1 ลางร้าย
บนชายหาดสีขาวบริสุทธิ์แถบทะเลแคริเบียน เด็กสาวสามคนกำลังสาละวนช่วยกันก่อปราสาททราย แม้จะเป็นการเล่นอย่างเด็กๆ แต่ฝีมือในการสร้างสรรค์กลับไม่ธรรมดา ปราสาททรงสูงหลังคาแหลมเต็มไปด้วยรายละเอียดปลีกย่อยในแบบที่ปราสาทสไตล์ยุโรปหลังหนึ่งพึงมี นอกสุดเป็นคูน้ำ มีสะพานข้ามไปยังเนินดินที่ตั้งปราสาทซึ่งโอบล้อมด้วยกำแพงม่าน เป็นแนวป้องกันไม่ให้ศัตรูฝ่าเข้ามาได้โดยง่าย
ปียนุชกับรสรินทร์มองผลงานที่ร่วมกันสร้างด้วยความพึงพอใจ ทว่าพระจันทร์กลับคิดว่ามันขาดอะไรไปสักอย่าง เด็กสาวถอยออกมาแล้วเพ่งพิจารณารายละเอียดเชิงลึก มองอยู่อึดใจเธอก็ตัดสินใจเพิ่มลวดลายตรงบริเวณลานดิน
เด็กสาวใช้มีดสลักกดลงไปบนผิวทราย ในจังหวะที่กำลังจะถอนมือออกเสียงหวอเตือนภัยก็ดังสนั่น พระจันทร์เหลียวมองซ้ายขวาเลิ่กลั่ก ตรงนี้เป็นเกาะโดดเดี่ยวไร้ผู้คนจะมีสัญญาณเตือนภัยได้อย่างไร
เสียงดังอยู่บริเวณเหนือศีรษะ พอเงยหน้าขึ้นไปพระจันทร์ก็ต้องตระหนกเพราะท้องฟ้าสีครามสดใสแปรเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึนน่ากลัว เมฆสีดำกลืนกินดวงอาทิตย์จนหายลับไปจากสายตา ฉับพลันปราสาททรายตรงหน้าก็แตกกระจายราวกับถูกกำปั้นขนาดยักษ์ทุบอย่างแรง
พระจันทร์เหลียวไปทางเพื่อนทั้งสอง แล้วก็ต้องตระหนกเมื่อไม่พบใคร ยังไม่ทันเรียบเรียงว่าเกิดอะไรขึ้นทิวทัศน์รอบตัวก็แปรเปลี่ยนไป จากพื้นน้ำสีครามกว้างใหญ่กลายเป็นสถานีรถไฟที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน
“เครื่องบินจะมาทิ้งระเบิดแล้ว ไปที่หลุมหลบภัยเร็ว”
เสียงตะโกนในทำนองนี้ดังสลับกับเสียงอื้ออึงฟังไม่ได้สรรพของผู้คน พระจันทร์หันรีหันขวางอย่างไม่รู้ว่าควรจะวิ่งไปทางไหน ฉับพลันก็มีมือของใครคนหนึ่งมาคว้าตัวเธอเอาไว้แล้วอุ้มให้ลอยขึ้นจากพื้น
เด็กสาวนึกฉงนกับสิ่งที่เกิดขึ้น พอลองก้มมองตัวเองก็เห็นว่าฝ่ามือที่เคยคุ้นตาหดเล็กลงจนเหลือนิดเดียว
“ไม่ต้องกลัวนะลูก แม่จะปกป้องหนูเอง” น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นที่ข้างหู
ไออุ่นจากอ้อมกอดของหญิงสาวปริศนาสลายความกังวลและความคลางแคลงไปจนสิ้น แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองแต่พระจันทร์ก็รู้สึกได้ว่าเธอจะปลอดภัย
เด็กสาวพยายามจะเหลียวมองใบหน้าของคนที่แทนตัวเองว่าแม่ แต่ก็มองได้ไม่สะดวกนักเพราะขณะนี้หญิงสาวกำลังอุ้มเธอพาดบ่าเอาไว้แล้วออกวิ่งอย่างสุดกำลัง สิ่งที่พระจันทร์เห็นผ่านสายตาจึงเป็นใบหน้าหวาดผวาของผู้คนและทิวทัศน์ข้างทาง
วิ่งมาได้สักพักใหญ่พระจันทร์ก็เห็นชายวัยกลางคนร่างอ้วนคนหนึ่ง แกตะโกนเรียกหน้าดำหน้าแดงร้องห้ามไม่ให้ไปทางนั้น
“ตามมาทางนี้ ใกล้ๆ นี่มีหลุมหลบภัย รีบมา…”
หญิงสาวหันขวับมาแล้วเปลี่ยนเส้นทางเดิน ทว่าก็ยังเชื่องช้ากว่าอาวุธร้ายที่ลอยลงมาจากฟากฟ้า
ตู้มมมม! เสียงของระเบิดดังกึกก้องกลบเสียงสนทนามิด พระจันทร์หลับตาปี๋โดยอัตโนมัติ ในเสี้ยววินาทีที่ทุกอย่างตกอยู่ในความมืด เด็กสาวก็รู้สึกได้ว่าตัวเองถูกปล่อยให้ล้มลงกับพื้น เธอเจ็บจนน้ำตาเล็ด ทว่ายังไม่ทันได้ออกปากประท้วงตัวก็ถูกทับด้วยร่างหนักๆ ของใครคนหนึ่ง
พระจันทร์ไม่เพียงแต่อึดอัดทรมาน รู้สึกใจเสียและหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอถูกทับอยู่อย่างนี้นานทีเดียวกว่าจะมีคนมาช่วยพลิกร่างร่างนั้นออกไป ทว่าแทนที่จะได้รับอากาศบริสุทธิ์เธอกลับได้กลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้ง
“ผู้หญิงตายแล้ว เด็กล่ะเป็นไงบ้าง” คำพูดของชายแปลกหน้าดังแว่วมา
แล้วพระจันทร์ก็ได้เห็นว่าห่างกันไม่ไกลมีร่างของผู้หญิงคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่ มองการแต่งกายแล้วก็รู้ได้ในทันทีว่าเธอคือหญิงปริศนาที่แทนตัวเองว่า ‘แม่’ แม้ไม่รู้ว่าเธอคนนี้จะใช่แม่ที่แท้จริงหรือไม่ แต่หญิงสาวก็ได้สละชีวิตเพื่อปกป้องลูกน้อยดังที่ให้คำมั่นเอาไว้
ความเสียใจอาลัยรักพลุ่งขึ้นมาในจิตใจพร้อมน้ำตาที่ไหลทะลัก พระจันทร์แผดเสียงร้องไห้จ้าอย่างไม่อายราวกับรับบทเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งสูญเสียมารดาไปจริงๆ
ยิ่งร้องมากเท่าไรรอบกายก็ยิ่งมืดลงมากเท่านั้น เด็กสาวถูกความโศกเศร้ากลืนกินไปทีละน้อย แต่ก็หาได้อนาทรร้อนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอยังคงสะอึกสะอื้นร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจต่อไปอย่างไม่อาจหักห้ามความโศกเศร้าได้
พระจันทร์ถูกขังอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์อยู่นานกว่าจะมีคนมาช่วยออกไป เสียงเรียกชื่อกับแรงเขย่าตัวทำให้เด็กสาวผวาตื่นจากฝันร้าย
ภาพแรกที่เห็นเมื่อลืมตาขึ้นมาคือใบหน้าของเพื่อนสนิท เมื่อรับรู้ว่ามันเป็นเพียงฝัน เด็กสาวก็ลอบถอนใจอย่างโล่งอก
“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอพระจันทร์” ปียนุชถามอย่างห่วงใย
“ไม่มีอะไรหรอก ฝันไร้สาระน่ะ”
ร่างเล็กๆ ดีดตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วรีบปาดน้ำตาออกจากใบหน้า
ปียนุชมองอย่างไม่เชื่อ ดวงหน้าของพระจันทร์ยังดูซีดเซียว มือกดไว้ที่หน้าอกซ้ายแน่น ไหนจะอาการหอบหายใจถี่ๆ อีก เด็กสาวมักจะมีอาการอย่างนี้เสมอเวลาที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
“ไม่เป็นไรแน่นะ” ปียนุชอดที่จะเอามือแตะหน้าผากวัดไข้ไม่ได้
ตัวของพระจันทร์เย็นเฉียบ ทว่าแทนที่จะคลายใจปียนุชกลับยิ่งวิตก ร่างนี้ไร้ไออุ่นราวกับร่างคนตาย ก่อนคุณยายของเธอจะเสียชีวิตตัวท่านก็เย็นแบบนี้
“ก็แค่ฝันร้ายเรื่องเดิมๆ ความฝันทำร้ายเราได้ซะที่ไหน” พระจันทร์เอ่ยปลอบทั้งตัวเองและเพื่อนไปพร้อมๆ กัน
“พระจันทร์ใช่คนปกติที่ไหน”
สายตาของปียนุชหยุดอยู่ที่คอเสื้อ ชุดนอนที่พระจันทร์สวมไม่ใช่เสื้อคอลึก แต่เมื่อคืนอากาศค่อนข้างอบอ้าวเด็กสาวก็เลยปลดกระดุมเม็ดบนออก เผยให้เห็นแผลเป็นจากการผ่าตัด
พระจันทร์ต้องทนทรมานจากการผ่าตัดมานับครั้งไม่ถ้วน เพราะโรคหัวใจที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด แต่เด็กสาวก็มีพลังใจอันยิ่งใหญ่ที่จะมีชีวิตอยู่ หัวใจที่ควรจะหยุดเต้นไปนานแล้วจึงยอมทำหน้าที่ต่อ แม้ว่าบ้างครั้งจะเกเรเต้นผิดจังหวะหรือแอบพักให้คนรอบข้างใจหายใจคว่ำก็ตาม
“ลืมไปเลยว่าเรามันคนพิเศษ อย่างนั้นก็ยิ่งไม่ต้องห่วงใหญ่”
พระจันทร์ยังยิ้มร่า ผิดกับคนฟังที่ขำไม่ออก ปียนุชเผยอปากเตรียมจะบ่นแต่คนตัวเล็กรู้ทันเลยโดดผึงจากเตียงนอนชั้นสองวิ่งออกไปจากห้อง
“ไปดูพวกน้องๆ ก่อนนะว่าตื่นกันหรือยัง”
“พระจันทร์! บอกกี่ครั้งแล้วอย่ากระโดดแบบนี้ ห้ามวิ่งนะ เดี๋ยวก็หน้ามืดหรอก”
คนขี้เป็นห่วงลนลานปีนลงมาจากเตียงชั้นสอง พอตามมาถึงทางเดินได้ก็ต้องถอนใจเมื่อร่างเล็กๆ ของคนไม่เจียมสังขารหายลับไปจากสายตาแล้ว
ปียนุชไม่ตามไปแต่หมุนตัวกลับไปเก็บที่นอนให้แทน แม่อ้อยซึ่งเป็นผู้ดูแลชั้นเด็กโตชอบความเป็นระเบียบ หากเห็นว่าลุกออกไปโดยไม่ยอมเก็บที่นอนก็จะลงโทษทันที โทษที่ได้รับมีตั้งแต่งดของว่างไปจนถึงตัดค่าขนมประจำวัน
ค่าขนมอันน้อยนิดนี้บางคนอาจจะเห็นเป็นแค่เศษเงิน แต่สำหรับเด็กกำพร้าอย่างพระจันทร์และปียนุชแล้ว เงินแค่บาทเดียวนั้นสามารถชี้เป็นชี้ตายได้เลยว่าจะได้กินอาหารกลางวันที่โรงเรียนหรือไม่
ใจจริงแล้วปียนุชไม่เคยกลัวการลงโทษ สิ่งที่เธอหวาดหวั่นที่สุดคือการสูญเสียพระจันทร์ไปต่างหาก ปียนุชและพระจันทร์ต่างก็เป็นกำพร้า ทั้งสองอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ยังเล็กจึงรักกันเหมือนพี่น้อง ปียนุชยอมเสียสละเพื่อพระจันทร์มากเท่าไร พระจันทร์เองก็ยินดีจะทำเพื่อปียนุชมากเท่านั้น
พับผ้าห่มเสร็จ ปียนุชก็ไปล้างหน้าแปรงฟันเพื่อเตรียมตัวลงไปช่วยงาน ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม เด็กคนอื่นอาจจะได้นอนตื่นสาย ไปเที่ยวเล่นหรือเรียนพิเศษ แต่มันไม่ใช่ชีวิตของพวกเด็กกำพร้าอย่างพวกปียนุช ที่เมื่อโตพอรู้ประสาแล้วก็ต้องช่วยงานเพื่อแลกกับทุนการศึกษาและที่พักอาศัย
เด็กสาวเดินลงมายังชั้นสองซึ่งเป็นชั้นของเด็กประถม แล้วก็ได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดดังสนั่น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพระจันทร์กำลังเล่นอะไรแผลงๆ อยู่ ปียนุชย่องไปแอบมองก็เห็นว่าเด็กสาวยืนเท้าเอวออกคำสั่งให้ไล่จั๊กจี้คนที่ยังนอนหลับอุตุ พวกน้องๆ เลยเล่นสนุกกันใหญ่
สาวร่างเล็กคนนี้เป็นลูกพี่ของทุกคนที่นี่ ถึงจะตัวเล็กขี้โรคแต่ใจของพระจันทร์นั้นใหญ่คับฟ้า ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาพระจันทร์ไม่เคยร้องไห้ หรือมีทีท่าหวั่นเกรงต่อสิ่งใดเลย ปียนุชจึงรู้สึกชื่นชมเพื่อนสาวเป็นอย่างยิ่ง ถึงตอนนี้เธอจะทำตัวเป็นเหมือนผู้ปกครอง คอยดูแลเรื่องต่างๆ ให้ แต่ในอดีตนั้นพระจันทร์คือฮีโร่ที่ช่วยให้เธอหลุดพ้นจากความเศร้า
แม่ของปียนุชทิ้งเธอไว้กับยายตั้งแต่แบเบาะแล้วก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย พอห้าขวบยายก็เสีย เธอในตอนนั้นกอดร่างเย็นเฉียบของยายเอาไว้แน่น เอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมให้คนมาพรากยายไป เด็กสาวจำได้ว่าผล็อยหลับเพราะความอ่อนเพลีย ตื่นมายายก็ถูกพาไปที่อื่นเสียแล้ว
ผู้ใหญ่ในตอนนั้นอธิบายว่าพายายไปทำพิธีทางศาสนา ยายไปสวรรค์แล้วจะไม่กลับมาอีก เมื่อไม่มียายคอยดูแลเธอก็ต้องมาอยู่ในบ้านเด็กอบอุ่นแห่งนี้
เมื่อมาอยู่แรกๆ ปียนุชเอาแต่ร้องไห้แล้วกอดตุ๊กตาเก่าขาดซึ่งเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่มีติดตัวมา เธอไม่ไว้ใจผู้ใหญ่คนไหนทั้งสิ้น เพราะเชื่อปักใจว่าผู้ใหญ่พวกนี้เป็นตัวการทำให้ยายหายไป ไม่ว่าใครจะดีด้วยแค่ไหนเธอก็จะเกรี้ยวกราดใส่เสมอ ไม่ก็แหกปากร้องไห้จนคนดูแลเริ่มระอา
ตอนนั้นเองที่พระจันทร์ได้เข้ามาในชีวิต เด็กหญิงตัวเล็กจิ๋วส่งยิ้มให้แล้วมานั่งข้างๆ เพื่อนใหม่คนนี้ไม่ได้หยิบยื่นสิ่งของหรือมีถ้อยคำปลอบโยนมาให้ แต่กลับดึงคอเสื้อลงเพื่ออวดแผลเป็นของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
‘เราผ่าตัดหัวใจมาล่ะ หมอบอกว่าถ้าโตอีกหน่อยจะใส่อุปกรณ์เพิ่มให้ เท่ใช่ไหม’
ท่าทางคุยโวกับรอยยิ้มแสนไร้เดียงสาหยุดน้ำตาได้อย่างน่าประหลาด ปียนุชจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นคุยอะไรกันบ้าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหายเศร้าได้อย่างไร รู้ตัวอีกทีเธอก็กลายเป็นดาวบริวารที่พร้อมจะโคจรรอบพระจันทร์ดวงน้อยไปเสียแล้ว
“นุชเห็นพระจันทร์ไหม” รสรินทร์ร้องเรียก
เธอคนนี้เป็นเด็กสาววัยไล่เลี่ยกันและเป็นดาวอีกดวงหนึ่งที่ยินยอมพร้อมใจโคจรรอบตัวพระจันทร์ หากนับตามความเป็นอยู่แล้ว รสรินทร์จัดว่ามีฐานะดีกว่าเด็กกำพร้าทุกคน เธอเป็นหลานของแม่ครัวใหญ่ที่นี่ ถึงเป็นกำพร้าก็ยังมีคุณป้าซึ่งเป็นโสดคอยดูแล เด็กสาวจึงไม่ได้มีชื่ออยู่ในสถานที่แห่งนี้ แม้ว่าจะกินอยู่หลับนอนที่นี่ก็ตาม
“อยู่นั่นไง” ปียนุชพยักพเยิดให้มองผ่านมุ้งลวดเข้าไป “มีอะไรรึเปล่า พระจันทร์คงไม่ถูกลงโทษใช่ไหม”
เธอถามเผื่อเอาไว้ก่อนเพราะแม่ตัวดีขยันสร้างเรื่องให้แม่อ้อยเอ็ดเสมอ
“ไม่หรอก แม่อ้อยไม่เห็นบ่นอะไร สั่งแค่ให้พวกเราสามคนรีบกินข้าว อาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วไปหาแม่ใหญ่ อ้อ! ให้ใส่ชุดนักเรียนนะ”
ที่สถานสงเคราะห์บ้านเด็กอบอุ่นแห่งนี้ ทุกคนจะเรียกเจ้าหน้าที่ว่า ‘แม่’ ตามด้วยชื่อเล่น เว้นแต่แม่ใหญ่ที่ไม่ได้ชื่อใหญ่ตามที่เรียก แต่ใหญ่ด้วยตำแหน่งผู้อำนวยการซึ่งมีอำนาจมากที่สุดในสถานที่แห่งนี้
แม่ใหญ่เป็นคนดีมีเมตตาแต่ก็เด็ดขาด จึงเป็นคนเดียวที่พระจันทร์ทั้งรักทั้งเกรง เด็กสาวกล้าเถียงพวกแม่ๆ คนอื่นได้อย่างไม่กลัว แต่กับแม่ใหญ่แล้วจะสงบปากสงบคำ อย่างมากก็แค่ทำทะเล้นใส่นิดหน่อยเท่านั้น
เมื่อรู้ว่าแม่ใหญ่เรียก พระจันทร์ก็สั่งให้เด็กที่โตที่สุดในห้องคอยดูแลน้องๆ ระหว่างที่รอให้แม่แหม่มซึ่งเป็นผู้ดูแลชั้นนี้กลับมาจากเข้าห้องน้ำ แล้วจึงตามพวกเพื่อนๆ ไปอาบน้ำแต่งตัว
หนึ่งชั่วโมงต่อมาทุกคนก็มายืนเรียงกันหน้าสลอนอยู่หน้าห้องแม่ใหญ่ เด็กสาวทั้งสามต่างก็พากันคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าแม่ใหญ่ตามตัวมาด้วยเรื่องอะไร พระจันทร์เดาเป็นคนแรกว่าอาจจะได้ติดตามแม่ใหญ่ไปไหนสักแห่ง พอรู้ว่ามีโอกาสได้เที่ยวก็อารมณ์ดี รสรินทร์เองก็คล้อยตามจึงยิ้มออก ผิดกับปียนุชที่อดคิดในทางร้ายไม่ได้
ตอนนี้ทุกคนอายุครบสิบสี่กันหมดแล้ว ตามกฎของที่นี่เด็กที่อายุเกินสิบห้าปีจะต้องถูกส่งไปอยู่ที่อื่นตามความเหมาะสม พวกเรียนต่อสายอาชีพจะถูกส่งไปอยู่ที่หนึ่ง สายสามัญก็จะถูกส่งไปอีกที่หนึ่ง แต่บางครั้งต่อให้เรียนสายเดียวกันก็ยังถูกส่งไปคนละที่ เพราะทุนที่ได้รับมาแตกต่างกัน
ปียนุชกลัวเหลือเกินว่าจะถูกจับแยกจากพระจันทร์ ตัวเธอเรียนได้ระดับกลางๆ แม้จะค่อนข้างไปทางดี แต่ก็ไม่ใช่ลำดับต้นๆ อย่างพระจันทร์กับรสรินทร์ ไม่มีทางสอบชิงทุนไปเรียนที่เดียวกับเพื่อนได้แน่
“ไม่ต้องกลัวน่านุช แม่ใหญ่ไม่ดุหรอก” พระจันทร์ปลอบ เด็กสาวจับมือเพื่อนทั้งสองเอาไว้ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องทำงานของแม่ใหญ่
ห้องทำงานของผู้อำนวยการมีพื้นที่กว้างขวางพอควร แบ่งเป็นมุมทำงานและมุมรับแขก แต่เด็กๆ ไม่เคยได้นั่งบนโซฟานุ่มเลยสักครั้ง เพราะส่วนใหญ่ถูกเรียกตัวมาด้วยธุระ จึงต้องยืนสำรวมไม่ก็นั่งตรงเก้าอี้พับที่วางเรียงเอาไว้หน้าโต๊ะทำงาน
“วันนี้แม่จะพาพวกเธอไปข้างนอก ระวังกิริยาด้วยล่ะ อย่าทำให้ขายหน้า” บงกชเอ่ยเมื่อเด็กสาวทั้งสามไหว้ทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว
“เราจะไปไหนกันคะแม่ใหญ่” พระจันทร์ถามขึ้นมาก่อน
“ไปบ้านของคุณหญิงท่านหนึ่ง ท่านอยากรับอุปการะปียนุชกับรสรินทร์”
“แล้วพระจันทร์ละคะแม่ใหญ่” ปียนุชเผลอถามออกไปเพราะไม่มีชื่อเพื่อนสนิทรวมอยู่ด้วย
“ท่านอยากรับดูแลแค่สองคนเท่านั้น”
“อ้าว! ในเมื่อพระจันทร์ไม่เกี่ยว ทำไมพระจันทร์ต้องไปด้วยละคะ” พระจันทร์ถามอย่างแปลกใจ
ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากออกไปเที่ยว แต่มันไม่ใช่วิสัยแม่ใหญ่ที่จะพาคนที่ไม่จำเป็นไปด้วย
“เธอน่ะไม่เกี่ยวก็จริงแต่ก็เรียนดี พอแม่พูดเรื่องของเธอไปคุณหญิงท่านเลยอยากพบ ทำตัวให้เรียบร้อยเข้าไว้ล่ะ ท่านจะได้เมตตา”
“รับทราบค่ะ พระจันทร์จะไหว้สวยๆ แล้วคลานเข่าเข้าไปหาอย่างดีเลย” เด็กสาวไม่พูดเปล่าแต่ยังไหว้โชว์แล้วย่อตัวลงราวกับนางงาม
เห็นท่าทีทะเล้นของพระจันทร์แล้วบงกชก็อดสำทับเสียงเข้มไม่ได้
“ระวังปากระวังคำด้วยนะพระจันทร์ อย่าทำให้แม่ขายหน้า”
พระจันทร์กลับมาสำรวมและยืนกรานว่าจะทำตามแต่โดยดี ถึงจะทะเล้นแต่เด็กสาวก็รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ชีวิตเด็กกำพร้าต้องดิ้นรนอยู่เสมอ ต้องนอบน้อมกับผู้ใหญ่ ในขณะเดียวกันก็ต้องแกร่ง ไม่เช่นนั้นก็จะถูกข่มเหง เด็กสาวซึ้งถึงสัจธรรมข้อนี้ดีจึงไม่เคยสร้างปัญหาต่อหน้ากลุ่มคนที่แม่ใหญ่เรียกว่า ‘ผู้มีพระคุณ’ หรือ ‘ผู้อุปถัมภ์’
บงกชเองก็รู้ดีเช่นกันว่าเด็กสาวมาดทะเล้นคนนี้เป็นอย่างไร ย้ำทีเดียวเป็นอันว่ารู้กันแล้ว เธอจึงไม่เอ่ยอะไรอีก ผิดกับปียนุชที่อดเตือนพระจันทร์อย่างเป็นห่วงไม่ได้ เธอเอาแต่พร่ำบอกให้พระจันทร์ทำตัวดีๆ วางตัวให้คุณหญิงท่านเมตตา เผื่อท่านจะเปลี่ยนใจยอมอุปการะด้วย
นิสัยแม่แก่ช่างบ่นของปียนุชทำให้พระจันทร์หัวเราะ แต่รสรินทร์นั้นไม่ชอบเอาเลย เธอมีคุณป้าที่แสนจะจู้จี้ขี้บ่น จึงไม่อยากถูกเพื่อนอบรมอีก ความที่กลัวว่าปียนุชจะเผื่อแผ่ความปรารถนาดีมาให้ตัวเองด้วย เลยแกล้งเดินรั้งท้ายเว้นระยะห่าง
ในตอนนั้นเองที่สายตาของเด็กสาวเหลือบไปเห็นบางอย่างที่ทำให้ใจหายวาบ เธอมองเห็นว่าพระจันทร์ไม่มีเงาหัว รสรินทร์ขยี้ตาแล้วพยายามเพ่งอีกครั้ง ทว่าพระจันทร์ผู้ปราดเปรียวกลับวิ่งขึ้นรถตู้ไปเสียแล้ว เลยได้แต่ปลอบตัวเองว่าคงตาฝาดไป เด็กสาวเก็บความไม่สบายใจไว้กับตัว โดยไม่รู้เลยว่าลางร้ายกำลังจะกลายเป็นจริงในไม่ช้า
บทที่ 1 ลางร้าย
บนชายหาดสีขาวบริสุทธิ์แถบทะเลแคริเบียน เด็กสาวสามคนกำลังสาละวนช่วยกันก่อปราสาททราย แม้จะเป็นการเล่นอย่างเด็กๆ แต่ฝีมือในการสร้างสรรค์กลับไม่ธรรมดา ปราสาททรงสูงหลังคาแหลมเต็มไปด้วยรายละเอียดปลีกย่อยในแบบที่ปราสาทสไตล์ยุโรปหลังหนึ่งพึงมี นอกสุดเป็นคูน้ำ มีสะพานข้ามไปยังเนินดินที่ตั้งปราสาทซึ่งโอบล้อมด้วยกำแพงม่าน เป็นแนวป้องกันไม่ให้ศัตรูฝ่าเข้ามาได้โดยง่าย
ปียนุชกับรสรินทร์มองผลงานที่ร่วมกันสร้างด้วยความพึงพอใจ ทว่าพระจันทร์กลับคิดว่ามันขาดอะไรไปสักอย่าง เด็กสาวถอยออกมาแล้วเพ่งพิจารณารายละเอียดเชิงลึก มองอยู่อึดใจเธอก็ตัดสินใจเพิ่มลวดลายตรงบริเวณลานดิน
เด็กสาวใช้มีดสลักกดลงไปบนผิวทราย ในจังหวะที่กำลังจะถอนมือออกเสียงหวอเตือนภัยก็ดังสนั่น พระจันทร์เหลียวมองซ้ายขวาเลิ่กลั่ก ตรงนี้เป็นเกาะโดดเดี่ยวไร้ผู้คนจะมีสัญญาณเตือนภัยได้อย่างไร
เสียงดังอยู่บริเวณเหนือศีรษะ พอเงยหน้าขึ้นไปพระจันทร์ก็ต้องตระหนกเพราะท้องฟ้าสีครามสดใสแปรเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึนน่ากลัว เมฆสีดำกลืนกินดวงอาทิตย์จนหายลับไปจากสายตา ฉับพลันปราสาททรายตรงหน้าก็แตกกระจายราวกับถูกกำปั้นขนาดยักษ์ทุบอย่างแรง
พระจันทร์เหลียวไปทางเพื่อนทั้งสอง แล้วก็ต้องตระหนกเมื่อไม่พบใคร ยังไม่ทันเรียบเรียงว่าเกิดอะไรขึ้นทิวทัศน์รอบตัวก็แปรเปลี่ยนไป จากพื้นน้ำสีครามกว้างใหญ่กลายเป็นสถานีรถไฟที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน
“เครื่องบินจะมาทิ้งระเบิดแล้ว ไปที่หลุมหลบภัยเร็ว”
เสียงตะโกนในทำนองนี้ดังสลับกับเสียงอื้ออึงฟังไม่ได้สรรพของผู้คน พระจันทร์หันรีหันขวางอย่างไม่รู้ว่าควรจะวิ่งไปทางไหน ฉับพลันก็มีมือของใครคนหนึ่งมาคว้าตัวเธอเอาไว้แล้วอุ้มให้ลอยขึ้นจากพื้น
เด็กสาวนึกฉงนกับสิ่งที่เกิดขึ้น พอลองก้มมองตัวเองก็เห็นว่าฝ่ามือที่เคยคุ้นตาหดเล็กลงจนเหลือนิดเดียว
“ไม่ต้องกลัวนะลูก แม่จะปกป้องหนูเอง” น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นที่ข้างหู
ไออุ่นจากอ้อมกอดของหญิงสาวปริศนาสลายความกังวลและความคลางแคลงไปจนสิ้น แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองแต่พระจันทร์ก็รู้สึกได้ว่าเธอจะปลอดภัย
เด็กสาวพยายามจะเหลียวมองใบหน้าของคนที่แทนตัวเองว่าแม่ แต่ก็มองได้ไม่สะดวกนักเพราะขณะนี้หญิงสาวกำลังอุ้มเธอพาดบ่าเอาไว้แล้วออกวิ่งอย่างสุดกำลัง สิ่งที่พระจันทร์เห็นผ่านสายตาจึงเป็นใบหน้าหวาดผวาของผู้คนและทิวทัศน์ข้างทาง
วิ่งมาได้สักพักใหญ่พระจันทร์ก็เห็นชายวัยกลางคนร่างอ้วนคนหนึ่ง แกตะโกนเรียกหน้าดำหน้าแดงร้องห้ามไม่ให้ไปทางนั้น
“ตามมาทางนี้ ใกล้ๆ นี่มีหลุมหลบภัย รีบมา…”
หญิงสาวหันขวับมาแล้วเปลี่ยนเส้นทางเดิน ทว่าก็ยังเชื่องช้ากว่าอาวุธร้ายที่ลอยลงมาจากฟากฟ้า
ตู้มมมม! เสียงของระเบิดดังกึกก้องกลบเสียงสนทนามิด พระจันทร์หลับตาปี๋โดยอัตโนมัติ ในเสี้ยววินาทีที่ทุกอย่างตกอยู่ในความมืด เด็กสาวก็รู้สึกได้ว่าตัวเองถูกปล่อยให้ล้มลงกับพื้น เธอเจ็บจนน้ำตาเล็ด ทว่ายังไม่ทันได้ออกปากประท้วงตัวก็ถูกทับด้วยร่างหนักๆ ของใครคนหนึ่ง
พระจันทร์ไม่เพียงแต่อึดอัดทรมาน รู้สึกใจเสียและหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอถูกทับอยู่อย่างนี้นานทีเดียวกว่าจะมีคนมาช่วยพลิกร่างร่างนั้นออกไป ทว่าแทนที่จะได้รับอากาศบริสุทธิ์เธอกลับได้กลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้ง
“ผู้หญิงตายแล้ว เด็กล่ะเป็นไงบ้าง” คำพูดของชายแปลกหน้าดังแว่วมา
แล้วพระจันทร์ก็ได้เห็นว่าห่างกันไม่ไกลมีร่างของผู้หญิงคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่ มองการแต่งกายแล้วก็รู้ได้ในทันทีว่าเธอคือหญิงปริศนาที่แทนตัวเองว่า ‘แม่’ แม้ไม่รู้ว่าเธอคนนี้จะใช่แม่ที่แท้จริงหรือไม่ แต่หญิงสาวก็ได้สละชีวิตเพื่อปกป้องลูกน้อยดังที่ให้คำมั่นเอาไว้
ความเสียใจอาลัยรักพลุ่งขึ้นมาในจิตใจพร้อมน้ำตาที่ไหลทะลัก พระจันทร์แผดเสียงร้องไห้จ้าอย่างไม่อายราวกับรับบทเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งสูญเสียมารดาไปจริงๆ
ยิ่งร้องมากเท่าไรรอบกายก็ยิ่งมืดลงมากเท่านั้น เด็กสาวถูกความโศกเศร้ากลืนกินไปทีละน้อย แต่ก็หาได้อนาทรร้อนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอยังคงสะอึกสะอื้นร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจต่อไปอย่างไม่อาจหักห้ามความโศกเศร้าได้
พระจันทร์ถูกขังอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์อยู่นานกว่าจะมีคนมาช่วยออกไป เสียงเรียกชื่อกับแรงเขย่าตัวทำให้เด็กสาวผวาตื่นจากฝันร้าย
ภาพแรกที่เห็นเมื่อลืมตาขึ้นมาคือใบหน้าของเพื่อนสนิท เมื่อรับรู้ว่ามันเป็นเพียงฝัน เด็กสาวก็ลอบถอนใจอย่างโล่งอก
“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอพระจันทร์” ปียนุชถามอย่างห่วงใย
“ไม่มีอะไรหรอก ฝันไร้สาระน่ะ”
ร่างเล็กๆ ดีดตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วรีบปาดน้ำตาออกจากใบหน้า
ปียนุชมองอย่างไม่เชื่อ ดวงหน้าของพระจันทร์ยังดูซีดเซียว มือกดไว้ที่หน้าอกซ้ายแน่น ไหนจะอาการหอบหายใจถี่ๆ อีก เด็กสาวมักจะมีอาการอย่างนี้เสมอเวลาที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
“ไม่เป็นไรแน่นะ” ปียนุชอดที่จะเอามือแตะหน้าผากวัดไข้ไม่ได้
ตัวของพระจันทร์เย็นเฉียบ ทว่าแทนที่จะคลายใจปียนุชกลับยิ่งวิตก ร่างนี้ไร้ไออุ่นราวกับร่างคนตาย ก่อนคุณยายของเธอจะเสียชีวิตตัวท่านก็เย็นแบบนี้
“ก็แค่ฝันร้ายเรื่องเดิมๆ ความฝันทำร้ายเราได้ซะที่ไหน” พระจันทร์เอ่ยปลอบทั้งตัวเองและเพื่อนไปพร้อมๆ กัน
“พระจันทร์ใช่คนปกติที่ไหน”
สายตาของปียนุชหยุดอยู่ที่คอเสื้อ ชุดนอนที่พระจันทร์สวมไม่ใช่เสื้อคอลึก แต่เมื่อคืนอากาศค่อนข้างอบอ้าวเด็กสาวก็เลยปลดกระดุมเม็ดบนออก เผยให้เห็นแผลเป็นจากการผ่าตัด
พระจันทร์ต้องทนทรมานจากการผ่าตัดมานับครั้งไม่ถ้วน เพราะโรคหัวใจที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด แต่เด็กสาวก็มีพลังใจอันยิ่งใหญ่ที่จะมีชีวิตอยู่ หัวใจที่ควรจะหยุดเต้นไปนานแล้วจึงยอมทำหน้าที่ต่อ แม้ว่าบ้างครั้งจะเกเรเต้นผิดจังหวะหรือแอบพักให้คนรอบข้างใจหายใจคว่ำก็ตาม
“ลืมไปเลยว่าเรามันคนพิเศษ อย่างนั้นก็ยิ่งไม่ต้องห่วงใหญ่”
พระจันทร์ยังยิ้มร่า ผิดกับคนฟังที่ขำไม่ออก ปียนุชเผยอปากเตรียมจะบ่นแต่คนตัวเล็กรู้ทันเลยโดดผึงจากเตียงนอนชั้นสองวิ่งออกไปจากห้อง
“ไปดูพวกน้องๆ ก่อนนะว่าตื่นกันหรือยัง”
“พระจันทร์! บอกกี่ครั้งแล้วอย่ากระโดดแบบนี้ ห้ามวิ่งนะ เดี๋ยวก็หน้ามืดหรอก”
คนขี้เป็นห่วงลนลานปีนลงมาจากเตียงชั้นสอง พอตามมาถึงทางเดินได้ก็ต้องถอนใจเมื่อร่างเล็กๆ ของคนไม่เจียมสังขารหายลับไปจากสายตาแล้ว
ปียนุชไม่ตามไปแต่หมุนตัวกลับไปเก็บที่นอนให้แทน แม่อ้อยซึ่งเป็นผู้ดูแลชั้นเด็กโตชอบความเป็นระเบียบ หากเห็นว่าลุกออกไปโดยไม่ยอมเก็บที่นอนก็จะลงโทษทันที โทษที่ได้รับมีตั้งแต่งดของว่างไปจนถึงตัดค่าขนมประจำวัน
ค่าขนมอันน้อยนิดนี้บางคนอาจจะเห็นเป็นแค่เศษเงิน แต่สำหรับเด็กกำพร้าอย่างพระจันทร์และปียนุชแล้ว เงินแค่บาทเดียวนั้นสามารถชี้เป็นชี้ตายได้เลยว่าจะได้กินอาหารกลางวันที่โรงเรียนหรือไม่
ใจจริงแล้วปียนุชไม่เคยกลัวการลงโทษ สิ่งที่เธอหวาดหวั่นที่สุดคือการสูญเสียพระจันทร์ไปต่างหาก ปียนุชและพระจันทร์ต่างก็เป็นกำพร้า ทั้งสองอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ยังเล็กจึงรักกันเหมือนพี่น้อง ปียนุชยอมเสียสละเพื่อพระจันทร์มากเท่าไร พระจันทร์เองก็ยินดีจะทำเพื่อปียนุชมากเท่านั้น
พับผ้าห่มเสร็จ ปียนุชก็ไปล้างหน้าแปรงฟันเพื่อเตรียมตัวลงไปช่วยงาน ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม เด็กคนอื่นอาจจะได้นอนตื่นสาย ไปเที่ยวเล่นหรือเรียนพิเศษ แต่มันไม่ใช่ชีวิตของพวกเด็กกำพร้าอย่างพวกปียนุช ที่เมื่อโตพอรู้ประสาแล้วก็ต้องช่วยงานเพื่อแลกกับทุนการศึกษาและที่พักอาศัย
เด็กสาวเดินลงมายังชั้นสองซึ่งเป็นชั้นของเด็กประถม แล้วก็ได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดดังสนั่น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพระจันทร์กำลังเล่นอะไรแผลงๆ อยู่ ปียนุชย่องไปแอบมองก็เห็นว่าเด็กสาวยืนเท้าเอวออกคำสั่งให้ไล่จั๊กจี้คนที่ยังนอนหลับอุตุ พวกน้องๆ เลยเล่นสนุกกันใหญ่
สาวร่างเล็กคนนี้เป็นลูกพี่ของทุกคนที่นี่ ถึงจะตัวเล็กขี้โรคแต่ใจของพระจันทร์นั้นใหญ่คับฟ้า ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาพระจันทร์ไม่เคยร้องไห้ หรือมีทีท่าหวั่นเกรงต่อสิ่งใดเลย ปียนุชจึงรู้สึกชื่นชมเพื่อนสาวเป็นอย่างยิ่ง ถึงตอนนี้เธอจะทำตัวเป็นเหมือนผู้ปกครอง คอยดูแลเรื่องต่างๆ ให้ แต่ในอดีตนั้นพระจันทร์คือฮีโร่ที่ช่วยให้เธอหลุดพ้นจากความเศร้า
แม่ของปียนุชทิ้งเธอไว้กับยายตั้งแต่แบเบาะแล้วก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย พอห้าขวบยายก็เสีย เธอในตอนนั้นกอดร่างเย็นเฉียบของยายเอาไว้แน่น เอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมให้คนมาพรากยายไป เด็กสาวจำได้ว่าผล็อยหลับเพราะความอ่อนเพลีย ตื่นมายายก็ถูกพาไปที่อื่นเสียแล้ว
ผู้ใหญ่ในตอนนั้นอธิบายว่าพายายไปทำพิธีทางศาสนา ยายไปสวรรค์แล้วจะไม่กลับมาอีก เมื่อไม่มียายคอยดูแลเธอก็ต้องมาอยู่ในบ้านเด็กอบอุ่นแห่งนี้
เมื่อมาอยู่แรกๆ ปียนุชเอาแต่ร้องไห้แล้วกอดตุ๊กตาเก่าขาดซึ่งเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่มีติดตัวมา เธอไม่ไว้ใจผู้ใหญ่คนไหนทั้งสิ้น เพราะเชื่อปักใจว่าผู้ใหญ่พวกนี้เป็นตัวการทำให้ยายหายไป ไม่ว่าใครจะดีด้วยแค่ไหนเธอก็จะเกรี้ยวกราดใส่เสมอ ไม่ก็แหกปากร้องไห้จนคนดูแลเริ่มระอา
ตอนนั้นเองที่พระจันทร์ได้เข้ามาในชีวิต เด็กหญิงตัวเล็กจิ๋วส่งยิ้มให้แล้วมานั่งข้างๆ เพื่อนใหม่คนนี้ไม่ได้หยิบยื่นสิ่งของหรือมีถ้อยคำปลอบโยนมาให้ แต่กลับดึงคอเสื้อลงเพื่ออวดแผลเป็นของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
‘เราผ่าตัดหัวใจมาล่ะ หมอบอกว่าถ้าโตอีกหน่อยจะใส่อุปกรณ์เพิ่มให้ เท่ใช่ไหม’
ท่าทางคุยโวกับรอยยิ้มแสนไร้เดียงสาหยุดน้ำตาได้อย่างน่าประหลาด ปียนุชจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นคุยอะไรกันบ้าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหายเศร้าได้อย่างไร รู้ตัวอีกทีเธอก็กลายเป็นดาวบริวารที่พร้อมจะโคจรรอบพระจันทร์ดวงน้อยไปเสียแล้ว
“นุชเห็นพระจันทร์ไหม” รสรินทร์ร้องเรียก
เธอคนนี้เป็นเด็กสาววัยไล่เลี่ยกันและเป็นดาวอีกดวงหนึ่งที่ยินยอมพร้อมใจโคจรรอบตัวพระจันทร์ หากนับตามความเป็นอยู่แล้ว รสรินทร์จัดว่ามีฐานะดีกว่าเด็กกำพร้าทุกคน เธอเป็นหลานของแม่ครัวใหญ่ที่นี่ ถึงเป็นกำพร้าก็ยังมีคุณป้าซึ่งเป็นโสดคอยดูแล เด็กสาวจึงไม่ได้มีชื่ออยู่ในสถานที่แห่งนี้ แม้ว่าจะกินอยู่หลับนอนที่นี่ก็ตาม
“อยู่นั่นไง” ปียนุชพยักพเยิดให้มองผ่านมุ้งลวดเข้าไป “มีอะไรรึเปล่า พระจันทร์คงไม่ถูกลงโทษใช่ไหม”
เธอถามเผื่อเอาไว้ก่อนเพราะแม่ตัวดีขยันสร้างเรื่องให้แม่อ้อยเอ็ดเสมอ
“ไม่หรอก แม่อ้อยไม่เห็นบ่นอะไร สั่งแค่ให้พวกเราสามคนรีบกินข้าว อาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วไปหาแม่ใหญ่ อ้อ! ให้ใส่ชุดนักเรียนนะ”
ที่สถานสงเคราะห์บ้านเด็กอบอุ่นแห่งนี้ ทุกคนจะเรียกเจ้าหน้าที่ว่า ‘แม่’ ตามด้วยชื่อเล่น เว้นแต่แม่ใหญ่ที่ไม่ได้ชื่อใหญ่ตามที่เรียก แต่ใหญ่ด้วยตำแหน่งผู้อำนวยการซึ่งมีอำนาจมากที่สุดในสถานที่แห่งนี้
แม่ใหญ่เป็นคนดีมีเมตตาแต่ก็เด็ดขาด จึงเป็นคนเดียวที่พระจันทร์ทั้งรักทั้งเกรง เด็กสาวกล้าเถียงพวกแม่ๆ คนอื่นได้อย่างไม่กลัว แต่กับแม่ใหญ่แล้วจะสงบปากสงบคำ อย่างมากก็แค่ทำทะเล้นใส่นิดหน่อยเท่านั้น
เมื่อรู้ว่าแม่ใหญ่เรียก พระจันทร์ก็สั่งให้เด็กที่โตที่สุดในห้องคอยดูแลน้องๆ ระหว่างที่รอให้แม่แหม่มซึ่งเป็นผู้ดูแลชั้นนี้กลับมาจากเข้าห้องน้ำ แล้วจึงตามพวกเพื่อนๆ ไปอาบน้ำแต่งตัว
หนึ่งชั่วโมงต่อมาทุกคนก็มายืนเรียงกันหน้าสลอนอยู่หน้าห้องแม่ใหญ่ เด็กสาวทั้งสามต่างก็พากันคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าแม่ใหญ่ตามตัวมาด้วยเรื่องอะไร พระจันทร์เดาเป็นคนแรกว่าอาจจะได้ติดตามแม่ใหญ่ไปไหนสักแห่ง พอรู้ว่ามีโอกาสได้เที่ยวก็อารมณ์ดี รสรินทร์เองก็คล้อยตามจึงยิ้มออก ผิดกับปียนุชที่อดคิดในทางร้ายไม่ได้
ตอนนี้ทุกคนอายุครบสิบสี่กันหมดแล้ว ตามกฎของที่นี่เด็กที่อายุเกินสิบห้าปีจะต้องถูกส่งไปอยู่ที่อื่นตามความเหมาะสม พวกเรียนต่อสายอาชีพจะถูกส่งไปอยู่ที่หนึ่ง สายสามัญก็จะถูกส่งไปอีกที่หนึ่ง แต่บางครั้งต่อให้เรียนสายเดียวกันก็ยังถูกส่งไปคนละที่ เพราะทุนที่ได้รับมาแตกต่างกัน
ปียนุชกลัวเหลือเกินว่าจะถูกจับแยกจากพระจันทร์ ตัวเธอเรียนได้ระดับกลางๆ แม้จะค่อนข้างไปทางดี แต่ก็ไม่ใช่ลำดับต้นๆ อย่างพระจันทร์กับรสรินทร์ ไม่มีทางสอบชิงทุนไปเรียนที่เดียวกับเพื่อนได้แน่
“ไม่ต้องกลัวน่านุช แม่ใหญ่ไม่ดุหรอก” พระจันทร์ปลอบ เด็กสาวจับมือเพื่อนทั้งสองเอาไว้ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องทำงานของแม่ใหญ่
ห้องทำงานของผู้อำนวยการมีพื้นที่กว้างขวางพอควร แบ่งเป็นมุมทำงานและมุมรับแขก แต่เด็กๆ ไม่เคยได้นั่งบนโซฟานุ่มเลยสักครั้ง เพราะส่วนใหญ่ถูกเรียกตัวมาด้วยธุระ จึงต้องยืนสำรวมไม่ก็นั่งตรงเก้าอี้พับที่วางเรียงเอาไว้หน้าโต๊ะทำงาน
“วันนี้แม่จะพาพวกเธอไปข้างนอก ระวังกิริยาด้วยล่ะ อย่าทำให้ขายหน้า” บงกชเอ่ยเมื่อเด็กสาวทั้งสามไหว้ทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว
“เราจะไปไหนกันคะแม่ใหญ่” พระจันทร์ถามขึ้นมาก่อน
“ไปบ้านของคุณหญิงท่านหนึ่ง ท่านอยากรับอุปการะปียนุชกับรสรินทร์”
“แล้วพระจันทร์ละคะแม่ใหญ่” ปียนุชเผลอถามออกไปเพราะไม่มีชื่อเพื่อนสนิทรวมอยู่ด้วย
“ท่านอยากรับดูแลแค่สองคนเท่านั้น”
“อ้าว! ในเมื่อพระจันทร์ไม่เกี่ยว ทำไมพระจันทร์ต้องไปด้วยละคะ” พระจันทร์ถามอย่างแปลกใจ
ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากออกไปเที่ยว แต่มันไม่ใช่วิสัยแม่ใหญ่ที่จะพาคนที่ไม่จำเป็นไปด้วย
“เธอน่ะไม่เกี่ยวก็จริงแต่ก็เรียนดี พอแม่พูดเรื่องของเธอไปคุณหญิงท่านเลยอยากพบ ทำตัวให้เรียบร้อยเข้าไว้ล่ะ ท่านจะได้เมตตา”
“รับทราบค่ะ พระจันทร์จะไหว้สวยๆ แล้วคลานเข่าเข้าไปหาอย่างดีเลย” เด็กสาวไม่พูดเปล่าแต่ยังไหว้โชว์แล้วย่อตัวลงราวกับนางงาม
เห็นท่าทีทะเล้นของพระจันทร์แล้วบงกชก็อดสำทับเสียงเข้มไม่ได้
“ระวังปากระวังคำด้วยนะพระจันทร์ อย่าทำให้แม่ขายหน้า”
พระจันทร์กลับมาสำรวมและยืนกรานว่าจะทำตามแต่โดยดี ถึงจะทะเล้นแต่เด็กสาวก็รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ชีวิตเด็กกำพร้าต้องดิ้นรนอยู่เสมอ ต้องนอบน้อมกับผู้ใหญ่ ในขณะเดียวกันก็ต้องแกร่ง ไม่เช่นนั้นก็จะถูกข่มเหง เด็กสาวซึ้งถึงสัจธรรมข้อนี้ดีจึงไม่เคยสร้างปัญหาต่อหน้ากลุ่มคนที่แม่ใหญ่เรียกว่า ‘ผู้มีพระคุณ’ หรือ ‘ผู้อุปถัมภ์’
บงกชเองก็รู้ดีเช่นกันว่าเด็กสาวมาดทะเล้นคนนี้เป็นอย่างไร ย้ำทีเดียวเป็นอันว่ารู้กันแล้ว เธอจึงไม่เอ่ยอะไรอีก ผิดกับปียนุชที่อดเตือนพระจันทร์อย่างเป็นห่วงไม่ได้ เธอเอาแต่พร่ำบอกให้พระจันทร์ทำตัวดีๆ วางตัวให้คุณหญิงท่านเมตตา เผื่อท่านจะเปลี่ยนใจยอมอุปการะด้วย
นิสัยแม่แก่ช่างบ่นของปียนุชทำให้พระจันทร์หัวเราะ แต่รสรินทร์นั้นไม่ชอบเอาเลย เธอมีคุณป้าที่แสนจะจู้จี้ขี้บ่น จึงไม่อยากถูกเพื่อนอบรมอีก ความที่กลัวว่าปียนุชจะเผื่อแผ่ความปรารถนาดีมาให้ตัวเองด้วย เลยแกล้งเดินรั้งท้ายเว้นระยะห่าง
ในตอนนั้นเองที่สายตาของเด็กสาวเหลือบไปเห็นบางอย่างที่ทำให้ใจหายวาบ เธอมองเห็นว่าพระจันทร์ไม่มีเงาหัว รสรินทร์ขยี้ตาแล้วพยายามเพ่งอีกครั้ง ทว่าพระจันทร์ผู้ปราดเปรียวกลับวิ่งขึ้นรถตู้ไปเสียแล้ว เลยได้แต่ปลอบตัวเองว่าคงตาฝาดไป เด็กสาวเก็บความไม่สบายใจไว้กับตัว โดยไม่รู้เลยว่าลางร้ายกำลังจะกลายเป็นจริงในไม่ช้า
นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 พ.ค. 2556, 23:31:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 พ.ค. 2556, 23:31:50 น.
จำนวนการเข้าชม : 2835
บทที่ 2 คุณหญิงศีตภา >> |
คิมหันตุ์ 19 พ.ค. 2556, 01:24:00 น.
พออ่านตรง tags บอกว่าพระเอกในเรื่องไม่รู้เป็นใคร บร๊ะ!!! หัวใจคนอ่านทำงานหนักอีกแล้วสิคะ ฮ่า
พออ่านตรง tags บอกว่าพระเอกในเรื่องไม่รู้เป็นใคร บร๊ะ!!! หัวใจคนอ่านทำงานหนักอีกแล้วสิคะ ฮ่า
goldensun 19 พ.ค. 2556, 13:47:47 น.
Tags ชวนจิ้นซะจริง สรุปว่าพระจันทร์ฝันซ้อนฝันใช่มั้ยคะ
เรื่องนี้ท่าทางจะมีหนุ่มๆให้เลือกเยอะ
Tags ชวนจิ้นซะจริง สรุปว่าพระจันทร์ฝันซ้อนฝันใช่มั้ยคะ
เรื่องนี้ท่าทางจะมีหนุ่มๆให้เลือกเยอะ
Zephyr 22 พ.ค. 2556, 20:04:15 น.
อั้ยยะ มางานหนักอีกละโน้มจัง
ใครกันหนอ ในหลายๆหนุ่ม เฟอร์จะหาคนที่โน้มจังจะ...... ทรมานมากที่สุดเลย
เอ๊ หรือให้เป็นเกมส์ ดี เดาๆๆๆๆ กันไปสักครึ่งๆ เรื่องค่อยเฉลย แจกหนังสือ ดีมะ 555
อั้ยยะ มางานหนักอีกละโน้มจัง
ใครกันหนอ ในหลายๆหนุ่ม เฟอร์จะหาคนที่โน้มจังจะ...... ทรมานมากที่สุดเลย
เอ๊ หรือให้เป็นเกมส์ ดี เดาๆๆๆๆ กันไปสักครึ่งๆ เรื่องค่อยเฉลย แจกหนังสือ ดีมะ 555
ผักหวาน 23 พ.ค. 2556, 10:32:47 น.
น่าอ่านจริงๆ ค่ะ
น่าอ่านจริงๆ ค่ะ
ชะนีน้อยนานา 12 ส.ค. 2556, 20:45:32 น.
เข้ามารายงานตัวค่ะ อยากอ่าน ^_^
เข้ามารายงานตัวค่ะ อยากอ่าน ^_^