ความรักของเปลือกไข่
เธอ...หลงรักคนๆ หนึ่งอยู่หลายปี ถูกกำหนดให้เป็นเพียงแค่เปลือกไข่ที่คอยปกป้องสิ่งที่อยู่ข้างในโดยไม่เต็มใจ
เขา...หลงรักเปลือกใข่ที่ภายนอกดูแข็งแรง แต่พร้อมที่จะแตกสลายได้ตลอดเวลา
เขา...หลงรักเปลือกใข่ที่ภายนอกดูแข็งแรง แต่พร้อมที่จะแตกสลายได้ตลอดเวลา
Tags: ความรัก สามคน โปรแกรมเมอร์
ตอน: ตอนที่ 4
เป็นอีกวันที่อากาศตอนเช้าช่างสดชื่น ขิงตั้งใจตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อจัดเตรียมข้าวของทั้งของกินระหว่างทางและของใช้จำเป็นต่างๆ ถึงแม้ไปแค่ใกล้ๆ และแอมป์ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ค้าง แต่เธอก็ยังคงเตรียมเสื้อผ้าไปหนึ่งชุด เผื่อว่าเธอนึกอยากเล่นน้ำขึ้นมาจะได้มีเสื้อผ้าไว้เปลี่ยน หญิงสาวในชุดไปรเวทสบายๆ อย่างเสื้อเชิ้ตพอดีตัวกับกางเกงขาสั้นดูแล้วเหมือนผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ที่ทำให้รู้ว่าเป็นผู้หญิงก็เห็นจะมีแต่ผมที่ยาวถึงกลางหลังนี่แหละที่สามารถระบุได้
แอมป์ขับรถมาจอดหน้าบ้านเธอก่อนเวลานัดเล็กน้อย หญิงสาวจึงรีบวิ่งไปบอกคนเป็นแม่ก่อนเธอจะออกไปเที่ยวกับชายหนุ่ม ซึ่งทางมารดาของเธอก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วกับชายหนุ่ม จึงบอกลูกเพียงแค่ให้ระวังตัวอย่าไปทำซุ่มซ่ามแถวทะเลเท่านั้น
ทั้งคู่ทักทายกันสองสามคำ ก่อนจะออกรถไปตามทางที่จะไป แต่แล้วรถที่เธอคิดว่าจะมุ่งตรงไปที่ทะเลเลยกลับเลี้ยวไปอีกทางที่นึกยังไงก็ไม่สามารถทะลุไปทางชลบุรีได้
“แอมป์จะไปไหนน่ะ ไม่ได้ไปชลบุรีเหรอ”
“ไปสิ ไปชลบุรีอย่างที่บอกแต่ตอนนี้สมาชิกยังไม่ครบ” เขาหันมายักคิ้วบอกเธอก่อนจะหันกลับไปมองถนนตรงหน้าอีกครั้ง ปล่อยให้ความสงสัยเกาะกุมที่หัวใจเธอเงียบๆ
หวังว่าคราวนี้ลางสังหรณ์ของเธอคงไม่แม่นเหมือนทุกครั้งนะ...
หากความหวังนั้นต้องดับสลาย เมื่อเพื่อนเธอแวะมารับสมาชิกอีกคนที่เป็นเด็กฝึกงานในความดูแล ศศิยืนยิ้มรออยู่หน้าบ้านพร้อมกับอุ้มสุนัขตัวเล็กๆ ไว้ในอ้อมแขน ดูแล้วบอบบางและรักสัตว์ขนาดนี้ น้องคนนี้ช่างเป็นผู้หญิงในฝันของใครหลายคนเสียเหลือเกิน และเธอก็คิดว่าคนที่มารับเธอก็คงหนีมนต์สะกดนี้ไม่ได้ด้วย
“รอนานมั้ยศศิ” แอมป์เอ่ยถามคำแรกตั้งแต่เจอหน้า เสียงทุ้มที่ดูแปลกหูไปทำให้เธอต้องหันไปมองเพื่อนอีกครั้งว่าใช่เพื่อนเธอพูดจริงๆ ไหม
“ไม่นานหรอกค่ะ ศศิเพิ่งเดินออกมายืนรอ แล้วพี่แอมป์กับพี่ขิงก็มาพอดี นี่เราจะไปกันเลยมั้ยคะ ศศิจะได้ไปบอกพ่อกับแม่ก่อน”
“ไปเลยสิ เดี๋ยวได้เที่ยวแป๊บเดียวนะ”
หลังจากรับปากกับทางผู้ปกครองของศศิเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าจะดูแลให้ ทั้งสามก็มุ่งหน้าสู่ชลบุรีโดยไม่มีอะไรมาขัดอีกต่อไป ขิงยังคงนั่งข้างหน้าคู่กับคนขับส่วนหญิงสาวอีกคนก็ขอตัวนั่งข้างหลังเพราะนั่งรถทีไรเป็นต้องหลับทุกที ดังนั้นเธอจึงขอนอนหลับข้างหลังไปจนถึงชลบุรี ภายในรถจึงเสียงพูดคุยกันแค่สองคนข้างหน้าเท่านั้น
หาดบางแสนเต็มไปด้วยผู้คนทั้งต่างชาติและคนไทยที่พร้อมใจกันมาพักผ่อน เพราะสะดวกในการเดินทางมากที่สุดสำหรับคนที่ชอบทะเล แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบผู้คนอย่างแอมป์ก่อนมาคงคิดหนักพอดูแต่ด้วยความที่แค่อยากพักผ่อนสมองมองธรรมชาติมากกว่าที่จะอุดอู้อยู่ในเมืองโดยที่ไม่อยากค้างแรมที่อื่น หาดบางแสนจึงเป็นคำตอบที่เขาพอใจในระดับหนึ่ง แดดที่ร้อนราวกับจะเผาทุกอย่างให้สุกได้ภายในครึ่งชั่วโมงทำให้ขิงที่ลงมาจากรถต้องรีบวิ่งหาที่ร่มเพื่อหลบก่อนจะค้นครีมทากันแดดในกระเป๋าตัวเองออกมาทาก่อนจะยื่นให้อีกสองคนที่เดินตามมา ทั้งสามตัดสินใจเลือกเก้าอี้ที่วางอยู่เกลื่อนหาดพร้อมกับร่มที่ปักทรายไว้กันแดด แต่ทุกคนก็รู้ดีว่ามันอบความร้อนไว้ขนาดไหน แล้วสั่งของกินเล่นสองสามอย่างมาวางไว้พร้อมกับน้ำมะพร้าวที่คนขายโฆษณานักหนาว่าหวานหอมชื่นใจ
แอมป์เหลือบมองศศิเป็นระยะทุกๆ สองนาทีราวกับมีเรื่องอะไรจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา นัยน์ตาของชายหนุ่มมีความลังเลอยู่เต็มเปี่ยม ยิ่งเขาออกอาการอ้าปากแล้วหุบลงดังเดิมอยู่ประมาณสี่ห้าครั้ง ขิงก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าเพื่อนคงมีอะไรอยากพูดกับน้องฝึกงานคนนี้ หญิงสาวลอบถอนหายใจเล็กน้อยอย่างเบื่อหน่าย ไม่ว่าเมื่อไหร่เธอก็ยังคงต้องช่วยเพื่อนเช่นนี้วนไปวนมาแล้วกลับมาที่เดิน เธอทำท่าลุกจากที่นั่งแล้วบอกกับอีกสองคนที่เหลือว่าจะเดินไปดูอะไรแถวนี้ แล้วเลี่ยงออกมาอย่างรวดเร็ว
หญิงสาววาดมือมากอดตัวเองหลวมๆ ทั้งที่อากาศร้อนขนาดนี้แต่เธอกลับรู้สึกสั่นและหนาวไปถึงหัวใจ ธรรมชาติข้างทางทั้งทะเลและชายหาดไม่ได้ทำให้เธอดีขึ้น แม่ค้าที่นั่งเรียงรายกันอยู่ต่างพากันเรียกลูกค้าเสียงดังก็ไม่ทำให้เธอสนใจแต่อย่างใด สิ่งที่อยู่ในความคิดตอนนี้มีเพียงแค่... แอมป์ต้องการจะพูดอะไรกับศศิ
เป็นเวลานานกว่าขิงจะเดินกลับมาที่เดิม หญิงสาวเดินไปจนสุดหาดและนั่งอยู่ที่นั่งพักใหญ่กว่าจะตัดสินใจเดินกลับมา เธอก็เริ่มหันหน้าไปทางเพื่อนแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม พอกลับมาเห็นใบหน้าของเพื่อนที่มีรอยยิ้มน้อยๆ ติดอยู่บนริมฝีปาก แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากสายตากรุ้มกริ่ม หลังจากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเพื่อนอีก ขิงหันไปส่งยิ้มให้ศศิอย่างเป็นมิตรก่อนจะเปิดหัวข้อสนทนากัน เธอสังเกตได้หนึ่งอย่างจากการพูดคุยคือน้องมักเหลือบสายตามองไปทางเพื่อนของเธอมากกว่าที่จะคุยกับเธอแล้วทำท่าทางเขิน เท่านั้นขิงก็ชักเริ่มจับต้นชนปลายถูก
“มีเรื่องอะไรที่แอมป์อยากบอกเรารึเปล่า” ขิงเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางความเงียบระหว่างทางกลับบ้านเธอ หลังจากส่งศศิที่บ้านเรียบร้อยแล้ว เธอไม่แน่ใจเลยสักนิดว่าควรถามแบบนี้ไหม ไม่แน่ใจว่ามีสิทธิ์ถามหรือเปล่าแต่ที่ถามออกไปแบบนั้นอาจเป็นเพราะอยากตอกย้ำให้ตัวเองเจ็บอย่างที่สุดจะได้ทำใจทีเดียว
“ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ” คนถูกถามตอบกลับด้วยคำถาม เสียงทุ้มพูดกลั้วหัวเราะแล้วหันมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “เราเหมือนคนปิดบังอะไรไว้งั้นเหรอ”
“ก็ตอนอยู่บางแสนแอมป์หันมามองเราเหมือนจะบอกอะไรสักอย่างแล้วก็ไม่พูดเราก็งงน่ะสิ ตกลงมีอะไรบอกรึเปล่าถ้าไม่มีอะไรก็ช่างมันเถอะ”
“โธ่ๆ อย่าเพิ่งงอนสิจ๊ะคนสวย” คนที่จู่ๆ ก็ถูกงอนทำเสียงง้อแทบไม่ทัน ก่อนจะกระแอมทำเสียงให้ดูจริงจังมากขึ้นอีกนิด “เราตกลงคบกับน้องศศิแล้วนะ“
คนฟังน้ำตาปริ่มที่ขอบตาทันที ขิงกำมือแน่นกับชายเสื้อตัวเองอย่างที่ไม่ต้องการแสดงออกอาการใดๆ ให้คนข้างตัวรู้ กระพริบตาถี่ๆ เพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา ความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นภายในหัวใจอย่างที่เคยสามารถทนได้มากกว่านี้แต่คราวนี้กลับเจ็บเจียนตาย หญิงสาวเงียบไปนานจนคนบอกต้องเรียกเพื่อความแน่ใจว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร
“ขิงๆ เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมเงียบไป”
“เปล่า” คนเจ็บเจียนตายตอบแบบพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น เธอไม่แน่ใจว่าเพื่อนจะรู้สึกถึงน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปหรือไม่ ตอนนี้เธออยากไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่อยากแม้แต่หันไปมองหน้าคนที่อยู่ในใจตลอดมา
“ถึงบ้านแล้วขิง”
“ขอบใจนะ” คำขอบคุณแผ่วเบาดังผ่านริมฝีปากบาง คนได้รับคำขอบใจทำเพียงพยักหน้าแต่ไม่ได้รู้เลยว่าหญิงสาวไม่ได้ขอบใจเพียงแค่ที่เขามาส่งที่บ้าน หรือที่พาไปเที่ยวมา แต่กลับรวมไปถึงขอบใจที่ทำให้เธอรู้ว่าเธอไม่มีสิทธิ์เป็นอะไรของเขาได้นอกจากเพื่อน “ขับรถดีๆ ล่ะ”
พูดจบหญิงสาวก็รีบหันตัวกลับเดินเข้าบ้านอย่างไม่เหลียวกลับมามองอย่างเคย น้ำตาที่ไหลอาบแก้มทำให้เธอต้องรีบเดินเข้าบ้านเข้าไปหาอ้อมกอดของมารดาที่นั่งรอเธอกลับบ้านอยู่ ขิงไม่พูดอะไรนอกจากสะอื้นกับอ้อมอกอุ่น แม้ว่าแม่จะถามเธอสักกี่คนก็มีเพียงการส่ายศีรษะตอบกลับเท่านั้น คนเอาคนเป็นแม่หนักใจเพราะปกติหากไม่หนักหนาจริงๆ ลูกสาวเธอคงไม่ร้องไห้
ตั้งแต่เย็นวานคนถึงช่วงสายของอีกวัน ยังคงไม่มีอะไรตกถึงท้องขิงนอกจากน้ำเปล่าเล็กน้อย หญิงสาวนั่งหงอยอยู่หน้าบ้านเพียงลำพัง ส่วนมารดาออกไปทำบุญที่วัดแต่เช้ากับคนที่เธอนับถือเป็นคุณลุง ความเศร้ายังคงหลงเหลืออยู่ภายในใจเธออย่างที่คิดจะกำจัดอย่างไรก็ไม่สามารถทำได้ หญิงสาวนั่งมองโทรศัพท์มือถือของตนอย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจกดหาหมายเลขปลายทางของกฤษณ์
“บอสคะ” หญิงสาวเอ่ยเมื่อได้ยินเสียงทุ้มตอบรับจากปลายทาง “วันพักร้อนของขิงเหลืออยู่ ขิงขอพักร้อนซักห้าวันนะคะ”
“เป็นอะไรรึเปล่าเรา เสียงหงอยๆ ชอบกลนะ”
“เปล่าค่ะ ขิงสบายดีแต่พอดีอยากพาแม่ไปเที่ยวน่ะค่ะเลยว่าจะพักร้อน” พอเอ่ยอ้างไปถึงมารดาทำให้เธอต้องรู้สึกผิดภายในใจกับสิ่งที่ดึงบุพการีมาโกหกด้วย ขิงรู้สึกว่าตัวเองกลั้นลมหายใจเล็กๆ เมื่อกฤษณ์เงียบเสียงไปลุ้นอยู่ในทีว่าหัวหน้าจะให้ลาไหม
“ไปเถอะ งานเราไม่รีบใช่ไหม”
“ไม่รีบค่ะพี่ ขอบคุณมากค่ะ ไว้ขิงจะเอาสาวๆ มาฝากนะคะ”
“ไม่เป็นไร ถ้าหาของฝากลำบากมาก ก็ไม่ต้องก็ได้” คนเป็นหัวหน้ากระแอมแล้วปรับเสียงให้เข้มอีกนิด เพื่อขู่ให้ลูกน้องสาวได้กลัวบ้าง แต่มันกลับไม่เป็นผลด้วยเธอทราบดีว่าเจ้านายของเธอไม่เคยดุเลยสักนิด
เจ้านายกับลูกน้องทำข้อตกลงกันอีกเล็กน้อย ก่อนที่ขิงจะเป็นฝ่ายขอตัววางสายในที่สุด ทำงานบริษัทเล็กๆ ก็ดีแบบนี้ แบบแผนต้องมีมากมาย แถมถ้ายิ่งสนิทกับเจ้าของแบบเธอด้วยแล้วยิ่งคุยง่ายใหญ่ แทบไม่ต้องบอกเหตุผลจริงๆ เลยด้วยซ้ำว่าเธอขอลาหยุดทำไมทั้งๆ ที่ตั้งแต่ทำงานมาหากไม่ใช่ลาป่วยแล้ว ขิงขอลางานน้อยมาก
ทุกคนต่างเดินสะโหลสะเหลเข้าออฟฟิศมาเพื่อต้อนรับวันแรกของการทำงานในหนึ่งอาทิตย์ เพราะยังเช้าอยู่มากสำหรับการมาทำงาน ดังนั้นพอเจอหน้ากันทุกคนจึงทำเพียงแค่ยิ้มให้กันเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกันไปตามโต๊ะทำงานที่แบ่งเป็นสัดส่วนเอาไว้ตามความต้องการของท่านประธานบริษัทหรือที่ทุกคนเรียกว่าบอส
สายของวันนั้นกฤษณ์เดินออกมาจากห้องทำงาน เพื่อดูแลและพูดคุยกับลูกน้องอย่างที่ทำเป็นประจำ ชายหนุ่มเดินรอบพื้นที่ก่อนจะมองไปยังโต๊ะทำงานของพนักงานคนโปรด เขาเป็นชายหนุ่มกับเด็กฝึกงานของเขากำลังหัวเราะกันอย่างมีความสุข แม้เขายืนไกลพอสมควรยังสามารถรับรู้ได้ถึงพลังความสุขที่ออกมาจากคนทั้งคู่ แอมป์ยังคงคอยสอนศศิในเรื่องการเขียนโปรแกรมอย่างเคย สังเกตได้จากการใช้นิ้วชี้ชี้ในจุดที่อยู่ในหนังสือราวกับกำลังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แต่เขาดูอย่างไรภาพที่เห็นก็ไม่ใช่เพียงแค่อาจารย์กับลูกศิษย์ คนเฝ้าสังเกตการณ์ถอนหายใจอย่างเงียบๆ นึกไปถึงคนที่โทรศัพท์มาขอลางานกับเขา นึกอยู่แล้วเชียวว่ามันต้องมีอะไรแปลกๆ แต่เขากลับไม่ได้เอะใจในเรื่องนี้เลยสักนิด อย่างน้อยหากเขานึกได้ขิงอาจไม่ต้องหนีหน้าหรือทำตัวหายไปเช่นนี้
“เป็นอะไรไปครับบอส ทำหน้าเหมือนคนท้องผูก”
“อ้าวภพ”
“ครับ ผมเอง บอสมีอะไรรึเปล่า ผมเห็นยืนมองไอ้แอมป์มันนานแล้วนะ” คนช่างสังเกตหรี่ตามองคนตรงหน้า มือก็คนแก้วกาแฟไปด้วย อย่าไม่นึกกลัวใดๆ เพราะอายุระหว่างเขาและกฤษณ์ห่างกันเพียงสองปี
“ผมเห็นแอมป์กับศศิแล้วรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย คุณรู้อะไรบ้างไหม”
“อ๋อ ถ้าบอสหมายถึงว่าสองคนนั้นอะจี๋ยๆ กัน...”
“ผมหมายถึงว่าเขาเป็นแฟนกันเหรอ” คนเป็นหัวหน้ารีบแก้ก่อนที่ความเข้าใจใดๆ จะเลยเถิด แต่สายตาก็ยังไม่ละจากทั้งคู่
“ก็คิดว่านะครับ พอดีเมื่อเช้าผมเดินตามหลังสองคนนั้นมา เห็นจับมือกันเดินแต่พอมาถึงหน้าประตูก็ปล่อยมือแล้วต่างคนต่างเดิน คงยังไม่อยากให้ใครรู้มั้งครับ”
กฤษณ์พยักหน้าเงียบๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องทำงานตนเอง ชายหนุ่มนึกไปถึงหญิงสาวอีกคนที่คงรู้เรื่องเรียบร้อยแล้ววันนี้เลยไม่ยอมมาทำงาน ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง จะว่าสงสารก็คงมีบ้าง แต่เรื่องหัวใจของใครก็ของมัน เขาคงทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนมองอยู่ห่างๆ แค่อย่าให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาทำให้งานเขาพังก็พอ
“พี่แอมป์คะ วันนี้พี่ขิงไม่มาทำงานเหรอ ศศิไม่เห็นเลย” คนถูกถามชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองโต๊ะของเพื่อนที่เรียบสะอาดอย่างที่ไม่ได้ใช้งานอะไร
“คงออกไปทำงานข้างนอกมั้ง ขิงไม่ได้โทรมาบอกอะไรพี่ด้วยสิ”
“ปกติพี่ขิงจะบอกพี่แอมป์ก่อนด้วยเหรอคะ”
“ก็ส่วนใหญ่อ่ะนะ” เขาตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ ความจริงพักหลังๆ มานี้ขิงไปไหนไม่ค่อยได้โทรศัพท์มาบอกเขาเท่าไหร่ อาจเพราะต่างคนต่างมีหน้าที่รับผิดชอบไม่เหมือนกัน เวลาทำงานต่างๆ จึงไม่ค่อยได้พูดคุยกันนัก “ถามทำไมล่ะเรา”
“เปล่าค่ะไม่มีอะไร ศศิแค่สงสัย”
“ทำงานได้แล้ว อย่าสงสัยอะไรให้มันมากนัก” คนพูดไม่พูดเปล่าแต่ยกมือขึ้นผลักศีรษะน้อยๆ ที่ถูกปกคลุมด้วยผมยาวนุ่มเบาๆ อย่างเอ็นดู “เดี๋ยวพี่มานะ”
แอมป์เดินตรงจากโต๊ะทำงานตัวเองผ่านโต๊ะเพื่อนหวังว่าจะเจอโน้ตอะไรที่ส่งถึงตนเองแต่ก็ไม่มี เขาถือโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดหาเพื่อนแต่ก็ได้เสียงตอบรับให้ฝากข้อความเอาไว้แทน ความเป็นห่วงที่มีอยู่บ้างเพราะคบกันมานานเริ่มเพิ่มขึ้น เพราะปกติเพื่อนไม่เคยหายตัวไปเฉยๆ ความคิดของชายหนุ่มตีกันยุ่งจนต้องเลยไปถึงห้องของกฤษณ์ เขาเคาะประตูเป็นสัญญาณก่อนจะเปิดเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงอนุญาต แอมป์ยกมือไหว้คนเป็นหัวหน้าเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าเจ้าของห้องที่เงยหน้าขึ้นมามอง
“มีปัญหาอะไรรึเปล่าแอมป์”
“เปล่าครับ คือผมแค่จะมาถามอะไรนิดหน่อย”
“ว่ามาสิ” คนเป็นเจ้านายวางปากกาลง เปลี่ยนท่าเป็นพิงพนักเก้าอี้ให้สบายที่สุด มองหน้าคนถามอย่างตั้งใจฟัง
“วันนี้ขิงไปทำงานข้างนอกเหรอครับ”
“แล้วแอมป์โทรไปถามขิงรึยัง”
“โทรแล้วครับ แค่ขิงปิดเครื่อง” คนรับฟังพยักหน้า นึกห่วงลูกน้องสาวอยู่เหมือนกันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรให้คนตรงหน้ารู้สึก “บอสพอจะบอกผมได้มั้ยครับว่าขิงไปไหน เค้าบอกอะไรบอสรึเปล่า”
คนถูกถามเงียบไป มือที่อยู่นิ่งเมื่อครู่เริ่มจับปากกาขึ้นมาเคาะโต๊ะอย่างใช้ความคิดว่าจะบอกลูกน้องหนุ่มตรงหน้าดีหรือไม่ เขาพอมองออกว่าแอมป์คงเป็นห่วงเพื่อนจริงๆ เพราะนี่เป็นเรื่องผิดปกติอย่างที่สุดที่ไม่เคยเกิดขึ้นระหว่างเขาและขิง “ขิงขอลาพักร้อนห้าวัน”
“อะไรนะครับ ลาพักร้อน” เสียงของแอมป์ดังขึ้นแทบจะกลายเป็นตะโกน ไม่ใช่เรื่องปกติที่เพื่อนของเขาจะลาพักร้อนรวดเดียวห้าวันเช่นนี้ หนำซ้ำยังไม่บอกเขาอีกต่างหาก “ขิงบอกบอสเมื่อไหร่ครับ”
“เมื่อวาน” แอมป์นิ่งไปอย่างที่กฤษณ์สังเกตได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเนื่องจากเป็นเรื่องระหว่างลูกน้องของเขาสองคน
“ขิงเป็นอะไรรึเปล่าครับบอส คือผมหมายถึงว่าน้ำเสียงหรือคำพูดหรืออะไรก็ได้ที่ผิดปกติ”
“ก็... ไม่มีนะ เห็นบอกจะพาแม่ไปเที่ยวเลยหยุดยาวหน่อย”
“แม่ขิงชอบอยู่บ้านจะตาย” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ หงุดหงิดตัวเองที่ทุกอย่างที่รู้ล้วนไม่สอดคล้องกันโดยสิ้นเชิง แต่ก็ไม่มีโอกาสได้คิดต่อเมื่อเจ้าของห้องเริ่มไล่เขาออกมาเพื่อจะได้ทำงานต่อ
“หายไปไหนมาคะพี่แอมป์” เด็กฝึกงานคนสวยเอ่ยปากถามเป็นทันทีที่เห็นเขาเดินมาถึงโต๊ะ “มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่าคะ”
“อ๋อ เปล่าๆ ไหนอ่านถึงไหนแล้ว มีอะไรจะถามพี่รึเปล่า”
“ค่ะ ตรงนี้ค่ะ ศศิงงนิดหน่อย ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร อ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ”
แอมป์หยิบหนังสือขึ้นมาดูตรงจุดที่แฟนสาวชี้ไว้ แล้วเริ่มอธิบายทั้งหมดอย่างละเอียดเพื่อให้คนตรงหน้าเข้าใจให้มากที่สุด เพราะอย่างไรเสียศศิก็ยังคงอยู่ในความดูแลของเขา ใบหน้าหวานที่ตั้งใจฟังเขาอธิบายทำให้เขาเกิดนึกหมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัด มือใหญ่เอื้อมมือไปบีบจมูกเล็กอย่างแกล้งๆ ก่อนจะถอยออกหาระยะมือพิฆาตแล้วหัวเราะเบาๆ เพื่อไม่ให้รบกวนเพื่อนร่วมงานคนอื่น จนหญิงสาวทำหน้างอง้ำพร้อมกับหันหลังไม่สนใจคนขี้แกล้ง
“โอ๋ๆ อย่างอนเลยนะ พี่ขอโทษบีบแรงไปหน่อย ไหนจมูกเบี้ยวรึเปล่า มาดูซิ” มือใหญ่เอื้อมจับหน้าเล็กเบาๆ ให้หันมา ก่อนจะมีโอกาสได้สบตากันจริงๆ เมื่อเจ้าของใบหน้าช้อนตาขึ้นมามอง ระยะเวลาเพียงเล็กน้อยแต่ในใจของคนทั้งคู่ราวกับนานนับชั่วโมง ในที่สุดชายหนุ่มก็เป็นคนรู้สึกตัวก่อน ชายหนุ่มกระแอมเรียกสติตัวเองเล็กน้อยก่อนจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำที่หากใครเห็นก็คงดูออกว่ามีพิรุธเต็มๆ
บ่ายสามของวันคงยังไม่ใช่เวลากลับบ้านของใครบางคน แต่กลับเป็นเวลากลับบ้านของออฟฟิศนี้ แอมป์นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถยนต์ ใช้สมาธิกับการจราจรบนถนนที่ยังไม่ติดขัดมากนักปล่อยให้คนนั่งข้างๆ ค้นหาซีดีเพลงในช่องเก็บอย่างเพลิดเพลิน ศศิค่อยๆ ดึงแผนซีดีที่อยู่ในช่องออกกมาทีละแผ่นก่อนจะไล่ดูเพลงไปเรื่อยๆ ว่ามีเพลงไหนน่าสนใจบ้างจนมาถึงแผ่นที่อยู่ช่วงกลางของกลุ่ม กล่องซีดีใสที่ไม่มีใบแปะทั้งหน้าทั้งหลัง มีข้อความบนแผ่นที่บ่งบอกได้แค่ตัวมันคือซีดีเพลง มือบางหยิบขึ้นมาพลิกหน้าพลิกหลังก่อนจะหันไปหาเจ้าของรถ
“แผ่นนี้เพลงอะไรคะ” แอมป์หันมองเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองบนถนนต่อ
“ซีดีเพลงที่ขิงเคยไรท์ให้พี่น่ะ แต่เพลงมันเก่าแล้วนะ”
ศศินิ่งไปเล็กน้อย เพลงเก่าไม่เก่าเธอไม่สนใจอยู่แล้ว สิ่งที่ดึงความสนใจของเธอที่มากกว่าก็คือคนที่ทำให้มีซีดีแผ่นนี้มากกว่า เธออยากรู้ว่าขิงไรท์เพลงอะไรให้แฟนของเธอฟังบ้าง ด้วยความอยากรู้ที่มีอยู่เต็มเปี่ยม หญิงสาวสอดแผ่นซีดีเข้าไปในช่องของเครื่องเล่นก่อนจะปล่อยให้เพลงเล่นไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดเอาเพลงหนึ่งที่มีเนื้อหาของการแอบรักใครสักคน หากคิดในทางที่ดีเธอก็สามารถคิดได้ว่ามันเป็นเพลงที่อยู่ในกระแสช่วงนั้นพอดี แต่หากคิดในแง่ร้ายจริงๆ นั่นคือขิงตั้งใจใส่เพลงนี้มาบอกความนัยให้แฟนเธอฟังหรือเปล่านะ
“พี่ขิงเค้าไรท์เพลงให้พี่แอมป์บ่อยมั้ยคะ”
“ก็ไม่นะ ถ้าพี่ไม่ขอขิงก็ไม่ไรท์ให้หรอก” คำตอบของชายหนุ่มทำให้เธอแอบโล่งอกอยู่บ้าง ว่าอาจเป็นแค่ความบังเอิญที่เพลงนี้มาอยู่ในแผ่น “มีอะไรรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร ว่าแต่พี่แอมป์จะพาศศิไปไหนคะ” เธอรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่ชายหนุ่มจะเกิดข้อสงสัย
“พี่จะพาไปหาของกินไปมั้ย”
“ไปค่ะ” เธอตอบอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มที่เกลื่อนอยู่เต็มหน้า ภาพนั้นทำเอาใจของแอมป์เขวไปเล็กน้อยก่อนจะกลับมาตั้งสมาธิขับรถอีกครั้ง
“อย่ายิ้มแบบนี้กับใครอีกนะศศิ” คนที่จู่ๆ ก็โดนห้ามชะงัก รีบเก็บรอยยิ้มแล้วมองหน้าคนห้ามอย่างสงสัย
“ทำไมคะ หรือศศิยิ้มน่าเกลียด”
“เปล่า ศศิยิ้มน่ารักไปต่างหาก พี่ไม่อยากให้ใครเห็น” แอมป์ตอบด้วยเสียงอ่อนหวาน หันมาส่งยิ้มให้คนที่นั่งเขินหน้าแดงอยู่ ก่อนจะเอื้อมมือข้างที่ว่างมาจับมือนุ่มไว้ ภายในรถที่มีเพียงแค่เสียงเพลงคลอเบาๆ ทำเอาบรรยากาศโรแมนติกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้แม้ภายนอกรถจะวุ่นวายเพียงไหน แต่หากตอนนี้ทั้งคู่กลับรู้สึกว่าในโลกมีเพียงเขาทั้งสองคนเท่านั้น
+++++++++
ใครหมั่นไส้นายแอมป์บ้างเอ่ย? ยกมือขึ้นสูงๆ แสดงตัวกันหน่อยค่ะ ฮาาาา
ช่วงนี้มัวแต่ทำงานส่งอาจารย์ มิณทิมาอาจหายไปบ้างไม่ว่ากันนะคะ
แต่ยังไงจะพยายามมาทุกวันเลยค่ะ ^3^)
=========
คุณคิมหันตุ์ : นายแอมป์นี่ไม่ไหว นิสัยไม่ดีเลยเนอะ จัดการยังไงดีคะ :)
คุณmhengjhy : อ่านตอนนี้ได้คำตอบแล้วนะคะ ว่าแต่เพิ่มความหมั่นไส้ขึ้นอีกมั้ยน้อ ฮาาาา
แอมป์ขับรถมาจอดหน้าบ้านเธอก่อนเวลานัดเล็กน้อย หญิงสาวจึงรีบวิ่งไปบอกคนเป็นแม่ก่อนเธอจะออกไปเที่ยวกับชายหนุ่ม ซึ่งทางมารดาของเธอก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วกับชายหนุ่ม จึงบอกลูกเพียงแค่ให้ระวังตัวอย่าไปทำซุ่มซ่ามแถวทะเลเท่านั้น
ทั้งคู่ทักทายกันสองสามคำ ก่อนจะออกรถไปตามทางที่จะไป แต่แล้วรถที่เธอคิดว่าจะมุ่งตรงไปที่ทะเลเลยกลับเลี้ยวไปอีกทางที่นึกยังไงก็ไม่สามารถทะลุไปทางชลบุรีได้
“แอมป์จะไปไหนน่ะ ไม่ได้ไปชลบุรีเหรอ”
“ไปสิ ไปชลบุรีอย่างที่บอกแต่ตอนนี้สมาชิกยังไม่ครบ” เขาหันมายักคิ้วบอกเธอก่อนจะหันกลับไปมองถนนตรงหน้าอีกครั้ง ปล่อยให้ความสงสัยเกาะกุมที่หัวใจเธอเงียบๆ
หวังว่าคราวนี้ลางสังหรณ์ของเธอคงไม่แม่นเหมือนทุกครั้งนะ...
หากความหวังนั้นต้องดับสลาย เมื่อเพื่อนเธอแวะมารับสมาชิกอีกคนที่เป็นเด็กฝึกงานในความดูแล ศศิยืนยิ้มรออยู่หน้าบ้านพร้อมกับอุ้มสุนัขตัวเล็กๆ ไว้ในอ้อมแขน ดูแล้วบอบบางและรักสัตว์ขนาดนี้ น้องคนนี้ช่างเป็นผู้หญิงในฝันของใครหลายคนเสียเหลือเกิน และเธอก็คิดว่าคนที่มารับเธอก็คงหนีมนต์สะกดนี้ไม่ได้ด้วย
“รอนานมั้ยศศิ” แอมป์เอ่ยถามคำแรกตั้งแต่เจอหน้า เสียงทุ้มที่ดูแปลกหูไปทำให้เธอต้องหันไปมองเพื่อนอีกครั้งว่าใช่เพื่อนเธอพูดจริงๆ ไหม
“ไม่นานหรอกค่ะ ศศิเพิ่งเดินออกมายืนรอ แล้วพี่แอมป์กับพี่ขิงก็มาพอดี นี่เราจะไปกันเลยมั้ยคะ ศศิจะได้ไปบอกพ่อกับแม่ก่อน”
“ไปเลยสิ เดี๋ยวได้เที่ยวแป๊บเดียวนะ”
หลังจากรับปากกับทางผู้ปกครองของศศิเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าจะดูแลให้ ทั้งสามก็มุ่งหน้าสู่ชลบุรีโดยไม่มีอะไรมาขัดอีกต่อไป ขิงยังคงนั่งข้างหน้าคู่กับคนขับส่วนหญิงสาวอีกคนก็ขอตัวนั่งข้างหลังเพราะนั่งรถทีไรเป็นต้องหลับทุกที ดังนั้นเธอจึงขอนอนหลับข้างหลังไปจนถึงชลบุรี ภายในรถจึงเสียงพูดคุยกันแค่สองคนข้างหน้าเท่านั้น
หาดบางแสนเต็มไปด้วยผู้คนทั้งต่างชาติและคนไทยที่พร้อมใจกันมาพักผ่อน เพราะสะดวกในการเดินทางมากที่สุดสำหรับคนที่ชอบทะเล แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบผู้คนอย่างแอมป์ก่อนมาคงคิดหนักพอดูแต่ด้วยความที่แค่อยากพักผ่อนสมองมองธรรมชาติมากกว่าที่จะอุดอู้อยู่ในเมืองโดยที่ไม่อยากค้างแรมที่อื่น หาดบางแสนจึงเป็นคำตอบที่เขาพอใจในระดับหนึ่ง แดดที่ร้อนราวกับจะเผาทุกอย่างให้สุกได้ภายในครึ่งชั่วโมงทำให้ขิงที่ลงมาจากรถต้องรีบวิ่งหาที่ร่มเพื่อหลบก่อนจะค้นครีมทากันแดดในกระเป๋าตัวเองออกมาทาก่อนจะยื่นให้อีกสองคนที่เดินตามมา ทั้งสามตัดสินใจเลือกเก้าอี้ที่วางอยู่เกลื่อนหาดพร้อมกับร่มที่ปักทรายไว้กันแดด แต่ทุกคนก็รู้ดีว่ามันอบความร้อนไว้ขนาดไหน แล้วสั่งของกินเล่นสองสามอย่างมาวางไว้พร้อมกับน้ำมะพร้าวที่คนขายโฆษณานักหนาว่าหวานหอมชื่นใจ
แอมป์เหลือบมองศศิเป็นระยะทุกๆ สองนาทีราวกับมีเรื่องอะไรจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา นัยน์ตาของชายหนุ่มมีความลังเลอยู่เต็มเปี่ยม ยิ่งเขาออกอาการอ้าปากแล้วหุบลงดังเดิมอยู่ประมาณสี่ห้าครั้ง ขิงก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าเพื่อนคงมีอะไรอยากพูดกับน้องฝึกงานคนนี้ หญิงสาวลอบถอนหายใจเล็กน้อยอย่างเบื่อหน่าย ไม่ว่าเมื่อไหร่เธอก็ยังคงต้องช่วยเพื่อนเช่นนี้วนไปวนมาแล้วกลับมาที่เดิน เธอทำท่าลุกจากที่นั่งแล้วบอกกับอีกสองคนที่เหลือว่าจะเดินไปดูอะไรแถวนี้ แล้วเลี่ยงออกมาอย่างรวดเร็ว
หญิงสาววาดมือมากอดตัวเองหลวมๆ ทั้งที่อากาศร้อนขนาดนี้แต่เธอกลับรู้สึกสั่นและหนาวไปถึงหัวใจ ธรรมชาติข้างทางทั้งทะเลและชายหาดไม่ได้ทำให้เธอดีขึ้น แม่ค้าที่นั่งเรียงรายกันอยู่ต่างพากันเรียกลูกค้าเสียงดังก็ไม่ทำให้เธอสนใจแต่อย่างใด สิ่งที่อยู่ในความคิดตอนนี้มีเพียงแค่... แอมป์ต้องการจะพูดอะไรกับศศิ
เป็นเวลานานกว่าขิงจะเดินกลับมาที่เดิม หญิงสาวเดินไปจนสุดหาดและนั่งอยู่ที่นั่งพักใหญ่กว่าจะตัดสินใจเดินกลับมา เธอก็เริ่มหันหน้าไปทางเพื่อนแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม พอกลับมาเห็นใบหน้าของเพื่อนที่มีรอยยิ้มน้อยๆ ติดอยู่บนริมฝีปาก แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากสายตากรุ้มกริ่ม หลังจากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเพื่อนอีก ขิงหันไปส่งยิ้มให้ศศิอย่างเป็นมิตรก่อนจะเปิดหัวข้อสนทนากัน เธอสังเกตได้หนึ่งอย่างจากการพูดคุยคือน้องมักเหลือบสายตามองไปทางเพื่อนของเธอมากกว่าที่จะคุยกับเธอแล้วทำท่าทางเขิน เท่านั้นขิงก็ชักเริ่มจับต้นชนปลายถูก
“มีเรื่องอะไรที่แอมป์อยากบอกเรารึเปล่า” ขิงเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางความเงียบระหว่างทางกลับบ้านเธอ หลังจากส่งศศิที่บ้านเรียบร้อยแล้ว เธอไม่แน่ใจเลยสักนิดว่าควรถามแบบนี้ไหม ไม่แน่ใจว่ามีสิทธิ์ถามหรือเปล่าแต่ที่ถามออกไปแบบนั้นอาจเป็นเพราะอยากตอกย้ำให้ตัวเองเจ็บอย่างที่สุดจะได้ทำใจทีเดียว
“ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ” คนถูกถามตอบกลับด้วยคำถาม เสียงทุ้มพูดกลั้วหัวเราะแล้วหันมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “เราเหมือนคนปิดบังอะไรไว้งั้นเหรอ”
“ก็ตอนอยู่บางแสนแอมป์หันมามองเราเหมือนจะบอกอะไรสักอย่างแล้วก็ไม่พูดเราก็งงน่ะสิ ตกลงมีอะไรบอกรึเปล่าถ้าไม่มีอะไรก็ช่างมันเถอะ”
“โธ่ๆ อย่าเพิ่งงอนสิจ๊ะคนสวย” คนที่จู่ๆ ก็ถูกงอนทำเสียงง้อแทบไม่ทัน ก่อนจะกระแอมทำเสียงให้ดูจริงจังมากขึ้นอีกนิด “เราตกลงคบกับน้องศศิแล้วนะ“
คนฟังน้ำตาปริ่มที่ขอบตาทันที ขิงกำมือแน่นกับชายเสื้อตัวเองอย่างที่ไม่ต้องการแสดงออกอาการใดๆ ให้คนข้างตัวรู้ กระพริบตาถี่ๆ เพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา ความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นภายในหัวใจอย่างที่เคยสามารถทนได้มากกว่านี้แต่คราวนี้กลับเจ็บเจียนตาย หญิงสาวเงียบไปนานจนคนบอกต้องเรียกเพื่อความแน่ใจว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร
“ขิงๆ เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมเงียบไป”
“เปล่า” คนเจ็บเจียนตายตอบแบบพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น เธอไม่แน่ใจว่าเพื่อนจะรู้สึกถึงน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปหรือไม่ ตอนนี้เธออยากไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่อยากแม้แต่หันไปมองหน้าคนที่อยู่ในใจตลอดมา
“ถึงบ้านแล้วขิง”
“ขอบใจนะ” คำขอบคุณแผ่วเบาดังผ่านริมฝีปากบาง คนได้รับคำขอบใจทำเพียงพยักหน้าแต่ไม่ได้รู้เลยว่าหญิงสาวไม่ได้ขอบใจเพียงแค่ที่เขามาส่งที่บ้าน หรือที่พาไปเที่ยวมา แต่กลับรวมไปถึงขอบใจที่ทำให้เธอรู้ว่าเธอไม่มีสิทธิ์เป็นอะไรของเขาได้นอกจากเพื่อน “ขับรถดีๆ ล่ะ”
พูดจบหญิงสาวก็รีบหันตัวกลับเดินเข้าบ้านอย่างไม่เหลียวกลับมามองอย่างเคย น้ำตาที่ไหลอาบแก้มทำให้เธอต้องรีบเดินเข้าบ้านเข้าไปหาอ้อมกอดของมารดาที่นั่งรอเธอกลับบ้านอยู่ ขิงไม่พูดอะไรนอกจากสะอื้นกับอ้อมอกอุ่น แม้ว่าแม่จะถามเธอสักกี่คนก็มีเพียงการส่ายศีรษะตอบกลับเท่านั้น คนเอาคนเป็นแม่หนักใจเพราะปกติหากไม่หนักหนาจริงๆ ลูกสาวเธอคงไม่ร้องไห้
ตั้งแต่เย็นวานคนถึงช่วงสายของอีกวัน ยังคงไม่มีอะไรตกถึงท้องขิงนอกจากน้ำเปล่าเล็กน้อย หญิงสาวนั่งหงอยอยู่หน้าบ้านเพียงลำพัง ส่วนมารดาออกไปทำบุญที่วัดแต่เช้ากับคนที่เธอนับถือเป็นคุณลุง ความเศร้ายังคงหลงเหลืออยู่ภายในใจเธออย่างที่คิดจะกำจัดอย่างไรก็ไม่สามารถทำได้ หญิงสาวนั่งมองโทรศัพท์มือถือของตนอย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจกดหาหมายเลขปลายทางของกฤษณ์
“บอสคะ” หญิงสาวเอ่ยเมื่อได้ยินเสียงทุ้มตอบรับจากปลายทาง “วันพักร้อนของขิงเหลืออยู่ ขิงขอพักร้อนซักห้าวันนะคะ”
“เป็นอะไรรึเปล่าเรา เสียงหงอยๆ ชอบกลนะ”
“เปล่าค่ะ ขิงสบายดีแต่พอดีอยากพาแม่ไปเที่ยวน่ะค่ะเลยว่าจะพักร้อน” พอเอ่ยอ้างไปถึงมารดาทำให้เธอต้องรู้สึกผิดภายในใจกับสิ่งที่ดึงบุพการีมาโกหกด้วย ขิงรู้สึกว่าตัวเองกลั้นลมหายใจเล็กๆ เมื่อกฤษณ์เงียบเสียงไปลุ้นอยู่ในทีว่าหัวหน้าจะให้ลาไหม
“ไปเถอะ งานเราไม่รีบใช่ไหม”
“ไม่รีบค่ะพี่ ขอบคุณมากค่ะ ไว้ขิงจะเอาสาวๆ มาฝากนะคะ”
“ไม่เป็นไร ถ้าหาของฝากลำบากมาก ก็ไม่ต้องก็ได้” คนเป็นหัวหน้ากระแอมแล้วปรับเสียงให้เข้มอีกนิด เพื่อขู่ให้ลูกน้องสาวได้กลัวบ้าง แต่มันกลับไม่เป็นผลด้วยเธอทราบดีว่าเจ้านายของเธอไม่เคยดุเลยสักนิด
เจ้านายกับลูกน้องทำข้อตกลงกันอีกเล็กน้อย ก่อนที่ขิงจะเป็นฝ่ายขอตัววางสายในที่สุด ทำงานบริษัทเล็กๆ ก็ดีแบบนี้ แบบแผนต้องมีมากมาย แถมถ้ายิ่งสนิทกับเจ้าของแบบเธอด้วยแล้วยิ่งคุยง่ายใหญ่ แทบไม่ต้องบอกเหตุผลจริงๆ เลยด้วยซ้ำว่าเธอขอลาหยุดทำไมทั้งๆ ที่ตั้งแต่ทำงานมาหากไม่ใช่ลาป่วยแล้ว ขิงขอลางานน้อยมาก
ทุกคนต่างเดินสะโหลสะเหลเข้าออฟฟิศมาเพื่อต้อนรับวันแรกของการทำงานในหนึ่งอาทิตย์ เพราะยังเช้าอยู่มากสำหรับการมาทำงาน ดังนั้นพอเจอหน้ากันทุกคนจึงทำเพียงแค่ยิ้มให้กันเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกันไปตามโต๊ะทำงานที่แบ่งเป็นสัดส่วนเอาไว้ตามความต้องการของท่านประธานบริษัทหรือที่ทุกคนเรียกว่าบอส
สายของวันนั้นกฤษณ์เดินออกมาจากห้องทำงาน เพื่อดูแลและพูดคุยกับลูกน้องอย่างที่ทำเป็นประจำ ชายหนุ่มเดินรอบพื้นที่ก่อนจะมองไปยังโต๊ะทำงานของพนักงานคนโปรด เขาเป็นชายหนุ่มกับเด็กฝึกงานของเขากำลังหัวเราะกันอย่างมีความสุข แม้เขายืนไกลพอสมควรยังสามารถรับรู้ได้ถึงพลังความสุขที่ออกมาจากคนทั้งคู่ แอมป์ยังคงคอยสอนศศิในเรื่องการเขียนโปรแกรมอย่างเคย สังเกตได้จากการใช้นิ้วชี้ชี้ในจุดที่อยู่ในหนังสือราวกับกำลังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แต่เขาดูอย่างไรภาพที่เห็นก็ไม่ใช่เพียงแค่อาจารย์กับลูกศิษย์ คนเฝ้าสังเกตการณ์ถอนหายใจอย่างเงียบๆ นึกไปถึงคนที่โทรศัพท์มาขอลางานกับเขา นึกอยู่แล้วเชียวว่ามันต้องมีอะไรแปลกๆ แต่เขากลับไม่ได้เอะใจในเรื่องนี้เลยสักนิด อย่างน้อยหากเขานึกได้ขิงอาจไม่ต้องหนีหน้าหรือทำตัวหายไปเช่นนี้
“เป็นอะไรไปครับบอส ทำหน้าเหมือนคนท้องผูก”
“อ้าวภพ”
“ครับ ผมเอง บอสมีอะไรรึเปล่า ผมเห็นยืนมองไอ้แอมป์มันนานแล้วนะ” คนช่างสังเกตหรี่ตามองคนตรงหน้า มือก็คนแก้วกาแฟไปด้วย อย่าไม่นึกกลัวใดๆ เพราะอายุระหว่างเขาและกฤษณ์ห่างกันเพียงสองปี
“ผมเห็นแอมป์กับศศิแล้วรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย คุณรู้อะไรบ้างไหม”
“อ๋อ ถ้าบอสหมายถึงว่าสองคนนั้นอะจี๋ยๆ กัน...”
“ผมหมายถึงว่าเขาเป็นแฟนกันเหรอ” คนเป็นหัวหน้ารีบแก้ก่อนที่ความเข้าใจใดๆ จะเลยเถิด แต่สายตาก็ยังไม่ละจากทั้งคู่
“ก็คิดว่านะครับ พอดีเมื่อเช้าผมเดินตามหลังสองคนนั้นมา เห็นจับมือกันเดินแต่พอมาถึงหน้าประตูก็ปล่อยมือแล้วต่างคนต่างเดิน คงยังไม่อยากให้ใครรู้มั้งครับ”
กฤษณ์พยักหน้าเงียบๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องทำงานตนเอง ชายหนุ่มนึกไปถึงหญิงสาวอีกคนที่คงรู้เรื่องเรียบร้อยแล้ววันนี้เลยไม่ยอมมาทำงาน ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง จะว่าสงสารก็คงมีบ้าง แต่เรื่องหัวใจของใครก็ของมัน เขาคงทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนมองอยู่ห่างๆ แค่อย่าให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาทำให้งานเขาพังก็พอ
“พี่แอมป์คะ วันนี้พี่ขิงไม่มาทำงานเหรอ ศศิไม่เห็นเลย” คนถูกถามชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองโต๊ะของเพื่อนที่เรียบสะอาดอย่างที่ไม่ได้ใช้งานอะไร
“คงออกไปทำงานข้างนอกมั้ง ขิงไม่ได้โทรมาบอกอะไรพี่ด้วยสิ”
“ปกติพี่ขิงจะบอกพี่แอมป์ก่อนด้วยเหรอคะ”
“ก็ส่วนใหญ่อ่ะนะ” เขาตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ ความจริงพักหลังๆ มานี้ขิงไปไหนไม่ค่อยได้โทรศัพท์มาบอกเขาเท่าไหร่ อาจเพราะต่างคนต่างมีหน้าที่รับผิดชอบไม่เหมือนกัน เวลาทำงานต่างๆ จึงไม่ค่อยได้พูดคุยกันนัก “ถามทำไมล่ะเรา”
“เปล่าค่ะไม่มีอะไร ศศิแค่สงสัย”
“ทำงานได้แล้ว อย่าสงสัยอะไรให้มันมากนัก” คนพูดไม่พูดเปล่าแต่ยกมือขึ้นผลักศีรษะน้อยๆ ที่ถูกปกคลุมด้วยผมยาวนุ่มเบาๆ อย่างเอ็นดู “เดี๋ยวพี่มานะ”
แอมป์เดินตรงจากโต๊ะทำงานตัวเองผ่านโต๊ะเพื่อนหวังว่าจะเจอโน้ตอะไรที่ส่งถึงตนเองแต่ก็ไม่มี เขาถือโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดหาเพื่อนแต่ก็ได้เสียงตอบรับให้ฝากข้อความเอาไว้แทน ความเป็นห่วงที่มีอยู่บ้างเพราะคบกันมานานเริ่มเพิ่มขึ้น เพราะปกติเพื่อนไม่เคยหายตัวไปเฉยๆ ความคิดของชายหนุ่มตีกันยุ่งจนต้องเลยไปถึงห้องของกฤษณ์ เขาเคาะประตูเป็นสัญญาณก่อนจะเปิดเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงอนุญาต แอมป์ยกมือไหว้คนเป็นหัวหน้าเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าเจ้าของห้องที่เงยหน้าขึ้นมามอง
“มีปัญหาอะไรรึเปล่าแอมป์”
“เปล่าครับ คือผมแค่จะมาถามอะไรนิดหน่อย”
“ว่ามาสิ” คนเป็นเจ้านายวางปากกาลง เปลี่ยนท่าเป็นพิงพนักเก้าอี้ให้สบายที่สุด มองหน้าคนถามอย่างตั้งใจฟัง
“วันนี้ขิงไปทำงานข้างนอกเหรอครับ”
“แล้วแอมป์โทรไปถามขิงรึยัง”
“โทรแล้วครับ แค่ขิงปิดเครื่อง” คนรับฟังพยักหน้า นึกห่วงลูกน้องสาวอยู่เหมือนกันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรให้คนตรงหน้ารู้สึก “บอสพอจะบอกผมได้มั้ยครับว่าขิงไปไหน เค้าบอกอะไรบอสรึเปล่า”
คนถูกถามเงียบไป มือที่อยู่นิ่งเมื่อครู่เริ่มจับปากกาขึ้นมาเคาะโต๊ะอย่างใช้ความคิดว่าจะบอกลูกน้องหนุ่มตรงหน้าดีหรือไม่ เขาพอมองออกว่าแอมป์คงเป็นห่วงเพื่อนจริงๆ เพราะนี่เป็นเรื่องผิดปกติอย่างที่สุดที่ไม่เคยเกิดขึ้นระหว่างเขาและขิง “ขิงขอลาพักร้อนห้าวัน”
“อะไรนะครับ ลาพักร้อน” เสียงของแอมป์ดังขึ้นแทบจะกลายเป็นตะโกน ไม่ใช่เรื่องปกติที่เพื่อนของเขาจะลาพักร้อนรวดเดียวห้าวันเช่นนี้ หนำซ้ำยังไม่บอกเขาอีกต่างหาก “ขิงบอกบอสเมื่อไหร่ครับ”
“เมื่อวาน” แอมป์นิ่งไปอย่างที่กฤษณ์สังเกตได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเนื่องจากเป็นเรื่องระหว่างลูกน้องของเขาสองคน
“ขิงเป็นอะไรรึเปล่าครับบอส คือผมหมายถึงว่าน้ำเสียงหรือคำพูดหรืออะไรก็ได้ที่ผิดปกติ”
“ก็... ไม่มีนะ เห็นบอกจะพาแม่ไปเที่ยวเลยหยุดยาวหน่อย”
“แม่ขิงชอบอยู่บ้านจะตาย” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ หงุดหงิดตัวเองที่ทุกอย่างที่รู้ล้วนไม่สอดคล้องกันโดยสิ้นเชิง แต่ก็ไม่มีโอกาสได้คิดต่อเมื่อเจ้าของห้องเริ่มไล่เขาออกมาเพื่อจะได้ทำงานต่อ
“หายไปไหนมาคะพี่แอมป์” เด็กฝึกงานคนสวยเอ่ยปากถามเป็นทันทีที่เห็นเขาเดินมาถึงโต๊ะ “มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่าคะ”
“อ๋อ เปล่าๆ ไหนอ่านถึงไหนแล้ว มีอะไรจะถามพี่รึเปล่า”
“ค่ะ ตรงนี้ค่ะ ศศิงงนิดหน่อย ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร อ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ”
แอมป์หยิบหนังสือขึ้นมาดูตรงจุดที่แฟนสาวชี้ไว้ แล้วเริ่มอธิบายทั้งหมดอย่างละเอียดเพื่อให้คนตรงหน้าเข้าใจให้มากที่สุด เพราะอย่างไรเสียศศิก็ยังคงอยู่ในความดูแลของเขา ใบหน้าหวานที่ตั้งใจฟังเขาอธิบายทำให้เขาเกิดนึกหมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัด มือใหญ่เอื้อมมือไปบีบจมูกเล็กอย่างแกล้งๆ ก่อนจะถอยออกหาระยะมือพิฆาตแล้วหัวเราะเบาๆ เพื่อไม่ให้รบกวนเพื่อนร่วมงานคนอื่น จนหญิงสาวทำหน้างอง้ำพร้อมกับหันหลังไม่สนใจคนขี้แกล้ง
“โอ๋ๆ อย่างอนเลยนะ พี่ขอโทษบีบแรงไปหน่อย ไหนจมูกเบี้ยวรึเปล่า มาดูซิ” มือใหญ่เอื้อมจับหน้าเล็กเบาๆ ให้หันมา ก่อนจะมีโอกาสได้สบตากันจริงๆ เมื่อเจ้าของใบหน้าช้อนตาขึ้นมามอง ระยะเวลาเพียงเล็กน้อยแต่ในใจของคนทั้งคู่ราวกับนานนับชั่วโมง ในที่สุดชายหนุ่มก็เป็นคนรู้สึกตัวก่อน ชายหนุ่มกระแอมเรียกสติตัวเองเล็กน้อยก่อนจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำที่หากใครเห็นก็คงดูออกว่ามีพิรุธเต็มๆ
บ่ายสามของวันคงยังไม่ใช่เวลากลับบ้านของใครบางคน แต่กลับเป็นเวลากลับบ้านของออฟฟิศนี้ แอมป์นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถยนต์ ใช้สมาธิกับการจราจรบนถนนที่ยังไม่ติดขัดมากนักปล่อยให้คนนั่งข้างๆ ค้นหาซีดีเพลงในช่องเก็บอย่างเพลิดเพลิน ศศิค่อยๆ ดึงแผนซีดีที่อยู่ในช่องออกกมาทีละแผ่นก่อนจะไล่ดูเพลงไปเรื่อยๆ ว่ามีเพลงไหนน่าสนใจบ้างจนมาถึงแผ่นที่อยู่ช่วงกลางของกลุ่ม กล่องซีดีใสที่ไม่มีใบแปะทั้งหน้าทั้งหลัง มีข้อความบนแผ่นที่บ่งบอกได้แค่ตัวมันคือซีดีเพลง มือบางหยิบขึ้นมาพลิกหน้าพลิกหลังก่อนจะหันไปหาเจ้าของรถ
“แผ่นนี้เพลงอะไรคะ” แอมป์หันมองเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองบนถนนต่อ
“ซีดีเพลงที่ขิงเคยไรท์ให้พี่น่ะ แต่เพลงมันเก่าแล้วนะ”
ศศินิ่งไปเล็กน้อย เพลงเก่าไม่เก่าเธอไม่สนใจอยู่แล้ว สิ่งที่ดึงความสนใจของเธอที่มากกว่าก็คือคนที่ทำให้มีซีดีแผ่นนี้มากกว่า เธออยากรู้ว่าขิงไรท์เพลงอะไรให้แฟนของเธอฟังบ้าง ด้วยความอยากรู้ที่มีอยู่เต็มเปี่ยม หญิงสาวสอดแผ่นซีดีเข้าไปในช่องของเครื่องเล่นก่อนจะปล่อยให้เพลงเล่นไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดเอาเพลงหนึ่งที่มีเนื้อหาของการแอบรักใครสักคน หากคิดในทางที่ดีเธอก็สามารถคิดได้ว่ามันเป็นเพลงที่อยู่ในกระแสช่วงนั้นพอดี แต่หากคิดในแง่ร้ายจริงๆ นั่นคือขิงตั้งใจใส่เพลงนี้มาบอกความนัยให้แฟนเธอฟังหรือเปล่านะ
“พี่ขิงเค้าไรท์เพลงให้พี่แอมป์บ่อยมั้ยคะ”
“ก็ไม่นะ ถ้าพี่ไม่ขอขิงก็ไม่ไรท์ให้หรอก” คำตอบของชายหนุ่มทำให้เธอแอบโล่งอกอยู่บ้าง ว่าอาจเป็นแค่ความบังเอิญที่เพลงนี้มาอยู่ในแผ่น “มีอะไรรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร ว่าแต่พี่แอมป์จะพาศศิไปไหนคะ” เธอรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่ชายหนุ่มจะเกิดข้อสงสัย
“พี่จะพาไปหาของกินไปมั้ย”
“ไปค่ะ” เธอตอบอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มที่เกลื่อนอยู่เต็มหน้า ภาพนั้นทำเอาใจของแอมป์เขวไปเล็กน้อยก่อนจะกลับมาตั้งสมาธิขับรถอีกครั้ง
“อย่ายิ้มแบบนี้กับใครอีกนะศศิ” คนที่จู่ๆ ก็โดนห้ามชะงัก รีบเก็บรอยยิ้มแล้วมองหน้าคนห้ามอย่างสงสัย
“ทำไมคะ หรือศศิยิ้มน่าเกลียด”
“เปล่า ศศิยิ้มน่ารักไปต่างหาก พี่ไม่อยากให้ใครเห็น” แอมป์ตอบด้วยเสียงอ่อนหวาน หันมาส่งยิ้มให้คนที่นั่งเขินหน้าแดงอยู่ ก่อนจะเอื้อมมือข้างที่ว่างมาจับมือนุ่มไว้ ภายในรถที่มีเพียงแค่เสียงเพลงคลอเบาๆ ทำเอาบรรยากาศโรแมนติกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้แม้ภายนอกรถจะวุ่นวายเพียงไหน แต่หากตอนนี้ทั้งคู่กลับรู้สึกว่าในโลกมีเพียงเขาทั้งสองคนเท่านั้น
+++++++++
ใครหมั่นไส้นายแอมป์บ้างเอ่ย? ยกมือขึ้นสูงๆ แสดงตัวกันหน่อยค่ะ ฮาาาา
ช่วงนี้มัวแต่ทำงานส่งอาจารย์ มิณทิมาอาจหายไปบ้างไม่ว่ากันนะคะ
แต่ยังไงจะพยายามมาทุกวันเลยค่ะ ^3^)
=========
คุณคิมหันตุ์ : นายแอมป์นี่ไม่ไหว นิสัยไม่ดีเลยเนอะ จัดการยังไงดีคะ :)
คุณmhengjhy : อ่านตอนนี้ได้คำตอบแล้วนะคะ ว่าแต่เพิ่มความหมั่นไส้ขึ้นอีกมั้ยน้อ ฮาาาา
มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 พ.ค. 2556, 01:04:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 พ.ค. 2556, 01:04:23 น.
จำนวนการเข้าชม : 1355
<< ตอนที่ 3 | ตอนที่ 5 >> |
mhengjhy 20 พ.ค. 2556, 09:09:34 น.
เพิ่มขึ้นมากกกค่ะ ช่วยหาคนใหม่ให้ขิงทีค่ะ อย่าให้ได้ลงเอยกับนายแอมป์เลย ชิ
เพิ่มขึ้นมากกกค่ะ ช่วยหาคนใหม่ให้ขิงทีค่ะ อย่าให้ได้ลงเอยกับนายแอมป์เลย ชิ
Amarilys 11 ก.ค. 2556, 12:10:52 น.
กลับมาอ่านอีกที ยิ่งอยากเอานายแอมป์ไปทิ้งอ่ะ รู้ว่าขิงชอบยังจะพามาดูตัวเองหวานกะคนอื่น เพื่อนรัยเนี่ย
กลับมาอ่านอีกที ยิ่งอยากเอานายแอมป์ไปทิ้งอ่ะ รู้ว่าขิงชอบยังจะพามาดูตัวเองหวานกะคนอื่น เพื่อนรัยเนี่ย