แค้นนัก...รักหมดใจยัยครูสาว
เขาคือชายหนุ่มมหาเศรษฐีจอมเย็นชาผู้เป็นอัจฉริยะไอคิว 170 ที่รู้สึกเบื่อชีวิต อยากกลับไปเรียนมัธยมแก้เซ็งอีกครั้ง แต่ติดปัญหาอยู่ที่สองขาพิการจากอุบัติเหตุในอดีต จึงเป็นเหตุให้เขาได้พบกับ “เธอ” คุณตรูสาวคนซื่อจอมซุ่มซ่ามที่กำลังว่างงาน ภารกิจพิชิตใจ Home Teacher จึงอุบัติขึ้นอย่างไม่รู้ตัว...ท่ามกลางอันตรายที่ตามติดมาอย่างไม่มีใครคาดคิด!


Tags: โรแมนติก ความรัก คุณครู ตำรวจ นักต้มตุ๋น

ตอน: บทที่ 4 – ปมปริศนา

ตำรวจที่มาขอเข้าพบธนัชวิชญ์มีด้วยกันสองนาย คนหนึ่งค่อนข้างอาวุโสแล้ว ติดยศพันตำรวจโท ส่วนอีกคนยังหนุ่มกว่ามาก ดาวบนบ่ามีหนึ่งดวง ทั้งสองมาพบชายหนุ่มโดยบอกว่ามีธุระจะรบกวนความช่วยเหลือบางอย่างจากเขา

“คือผมได้ยินมาว่า คุณเชี่ยวชาญเรื่องการถอดรหัสอะไรพวกนี้น่ะครับ” พันตำรวจโทณรงค์ศักดิ์กล่าวอย่างเป็นการเป็นงานเมื่อได้รับเชิญให้เข้ามานั่งในห้องรับแขกพร้อมผู้ติดตาม บรรยากาศที่วุ่นวายชวนปวดหัวเมื่อครู่ ขณะนี้เงียบสงบลงเป็นการชั่วคราว ทั้งซาแมนต้าและแองจี้ต่างยอมสงบศึกนั่งร่วมโซฟาตัวเดียวกัน แต่ก็ยังเว้นที่ว่างตรงกลางไว้มากโขเพราะไม่อยากใกล้กันเท่าไหร่ ส่วนพิสชาได้นั่งบนอาร์มแชร์ตัวเล็กที่ตั้งเคียงข้างรถเข็นของธนัชวิชญ์พอดี

“ใครบอกสารวัตรมาหรือครับ?” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย ด้วยในประเทศไทย มีคนอยู่ไม่มากที่ทราบความสามารถเกี่ยวกับด้านนี้ของเขา

“แจ็คสันบอกครับ ผมกับเขา เราเป็นเกลอเก่าเกลอแก่กัน” พันตำรวจโทอาวุโสตอบ “ก่อนนี้ตอนที่คุณมาถึงที่นี่ใหม่ๆ แจ็คสันได้โทรมาหาผมและกำชับให้ผมตรวจสอบดูแลความปลอดภัยของคุณเป็นระยะๆ เขาเป็นห่วงคุณมากนะครับ ทีนี้พอดีแจ็คสันเคยพูดไว้ว่า ถ้าผมมีคดีไหนที่เจอปริศนาคลี่คลายไม่ออก ให้มาหาคุณ เพราะคุณคือคนเดียวที่สามารถช่วยได้ครับ”

พิสชาซึ่งนั่งรับฟังอดหันมองสีหน้าเฉยชาของสามีกำมะลอไม่ได้ แม้จะพอทราบอยู่บ้างว่าเขาเป็นคนฉลาด แต่เธอไม่คิดว่าเขาจะฉลาดจนถึงขนาดที่ตำรวจต้องมาขอความช่วยเหลือเขาไขปริศนาที่ขบไม่แตกอย่างนี้

ยังกะพระเอกในหนังนักสืบเลยนิ...เธอบอกตัวเองในใจ

“แล้วปริศนาที่ทำให้สารวัตรต้องมาหาผมคืออะไรครับ?” ธนัชวิชญ์ถามแขกในชุดสีกากีเสียงเรียบ

พันตำรวจโทณรงค์ศักดิ์หันไปพยักหน้ากับนายตำรวจผู้ติดตาม นายตำรวจผู้นั้นจึงควักสมุดจดเล่มเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เปิดพลิกถึงหน้าที่ต้องการ ก็วางสมุดลงบนโต๊ะกระจกแก้วที่กั้นกลางและยื่นสมุดออกมาด้านหน้า

“รับมาให้ผมที” ธนัชวิชญ์พูด เจตนาคือตั้งใจบอกแองจี้

แต่ด้วยความที่พิสชานั่งอยู่ใกล้เขามากที่สุด เธอจึงคิดว่าเขาบอกเธอ พิสชาจึงฉีกยิ้มให้นายตำรวจหนุ่มและยื่นมือรับสมุดเล่มนั้นมาถือ ตัดหน้าแองจี้ที่ขยับมาช้าไปเพียงวินาทีเดียว

แองจี้ตวัดสายตาหลังแว่นตาไร้กรอบมองพิสชา หล่อนข่มความไม่พอใจเอาไว้เมื่อเห็นคุณครูสาวกางสมุดเล่มนั้นให้ธนัชวิชญ์ดู แองจี้เคลื่อนกายกลับมานั่งที่เดิม รู้สึกได้ว่าซาแมนต้ากำลังปรายตามองหล่อนอย่างเย้ยหยันและหัวเราะเยาะอยู่เบาๆ

“บนกระดาษนั่นคือข้อความที่หญิงผู้เสียชีวิตในคดีที่ผมกำลังรับผิดชอบพิมพ์ทิ้งไว้บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ก่อนจะสิ้นใจครับ” พันตำรวจโทณรงค์ศักดิ์กล่าวขณะธนัชวิชญ์ขมวดคิ้วเรียวดำมองสมุดที่หญิงสาวถือให้เขาอ่านโดยไม่ต้องเมื่อยแรงถือเอง

บนหน้ากระดาษคือข้อความว่า





ศืฤ ั ฆเงำถขฤ รำฟีส







“รหัสพวกนี้อ่านได้ความว่า 'วีระคือฆาตกร ยาพิษ' ครับ” ธนัชวิชญ์กล่าว หลังจากใช้เวลาพินิจพิเคราะห์ข้อความในความเงียบเพียงนาทีเดียว

“อะไรนะ?!” พันตำรวจโทณรงค์ศักดิ์อุทานหน้าตาตื่น “ข้อความว่าไงนะครับ?”

“ข้อความวรรคแรกอ่านว่า 'วีระคือฆาตกร' ส่วนวรรคที่สองอ่านว่า 'ยาพิษ' ครับ” ธนัชวิชญ์ตอบอย่างไม่แสดงความรู้สึกใดๆ

“หมวด! รีบเอาสมุดมาจดคำแปลเร็วซี่!” พันตำรวจโทออกคำสั่งกับนายตำรวจผู้ติดตาม

นายตำรวจรีบตบกระเป๋าเสื้อและกางเกงเพื่อหาสมุด ก่อนนึกได้ว่าสมุดเล่มนั้นหญิงสาวหน้าตาน่ารักยังคงเปิดกางให้ชายหนุ่มบนรถเข็นอ่าน เขากล่าวตะกุกตะกัก

“เอ่อ คุณผู้หญิงครับ ขอสมุดผมคืนด้วยครับ...”

“อ๋อ ค่ะ ขอโทษค่ะ” พิสชาค้อมศีรษะ รีบส่งสมุดคืนเจ้าของ

นายตำรวจหนุ่มรับสมุดคืนไปก็รีบกดปากกาเขียนคำแปลรหัสทันที เป็นขณะเดียวกับที่พันตำรวจโทณรงค์ศักดิ์กล่าวถามอย่างไม่อาจปิดบังความประหลาดใจ

“ถามหน่อยเถอะครับคุณธนัชวิชญ์ คุณรู้ได้ไงว่าไอ้ตัวหนังสืออ่านไม่ได้ศัพท์พวกนั้นมันแปลว่าอะไร?”

“ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนนี่ครับ” ธนัชวิชญ์ตอบด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์เหมือนเดิม “คนเขียนรหัสนั่นใช้หลักสากลการซ่อนความหมายที่นิยายนักสืบเมืองนอกใช้กันให้เกรื่อ คือตัวอักษรที่คนเขียนต้องการจะสื่อจริงๆ จะเป็นตัวอักษรที่อยู่ลำดับต่อไปถัดจากตัวอักษรที่ปรากฏบนกระดาษ ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ถ้าบนกระดาษเขียน ก.ไก่ ตัวอักษรที่คนเขียนต้องการจะสื่อจริงๆ ก็คือข.ไข่นั่นแหละครับ ส่วนพวกสระกับวรรณยุกธุ์ ผมยึดตามการเรียงลำดับที่เว็บวิกิพีเดียแจ้งเอาไว้ในหัวข้อตัวอักษรไทย – ทั้งหมดก็แค่นี้เอง”

ทุกคนที่ได้รับฟังคำอธิบายของชายหนุ่มต่างพากันทำสีหน้าประหลาดใจ ยกเว้นซาแมนต้าที่นอกจากจะฟังภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว หล่อนยังเคยชินกับความอัจฉริยะของเขามากที่สุดจนเห็นเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

แต่หากคนที่คุ้นเคยกับความสามารถของธนัชวิชญ์คือซาแมนต้า ในทางกลับกัน คนที่แสดงอาการประหลาดใจออกมามากที่สุดในขณะนี้ก็คือพิสชา

เธอถึงกับอุทานออกมาเบาๆ

“โห สุดยอดอ้ะ...”

เมื่อได้ยินเข้า ธนัชวิชญ์ก็เผลอยิ้มออกมาโดยไม่ตั้งใจ ด้วยว่าคำที่เธอพูด ทำให้เขานึงถึงฟานปิงเวลาทึ่งจัดตอนที่เขาช่วยเธอเล่นปริศนาอักษรไขว้ในหนังสือพิมพ์เสร็จในเวลาเพียงสองสามนาที ทั้งที่เธอปลุกปล้ำกับมันมาร่วมหนึ่งชั่วโมงแต่ยังไม่คืบหน้าไปไหน

“เชื่อมั้ยครับ ตำรวจทั้งโรงพักคิดหัวแทบแตกว่ารหัสนี่หมายความว่าอะไร สิ่งที่พวกเราตีความนี่ไม่ได้ใกล้เคียงกับที่คุณแปลมาเลยสักนิด แจ็คสันพูดไม่ผิดจริงๆ คุณคือตัวช่วยพิเศษสุดสำหรับเรา” นายตำรวจผู้อาวุโสกล่าวอย่างชื่นชม

“แล้ววีระคือใครหรอครับ เขามีตัวตนหรือเปล่า?” ธนัชวิชญ์ไม่ชอบให้ใครชมเขาอย่างออกหน้าออกตานัก จึงเอ่ยขึ้นเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“มีครับ เป็นคนสำคัญทีเดียว เขาเป็นสามีของผู้ตายและเป็นคนที่ได้รับมรดกทั้งหมดเมื่อภรรยาของเขาเสียชีวิต” พันตำรวจโทตอบ “ก่อนนี้เราได้ชันสูตรศพไปแล้วรอบนึงแต่ไม่พบอะไรผิดปกติ เป็นไปได้ว่าเขาอาจใช้เงินซื้อผลชันสูตรล่วงหน้าไว้แล้ว เห็นทีต้องขออายัดศพนำมาชันสูตรอีกรอบ คราวนี้ล่ะนายวีระดิ้นไม่หลุดแน่”

เมื่อเห็นเจ้านายชกกำปั้นกับฝ่ามือด้วยความหมั่นเขี้ยวระคนมั่นใจ นายตำรวจหนุ่มที่หน้าตาเคร่งเครียดก็พลอยโล่งอกและมั่นใจไปด้วย

ธนัชวิชญ์ไม่ได้ตอบอะไรนายตำรวจทั้งสองอีกนอกจากทำสีหน้าเฉยชา ผิดกับพิสชาที่มีสีหน้าตื่นเต้นมากเมื่อทราบว่าเขามีส่วนสำคัญช่วยให้ตำรวจอาจจะสามารถลากตัวคนผิดมาลงโทษ

หญิงสาวชำเลืองมองใบหน้าด้านข้างของธนัชวิชญ์อย่างชื่นชม เหมือนตอนที่มองเขาวิ่งไปไล่จับเจ้าชิโร่ แมวน้อยที่แก่ตายไปหลายปีแล้วตัวนั้นของเธอ ในเวลาเดียวกัน สองหูก็ได้ยินแว่วๆ ถึงเสียงของลุงคนขับรถที่เคยบอกว่า ถึงแม้ภายนอกคุณวิชญ์จะทำตัวเย็นชาต่อทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ภายในเนื้อแท้แล้ว คุณวิชญ์เป็นคนดีมากคนหนึ่ง

“ถ้าอย่างนั้น เห็นทีพวกผมต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ” พันตำรวจโทณรงค์ศักดิ์กล่าวพลางลุกขึ้นยืนสีหน้ายิ้มแย้ม “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือครับ”

นายตำรวจหนุ่มลุกตามเจ้านาย เขากวาดสายตามองบรรดาสาวงามภายในห้องและเกิดสีหน้าอิจฉาวาสนาของธนัชวิชญ์ขึ้นมาแวบหนึ่ง

ก็จะไม่ให้อิจฉายังไงไหว เล่นมีสามสาวสามสไตล์รายล้อมรอบกาย พวกเด็กรับใช้แต่ละนางก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ นี่มันฮาเร็มชัดๆ

ธนัชวิชญ์เห็นสีหน้าของนายตำรวจหนุ่ม แต่เขาก็ไม่สนใจ เพราะชินเสียแล้วกับสายตาที่คนอื่นมองว่าเขาซื้อหญิงสาวเหล่านี้มาด้วยเงินตราเพื่อสนองความต้องการอย่างว่า...

“เดี๋ยวแองจี้ไปส่งแขกให้เองค่ะ” หญิงสาวผู้สวมแว่นตาไร้กรอบกล่าวขึ้น น้ำเสียงออกจะไม่ค่อยพอใจที่เจ้านายของหล่อนถูกมองด้วยสายตาอย่างนั้น

หล่อนผายมือให้สองนายตำรวจออกเดินไปก่อน พันตำรวจโทณรงค์ศักดิ์เดินออกจากโต๊ะรับแขกได้ไม่กี่ก้าวก็ชะงักกึก คล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหันกลับมากล่าวกับธนัชวิชญ์ว่า

“ไม่ทราบว่าคุณธนัชวิชญ์ทราบข่าวนี้หรือยังครับ?”

“ข่าวอะไรครับ?” ชายหนุ่มถาม

พันตำรวจโทหน้าเครียดลงขณะพูด “ข่าวที่เสี่ยวินัยได้รับการปล่อยตัวออกจากคุกแล้วน่ะสิครับ”

สีหน้าของธนัชวิชญ์พลันแปรเปลี่ยนเป็นโกรธแค้นอย่างที่พิสชาไม่เคยเห็นมาก่อน



++++++



ถึงแม้ว่าตำรวจทั้งสองนายจะเดินทางกลับไปนานหลายชั่วโมงแล้ว แต่สิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้ก็คือความโกรธแค้นในดวงตาของธนัชวิชญ์ที่ยังคงปรากฏมาจนถึงตอนนี้ที่เป็นเวลาบ่ายสามโมง ชายหนุ่มบอกให้พิสชาพาเขากลับเข้ามาในห้องสมุด ไม่สนใจว่าซาแมนต้าจะสร้างปัญหาอะไรอีกบ้าง เพราะสิ่งที่เขาต้องการก่อนอื่นใดคือหาที่สงบๆ เพื่อเรียบเรียงความคิดเท่านั้น

“ตอนนี้เสี่ยวินัยยังไม่รู้ว่าคุณกลับมาอยู่ประเทศไทยแล้ว แต่กับเจ้าพ่อที่มีหูตาอยู่ทุกหนทุกแห่งอย่างเขา คงอีกไม่นานเขาก็จะรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ทางเราจะดูแลความปลอดภัยให้คุณธนัชวิชญ์อย่างดีที่สุด”

พันตำรวจโทณรงค์ศักดิ์ว่าไว้อย่างนั้นก่อนจะกลับโรงพักของตนเอง

ธนัชวิชญ์ไม่เคยกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย เขาเชื่อว่าตราบใดที่คนเราตั้งรับปัญหาด้วยการใช้สมองตั้งสติ ทางรอดก็จะปรากฏออกมาให้เห็นเองโดยอัตโนมัติ ธนัชวิชญ์คิดว่าไม่ว่าตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเพียงใด เขาก็สามารถหาหนทางแก้ไขได้

แต่ที่เขาโมโหนักก็คือ เสี่ยวินัยถูกตัดสินให้จำคุกยี่สิบปีฐานฉ้อโกงประชาชนในการเปิดเครือข่ายแชร์ลูกโซ่ ทว่านี่เพิ่งผ่านมาได้เพียงสิบหกปีเท่านั้นนับจากวันที่ถูกจับกุม เสี่ยวินัยกลับถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว ความยุติธรรมอยู่ที่ไหนกัน?

ธนัชวิชญ์ไม่เข้าใจ มันเป็นความไม่เข้าใจเดียวกับที่เขาได้ทราบข่าวว่าพ่อแม่ของเขาถูกมือปืนยิงเสียชีวิต โดยมีข่าวลือว่าคนที่ออกคำสั่งสังหารพ่อแม่เขาก็คือเสี่ยวินัยที่อยู่ในคุก แต่กลับไม่มีหลักฐานมากพอที่จะสามารถเอาผิดเสี่ยวินัยทางกฏหมายได้

หรือถึงจะเอาผิด ก็คงไม่มีใครกล้าไปเอาผิด ด้วยเหตุที่ทำให้เสี่ยวินัยต้องฆ่าพ่อแม่ของธนัชวิชญ์นั้น เป็นเพราะพ่อของธนัชวิชญ์ที่เป็นเพื่อนสนิทกับเสี่ยวินัย ได้กระทำการหักหลังเสี่ยวินัยและนำข้อมูลลับของธุรกิจแชร์ลูกโซ่ไปบอกต่อกับฝั่งตำรวจ

พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ พ่อของธนัชวิชญ์ก็เป็นหนึ่งในขบวนการแชร์ลูกโซ่ของเสี่ยวินัยที่บังเอิญหวาดกลัวกฏหมายจนไม่กล้าดำเนินแผนตามที่ตกลงกันไว้กลางคัน

และนำมาสู่การหักหลังในที่สุด...

“เอ่อ คุณวิชญ์ดูเครียดๆ นะคะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” พิสชาเอ่ยเสียงใสทำลายห้วงคิดของชายหนุ่ม

“ผมไม่เป็นอะไร” เขาตอบ มองหนังสือเรียนตรงหน้าแล้วยิ่งเกิดความเบื่อหน่ายมากขึ้น เขากดสวิตช์เปิดการทำงานระบบไฟฟ้าของวีลแชร์ ก่อนที่จะพูดกับเธอ “ผมจะไปสูดอากาศข้างนอก เดี๋ยวกลับมา”

พิสชาเดินมาเปิดประตูให้เขา ค้อมศีรษะให้นิดหนึ่งเมื่อธนัชวิชญ์เคลื่อนกายผ่านไป เธอมองด้านหลังของวีลแชร์ไฟฟ้าเคลื่อนหายไปทางระเบียงทางเดินขวามือ รู้สึกเป็นห่วงอย่างอธิบายไม่ถูก เลยตัดสินใจออกจากห้องสมุดและเดินตามหลังไปเงียบๆ



++++++



พิสชาไม่ทราบว่าเสี่ยวินัยคือใคร แต่เธอก็พอเดาได้ว่าเขาคงเป็นคนที่มีเรื่องโกรธแค้นกับคุณวิชญ์ในอดีต ความโกรธแค้นคือสิ่งที่พิสชาไม่ชอบเลย เธอมีความเห็นว่าที่โลกของเราวุ่นวายกันอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ล้วนแต่มีที่มาจากความโกรธแค้นทั้งนั้น

ความรักและการให้อภัยต่างหากคือสิ่งที่ทุกคนควรมอบให้กัน ไม่ใช่ความแค้นและความเกลียดชังสักหน่อย

พิสชาคิดว่าเธอจะบอกให้คุณวิชญ์เลิกโกรธแค้นอาฆาตเสี่ยวินัยที่เพิ่งออกจากคุกคนนั้น เธอไม่อยากเห็นความโกรธแปดเปื้อนอยู่ในแววตาที่เข้มแข็งของเขา

พิสชาพบคุณวิชญ์หนีออกจากห้องสมุดมานั่งอยู่คนเดียวในลานชมวิวของคฤหาสน์ ร่มไม้ที่สูงใหญ่แหวกไหวตามสายลมโชย แสงแดดในตอนนี้ไม่ร้อนเกินไป พิสชาแอบย่องเข้าไปด้านหลังของเขา สองมือกางออกเหมือนเวลาที่เธอเล่นไล่จับกับนักเรียนเตรียมอนุบาล

“จ๊ะเอ๋!”

เธอเปล่งเสียงพร้อมกับตะปบมือลงไปบนไหล่ของเขา หมายหยอกล้อให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้น

แต่ธนัชวิชญ์กลับทำเพียงเหลียวหน้าเย็นชามองเธอด้วยสีหน้าที่ไม่ตลกเลยแม้แต่น้อย

“แหะๆ คุณวิชญ์มาอยู่ที่นี่เอง ฉันเป็นห่วงน่ะค่ะเลยออกมาดู” พิสชาพูดกลบเกลื่อนมุกตลกตื้นๆ ของตัวเอง

“คุณตามผมมาทำไม?” เขาถาม

“ก็...” พิสชาเดินประสานสองมืออ้อมมายืนด้านหน้าชายหนุ่ม “...ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณวิชญ์ค่ะ”

“ผมยังไม่อยากคุยอะไรกับใครทั้งนั้น” ธนัชวิชญ์ตอบเสียงขุ่น ตอนนี้คนที่เขาอยากคุยด้วยมากที่สุดคือปาป้าแจ็คสัน แต่หากโทรไปตอนนี้ พ่อบุญธรรมของเขาคงไม่สะดวกคุยเพราะยังไม่เลิกงาน ธนัชวิชญ์ต้องรอไปจนถึงตอนค่ำที่เมื่อคำนวณระยะเวลาทางฝั่งอเมริกาแล้ว ปาป้าแจ็คสันคงออกเวรพอดี

“แต่คุณวิชญ์ต้องฟังนะคะ” พิสชาย่อกายลงประสานสายตากับเขา เหมือนเวลาที่พยายามกล่อมเด็กดื้อคนหนึ่งให้เชื่อฟัง “ฉันไม่อยากให้คุณวิชญ์โกรธแค้นใครเลยล่ะ คนเราเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรนะคะ”

“นี่คุณตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่?” ชายหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจ

“ก็ฉันไม่อยากให้คุณวิชญ์ไปโกรธแค้นเสี่ยวินัยอะไรนั่นนี่คะ ความโกรธแค้นเป็นเหมือนไฟที่เผาไหม้อยู่ในอก - “ พิสชาเอ่ยประโยคที่จำมาจากหนังสือธรรมมะไม่ทันจบ ธนัชวิชญ์ก็แทรกขึ้น

“ - แต่ไอ้เสี่ยวินัยมันเป็นคนฆ่าพ่อแม่ผมนะ คุณจะให้ผมเลิกแค้นมันได้ยังไง”

“อ่า...” ความจริงที่รับรู้ ทำให้พิสชาอึ้งไปครู่หนึ่ง

“ผมเป็นคนเดียวของครอบครัวเราที่เหลือรอดอยู่จนถึงปัจจุบัน” ธนัชวิชญ์ระบายความอัดอั้นในใจ “ตอนที่พ่อแม่ผมถูกฆ่า พวกท่านเพิ่งส่งผมไปอยู่อเมริกาได้สัปดาห์เดียวเท่านั้น พวกท่านรู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย เลยส่งผมไปอยู่ที่อื่นซะ แล้วตอนนี้ไอ้เสี่ยนั่นก็โดนปล่อยตัวมาแล้ว คุณว่ามันจะทำอะไรต่อไปล่ะ?”

“แต่คุณลุงตำรวจบอกว่าจะดูแลความปลอดภัยให้นี่นา คุณวิชญ์ไม่ต้องกลัวหรอกนะคะ” พิสชาพูดออกมาจากใจจริง “ถ้ามีใครจะทำร้ายคุณวิชญ์ล่ะก็ ฉันจะปกป้องคุณวิชญ์เอง”

อารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านด้วยความโกรธแค้นของธนัชวิชญ์บรรเทาลงเมื่อเห็นแววตามั่นอกมั่นใจของพิสชา ประกอบกับการรวบมือเป็นกำปั้นชูให้เขาดูอย่างมุ่งมั่นนั้น มันทำให้เขานึกขำขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ท่าทางเธอตั้งใจจะปกป้องเขาจริงๆ โดยไม่ได้คิดเลยว่าเธอจะปกป้องได้อย่างไร

ธนัชวิชญ์ไม่อยากคุยเรื่องนี้กับเธออีกจึงเปลี่ยนเรื่องพูด

“ผมไม่ต้องการให้ใครมาปกป้องผมหรอก ว่าแต่คุณเถอะ รู้ตัวหรือยังว่าคืนนี้ต้องนอนกับผม?”

“หา?” หญิงสาวเบิกตาโต หน้าแดงขึ้นมาทันที “อะไรนะคะ?”

“ก็คุณตกลงยอมแกล้งเป็นคนรักของผมแล้วนี่ เดี๋ยวคืนนี้จะเขียนสัญญาให้เซ็น คุณอยากได้ค่าตอบแทนเท่าไหร่ล่ะ?” เขาถาม

“แต่ว่าฉันต้องนอนกับคุณด้วยหรือคะ?” ตอนนี้นอกจากพิสชาจะหน้าแดงแล้ว เธอยังหน้าตาตื่นตระหนกอีกด้วย

“ก็ใช่สิ ถ้าไม่นอนด้วยกัน เดี๋ยวซาแมนต้าก็จับพิรุธได้น่ะสิ” ธนัชวิชญ์พูด เมื่อเห็นหน้าของอีกฝ่าย ก็นึกขึ้นได้ว่าคนซื่ออย่างเธอคงตีความคำพูดของเขาไปไกลแล้วแน่ๆ “เฮ้ เดี่ยวก่อนนะ ที่ว่านอนกับผมเนี่ย หมายความว่านอนร่วมห้องกันเฉยๆ ไม่ได้ให้มานอนมีอะไรกันแบบนั้น คุณเข้าใจใช่มั้ย?”

พิสชายิ้มกว้างทันที สีหน้าโล่งใจ “อ๋อ นอนในห้องเดียวกัน แบบรูมเมทใช่มั้ยคะ?”

ธนัชวิชญ์พยักหน้า “อื้อ แบบนั้นแหละ”

“งั้นขอฉันกลับไปเก็บของที่บ้านก่อนได้หรือเปล่าคะ?” พิสชานึกถึงพี่หมีน้อยของเธอขึ้นมาทันที เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เธอต้องนอนหลับโดยมีมันอยู่ในอ้อมกอด ไม่เช่นนั้นแล้วพิสชาไม่มีทางนอนหลับได้เด็ดขาด เรียกได้ว่าพี่หมีน้อยเป็นสมบัติส่วนตัวที่มีค่าของเธอมาก

“ไปเอาตอนเช้าแล้วกัน ไปๆ มาๆ ตอนนี้ยัยซาแมนต้าสงสัยแหงๆ” ธนัชวิชญ์พูดอย่างปวดหัว ในชีวิตที่ผ่านมา ไม่มีปริศนาหรือปัญหาข้อใดที่จะสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับเขาได้เท่าปัญหาที่ชื่อว่าซาแมนต้า ลูคัสอีกแล้ว

พิสชาหน้าเจื่อนลงเมื่อรู้ว่าไม่สามารถกลับบ้านไปนำพี่หมีน้อยมาได้

แล้วคืนนี้จะหลับได้ยังไงอ้ะ เธอคิด

“เรื่องเสื้อผ้า คืนนี้ผมจะให้แองจี้ช่วยหาให้คุณก่อน พรุ่งนี้คุณกลับไปที่บ้านก็เอาชุดนอนของคุณติดมาด้วยแล้วกัน คุณต้องแกล้งเป็นภรรยาผมจนกว่าซาแมนต้าจะยอมกลับอเมริกา” ธนัชวิชญ์พูด

“ค่ะ” พิสชารับคำเสียงอ่อย ใจลอยไปถึงพี่หมีที่ป่านนี้คงรอคอยเธอแย่แล้ว




วารีติกาล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 พ.ค. 2556, 12:10:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 พ.ค. 2556, 12:10:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1681





<< บทที่ 3 – แขกที่ไม่ได้รับเชิญ   บทที่ 5 – ราตรีอลวน >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account