สืบเสน่หา รักปาฎิหาริย์
หลังตกเป็นหนี้ก้อนโตจากบัตรเครดิต(และไม่มีปัญญาใช้หนี้) ทำให้นภัสสรสิริต้องจำใจยอมรับข้อเสนอของพี่ชายที่อาสาปลดหนี้ให้แลกกับการต้องไปช่วยงานที่โรงงานที่เชียงใหม่เป็นเวลาหนึ่งปี โดยไม่มีโอกาสรู้ว่า มีเรื่องวุ่นวายอีกมากมายรอต้อนรับเธออยู่
โชคชะตาไม่เพียงเล่นตลกที่ทำให้เธอได้พบกับ หนุ่มหล่ออย่าง "หมอแพ็ต" อดีตเพื่อนบ้านในวัยเด็กที่พลัดพรากกันไป เธอยังได้พบกับ "ผีเปเป้" ผีเกย์ที่เพิ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และเธอจำเป็นต้องช่วยเขาสืบหาตัวฆาตกรที่เบื้องหลังการตายในฐานะที่มีจิตสัมผัส
เมื่อการสืบหาคนร้ายเต็มไปด้วยความยุ่งยากสารพัด ซ้ำยังเต็มไปด้วย "ดารารับเชิญ" อีกหลายคนที่พร้อมจะป่วนหัวใจเธอทุกเวลา นภัสจะทำอย่างไร...แล้วจะมีปาฎิหาริย์อะไรเกิดขึ้นกับเธอบ้างนะ???
โชคชะตาไม่เพียงเล่นตลกที่ทำให้เธอได้พบกับ หนุ่มหล่ออย่าง "หมอแพ็ต" อดีตเพื่อนบ้านในวัยเด็กที่พลัดพรากกันไป เธอยังได้พบกับ "ผีเปเป้" ผีเกย์ที่เพิ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และเธอจำเป็นต้องช่วยเขาสืบหาตัวฆาตกรที่เบื้องหลังการตายในฐานะที่มีจิตสัมผัส
เมื่อการสืบหาคนร้ายเต็มไปด้วยความยุ่งยากสารพัด ซ้ำยังเต็มไปด้วย "ดารารับเชิญ" อีกหลายคนที่พร้อมจะป่วนหัวใจเธอทุกเวลา นภัสจะทำอย่างไร...แล้วจะมีปาฎิหาริย์อะไรเกิดขึ้นกับเธอบ้างนะ???
Tags: หมอแพ็ต เปเป้ นภัส ผีเกย์
ตอน: บทนำ : ธรณี “หนี้” นี้ ใครครอง
ทันทีที่รถญี่ปุ่นคันเล็กวิ่งมาจอดเทียบหน้าประตูทางเข้าอาคารผู้โดยสารขาออกในประเทศ เสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กของ “นภัสสรสิริ” ก็ดังขึ้นราวกับแช่ง หญิงสาวนิ่วหน้า ถอนใจเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฎอยู่หน้าจอและเกือบจะเผลอสะบัดบ๊อบใส่เจ้าสมาร์ทโฟนตัวจิ๋วนั้นเสียแล้ว ถ้าไม่เกรงว่าเสียงของมันจะทำลายโสตประสาททั้งของเธอและหลานชายหลานสาวผู้ร่วมทางมากไปกว่านี้ หญิงสาวเลยกดปุ่มเงียบแทนการกดรับสายเสียเลย
“อ้าว! ทำไมไม่รับล่ะน้าภัส น้าเอกโทรมาไม่ใช่หรือ”
ปิ่นปัก หลานสาววัยแรกรุ่นทำหน้าสงสัยพร้อมชะโงกหน้ามาจากเบาะหลัง แต่นภัสยักไหล่
“ขี้เกียจ ...ปิ่นอยากรับก็รับซี่”
“จริงนะ งั้นเค้ารับนะ”
แล้วหลานสาวจอมจุ้นก็เอื้อมมือจากเบาะหลังมาฉกโทรศัพท์ไปคุยหน้าตาเฉย ออเซาะฉอเลาะกับคนในสายตามประสาสาวช่างอ้อน ปล่อยให้พี่ชายซึ่งทำหน้าที่โชเฟอร์เดินโหย่งๆไปช่วยน้าสาวขนกระเป๋าใบเขื่องออกจากท้ายรถ ไม่นานนักเธอก็เดินตามออกมายื่นโทรศัพท์ให้น้าสาว
“เอ้า! น้าภัส...น้าเอกจะคุยด้วย” เธอบอกน้าสาวแต่ก็ชักมือกลับเอาโทรศัพท์ไปแนบหูตัวเองอีกครั้ง “นี่ๆ น้าเอก ดูแลน้าภัสดีๆนะ ระวังจะหนีเที่ยว น้าภัสชอบหายหน้าไปทีหลายๆวัน ถ้ามีอะไรโทรมาบอกปิ่นได้ จะจัดการให้….”
“พอแล้วปิ่น...เอามานี่...” คราวนี้เธอแย่งโทรศัพท์มาจากหลานสาวได้ “มีอะไร ว่ามา...”
“ไม่ได้ว่า แค่อยากโทรมาถามให้มั่นใจว่าเธอจะไม่เปลี่ยนใจขึ้นมาทีหลังอีก”
เสียงจากต้นทางมาจาก “เอกวัฒน์” พี่ชายในไส้ ซึ่งไปตั้งรกรากอยู่ที่เชียงใหม่มานานปี และเขามีดำริที่จะให้เธอย้ายไปอยู่ด้วยเป็นการถาวร แม้ไม่ใช่ประกาศิตหรือคำสั่งเฉียบขาด แต่ “พันธะสัญญา” ที่ทั้งสองมีต่อกันก็ทำให้นภัสสรสิริ ไม่อาจ “แถ” หรือเลี่ยงเป็นอย่างอื่นได้อีก
“บอกว่าไปก็ไปสิ ไม่เบี้ยวหรอกน่า...หัดไว้ใจน้องสาวตัวเองบ้างไรบ้างนะ”
“ฉันไม่ได้กลัวคนเบี้ยว...ฉันกลัวคนตุกติก คนเราสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ พูดอย่างทำอย่างมีออกถมไปนะเธอเอ๊ย”
“หน็อย!” หญิงสาวเผลอเท้าสะเอว “หลอกด่ากันเหรอ...เค้าบอกว่าไปก็ไปสิ เนี่ยถึงสนามบินแล้ว กำลังจะเช็คอิน พอใจหรือยัง?”
“เออ ดีๆ ตกลงเครื่องลงกี่โมงนะ ฉันจะได้กะเวลาไปรับถูก”
“สี่โมงกว่าๆ”
“พอดีเลย คุยงานกับลูกค้าเสร็จ จะได้แวะไปรับเธอ มาถึงแล้วโทรมาก็แล้วกัน”
แล้วพี่ชายก็กดวางสายไปแค่นั้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่มีคำร่ำลาที่ควรเป็น แต่นภัสสรสิริก็ชินเสียแล้ว แม้เอกวัฒน์จะมีอายุห่างจากเธอถึงเก้าปี แต่ความสนิทสนมแนบแน่นก็ไม่ได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกยำเกรงเขาในฐานะพี่ชายมากนัก มีแต่จะแอบปีนเกลียวทุกครั้งที่มีโอกาสเสียล่ะไม่ว่า
หญิงสาวกดปิดเครื่องกอดลาหลานสาวหลานชายอีกครั้งก่อนเดินทางไกล ทั้งคู่หน้าตายิ้มแย้มเบิกบานเหมือนไม่ได้รู้สึกใจหายสักนิดที่น้าสาวแสนสวยจะต้องระหกระเหินเดินทางไกล ทั้งที่ตัวเธอเองนั้นแอบเศร้าใจอยู่ลึกๆ
“โธ่! น้าภัสก็...เชียงใหม่แค่นี้เอง นั่งเครื่องไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงแล้ว จะเศร้าอะไรกันนักกันหนา ทีตัวเองหนีเที่ยวไปเหนือใต้ออกตกเท่าไหร่ไม่รู้ต่อเท่าไหร่ ไกลกว่านี้อีก อย่ามาดราม่าไปหน่อยเลยน่ะ”
หลานชายพูดกลั้วหัวเราะ “ป้อน” เป็นหลานคนโตของตระกูล มีน้องสาวคือปิ่นปัก และ ป๊อก น้องชายคนเล็กอีกคน ทั้งสามคนเป็นลูกของพี่สาวซึ่งเติบโตมาในบ้านรั้วเดียวกัน และด้วยวัยที่ไม่ห่างกันมากนัก ทำให้สนิทสนมกันเหมือนเพื่อนพี่น้องมากกว่าจะเป็น น้า-หลานอย่างที่ควร
“เออๆ นั่นแหละ แต่นี่มันตั้งปีนึงเชียว”
“แค่ปีเดียวเอง แล้วก็เชียงใหม่นะ เจริญจะตาย ไม่ได้ทุรกันดารอะไรสักหน่อย ปิ่นยังอยากไปเลย เดี๋ยวปิดเทอมจะไปหานะ เอาเหอะ สายแล้วน้าภัสรีบไปเช็คอินเหอะ เดี๋ยวก็ได้ตกเครื่องหรอก”
นภัสตัดใจในที่สุด รอจนหลานทั้งคู่เคลื่อนรถออกไปแล้ว จึงเข็นกระเป๋าเข้าไปในช่องทางสำหรับเช็คอินตั๋ว ทว่าในช่วงจังหวะที่เลี้ยวรถเข็นนั้นเองก็มีเสียงโครมครามดังขึ้น เมื่อรถเข็นของเธอประสานงาเข้ากับรถอีกคันอย่างไม่ตั้งใจ นภัสสรสิริ หรือที่ใครๆมักเรียกกันสั้นๆว่า “นภัส” ยืนนิ่ง ขณะที่คู่กรณีอีกฝ่ายเดินอ้อมมาผลักกระเป๋าตัวเองให้กลับเข้าที่ อีกมือก็ถือโทรศัพท์ค้างไว้ด้วย ท่าทางคงจะยุ่งมาก...
เหมือนฉากเปิดตัวพระเอกในนิยายโรแม้นซ์เล่มละสิบบาทไม่มีผิด...เมื่อชายหนุ่มคู่กรณียืดตัวตรงขึ้นพร้อมถอดแว่นกันแดดสีดำออกเทอดไว้บนศีรษะ ชั่วขณะที่ตาสบตากัน นภัสอดยอมรับไม่ได้ว่าเขาช่างเป็นชายหนุ่มที่เรียกได้ว่าดูดีแทบจะศีรษะจรดปลายเท้าเสียจริงๆ ความสูงกว่าเมตรแปดสิบบวกกับผิวกายสะอาดสะอ้านนั้นทำให้เขาดูเด่นมาแต่ไกล แล้วยังจะดวงตาสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งแหลมงุ้มกับริมฝีปากหนาหยักได้รูปนั่นอีกล่ะ
เฮ้ย!...ท่าทางเขาบ่งบอกว่าเป็นคนดี นภัสสัมผัสได้
“เดี๋ยวพี่โทรไปนะคะ สวัสดีค่ะ”
เขาบอกลาคนในสายด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม ไพเราะชวนฟังชนิดที่ว่าคนปลายสาย(ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นผู้หญิง) อาจสำลักความหวานตายคาโทรศัพท์ทันทีที่วางสายก็เป็นได้
นภัสอมยิ้มและแอบเพ่งมองใบหน้าเขาชัดๆไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว รู้สึกคุ้นๆเลาๆในใจว่าเหมือนเคยเจอมาก่อน แต่ก็เลือนรางมากเสียจนไม่อาจสรุปเชื่อตามสมมติฐานของตัวเองได้...บางทีเขาอาจเป็นใครสักคนที่เธอเคยสบตาแล้วก็เดินผ่านไปเฉยๆ โดยที่ไม่เคยรู้จักมักจี่มาก่อนก็เป็นได้กระมัง…
“ขอโทษฮะ...คุณเป็นไรมากไปหรือเปล่า”
เขาแสดงท่าทีเป็นห่วงแต่นภัสส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร แล้วคุณล่ะ”
“ผมโอเค”
เขาตอบสั้นๆ ชนิดที่นภัสยังแอบนึกว่าเขาจะถามหรือชวนคุยเรื่องอะไรมากกว่านี้เสียอีก ทว่าเมื่อเขาเลื่อนแว่นกันแดดมาวางไว้บนสันจมูกตามเดิม หญิงสาวก็รู้ว่าฝันของเธอนั้นดับสนิท!
“งั้นขอตัวก่อนนะฮะ”
นภัสพยักหน้าพร้อมๆกับเสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มที่ดังขึ้นอีกครั้งเป็นเหมือนสัญญาณย้ำเตือนให้รู้ว่าเธอต้องแยกจากเขาแล้วจริงๆ เธอจึงเอ่ยขอตัวบ้างแล้วเข็นกระเป๋าเข้าสู่ช่องทางในสนามบินต่อไป...ปิดฉากเลิฟ แอ็ท เฟิรสท์ ไซท์(อยู่ฝ่ายเดียว)ไว้ที่ตรงนั้นอย่างน่าเสียดายเป็นที่สุด
นภัสสรสิริซุก Boarding pass ไว้ที่ไหนสักแห่งในกระเป๋าใบโตที่สะพายขึ้นเครื่องมาด้วยอย่างไม่ใส่ใจ เวลานี้เธอเพียงต้องการนอนหลับเพื่อจะได้ตื่นขึ้นมาหลังจากที่เครื่องบินลงแตะรันเวย์บนแผ่นดินเชียงใหม่ เพื่อที่จะพบว่าชีวิตของเธอจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วเท่านั้น
นภัสสรสิริอายุจะครบยี่สิบเจ็ดปีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เธอเกิดมาตอนที่ฐานะทางครอบครัวเริ่มเป็นปึกแผ่นมั่นคงแล้ว ถึงแม้ไม่ได้ร่ำรวยเข้าขั้นเศรษฐี แต่ก็ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการดิ้นรนหาเลี้ยงชีพเหมือนสมัยตอนที่พ่อกับแม่ยังเป็นหนุ่มสาวหรือตอนที่พวกพี่ๆยังเด็ก การเป็นลูกสาวคนเล็กทำให้เธอใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยได้อย่างสบายอกสบายใจ โดยไม่ต้องรับผิดชอบสิ่งใดให้เหนื่อยนอกจากการตั้งใจเรียนให้จบเท่านั้น
หลังจากเรียนจบ นภัสได้เข้าทำงานในบริษัทโฆษณาชื่อดังที่ใครหลายๆคนพร้อมจะพลีชีพเพื่อให้ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่ง แต่เธอกลับได้มันมาอย่างง่ายดายด้วยค่าตัวที่สูงลิ่วเกินกว่าจะคาดคิด ความฮึกเหิมจากเงินที่หาเองได้ทำให้เธอใช้จ่ายอย่างเพลิดเพลินไม่ระมัดระวังและขาดการยั้งคิด และสุดท้าย...อิสระทางการเงินก็นำมาซึ่งหนี้สินก้อนโตจากบัตรเครดิต!
เหตุการณ์บานปลายกว่านั้น เมื่อนภัสสรสิริมีเหตุให้ออกจากงานเพราะดันไปมีเรื่องมีราวกับคนใหญ่คนโตในบริษัท เธอยังใช้จ่ายปกติทั้งที่กลายเป็นคนว่างงาน ไม่นานนักเงินเก็บที่มีเพียงน้อยนิดก็หมดสต๊อกในขณะที่หนี้สินก็ยังคงต้องผ่อนชำระ กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองเดินมาถึงทางตัน หญิงสาวก็พบว่าเธอเป็นหนี้บัตรเครดิตที่พอกพูนทั้งต้นทั้งดอกเป็นเงินร่วมสามแสนบาท!
โชคดี(หรือโชคร้ายกันแน่ก็ไม่รู้) ก่อนที่แม่จะทราบเรื่อง พี่ชายเธอได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯมาเยี่ยมแม่ตามปกติและพบจดหมายทวงหนี้ของเธอเข้าโดยบังเอิญ พี่ชายโกรธและเอ็ดที่เธอใช้จ่ายไม่ระมัดระวังเป็นเหตุให้เป็นหนี้ท่วมหัว ครั้นพอเธอขอร้องว่าอย่าบอกแม่ก็ถูกเขาดุเข้าให้อีก
“แล้วเธอจะเอาเงินที่ไหนไปใช้เค้าฮึ ยัยปูนิ่ม...”
พี่ชายลากเสียงอย่างอ่อนใจ “ปูนิ่ม” เป็นชื่อเรียกเธอที่คนทางบ้านเรียกติดปากมาแต่เด็กๆ มันฟังดู “นิ่มๆ” ไร้การทรงตัว น่าสงสาร หญิงสาวเลยพึงใจมากกว่าถ้าใครๆจะเรียกเธอว่า “นภัส”
“เค้าหาได้” เธอตอบเสียงอ่อย ไม่สบตาพี่ชายสักนิด
“หาจากไหน งานก็ไม่ได้ทำ เงินเก็บก็ไม่มี...”
“เค้าจะหางานใหม่ ก็คงไม่นาน...แต่ถึงยังไงเค้าก็มีสลากออมสินอยู่...ถ้าไม่มีทางเลือก เค้าก็อาจ...”
“จะบ้าเหรอ!” พี่ชายขึ้นเสียง “แล้วนึกหรือว่าเรื่องนี้จะรอดพ้นหูตาแม่ไปได้ เธอนี่มันจริงๆ อายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ทำอะไรไม่มีความคิด”
พอเห็นน้องสาวหน้าเสีย พี่ชายก็เสียงอ่อน ก่อนจะใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ทั้งขู่ทั้งปลอบยื่นข้อเสนอสุดพิเศษให้ในภายหลัง...เป็นข้อเสนอที่ไม่เคยอยู่ในความคิดของนภัสมาก่อน และหญิงสาวก็ไม่ต้องการ แต่ก็พบว่าทางเลือกของเธอมีไม่มากนัก...
พี่ชายเสนอตัวล้างหนี้ทั้งหมดให้ แลกกับการที่เธอต้องไปช่วยงานที่โรงทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่สันกำแพง ซึ่งเป็นธุรกิจที่เขากับภรรยาร่วมกันก่อร่างสร้างตัวมาเมื่อสิบกว่าปีก่อน จนบัดนี้ธุรกิจเติบโตก้าวหน้าไปมาก จากเด็กหนุ่มธรรมดาเขากลายเป็นคนดังของเมืองเชียงใหม่ที่น้อยคนนักจะไม่รู้จัก เธอรู้ว่าพี่ชายต้องการคนที่ไว้ใจได้ไปช่วยงาน ทว่าการทำธุรกิจร่วมกับคนในครอบครัวก็ไม่เคยอยู่ในความคิดเธอมาแต่ไหนแต่ไร...เธออยากยืนด้วยขาของตัวเองมากกว่าจะยืนผึ่งผายอยู่ใต้ร่มเงาของคนอื่น
“ถ้าเธอไม่ยอมรับข้อตกลง ก็ไปบอกให้แม่ยอมใช้หนี้ให้เธอซะก่อนที่เธอจะต้องเข้าปิ้งไปขึ้นศาลเพราะโดนเค้าฟ้องคดีแพ่ง แล้วก็จงเป็นลูกแหง่ที่แก้ปัญหาชีวิตอะไรเองไม่ได้ต่อไป แล้วแม่ก็จะกลุ้มใจมากที่มีลูกสาวอย่างเธอ ฉันจะบอกให้”
“งั้น...ให้เค้ายืมเงินก่อนได้มั้ยล่ะ แล้วเค้าจะผ่อนคืนให้”
“เธอจะเอาที่ไหนมาคืน งานก็ไม่มีทำ...หลักประกันอะไรก็ไม่มี” พี่ชายทำเสียงดูแคลน
“นี่น้องนะ...” เธอใช้นิ้วจิ้มหน้าอกตัวเอง “อย่าหน้าเลือดให้มันมากนักสิ”
“มันเป็นเรื่องของธุรกิจน้องสาว...เธอไปกู้เงินแบงค์ ยังต้องมีหลักประกันให้เค้าเลย แล้วนี่...เงินตั้งสามแสน จะให้ยืมกันง่ายๆได้ยังไง ของถูกไม่ดี ของฟรีไม่มีในโลก ไม่เคยได้ยินหรือ”
“โหด!”
“เอาล่ะ...ชั้นจะพูดอีกครั้งเดียว ชั้นจะใช้หนี้ให้เธอ ทุกบัตรที่ค้างอยู่ แต่เธอต้องไปช่วยงานชั้นที่เชียงใหม่ ชั้นไม่ใช้งานเธอฟรีๆหรอกนะ มีเงินเดือนให้ใช้ มีรถให้ขับ มีบ้านให้อยู่ เธอจะเอายังไงอีก”
“แต่เค้าเป็นห่วงแม่ ถ้าเค้าไปอยู่เชียงใหม่ แม่จะอยู่กับใคร”
คราวนี้พี่ชายยิ้มมีแผนเจ้าเล่ห์ เหมือนรอให้สบโอกาสมานาน
“ที่แม่เค้าไม่ยอมไปอยู่เชียงใหม่กับชั้น ก็เพราะเค้าห่วงเธอนี่แหละ ถ้าเธอไปด้วย แม่เค้าก็ไปอยู่แล้ว”
“โธ่...นึกว่ารักน้อง ห่วงน้อง...ที่แท้ก็แผนล่อลวงเอาแม่ไปอยู่ด้วยนี่เอง”
“อ้าว! ก็เหลือแม่อยู่คนเดียว ก็แบ่งๆกันสิ เธอจะยึดแม่ไว้คนเดียวได้ไง ไม่แฟร์นี่”
นภัสกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอไม่ตอบตกลงเสียทีเดียว แต่ขอเวลาคิดสักระยะ...ที่จริงคือขอเวลาทำใจมากกว่า แม้จะรู้ว่าพี่ชายมีเจตนาบริสุทธิ์ และไม่ได้คิดจะรีดเลือดเอากับปูเสียที่ไหน อย่างน้อยเขาก็อยากดูแลแม่กับน้องสาว(ที่ยังคงโสด)ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็นั่นล่ะ...ยังไงเชียงใหม่ก็ไม่ใช่ที่ของเธอ แม้ว่ามันจะเป็นพื้นที่ในฝันของใครอีกหลายคนก็ตาม
หญิงสาวใช้เวลาระหว่างที่ยังไม่ให้คำตอบพี่ชาย หางานใหม่ทั้งจากอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์สมัครงาน รวมทั้งหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆ เท่าที่จะพึงหาได้ แต่ในยุคที่คนล้นงานและค่าแรงที่ถีบตัวสูงขึ้นเป็นเท่าตัว หญิงสาวก็พบว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่เธอยังมีเพื่อนดีๆหลงเหลือคอยหยิบยื่นงานในวงการบันเทิงและสื่อสิ่งพิมพ์ให้เป็นระยะๆ แต่รายได้ก็ยังไม่เป็นกอบเป็นกำมากพอที่จะปลดหนี้ได้ จนกระทั่งเมื่อจดหมายเตือนให้ชำระหนี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะถูกดำเนินคดีตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไปถูกส่งมาถึงมือ...ฟางเส้นสุดท้ายของเธอก็ขาดผึงลง!
“คุณๆ คุณ! ตื่นได้แล้ว”
นภัสรู้สึกเหมือนมีแรงสั่นสะเทือนเกิดขึ้นที่ท่อนแขน แรกทีเดียวเธอนึกว่าเครื่องบินตกหลุมอากาศคิดจะหลับต่อ แต่แรงกระตุกหนักๆที่แขนเสื้อหลายๆครั้งก็ทำให้เธอจำต้องลืมตาตื่นขึ้นในที่สุด
ว้าว! พระเอกนิยายโรแม้นซ์ รักแรกพบของเธอนั่นเอง...ไม่ยักรู้ว่าเขามาเที่ยวบินเดียวกับเธอเสียด้วย “ถึงเชียงใหม่แล้ว แอร์ฯ เค้าประกาศตั้งนานแล้ว ไม่ได้ยินหรือ”
เขาทำเสียงดุ แต่นภัสก็คิดว่าเธอมองเห็นรอยยิ้มซ่อนอยู่ในแววตาคู่นั้น เธอหยัดกายลุกนั่งตัวตรง จับผมเผ้าที่ยาวถึงกลางหลังให้เข้าที่แล้วมัดลวกๆด้วยยางรัดของสีแดงที่ควานได้จากในกระเป๋า
“ขอบคุณค่ะ...ฉันหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ที่จริงฉันเป็นคนหลับยากนะ...”
“เหรอ...”
เขาประชดเบาๆ แล้วรีบเดินออกไป พอเห็นว่าตัวเองเป็นผู้โดยสารคนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ในเครื่อง นภัสก็รีบวิ่งตามเขาออกไปทันที
อย่างเลี่ยงไม่ได้ หญิงสาวพบเขาอีกครั้งที่ตรงจุดรอรับกระเป๋า เห็นเป็นโอกาสดีและเหมาะสมที่จะชวนคุย อย่างน้อยก็ฆ่าเวลาระหว่างรอ เธอหาได้แสดงท่าทีหว่านไมตรีจนเกินขอบเขตแต่อย่างใด
“ขอบคุณที่ปลุกนะคะ ไม่งั้นฉันคงหลับคาอยู่ในเครื่อง”
“ไม่มีใครเค้าปล่อยให้คุณหลับคาอยู่ในนั้นหรอกน่า...เดี๋ยวแอร์ฯเค้าก็ทำให้คุณตื่นจนได้นั่นแหละ”
“ก็นั่นแหละ”
เธอยังไม่วายจะยกให้เขาเป็นผู้มีบุญคุณ แม้ว่าเขาไม่ได้มีท่าทีจะอยากเสวนากับเธอสักเท่าใดนัก นภัสนึกขึ้นมาได้เลยรีบหยิบโทรศัพท์มากดหาพี่ชาย ตั้งใจจะบอกให้รู้ถึงการมาถึง แต่พี่ชายกลับโบ้ยหน้าที่ไปให้ภรรยาเสียอย่างนั้น
“ยังคุยกับลูกค้าไม่เสร็จเลย แต่ฉันบอกให้เจนเค้าไปรับแทนแล้ว นี่เค้ายังไม่ได้โทรหาเธออีกรึ”
“เพิ่งมาถึงน่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเค้าโทรหาพี่เจนเอง”
หญิงสาวไม่เรื่องมาก เธอกดโทรศัพท์หาพี่สะใภ้ในทันที แต่ก็พบว่าทุกอย่างยังคงไม่เป็นดั่งหวัง
“อ้าว! นภัสมาถึงแล้วเหรอ รออีกแป๊บได้มั้ยพี่มารอรับหลานที่โรงเรียนกวดวิชาน่ะ ตั้งใจว่าจะพาหลานไปรับนภัสด้วยกัน” พี่สะใภ้ตอบอย่างเกรงใจน้องสามี
“งั้นไม่เป็นไรพี่เจน เดี๋ยวไปเองก็ได้ นั่งรถแดงไปแป๊บเดียวก็ถึง”
“อย่าลำบากเลย ข้าวของเยอะแยะ เดี๋ยวพี่ไปรับ”
“ไม่ลำบากหรอกค่ะ ไปได้ รอรับหลานเถอะ จะได้ไม่ต้องกังวล แล้วค่อยไปเจอกันที่บ้าน”
เธอตัดบทไม่พิรี้พิไรอีก การเดินทางคนเดียวสำหรับเธอไม่ว่าจะในถิ่นหรือต่างถิ่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอมาแต่ไหนแต่ไร แล้วเมืองเล็กๆอย่างเชียงใหม่ ก็นับว่ายิ่งเรื่องเล็ก
“จะไปที่ไหน”
ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เขาคงได้ยินที่เธอพูดโทรศัพท์เมื่อกี้นี้ก็เลยแสดงน้ำใจในฐานะที่คิดว่าเธอคงเป็นชาวเหนือเหมือนกัน นภัสตอบชื่อถนนชานเมืองเชียงใหม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินมากนัก ชายหนุ่มพยักหน้าครุ่นคิด
“ผมมีรถมารับ ต้องไปโรงพยาบาล ทางเดียวกัน ไปด้วยกันไหม”
“โรงพยาบาล? ใครเป็นไรคะ”
แน่ะ! ยังไปอยากรู้เรื่องชาวบ้านเค้าอีก
“มีคนไข้”
ก็แน่ล่ะ...คนไม่เป็นไข้จะไปอยู่โรงพยาบาลทำไมกัน นภัสแอบย้อนเขาในใจ
“อ๋อ...ค่ะๆ ไปก็ได้ค่ะ ว่าแต่ทำไมคุณถึงใจดีกับฉันจังล่ะคะ เอ่อ...หมายถึงทำไมต้องแสดงน้ำใจกับฉันด้วย เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าคะ”
“งั้นคุณจะไม่ไปก็ได้นะ”
“ไปๆค่ะ ไปๆ”
เธอรีบกระวีกระวาดตอบเหมือนกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้...ถามนิดถามหน่อยก็ไม่ได้ หงุดหงิดง่ายชะมัด...
“อ้าว! ทำไมไม่รับล่ะน้าภัส น้าเอกโทรมาไม่ใช่หรือ”
ปิ่นปัก หลานสาววัยแรกรุ่นทำหน้าสงสัยพร้อมชะโงกหน้ามาจากเบาะหลัง แต่นภัสยักไหล่
“ขี้เกียจ ...ปิ่นอยากรับก็รับซี่”
“จริงนะ งั้นเค้ารับนะ”
แล้วหลานสาวจอมจุ้นก็เอื้อมมือจากเบาะหลังมาฉกโทรศัพท์ไปคุยหน้าตาเฉย ออเซาะฉอเลาะกับคนในสายตามประสาสาวช่างอ้อน ปล่อยให้พี่ชายซึ่งทำหน้าที่โชเฟอร์เดินโหย่งๆไปช่วยน้าสาวขนกระเป๋าใบเขื่องออกจากท้ายรถ ไม่นานนักเธอก็เดินตามออกมายื่นโทรศัพท์ให้น้าสาว
“เอ้า! น้าภัส...น้าเอกจะคุยด้วย” เธอบอกน้าสาวแต่ก็ชักมือกลับเอาโทรศัพท์ไปแนบหูตัวเองอีกครั้ง “นี่ๆ น้าเอก ดูแลน้าภัสดีๆนะ ระวังจะหนีเที่ยว น้าภัสชอบหายหน้าไปทีหลายๆวัน ถ้ามีอะไรโทรมาบอกปิ่นได้ จะจัดการให้….”
“พอแล้วปิ่น...เอามานี่...” คราวนี้เธอแย่งโทรศัพท์มาจากหลานสาวได้ “มีอะไร ว่ามา...”
“ไม่ได้ว่า แค่อยากโทรมาถามให้มั่นใจว่าเธอจะไม่เปลี่ยนใจขึ้นมาทีหลังอีก”
เสียงจากต้นทางมาจาก “เอกวัฒน์” พี่ชายในไส้ ซึ่งไปตั้งรกรากอยู่ที่เชียงใหม่มานานปี และเขามีดำริที่จะให้เธอย้ายไปอยู่ด้วยเป็นการถาวร แม้ไม่ใช่ประกาศิตหรือคำสั่งเฉียบขาด แต่ “พันธะสัญญา” ที่ทั้งสองมีต่อกันก็ทำให้นภัสสรสิริ ไม่อาจ “แถ” หรือเลี่ยงเป็นอย่างอื่นได้อีก
“บอกว่าไปก็ไปสิ ไม่เบี้ยวหรอกน่า...หัดไว้ใจน้องสาวตัวเองบ้างไรบ้างนะ”
“ฉันไม่ได้กลัวคนเบี้ยว...ฉันกลัวคนตุกติก คนเราสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ พูดอย่างทำอย่างมีออกถมไปนะเธอเอ๊ย”
“หน็อย!” หญิงสาวเผลอเท้าสะเอว “หลอกด่ากันเหรอ...เค้าบอกว่าไปก็ไปสิ เนี่ยถึงสนามบินแล้ว กำลังจะเช็คอิน พอใจหรือยัง?”
“เออ ดีๆ ตกลงเครื่องลงกี่โมงนะ ฉันจะได้กะเวลาไปรับถูก”
“สี่โมงกว่าๆ”
“พอดีเลย คุยงานกับลูกค้าเสร็จ จะได้แวะไปรับเธอ มาถึงแล้วโทรมาก็แล้วกัน”
แล้วพี่ชายก็กดวางสายไปแค่นั้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่มีคำร่ำลาที่ควรเป็น แต่นภัสสรสิริก็ชินเสียแล้ว แม้เอกวัฒน์จะมีอายุห่างจากเธอถึงเก้าปี แต่ความสนิทสนมแนบแน่นก็ไม่ได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกยำเกรงเขาในฐานะพี่ชายมากนัก มีแต่จะแอบปีนเกลียวทุกครั้งที่มีโอกาสเสียล่ะไม่ว่า
หญิงสาวกดปิดเครื่องกอดลาหลานสาวหลานชายอีกครั้งก่อนเดินทางไกล ทั้งคู่หน้าตายิ้มแย้มเบิกบานเหมือนไม่ได้รู้สึกใจหายสักนิดที่น้าสาวแสนสวยจะต้องระหกระเหินเดินทางไกล ทั้งที่ตัวเธอเองนั้นแอบเศร้าใจอยู่ลึกๆ
“โธ่! น้าภัสก็...เชียงใหม่แค่นี้เอง นั่งเครื่องไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงแล้ว จะเศร้าอะไรกันนักกันหนา ทีตัวเองหนีเที่ยวไปเหนือใต้ออกตกเท่าไหร่ไม่รู้ต่อเท่าไหร่ ไกลกว่านี้อีก อย่ามาดราม่าไปหน่อยเลยน่ะ”
หลานชายพูดกลั้วหัวเราะ “ป้อน” เป็นหลานคนโตของตระกูล มีน้องสาวคือปิ่นปัก และ ป๊อก น้องชายคนเล็กอีกคน ทั้งสามคนเป็นลูกของพี่สาวซึ่งเติบโตมาในบ้านรั้วเดียวกัน และด้วยวัยที่ไม่ห่างกันมากนัก ทำให้สนิทสนมกันเหมือนเพื่อนพี่น้องมากกว่าจะเป็น น้า-หลานอย่างที่ควร
“เออๆ นั่นแหละ แต่นี่มันตั้งปีนึงเชียว”
“แค่ปีเดียวเอง แล้วก็เชียงใหม่นะ เจริญจะตาย ไม่ได้ทุรกันดารอะไรสักหน่อย ปิ่นยังอยากไปเลย เดี๋ยวปิดเทอมจะไปหานะ เอาเหอะ สายแล้วน้าภัสรีบไปเช็คอินเหอะ เดี๋ยวก็ได้ตกเครื่องหรอก”
นภัสตัดใจในที่สุด รอจนหลานทั้งคู่เคลื่อนรถออกไปแล้ว จึงเข็นกระเป๋าเข้าไปในช่องทางสำหรับเช็คอินตั๋ว ทว่าในช่วงจังหวะที่เลี้ยวรถเข็นนั้นเองก็มีเสียงโครมครามดังขึ้น เมื่อรถเข็นของเธอประสานงาเข้ากับรถอีกคันอย่างไม่ตั้งใจ นภัสสรสิริ หรือที่ใครๆมักเรียกกันสั้นๆว่า “นภัส” ยืนนิ่ง ขณะที่คู่กรณีอีกฝ่ายเดินอ้อมมาผลักกระเป๋าตัวเองให้กลับเข้าที่ อีกมือก็ถือโทรศัพท์ค้างไว้ด้วย ท่าทางคงจะยุ่งมาก...
เหมือนฉากเปิดตัวพระเอกในนิยายโรแม้นซ์เล่มละสิบบาทไม่มีผิด...เมื่อชายหนุ่มคู่กรณียืดตัวตรงขึ้นพร้อมถอดแว่นกันแดดสีดำออกเทอดไว้บนศีรษะ ชั่วขณะที่ตาสบตากัน นภัสอดยอมรับไม่ได้ว่าเขาช่างเป็นชายหนุ่มที่เรียกได้ว่าดูดีแทบจะศีรษะจรดปลายเท้าเสียจริงๆ ความสูงกว่าเมตรแปดสิบบวกกับผิวกายสะอาดสะอ้านนั้นทำให้เขาดูเด่นมาแต่ไกล แล้วยังจะดวงตาสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งแหลมงุ้มกับริมฝีปากหนาหยักได้รูปนั่นอีกล่ะ
เฮ้ย!...ท่าทางเขาบ่งบอกว่าเป็นคนดี นภัสสัมผัสได้
“เดี๋ยวพี่โทรไปนะคะ สวัสดีค่ะ”
เขาบอกลาคนในสายด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม ไพเราะชวนฟังชนิดที่ว่าคนปลายสาย(ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นผู้หญิง) อาจสำลักความหวานตายคาโทรศัพท์ทันทีที่วางสายก็เป็นได้
นภัสอมยิ้มและแอบเพ่งมองใบหน้าเขาชัดๆไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว รู้สึกคุ้นๆเลาๆในใจว่าเหมือนเคยเจอมาก่อน แต่ก็เลือนรางมากเสียจนไม่อาจสรุปเชื่อตามสมมติฐานของตัวเองได้...บางทีเขาอาจเป็นใครสักคนที่เธอเคยสบตาแล้วก็เดินผ่านไปเฉยๆ โดยที่ไม่เคยรู้จักมักจี่มาก่อนก็เป็นได้กระมัง…
“ขอโทษฮะ...คุณเป็นไรมากไปหรือเปล่า”
เขาแสดงท่าทีเป็นห่วงแต่นภัสส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร แล้วคุณล่ะ”
“ผมโอเค”
เขาตอบสั้นๆ ชนิดที่นภัสยังแอบนึกว่าเขาจะถามหรือชวนคุยเรื่องอะไรมากกว่านี้เสียอีก ทว่าเมื่อเขาเลื่อนแว่นกันแดดมาวางไว้บนสันจมูกตามเดิม หญิงสาวก็รู้ว่าฝันของเธอนั้นดับสนิท!
“งั้นขอตัวก่อนนะฮะ”
นภัสพยักหน้าพร้อมๆกับเสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มที่ดังขึ้นอีกครั้งเป็นเหมือนสัญญาณย้ำเตือนให้รู้ว่าเธอต้องแยกจากเขาแล้วจริงๆ เธอจึงเอ่ยขอตัวบ้างแล้วเข็นกระเป๋าเข้าสู่ช่องทางในสนามบินต่อไป...ปิดฉากเลิฟ แอ็ท เฟิรสท์ ไซท์(อยู่ฝ่ายเดียว)ไว้ที่ตรงนั้นอย่างน่าเสียดายเป็นที่สุด
นภัสสรสิริซุก Boarding pass ไว้ที่ไหนสักแห่งในกระเป๋าใบโตที่สะพายขึ้นเครื่องมาด้วยอย่างไม่ใส่ใจ เวลานี้เธอเพียงต้องการนอนหลับเพื่อจะได้ตื่นขึ้นมาหลังจากที่เครื่องบินลงแตะรันเวย์บนแผ่นดินเชียงใหม่ เพื่อที่จะพบว่าชีวิตของเธอจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วเท่านั้น
นภัสสรสิริอายุจะครบยี่สิบเจ็ดปีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เธอเกิดมาตอนที่ฐานะทางครอบครัวเริ่มเป็นปึกแผ่นมั่นคงแล้ว ถึงแม้ไม่ได้ร่ำรวยเข้าขั้นเศรษฐี แต่ก็ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการดิ้นรนหาเลี้ยงชีพเหมือนสมัยตอนที่พ่อกับแม่ยังเป็นหนุ่มสาวหรือตอนที่พวกพี่ๆยังเด็ก การเป็นลูกสาวคนเล็กทำให้เธอใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยได้อย่างสบายอกสบายใจ โดยไม่ต้องรับผิดชอบสิ่งใดให้เหนื่อยนอกจากการตั้งใจเรียนให้จบเท่านั้น
หลังจากเรียนจบ นภัสได้เข้าทำงานในบริษัทโฆษณาชื่อดังที่ใครหลายๆคนพร้อมจะพลีชีพเพื่อให้ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่ง แต่เธอกลับได้มันมาอย่างง่ายดายด้วยค่าตัวที่สูงลิ่วเกินกว่าจะคาดคิด ความฮึกเหิมจากเงินที่หาเองได้ทำให้เธอใช้จ่ายอย่างเพลิดเพลินไม่ระมัดระวังและขาดการยั้งคิด และสุดท้าย...อิสระทางการเงินก็นำมาซึ่งหนี้สินก้อนโตจากบัตรเครดิต!
เหตุการณ์บานปลายกว่านั้น เมื่อนภัสสรสิริมีเหตุให้ออกจากงานเพราะดันไปมีเรื่องมีราวกับคนใหญ่คนโตในบริษัท เธอยังใช้จ่ายปกติทั้งที่กลายเป็นคนว่างงาน ไม่นานนักเงินเก็บที่มีเพียงน้อยนิดก็หมดสต๊อกในขณะที่หนี้สินก็ยังคงต้องผ่อนชำระ กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองเดินมาถึงทางตัน หญิงสาวก็พบว่าเธอเป็นหนี้บัตรเครดิตที่พอกพูนทั้งต้นทั้งดอกเป็นเงินร่วมสามแสนบาท!
โชคดี(หรือโชคร้ายกันแน่ก็ไม่รู้) ก่อนที่แม่จะทราบเรื่อง พี่ชายเธอได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯมาเยี่ยมแม่ตามปกติและพบจดหมายทวงหนี้ของเธอเข้าโดยบังเอิญ พี่ชายโกรธและเอ็ดที่เธอใช้จ่ายไม่ระมัดระวังเป็นเหตุให้เป็นหนี้ท่วมหัว ครั้นพอเธอขอร้องว่าอย่าบอกแม่ก็ถูกเขาดุเข้าให้อีก
“แล้วเธอจะเอาเงินที่ไหนไปใช้เค้าฮึ ยัยปูนิ่ม...”
พี่ชายลากเสียงอย่างอ่อนใจ “ปูนิ่ม” เป็นชื่อเรียกเธอที่คนทางบ้านเรียกติดปากมาแต่เด็กๆ มันฟังดู “นิ่มๆ” ไร้การทรงตัว น่าสงสาร หญิงสาวเลยพึงใจมากกว่าถ้าใครๆจะเรียกเธอว่า “นภัส”
“เค้าหาได้” เธอตอบเสียงอ่อย ไม่สบตาพี่ชายสักนิด
“หาจากไหน งานก็ไม่ได้ทำ เงินเก็บก็ไม่มี...”
“เค้าจะหางานใหม่ ก็คงไม่นาน...แต่ถึงยังไงเค้าก็มีสลากออมสินอยู่...ถ้าไม่มีทางเลือก เค้าก็อาจ...”
“จะบ้าเหรอ!” พี่ชายขึ้นเสียง “แล้วนึกหรือว่าเรื่องนี้จะรอดพ้นหูตาแม่ไปได้ เธอนี่มันจริงๆ อายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ทำอะไรไม่มีความคิด”
พอเห็นน้องสาวหน้าเสีย พี่ชายก็เสียงอ่อน ก่อนจะใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ทั้งขู่ทั้งปลอบยื่นข้อเสนอสุดพิเศษให้ในภายหลัง...เป็นข้อเสนอที่ไม่เคยอยู่ในความคิดของนภัสมาก่อน และหญิงสาวก็ไม่ต้องการ แต่ก็พบว่าทางเลือกของเธอมีไม่มากนัก...
พี่ชายเสนอตัวล้างหนี้ทั้งหมดให้ แลกกับการที่เธอต้องไปช่วยงานที่โรงทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่สันกำแพง ซึ่งเป็นธุรกิจที่เขากับภรรยาร่วมกันก่อร่างสร้างตัวมาเมื่อสิบกว่าปีก่อน จนบัดนี้ธุรกิจเติบโตก้าวหน้าไปมาก จากเด็กหนุ่มธรรมดาเขากลายเป็นคนดังของเมืองเชียงใหม่ที่น้อยคนนักจะไม่รู้จัก เธอรู้ว่าพี่ชายต้องการคนที่ไว้ใจได้ไปช่วยงาน ทว่าการทำธุรกิจร่วมกับคนในครอบครัวก็ไม่เคยอยู่ในความคิดเธอมาแต่ไหนแต่ไร...เธออยากยืนด้วยขาของตัวเองมากกว่าจะยืนผึ่งผายอยู่ใต้ร่มเงาของคนอื่น
“ถ้าเธอไม่ยอมรับข้อตกลง ก็ไปบอกให้แม่ยอมใช้หนี้ให้เธอซะก่อนที่เธอจะต้องเข้าปิ้งไปขึ้นศาลเพราะโดนเค้าฟ้องคดีแพ่ง แล้วก็จงเป็นลูกแหง่ที่แก้ปัญหาชีวิตอะไรเองไม่ได้ต่อไป แล้วแม่ก็จะกลุ้มใจมากที่มีลูกสาวอย่างเธอ ฉันจะบอกให้”
“งั้น...ให้เค้ายืมเงินก่อนได้มั้ยล่ะ แล้วเค้าจะผ่อนคืนให้”
“เธอจะเอาที่ไหนมาคืน งานก็ไม่มีทำ...หลักประกันอะไรก็ไม่มี” พี่ชายทำเสียงดูแคลน
“นี่น้องนะ...” เธอใช้นิ้วจิ้มหน้าอกตัวเอง “อย่าหน้าเลือดให้มันมากนักสิ”
“มันเป็นเรื่องของธุรกิจน้องสาว...เธอไปกู้เงินแบงค์ ยังต้องมีหลักประกันให้เค้าเลย แล้วนี่...เงินตั้งสามแสน จะให้ยืมกันง่ายๆได้ยังไง ของถูกไม่ดี ของฟรีไม่มีในโลก ไม่เคยได้ยินหรือ”
“โหด!”
“เอาล่ะ...ชั้นจะพูดอีกครั้งเดียว ชั้นจะใช้หนี้ให้เธอ ทุกบัตรที่ค้างอยู่ แต่เธอต้องไปช่วยงานชั้นที่เชียงใหม่ ชั้นไม่ใช้งานเธอฟรีๆหรอกนะ มีเงินเดือนให้ใช้ มีรถให้ขับ มีบ้านให้อยู่ เธอจะเอายังไงอีก”
“แต่เค้าเป็นห่วงแม่ ถ้าเค้าไปอยู่เชียงใหม่ แม่จะอยู่กับใคร”
คราวนี้พี่ชายยิ้มมีแผนเจ้าเล่ห์ เหมือนรอให้สบโอกาสมานาน
“ที่แม่เค้าไม่ยอมไปอยู่เชียงใหม่กับชั้น ก็เพราะเค้าห่วงเธอนี่แหละ ถ้าเธอไปด้วย แม่เค้าก็ไปอยู่แล้ว”
“โธ่...นึกว่ารักน้อง ห่วงน้อง...ที่แท้ก็แผนล่อลวงเอาแม่ไปอยู่ด้วยนี่เอง”
“อ้าว! ก็เหลือแม่อยู่คนเดียว ก็แบ่งๆกันสิ เธอจะยึดแม่ไว้คนเดียวได้ไง ไม่แฟร์นี่”
นภัสกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอไม่ตอบตกลงเสียทีเดียว แต่ขอเวลาคิดสักระยะ...ที่จริงคือขอเวลาทำใจมากกว่า แม้จะรู้ว่าพี่ชายมีเจตนาบริสุทธิ์ และไม่ได้คิดจะรีดเลือดเอากับปูเสียที่ไหน อย่างน้อยเขาก็อยากดูแลแม่กับน้องสาว(ที่ยังคงโสด)ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็นั่นล่ะ...ยังไงเชียงใหม่ก็ไม่ใช่ที่ของเธอ แม้ว่ามันจะเป็นพื้นที่ในฝันของใครอีกหลายคนก็ตาม
หญิงสาวใช้เวลาระหว่างที่ยังไม่ให้คำตอบพี่ชาย หางานใหม่ทั้งจากอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์สมัครงาน รวมทั้งหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆ เท่าที่จะพึงหาได้ แต่ในยุคที่คนล้นงานและค่าแรงที่ถีบตัวสูงขึ้นเป็นเท่าตัว หญิงสาวก็พบว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่เธอยังมีเพื่อนดีๆหลงเหลือคอยหยิบยื่นงานในวงการบันเทิงและสื่อสิ่งพิมพ์ให้เป็นระยะๆ แต่รายได้ก็ยังไม่เป็นกอบเป็นกำมากพอที่จะปลดหนี้ได้ จนกระทั่งเมื่อจดหมายเตือนให้ชำระหนี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะถูกดำเนินคดีตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไปถูกส่งมาถึงมือ...ฟางเส้นสุดท้ายของเธอก็ขาดผึงลง!
“คุณๆ คุณ! ตื่นได้แล้ว”
นภัสรู้สึกเหมือนมีแรงสั่นสะเทือนเกิดขึ้นที่ท่อนแขน แรกทีเดียวเธอนึกว่าเครื่องบินตกหลุมอากาศคิดจะหลับต่อ แต่แรงกระตุกหนักๆที่แขนเสื้อหลายๆครั้งก็ทำให้เธอจำต้องลืมตาตื่นขึ้นในที่สุด
ว้าว! พระเอกนิยายโรแม้นซ์ รักแรกพบของเธอนั่นเอง...ไม่ยักรู้ว่าเขามาเที่ยวบินเดียวกับเธอเสียด้วย “ถึงเชียงใหม่แล้ว แอร์ฯ เค้าประกาศตั้งนานแล้ว ไม่ได้ยินหรือ”
เขาทำเสียงดุ แต่นภัสก็คิดว่าเธอมองเห็นรอยยิ้มซ่อนอยู่ในแววตาคู่นั้น เธอหยัดกายลุกนั่งตัวตรง จับผมเผ้าที่ยาวถึงกลางหลังให้เข้าที่แล้วมัดลวกๆด้วยยางรัดของสีแดงที่ควานได้จากในกระเป๋า
“ขอบคุณค่ะ...ฉันหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ที่จริงฉันเป็นคนหลับยากนะ...”
“เหรอ...”
เขาประชดเบาๆ แล้วรีบเดินออกไป พอเห็นว่าตัวเองเป็นผู้โดยสารคนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ในเครื่อง นภัสก็รีบวิ่งตามเขาออกไปทันที
อย่างเลี่ยงไม่ได้ หญิงสาวพบเขาอีกครั้งที่ตรงจุดรอรับกระเป๋า เห็นเป็นโอกาสดีและเหมาะสมที่จะชวนคุย อย่างน้อยก็ฆ่าเวลาระหว่างรอ เธอหาได้แสดงท่าทีหว่านไมตรีจนเกินขอบเขตแต่อย่างใด
“ขอบคุณที่ปลุกนะคะ ไม่งั้นฉันคงหลับคาอยู่ในเครื่อง”
“ไม่มีใครเค้าปล่อยให้คุณหลับคาอยู่ในนั้นหรอกน่า...เดี๋ยวแอร์ฯเค้าก็ทำให้คุณตื่นจนได้นั่นแหละ”
“ก็นั่นแหละ”
เธอยังไม่วายจะยกให้เขาเป็นผู้มีบุญคุณ แม้ว่าเขาไม่ได้มีท่าทีจะอยากเสวนากับเธอสักเท่าใดนัก นภัสนึกขึ้นมาได้เลยรีบหยิบโทรศัพท์มากดหาพี่ชาย ตั้งใจจะบอกให้รู้ถึงการมาถึง แต่พี่ชายกลับโบ้ยหน้าที่ไปให้ภรรยาเสียอย่างนั้น
“ยังคุยกับลูกค้าไม่เสร็จเลย แต่ฉันบอกให้เจนเค้าไปรับแทนแล้ว นี่เค้ายังไม่ได้โทรหาเธออีกรึ”
“เพิ่งมาถึงน่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเค้าโทรหาพี่เจนเอง”
หญิงสาวไม่เรื่องมาก เธอกดโทรศัพท์หาพี่สะใภ้ในทันที แต่ก็พบว่าทุกอย่างยังคงไม่เป็นดั่งหวัง
“อ้าว! นภัสมาถึงแล้วเหรอ รออีกแป๊บได้มั้ยพี่มารอรับหลานที่โรงเรียนกวดวิชาน่ะ ตั้งใจว่าจะพาหลานไปรับนภัสด้วยกัน” พี่สะใภ้ตอบอย่างเกรงใจน้องสามี
“งั้นไม่เป็นไรพี่เจน เดี๋ยวไปเองก็ได้ นั่งรถแดงไปแป๊บเดียวก็ถึง”
“อย่าลำบากเลย ข้าวของเยอะแยะ เดี๋ยวพี่ไปรับ”
“ไม่ลำบากหรอกค่ะ ไปได้ รอรับหลานเถอะ จะได้ไม่ต้องกังวล แล้วค่อยไปเจอกันที่บ้าน”
เธอตัดบทไม่พิรี้พิไรอีก การเดินทางคนเดียวสำหรับเธอไม่ว่าจะในถิ่นหรือต่างถิ่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอมาแต่ไหนแต่ไร แล้วเมืองเล็กๆอย่างเชียงใหม่ ก็นับว่ายิ่งเรื่องเล็ก
“จะไปที่ไหน”
ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เขาคงได้ยินที่เธอพูดโทรศัพท์เมื่อกี้นี้ก็เลยแสดงน้ำใจในฐานะที่คิดว่าเธอคงเป็นชาวเหนือเหมือนกัน นภัสตอบชื่อถนนชานเมืองเชียงใหม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินมากนัก ชายหนุ่มพยักหน้าครุ่นคิด
“ผมมีรถมารับ ต้องไปโรงพยาบาล ทางเดียวกัน ไปด้วยกันไหม”
“โรงพยาบาล? ใครเป็นไรคะ”
แน่ะ! ยังไปอยากรู้เรื่องชาวบ้านเค้าอีก
“มีคนไข้”
ก็แน่ล่ะ...คนไม่เป็นไข้จะไปอยู่โรงพยาบาลทำไมกัน นภัสแอบย้อนเขาในใจ
“อ๋อ...ค่ะๆ ไปก็ได้ค่ะ ว่าแต่ทำไมคุณถึงใจดีกับฉันจังล่ะคะ เอ่อ...หมายถึงทำไมต้องแสดงน้ำใจกับฉันด้วย เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าคะ”
“งั้นคุณจะไม่ไปก็ได้นะ”
“ไปๆค่ะ ไปๆ”
เธอรีบกระวีกระวาดตอบเหมือนกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้...ถามนิดถามหน่อยก็ไม่ได้ หงุดหงิดง่ายชะมัด...
นัดดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 พ.ค. 2556, 20:44:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 พ.ค. 2556, 20:53:09 น.
จำนวนการเข้าชม : 1143
ตอนที่ 1 : มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ (ที่ฉันได้พบเธอ) >> |