ข้ามกาล
อุบัติเหตุทำให้พระจันทร์ย้อนอดีตมาอยู่ในวังของหม่อมเจ้าใครเลยจะคิดว่าชีวิตลูกกำพร้าผู้ต่ำต้อยเช่นพระจันทร์
จะมีดาวฤกษ์อย่างดวงอาทิตย์มาโคจรรอบตัวถึงสามดวง
ดวงแรกนั้นพระจันทร์ทั้งรักและเทิดทูน ยึดเป็นที่พึ่งทางใจเสมอมา
พระอาทิตย์ดวงนี้เมตตาพระจันทร์ยิ่งนัก แต่ก็สงวนท่าทีเหลือเกิน
ใจท่านคิดเช่นไร พระจันทร์ไม่อาจรู้ได้เลย
ดวงที่สองร้อนแรงดังเพลิงกัลป์ หยิ่งทระนงหนักหนา
ทั้งยังเป็นคู่อริกันมาช้านาน ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ในวันที่หนาวเหน็บที่สุด
พระอาทิตย์วายร้ายกลับเต็มใจมาอยู่เคียงข้างพระจันทร์
คอยส่องแสงให้ความอบอุ่นโดยไม่ต้องร้องขอ
ส่วนดวงที่สามพระจันทร์รักเคารพเสมอเหมือนพี่ชาย
ความที่เขามีคู่หมายซึ่งเหมาะสมกันอยู่แล้ว
พระจันทร์จึงไม่เคยคิดเป็นอื่น แต่โชคชะตากลับเล่นตลก
ส่งกามเทพมาแผลงศรทำให้พี่ชายเผลอรักพระจันทร์หมดใจ
จะมีดาวฤกษ์อย่างดวงอาทิตย์มาโคจรรอบตัวถึงสามดวง
ดวงแรกนั้นพระจันทร์ทั้งรักและเทิดทูน ยึดเป็นที่พึ่งทางใจเสมอมา
พระอาทิตย์ดวงนี้เมตตาพระจันทร์ยิ่งนัก แต่ก็สงวนท่าทีเหลือเกิน
ใจท่านคิดเช่นไร พระจันทร์ไม่อาจรู้ได้เลย
ดวงที่สองร้อนแรงดังเพลิงกัลป์ หยิ่งทระนงหนักหนา
ทั้งยังเป็นคู่อริกันมาช้านาน ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ในวันที่หนาวเหน็บที่สุด
พระอาทิตย์วายร้ายกลับเต็มใจมาอยู่เคียงข้างพระจันทร์
คอยส่องแสงให้ความอบอุ่นโดยไม่ต้องร้องขอ
ส่วนดวงที่สามพระจันทร์รักเคารพเสมอเหมือนพี่ชาย
ความที่เขามีคู่หมายซึ่งเหมาะสมกันอยู่แล้ว
พระจันทร์จึงไม่เคยคิดเป็นอื่น แต่โชคชะตากลับเล่นตลก
ส่งกามเทพมาแผลงศรทำให้พี่ชายเผลอรักพระจันทร์หมดใจ
Tags: พีเรียต ย้อนยุค ช่วงปี 2493-2507 คุณชาย ท่านชาย นายแพทย์ พระเอกในเรื่องไม่รู้เป็นใคร แต่หนุ่มๆ แซ่บเวอร์ วัง หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ ย้อนเวลา โรแมนติก คอมเมดี้ หวานๆ ดราม่าเบาๆ ภาษาอ่านง่าย
ตอน: บทที่ 5 ไล่ผี
บทที่ 5 ไล่ผี
แม้จะหลับๆ ตื่นๆ อีกหลายครั้งแต่พระจันทร์ก็ยังคงอยู่ในห้องห้องเดิม คราวนี้มีคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนเป็นหญิงสาววัยประมาณยี่สิบปี ผิวคล้ำ หน้าตาบ้านๆ แต่ก็ไม่ถึงกับขี้ริ้ว เธอยกถาดข้าวต้มมาให้แล้วบอกว่าให้รีบกินเสีย
“วันนี้ท่านหญิงท่านรับสั่งให้ทำข้าวต้มชาววัง ในครัวก็เลยเก็บไว้ให้แจ่มจันทร์ด้วย”
“แล้วคุณป้าละจ๊ะพี่ว่าน”
“ท่านหญิงเรียกให้ไปเฝ้า ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเรื่องอะไร”
พระจันทร์เงี่ยหูฟังการสนทนาของคนทั้งสองโดยไม่แตะอาหาร เธอเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้วว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือความฝันหรือความจริงกันแน่ ลองหยิกตัวเองดูแล้วก็พบว่าร่างกายมีความรู้สึกครบถ้วนทุกอย่างแต่มีบางสิ่งแปลกไป
เด็กสาวรู้สึกเหมือนว่าตัวเองตัวหดเล็กลง ยิ่งเปรียบเทียบมือตัวเองกับของคนอื่นแล้วยิ่งเห็นความแตกต่างชัด เธอรีบกวาดตามองหากระจก แล้วก็พบว่าบริเวณมุมห้องมีกระจกกรอบเงินบานหนึ่งตั้งอยู่ พระจันทร์จึงรีบปีนลงจากเตียงตรงดิ่งไปที่กระจก
“จะไปไหนจ๊ะหนูจันทร์ อย่าเพิ่งลุกเลย” เด็กสาวเดินตามมา
พระจันทร์แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพุดจีบวางมือลงบนไหล่เธอตอนไหนเพราะกำลังตกตะลึงกับภาพสะท้อนที่อยู่ในกระจกเงา สิ่งที่เธอเห็นคือเด็กหญิงหน้าตาน่าเอ็นดู ปากนิด จมูกหน่อย ใบหน้ากลมแป้น ผิวพรรณละเอียด แต่ที่ทำให้พูดอะไรไม่ออกคือใบหน้านี้เป็นของเด็กหญิงคนที่พระจันทร์เจอในห้องสีขาวก่อนหน้านี้
‘เกิดอะไรขึ้น’ เด็กสาวถามตัวเองด้วยความงุนงง
พระจันทร์นึกทบทวนเรื่องราวเกี่ยวกับห้องสีขาวที่ชื่อห้องพิพากษา ฉับพลันใบหน้าก็ขาวซีดรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว หากสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริงแสดงว่าวิญญาณของเธอได้สลับร่างกับเด็กคนนี้
เด็กสาวเหลียวมองรอบตัวเผื่อว่าจะพบผู้หญิงคนนั้น เมื่อไม่พบจึงสะบัดแขนจากพุดจีบที่พยายามจูงเธอไปที่เตียงแล้ววิ่งออกไปด้านนอก
“คุณอยู่ไหนคะ พาหนูกลับไปที หนูไม่อยากอยู่ที่นี่” พระจันทร์วิ่งไปร้องตะโกนไปอย่างไร้จุดหมาย
ด้านนอกมีแสงแดดจ้า แต่โลกของพระจันทร์กลับมืดลงอย่างช้าๆ พิษไข้ที่ยังไม่จางหายไปผสานกับร่างกายไม่ได้รับอาหารมาหลายวันทำให้เด็กสาวเดินเซ กระนั้นเธอก็ยังฝืนก้าวเดินต่อไป ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนและจะกลับไปยังโลกของตัวเองได้อย่างไร
ไม่นานร่างเล็กๆ ก็ทรุดฮวบลงกับพื้น พระจันทร์พยายามหยัดกายลุกขึ้นแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง ร่างกายของเธอทั้งร้อนและชื้นเหงื่อ หายใจได้ติดขัด เด็กสาวเอามือกุมหน้าอกตามความเคยชิน แล้วก็รู้สึกใจหายที่คลำไม่เจอรอยแผลเป็น ใบหน้าของเพื่อนสนิทและบุคคลอันเป็นที่รักลอยมาอยู่ตรงหน้าพระจันทร์ เด็กสาวคร่ำครวญหาคนเหล่านั้น แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา
พระจันทร์ทั้งสิ้นหวังและหวาดกลัวจนเผลอคิดไปว่าอาจจะต้องตายอย่างโดดเดี่ยวอยู่ตรงนี้ ในช่วงที่อารมณ์กำลังดิ่งลงเหว เสียงเล็กๆ ในตัวก็กระซิบบอกว่าอย่าเพิ่งยอมแพ้ มันปลุกเร้าอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมีกำลังใจรวบรวมแรงกายแรงใจทั้งหมดที่มีพลิกตัวขึ้นมา
ช่างน่าเวทนานัก สู้อุตส่าห์ฝืนแทบตายยังทำได้แค่เปลี่ยนจากท่านอนคว่ำเป็นนอนหงาย ซ้ำร้ายแสงแดดที่เคยรู้สึกว่าร้อนกลับแรงขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่รู้ว่าเธอดิ้นรนเปลี่ยนท่าให้แห้งตายเร็วมากขึ้นทำไม
พระจันทร์นึกสังเวชชีวิตตัวเอง ตอนนี้เธอไม่มีแม้แต่แรงจะเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือ ในขณะที่คิดว่าคงไม่รอดแล้ว ก็มีเงาใหญ่ทอดมาบดบังแสงตะวันแรงกล้าเอาไว้
“เป็นอะไรหรือเปล่า” เจ้าของเงาถาม
พระจันทร์อยากจะบอกเขาจริงๆ ว่าเธอกำลังทรมานใกล้ตาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนกะพริบตา
ชายหนุ่มเห็นใบหน้าของเด็กน้อยแดงก่ำท่าทางไม่ดี จึงตัดสินใจย่อตัวลงแล้วอุ้มร่างเล็กๆ เดินเข้าร่มไปที่ตัวตึกใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่พำนักของหม่อมเจ้าแสงแข สตรีผู้มีอำนาจสูงสุดในวังแห่งนี้
ตอนที่พระจันทร์ถูกพาเข้ามาด้านในตัวตึกนั้น หม่อมเจ้าแสงแขกำลังตรัสถามถึงเด็กหญิงอยู่พอดี ในระหว่างที่กำลังสนทนากับคนรับใช้อยู่นี่เอง ท่านหญิงก็ได้ยินเสียงอนุชาตะโกนเรียกคนเอะอะอยู่ข้างนอก จึงสั่งให้ข้าหลวงออกไปดู
สตรีวัยกลางคนคลานเข่าออกไป อึดใจหนึ่งก็กลับมารายงานว่าท่านชายทินกฤตทรงอุ้มเด็กเป็นลมเข้ามา
“ใครกัน”
“แม่แจ่มจันทร์เพคะ”
“คุณพระ!” นางสมใจเอามือทาบอก
เมื่อครู่หลานสาวยังนอนอยู่ในห้องอยู่เลย แล้วมาเป็นลมให้ท่านชายอุ้มมาถึงนี่ได้อย่างไร นางสมใจจึงรีบกราบขอประทานอนุญาตออกไปดูหลาน
“ไปเถอะแม่ใจ” ตรัสเสร็จท่านหญิงก็ผินพักตร์มาทางข้าหลวง “แม่รวง หล่อนไปช่วยดูเรื่องหยูกยาที ถ้าจำเป็นต้องตามหมอก็ตามมาเลย”
รวงข้าวก้มลงกราบเร็วๆ เสร็จแล้วจึงตามนางสมใจออกไป
ท่านชายทินกฤตทรงอุ้มเด็กน้อยมานอนที่เก้าอี้ยาวในห้องโถง แม้ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใครแต่ก็ทรงเมตตาช่วยเหลือ ท่านชายใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้พระจันทร์และปฐมพยาบาลให้ด้วยองค์เอง ทรงยอมวางมือก็ต่อเมื่อเห็นข้าหลวงที่รู้งานมารับช่วงดูแลต่อ
ท่านชายทรงรอจนเด็กน้อยฟื้นแล้วถึงค่อยไปเฝ้าท่านพี่ วันนี้ท่านชายมาทูลลาเพราะจะเสด็จไปเรียนที่อังกฤษและคงไม่ได้กลับมาอีกหลายปี
น่าเสียดายเหลือเกินที่พระจันทร์ป่วยเกินกว่าจะรับรู้เรื่องราวรอบตัว หากเธอมีสติครบถ้วนคงจำท่านชายรูปงามสง่าองค์นี้ได้ติดตาและคงไม่พลั้งเผลอบังอาจล่วงเกินท่าน แต่เมื่อพรหมลิชิตได้กำหนดแล้วว่าให้ท่านชายรู้จักพระจันทร์แต่เพียงฝ่ายเดียว เด็กสาวก็มิอาจฝืนชะตาได้
พระจันทร์ฟื้นขึ้นมาดื่มน้ำและกินยาลดไข้ที่ท่านหญิงประทานให้ จากนั้นก็สลบไปอีก เธอจำอะไรแทบไม่ได้เลย รู้ตัวอีกทีก็กลับมาอยู่ที่ห้องเดิมแล้ว พุดจีบท่าทางดีใจที่เห็นเธอฟื้นขึ้นมา ส่วนนางสมใจนั้นบ่นอุบอิบว่าป่วยอยู่แล้วจะวิ่งออกไปข้างนอกทำไม ทำคนเขาเดือดร้อนกันไปหมด
เด็กสาวรู้สึกผิดที่สร้างปัญหาให้จึงยกมือไหว้ขอโทษทุกคนในห้อง หลังจากนั้นก็แทบไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมาอีกเลย ผลจากการสลบแล้วฟื้นหลับๆ ตื่นๆ อยู่หลายหนทำให้พระจันทร์ได้ตระหนักว่าขณะนี้วิญญาณของตัวเองติดอยู่ในร่างของเด็กผู้หญิงที่มีชื่อว่าแจ่มจันทร์ ถ้าหากว่าความฝันเกี่ยวกับห้องพิพากษาเป็นความจริง ก็หมายความว่าตอนนี้เด็กที่ชื่อแจ่มจันทร์อยู่ในร่างของเธอ
พระจันทร์ไม่ทราบแน่ชัดว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน คลับคล้ายคลับคลาเหมือนหญิงสาวปริศนาจะบอกว่าเธอกับเด็กหญิงอยู่กันคนละช่วงเวลา เดาจากสภาพแวดล้อมเลยคิดว่าน่าจะย้อนกลับมาในอดีตหลายสิบปี
‘ตอนตายเจ็บไม่มากหรอก อีกเดี๋ยวฉันจะไปรับเธอมาอีกรอบนะ’
อยู่ๆ คำพูดนี้ก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิด เด็กสาวเสียวสันหลังวาบ เมื่อนึกถึงความตายของตัวเอง
พระจันทร์ไม่สนใจหรอกว่าร่างนี้จะเป็นของตัวเองโดยชอบธรรมมาตั้งแต่ต้นหรือไม่ เธอรู้แค่ว่าอยากกลับไปยังที่เดิมที่จากมา แม้จะต้องตายแต่เธอก็จะไม่แย่งชิงชีวิตของใครและจะไม่พรากคนที่รักไปจากใครอย่างเด็ดขาด
ตลอดระยะเวลาหลายวันที่พระจันทร์ป่วย นางสมใจและพุดจีบต่างก็ผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลเธอเป็นอย่างดี บ่งบอกว่าเด็กหญิงเป็นที่รักของคุณป้าและพี่สาวเป็นอย่างมาก หากรู้ว่าเธอไม่ใช่แจ่มจันทร์คนทั้งสองจะต้องเสียใจแน่ แต่พระจันทร์ก็จำเป็นที่จะต้องพูดออกไป เพราะลำพังสติปัญญาของเธอคนเดียวคงไม่สามารถหาทางออกไปจากร่างนี้ได้
พระจันทร์รอจนตัวเองหายเจ็บคอแล้ว จึงค่อยพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปในวันที่ทุกคนมาอยู่รวมตัวกันพร้อมหน้า
“หนูมีเรื่องจะพูดด้วยค่ะ” พระจันทร์เอ่ยขึ้น
พุดจีบกับว่านที่กำลังปักผ้าเงยหน้าขึ้นมอง ส่วนนางสมใจที่กำลังเคี้ยวหมากหยับๆ ยกกระโถนขึ้นมาบ้วนน้ำหมากทิ้งแล้วถามเสียงดัง
“มีอะไรก็ว่ามา”
“คือ...”
พระจันทร์ชะงักไปเพราะเพิ่งนึกได้ว่าเธอนั่งอยู่บนเตียง แต่ผู้ใหญ่คนอื่นนั่งอยู่บนเสื่อที่พื้นกันหมด ไหนๆ ก็ต้องพูดกันยาวและอาจจะต้องกราบขอความเมตตา เด็กสาวจึงลงมาจากเตียงแล้วคลานมาหาคนทั้งสาม
“จะอ้อนขอออกไปวิ่งเล่นหรือไงจ๊ะ” ว่านดักคอ
“อย่าเพิ่งเลยนะหนูจันทร์ เดี๋ยวเป็นลมอีก” พุดจีบเอ่ยอย่างเป็นห่วง
“ไม่ใช่ค่ะ หนูแค่จะขอบคุณทุกคนที่ทุกคนช่วยดูแลหนูเป็นอย่างดี ขอบพระคุณนะคะคุณป้า” พระจันทร์ก้มลงกราบนางสมใจ
“เอ่อแน่ะ นี่ใครสอนมันหัดกราบหัดไหว้เนี่ย เอ็งรึพุดจีบ” ผู้สูงวัยเอ่ยอย่างประหลาดใจ แต่ก็ดูพึงพอใจไม่น้อย
“เคยสอนทีนึงค่ะคุณป้า แต่ก็นานมากแล้ว ไม่คิดว่ายังจำได้” พุดจีบว่า เธอเองก็แปลกใจไม่น้อยเหมือนกันกับท่าทีนอบน้อมของแจ่มจันทร์
ก่อนที่จะจมน้ำเด็กหญิงมีนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจ ใครพูดอะไรแทบไม่ยอมฟัง ขนาดพุดจีบที่ว่ารักน้องเป็นหนักหนาก็ยังอดระอาใจไม่ได้
“หนูมีความจริงจะบอกกับทุกคนค่ะ คือ...จริงๆ แล้วหนูไม่ใช่แจ่มจันทร์”
พูดแล้วพระจันทร์ก็ลอบสังเกตปฏิกิริยาของทุกคน พุดจีบกับว่านมีสีหน้าไม่เข้าใจ ผิดกับป้าสมใจที่ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา
“ถ้าไม่ใช่แจ่มจันทร์ แล้วเอ็งเป็นใคร”
“หนูชื่อพระจันทร์ค่ะ ไม่ใช่แจ่มจันทร์ แล้วก็ไม่ใช่หลานป้า หนูเป็น…”
อธิบายได้เท่านี้ว่านก็ร้องลั่น
“แจ่มจันทร์โดนผีเข้า” หญิงสาวกระโดดมาเกาะแขนนางสมใจ
“ใช่ที่ไหนกัน แจ่มจันทร์มันพูดเพ้อเจ้อมากกว่า” นางสมใจเอ็ดว่าน แล้วหันมาตำหนิหลานสาว “อย่าพูดเล่นไร้สาระ”
“หนูไม่ได้พูดเล่นนะคะ หนูพูดความจริงทุกอย่าง ตอนนี้หนูกับแจ่มจันทร์สลับร่างกัน หนูก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ว่าหนูไม่ใช่แจ่มจันทร์จริงๆ หนูชื่อพระจันทร์ค่ะ ได้โปรดเชื่อหนูเถอะนะคะ”
พระจันทร์สบตาผู้สูงวัยอย่างแน่วแน่ เธออยากแสดงความจริงใจแต่เรื่องกลับเป็นอาการไม่น่าไว้ใจในสายตาว่าน
“ผีเข้าแน่ๆ ค่ะ คุณป้า จ้องตาขวางแบบนั้น รีบทำอะไรสักอย่างเถอะค่ะคุณป้า” หญิงสาวกระตุกชายเสื้อนางสมใจเป็นการใหญ่
นางสมใจไม่พูดโต้ตอบกับพระจันทร์ แต่หันไปสั่งให้พุดจีบกับว่านเฝ้าน้องไว้ให้ดี แล้วเปิดประตูเดินลงเรือนไปอย่างรวดเร็ว
“อย่าทิ้งกันอย่างนี้สิคะคุณป้า ขออิฉันไปด้วย”
ว่านทิ้งผ้าที่ปักอยู่แล้วตามออกไปเร็วจี๋ ในห้องจึงเหลือพุดจีบนั่งทำหน้าเลิ่กลั่กเพียงลำพัง พอสบตากับพระจันทร์เธอก็หน้าเสีย ใจอยากตามไปด้วยแต่เพราะคุณป้าสั่งเอาไว้จึงไม่กล้าขัด
“คุณป้าเขาไปไหนเหรอ” พระจันทร์เห็นว่าอายุจริงของเธอรุ่นราวคราวเดียวกันกับพุดจีบเลยไม่เรียกเธอว่าพี่
เด็กสาวไม่ตอบแต่มองกลับมาอย่างหวาดๆ พระจันทร์เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดีจึงพยายามยิ้มให้ หากเป็นเธอก็คงไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ถ้ามีน้องในสถานสงเคราะห์คนใดคนหนึ่งลุกขึ้นมาบอกว่าตัวเองสลับร่างกับคนอื่น
“เราไม่ทำอะไรเธอหรอก วางใจได้ เรามาแค่วิญญาณไม่มีอิทธิฤทธิ์อะไรสักหน่อย ก็คนเดินดินธรรมดานี่เอง”
พระจันทร์พยายามพูดให้พุดจีบสบายใจ ทว่ายิ่งพูดเด็กสาวกลับยิ่งถอยห่างไปไกล เธอเลยต้องนั่งคิดหาวิธีทำให้คู่สนทนาสบายใจ ยังไม่ทันคิดออกนางสมใจก็กลับมา คราวนี้พาใครก็ไม่รู้มาด้วยเยอะแยะ
“ใครไม่มีพระไม่มีสายสิญจน์ถอยออกมาให้ห่าง” ชายชราที่เดินนำขบวนมาเอ่ยด้วยเสียงอันดัง
ชายคนนี้ผิวคล้ำ ร่างผอมแกร็น ศีรษะมีผมขาวแซมเกินครึ่ง แต่งกายอย่างชาวบ้านทั่วไปที่ค่อนไปในทางมอซอ ก่อนจะทันได้รู้ว่าเขาเป็นใครชายชราก็ชี้หน้าพระจันทร์แล้วตวาดเสียงดัง
“ออกไปนะอีผีร้าย อย่ามาฉวยโอกาสใช้ร่างเด็ก ไม่อย่างนั้นเอ็งจะเจอดี”
พระจันทร์อ้าปากค้างไปเลยเพราะไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต เห็นนางสมใจเดินออกไปหน้านิ่งๆ ใครจะนึกว่าแกจะไปตามหมอผีมา
จริงๆ แล้วชายชราคนนี้ไม่ใช่หมอผีอย่างที่เข้าใจ ตาบุญแกเป็นแค่คนสวนที่บังเอิญบวชเรียนมานาน พอจะมีวิชาติดตัวมาบ้าง นางสมใจเห็นว่าน่าจะพึ่งพาได้ก็เลยตามตัวมาช่วยดูอาการก่อน
“ไม่ใช่นะคะ หนูไม่ใช่ผี”
“เอ็งไม่ใช่ผีแล้วเอ็งเป็นใคร”
“หนูเป็นคนธรรมดานี่แหละค่ะ แค่สลับร่างกับเด็กคนนี้”
ทุกคนมองพระจันทร์ด้วยสีหน้าแบบเดียวกันหมดนั่นคือไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูด เว้นเสียแต่ตาบุญที่มีสีหน้าว่าเข้าใจแจ่มแจ้ง แต่เป็นการเข้าใจไปคนละทิศละทางกับที่พระจันทร์ต้องการสื่อ
“อีผีนี่มันลักวิญญาณเด็กไปซ่อน ต้องไล่มันออกจากร่างแล้วเรียกวิญญาณเด็กกลับมา”
หมอผีจำเป็นไม่เพียงแต่ตีความหมายผิด ยังแต่งเรื่องเพิ่มให้เบ็ดเสร็จ
“ไม่ใช่นะคะลุง โธ่...ฟังกันบ้างได้ไหม”
ตาบุญไม่ฟังอีร้าค่าอีรมใดๆ ทั้งสิ้นแกชี้หน้าพระจันทร์อีกครั้งแล้วถามว่าจะออกหรือไม่ออก
“ออกสิคะ อยากกลับร่างจะแย่แล้วแต่มันออกไปไม่ได้” พระจันทร์เอ่ยอย่างหงุดหงิด
“อีผีร้ายนี่มันดื้อด้านจะยึดร่างให้ได้ เห็นทีต้องใช้ไม้แข็ง”
ตาบุญล้วงมือลงไปในย่ามแล้วหยิบของบางอย่างมาปาใส่พระจันทร์สุดแรง
“โอ๊ย!” เด็กสาวร้องลั่นออกเมื่อถูกข้าวสารเสกสาดใส่เต็มหน้า
คนในที่นั้นต่างพากันครางฮือในทำนองว่าแจ่มจันทร์ถูกผีสิงจริงๆ แล้วพากันถอยหนีด้วยความหวาดผวา พระจันทร์อยากตะโกนบอกทุกคนเสียเหลือเกินว่าเธอไม่ได้ถูกผีสิงสักหน่อย เป็นใครถูกข้าวสารปาใส่หน้าจังๆ ก็ต้องเจ็บด้วยกันทั้งนั้น
“จะออกหรือไม่ออก”
พระจันทร์ไม่รู้จะตอบอย่างไรก็เลยเงียบ ในสายตาตาบุญการเงียบไม่ต่างจากการดื้อแพ่ง แกเลยล้วงข้าวสารในย่ามออกมาปาใส่ไม่ยั้ง
“หยุดปาได้แล้ว หนูบอกแล้วไงว่าหนูไม่ใช่ผี”
“ข้าไม่เชื่อเอ็งหรอก ออกไปเดี๋ยวนี้อีผีร้าย”
ผีกำมะลอกับหมอผีจำเป็นโต้ตอบกันในทำนองนี้พักใหญ่ พระจันทร์ทั้งเจ็บทั้งโมโหก็เลยก้มลงกอบข้าวสารที่ตกอยู่เกลื่อนพื้นมาปาใส่ตาบุญบ้าง
‘ให้มันรู้กันไปพระจันทร์ก็สู้คนเป็น’
“เห็นไหมว่ามันเจ็บ หยุดปาเสียที”
การโต้ตอบของพระจันทร์ทำให้ทุกคนแตกฮือ ใครก็ไม่รู้ตะโกนขึ้นมาดังลั่นว่า
“อีผีนี่ร้ายมาก ใครขวัญอ่อนรีบหนีไปเร็ว เดี๋ยวมันย้ายมาสิงร่าง”
ไม่ต้องเตือนซ้ำสองทุกคนก็พากันวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง เหลือไว้ก็แต่นางสมใจ พุดจีบและตาบุญซึ่งขณะนี้ยืนหน้าเสีย ท่าทางกริ่งเกรงพระจันทร์ไม่น้อย แต่เมื่อเหลียวไปเห็นว่ายังเหลือคนอยู่ แกก็กลั้นใจข่มความกลัวแล้วงัดไม้ตายออกมา
“ถ้าแกยังไม่ออกมาอีก ข้าจะใช้หวายอาคม”
ตาบุญหยิบหวายอาคมออกมาจากย่าม แกสะบัดหวายกับอากาศเป็นเสียงหวืดชวนสยอง
“เฮ้ย! อย่านะลุงมันเจ็บ” พระจันทร์ร้องลั่น
ตั้งแต่เล็กจนโตพระจันทร์ไม่เคยโดนตีแบบจริงจังมาก่อน อย่างมากก็แค่โดนไม้บรรทัดฟาดมือสักทีสองทีเท่านั้น หวายอาคมอันนี้ขนาดใหญ่กว่าไม้เรียวแบบมาตรฐานตั้งเยอะ ขืนโดนตีมีหวังได้ตายคามือแน่
พระจันทร์เพิ่งจะมาสำนึกในตอนนี้ว่าเธอทำพลาดอย่างมหันต์ที่พยายามบอกความจริงกับคนอื่น ถ้าเป็นยุคปัจจุบันคนรอบตัวคงมองว่าเธอบ้า ส่วนในยุคนี้คนทั่วไปกลับมองว่าผีเข้า หากยังดื้อดึงอธิบายต่อไป เห็นทีจะไม่รอดชีวิต
ในวินาทีที่ภัยกำลังจะมาถึงตัว เด็กสาวก็ตัดสินใจเอาตัวรอดด้วยการยกมือขึ้นพนมไหว้หมอผี
“ออกแล้วจ้า ยอมแล้ว ฉันจะคืนร่างให้เด็ก อย่าทำฉันเลย”
พระจันทร์ไม่รอฟังคำพูดของตาบุญ เธอแสร้างทำเป็นกรีดร้อง แล้วชักกระตุกแต่พองามจากนั้นก็แน่นิ่งไป เด็กสาวหลับตาอยู่ระยะหนึ่งคอยเงี่ยหูฟังว่าผู้คนรอบตัวจะคิดอย่างไร
นางสมใจเป็นคนแรกที่เข้ามาประคองตัวเธอ แล้วถอดพระที่ห้อยคออยู่มาสวมให้ พระจันทร์ได้ยินเสียงพุดจีบดังมาแว่วๆ ว่าน้องผีออกแล้วใช่ไหม มั่นใจนะว่าจะหาย เด็กสาวจึงรีบคิดอย่างเร็วจี๋ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
ทีแรกพระจันทร์คิดว่าจะกลั้นใจลุกขึ้นมาเค้นน้ำตา โผเข้ากอดนางสมใจด้วยอาการหวาดผวา ตีโพยดีพายว่าถูกผีลักซ่อน แต่มาคิดดูแล้วเด็กเล็กอย่างนี้อาจจะยังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ สู่รู้มากไปเกรงว่าจะเป็นพิรุธ เธอเลยทำเป็นฟื้นขึ้นมาแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวแทน
“คุณป้า พี่พุดจีบ” พระจันทร์เรียกชื่อคนทั้งสอง ทำเนียนเอาไว้ก่อนว่ารู้จักกันไม่ใช่คนอื่น
“หนูจันทร์ใช่ไหม” พุดจีบถามด้วยท่าทีระแวง
“ค่ะหนูจันทร์เอง” ตอบพลางปั้นหน้าใสซื่อเป็นเด็กเล็กอย่างสุดความสามารถ
ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างพากันเงียบกริบ คงกำลังพิจารณากันอยู่ว่านี่ใช่แจ่มจันทร์จริงๆ หรือไม่ พระจันทร์ไม่ปริปากพูดสิ่งใด นอกจากพึมพำว่าเหนื่อย แล้วแสร้งทำเป็นงอแงตามประสาเด็ก
ตาบุญเห็นดังนั้นก็มั่นใจว่าผีร้ายได้ออกไปจากร่างแล้ว จึงหันมาพูดกับนางสมใจ
“ผีออกเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้พาไปรดน้ำมนต์ต่อชะตากับหลวงพ่อที่วัดอีกทีนะคุณสมใจ จะได้หายขาด”
“จ้ะ ขอบคุณนายบุญมากนะ”
ในขณะที่ผู้ใหญ่คุยกันพุดจีบปรี่เข้ามาสวมกอดน้อง พระจันทร์ซบหน้าลงกับตัวเด็กสาวแล้วลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เหตุการณ์ครั้งนี้คือบทเรียนชั้นเลิศที่ย้ำเตือนให้รู้ว่าต่อไปอย่าริอ่านได้พูดเรื่องสลับร่างกับใครอีกเป็นอันขาด
++++++++++++++++++++++++++++++++++
เอามาลงอย่างรีบๆ ค่ะวัน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า เลยนอนดึกไม่ได้ ไม่เมาท์มากนะคะ ไปที่เกร็ดความรู้กันเลย
เกร็ดความรู้ประจำตอน
ว่าด้วยเรื่องข้าวสารเสก ทราบหรือไม่ว่าข้าวสารเสกเป็นเครื่องประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์แบบไทยโบราณ สามารถใช้ได้หลายอย่างแล้วแต่วัตถุประสงค์ค่ะ อย่างในเรื่องขุนช้างขุนแผน ขุนแผนได้ใช้ข้าวสารที่ย้อมว่านยาเป็นตัวสะกดให้คนในบ้านหลับก่อนขึ้นเรือนขุนช้าง
ส่วนที่ใช้ไล่ผีเรียกกันว่าข้าวพิรอดค่ะ ลักษณะคือข้าวเปลือกที่รอดผ่านพ้นกรรมวิธีการตำ ร่อน สีข้าว และการหุงจนมาปรากฏในจานข้าวได้ ว่ากันว่าเมื่อซัดถูกภูตพรายจะต้องรีบหนี มิฉะนั้นจะต้องแหลกเป็นจุณ
นอกจากนี้ข้าวสารเสกยังเอามาทำเสน่ห์ได้อีกด้วยนะคะ โดยใช้ข้าวสารตกก้นครก เอามาแช่น้ำมันหอมปลุกเสกแล้วเอาไว้ดีดใส่ผู้ชายที่หมายปอง เชื่อว่าจะทำให้หลงใหลในตัวคนดีดใส่
เลิศไหมล่ะข้าวไทย กินได้เล่นของได้ สารพัดประโยชน์จริงๆ เลยให้ตาย ^O^
แม้จะหลับๆ ตื่นๆ อีกหลายครั้งแต่พระจันทร์ก็ยังคงอยู่ในห้องห้องเดิม คราวนี้มีคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนเป็นหญิงสาววัยประมาณยี่สิบปี ผิวคล้ำ หน้าตาบ้านๆ แต่ก็ไม่ถึงกับขี้ริ้ว เธอยกถาดข้าวต้มมาให้แล้วบอกว่าให้รีบกินเสีย
“วันนี้ท่านหญิงท่านรับสั่งให้ทำข้าวต้มชาววัง ในครัวก็เลยเก็บไว้ให้แจ่มจันทร์ด้วย”
“แล้วคุณป้าละจ๊ะพี่ว่าน”
“ท่านหญิงเรียกให้ไปเฝ้า ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเรื่องอะไร”
พระจันทร์เงี่ยหูฟังการสนทนาของคนทั้งสองโดยไม่แตะอาหาร เธอเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้วว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือความฝันหรือความจริงกันแน่ ลองหยิกตัวเองดูแล้วก็พบว่าร่างกายมีความรู้สึกครบถ้วนทุกอย่างแต่มีบางสิ่งแปลกไป
เด็กสาวรู้สึกเหมือนว่าตัวเองตัวหดเล็กลง ยิ่งเปรียบเทียบมือตัวเองกับของคนอื่นแล้วยิ่งเห็นความแตกต่างชัด เธอรีบกวาดตามองหากระจก แล้วก็พบว่าบริเวณมุมห้องมีกระจกกรอบเงินบานหนึ่งตั้งอยู่ พระจันทร์จึงรีบปีนลงจากเตียงตรงดิ่งไปที่กระจก
“จะไปไหนจ๊ะหนูจันทร์ อย่าเพิ่งลุกเลย” เด็กสาวเดินตามมา
พระจันทร์แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพุดจีบวางมือลงบนไหล่เธอตอนไหนเพราะกำลังตกตะลึงกับภาพสะท้อนที่อยู่ในกระจกเงา สิ่งที่เธอเห็นคือเด็กหญิงหน้าตาน่าเอ็นดู ปากนิด จมูกหน่อย ใบหน้ากลมแป้น ผิวพรรณละเอียด แต่ที่ทำให้พูดอะไรไม่ออกคือใบหน้านี้เป็นของเด็กหญิงคนที่พระจันทร์เจอในห้องสีขาวก่อนหน้านี้
‘เกิดอะไรขึ้น’ เด็กสาวถามตัวเองด้วยความงุนงง
พระจันทร์นึกทบทวนเรื่องราวเกี่ยวกับห้องสีขาวที่ชื่อห้องพิพากษา ฉับพลันใบหน้าก็ขาวซีดรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว หากสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริงแสดงว่าวิญญาณของเธอได้สลับร่างกับเด็กคนนี้
เด็กสาวเหลียวมองรอบตัวเผื่อว่าจะพบผู้หญิงคนนั้น เมื่อไม่พบจึงสะบัดแขนจากพุดจีบที่พยายามจูงเธอไปที่เตียงแล้ววิ่งออกไปด้านนอก
“คุณอยู่ไหนคะ พาหนูกลับไปที หนูไม่อยากอยู่ที่นี่” พระจันทร์วิ่งไปร้องตะโกนไปอย่างไร้จุดหมาย
ด้านนอกมีแสงแดดจ้า แต่โลกของพระจันทร์กลับมืดลงอย่างช้าๆ พิษไข้ที่ยังไม่จางหายไปผสานกับร่างกายไม่ได้รับอาหารมาหลายวันทำให้เด็กสาวเดินเซ กระนั้นเธอก็ยังฝืนก้าวเดินต่อไป ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนและจะกลับไปยังโลกของตัวเองได้อย่างไร
ไม่นานร่างเล็กๆ ก็ทรุดฮวบลงกับพื้น พระจันทร์พยายามหยัดกายลุกขึ้นแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง ร่างกายของเธอทั้งร้อนและชื้นเหงื่อ หายใจได้ติดขัด เด็กสาวเอามือกุมหน้าอกตามความเคยชิน แล้วก็รู้สึกใจหายที่คลำไม่เจอรอยแผลเป็น ใบหน้าของเพื่อนสนิทและบุคคลอันเป็นที่รักลอยมาอยู่ตรงหน้าพระจันทร์ เด็กสาวคร่ำครวญหาคนเหล่านั้น แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา
พระจันทร์ทั้งสิ้นหวังและหวาดกลัวจนเผลอคิดไปว่าอาจจะต้องตายอย่างโดดเดี่ยวอยู่ตรงนี้ ในช่วงที่อารมณ์กำลังดิ่งลงเหว เสียงเล็กๆ ในตัวก็กระซิบบอกว่าอย่าเพิ่งยอมแพ้ มันปลุกเร้าอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมีกำลังใจรวบรวมแรงกายแรงใจทั้งหมดที่มีพลิกตัวขึ้นมา
ช่างน่าเวทนานัก สู้อุตส่าห์ฝืนแทบตายยังทำได้แค่เปลี่ยนจากท่านอนคว่ำเป็นนอนหงาย ซ้ำร้ายแสงแดดที่เคยรู้สึกว่าร้อนกลับแรงขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่รู้ว่าเธอดิ้นรนเปลี่ยนท่าให้แห้งตายเร็วมากขึ้นทำไม
พระจันทร์นึกสังเวชชีวิตตัวเอง ตอนนี้เธอไม่มีแม้แต่แรงจะเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือ ในขณะที่คิดว่าคงไม่รอดแล้ว ก็มีเงาใหญ่ทอดมาบดบังแสงตะวันแรงกล้าเอาไว้
“เป็นอะไรหรือเปล่า” เจ้าของเงาถาม
พระจันทร์อยากจะบอกเขาจริงๆ ว่าเธอกำลังทรมานใกล้ตาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนกะพริบตา
ชายหนุ่มเห็นใบหน้าของเด็กน้อยแดงก่ำท่าทางไม่ดี จึงตัดสินใจย่อตัวลงแล้วอุ้มร่างเล็กๆ เดินเข้าร่มไปที่ตัวตึกใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่พำนักของหม่อมเจ้าแสงแข สตรีผู้มีอำนาจสูงสุดในวังแห่งนี้
ตอนที่พระจันทร์ถูกพาเข้ามาด้านในตัวตึกนั้น หม่อมเจ้าแสงแขกำลังตรัสถามถึงเด็กหญิงอยู่พอดี ในระหว่างที่กำลังสนทนากับคนรับใช้อยู่นี่เอง ท่านหญิงก็ได้ยินเสียงอนุชาตะโกนเรียกคนเอะอะอยู่ข้างนอก จึงสั่งให้ข้าหลวงออกไปดู
สตรีวัยกลางคนคลานเข่าออกไป อึดใจหนึ่งก็กลับมารายงานว่าท่านชายทินกฤตทรงอุ้มเด็กเป็นลมเข้ามา
“ใครกัน”
“แม่แจ่มจันทร์เพคะ”
“คุณพระ!” นางสมใจเอามือทาบอก
เมื่อครู่หลานสาวยังนอนอยู่ในห้องอยู่เลย แล้วมาเป็นลมให้ท่านชายอุ้มมาถึงนี่ได้อย่างไร นางสมใจจึงรีบกราบขอประทานอนุญาตออกไปดูหลาน
“ไปเถอะแม่ใจ” ตรัสเสร็จท่านหญิงก็ผินพักตร์มาทางข้าหลวง “แม่รวง หล่อนไปช่วยดูเรื่องหยูกยาที ถ้าจำเป็นต้องตามหมอก็ตามมาเลย”
รวงข้าวก้มลงกราบเร็วๆ เสร็จแล้วจึงตามนางสมใจออกไป
ท่านชายทินกฤตทรงอุ้มเด็กน้อยมานอนที่เก้าอี้ยาวในห้องโถง แม้ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใครแต่ก็ทรงเมตตาช่วยเหลือ ท่านชายใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้พระจันทร์และปฐมพยาบาลให้ด้วยองค์เอง ทรงยอมวางมือก็ต่อเมื่อเห็นข้าหลวงที่รู้งานมารับช่วงดูแลต่อ
ท่านชายทรงรอจนเด็กน้อยฟื้นแล้วถึงค่อยไปเฝ้าท่านพี่ วันนี้ท่านชายมาทูลลาเพราะจะเสด็จไปเรียนที่อังกฤษและคงไม่ได้กลับมาอีกหลายปี
น่าเสียดายเหลือเกินที่พระจันทร์ป่วยเกินกว่าจะรับรู้เรื่องราวรอบตัว หากเธอมีสติครบถ้วนคงจำท่านชายรูปงามสง่าองค์นี้ได้ติดตาและคงไม่พลั้งเผลอบังอาจล่วงเกินท่าน แต่เมื่อพรหมลิชิตได้กำหนดแล้วว่าให้ท่านชายรู้จักพระจันทร์แต่เพียงฝ่ายเดียว เด็กสาวก็มิอาจฝืนชะตาได้
พระจันทร์ฟื้นขึ้นมาดื่มน้ำและกินยาลดไข้ที่ท่านหญิงประทานให้ จากนั้นก็สลบไปอีก เธอจำอะไรแทบไม่ได้เลย รู้ตัวอีกทีก็กลับมาอยู่ที่ห้องเดิมแล้ว พุดจีบท่าทางดีใจที่เห็นเธอฟื้นขึ้นมา ส่วนนางสมใจนั้นบ่นอุบอิบว่าป่วยอยู่แล้วจะวิ่งออกไปข้างนอกทำไม ทำคนเขาเดือดร้อนกันไปหมด
เด็กสาวรู้สึกผิดที่สร้างปัญหาให้จึงยกมือไหว้ขอโทษทุกคนในห้อง หลังจากนั้นก็แทบไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมาอีกเลย ผลจากการสลบแล้วฟื้นหลับๆ ตื่นๆ อยู่หลายหนทำให้พระจันทร์ได้ตระหนักว่าขณะนี้วิญญาณของตัวเองติดอยู่ในร่างของเด็กผู้หญิงที่มีชื่อว่าแจ่มจันทร์ ถ้าหากว่าความฝันเกี่ยวกับห้องพิพากษาเป็นความจริง ก็หมายความว่าตอนนี้เด็กที่ชื่อแจ่มจันทร์อยู่ในร่างของเธอ
พระจันทร์ไม่ทราบแน่ชัดว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน คลับคล้ายคลับคลาเหมือนหญิงสาวปริศนาจะบอกว่าเธอกับเด็กหญิงอยู่กันคนละช่วงเวลา เดาจากสภาพแวดล้อมเลยคิดว่าน่าจะย้อนกลับมาในอดีตหลายสิบปี
‘ตอนตายเจ็บไม่มากหรอก อีกเดี๋ยวฉันจะไปรับเธอมาอีกรอบนะ’
อยู่ๆ คำพูดนี้ก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิด เด็กสาวเสียวสันหลังวาบ เมื่อนึกถึงความตายของตัวเอง
พระจันทร์ไม่สนใจหรอกว่าร่างนี้จะเป็นของตัวเองโดยชอบธรรมมาตั้งแต่ต้นหรือไม่ เธอรู้แค่ว่าอยากกลับไปยังที่เดิมที่จากมา แม้จะต้องตายแต่เธอก็จะไม่แย่งชิงชีวิตของใครและจะไม่พรากคนที่รักไปจากใครอย่างเด็ดขาด
ตลอดระยะเวลาหลายวันที่พระจันทร์ป่วย นางสมใจและพุดจีบต่างก็ผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลเธอเป็นอย่างดี บ่งบอกว่าเด็กหญิงเป็นที่รักของคุณป้าและพี่สาวเป็นอย่างมาก หากรู้ว่าเธอไม่ใช่แจ่มจันทร์คนทั้งสองจะต้องเสียใจแน่ แต่พระจันทร์ก็จำเป็นที่จะต้องพูดออกไป เพราะลำพังสติปัญญาของเธอคนเดียวคงไม่สามารถหาทางออกไปจากร่างนี้ได้
พระจันทร์รอจนตัวเองหายเจ็บคอแล้ว จึงค่อยพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปในวันที่ทุกคนมาอยู่รวมตัวกันพร้อมหน้า
“หนูมีเรื่องจะพูดด้วยค่ะ” พระจันทร์เอ่ยขึ้น
พุดจีบกับว่านที่กำลังปักผ้าเงยหน้าขึ้นมอง ส่วนนางสมใจที่กำลังเคี้ยวหมากหยับๆ ยกกระโถนขึ้นมาบ้วนน้ำหมากทิ้งแล้วถามเสียงดัง
“มีอะไรก็ว่ามา”
“คือ...”
พระจันทร์ชะงักไปเพราะเพิ่งนึกได้ว่าเธอนั่งอยู่บนเตียง แต่ผู้ใหญ่คนอื่นนั่งอยู่บนเสื่อที่พื้นกันหมด ไหนๆ ก็ต้องพูดกันยาวและอาจจะต้องกราบขอความเมตตา เด็กสาวจึงลงมาจากเตียงแล้วคลานมาหาคนทั้งสาม
“จะอ้อนขอออกไปวิ่งเล่นหรือไงจ๊ะ” ว่านดักคอ
“อย่าเพิ่งเลยนะหนูจันทร์ เดี๋ยวเป็นลมอีก” พุดจีบเอ่ยอย่างเป็นห่วง
“ไม่ใช่ค่ะ หนูแค่จะขอบคุณทุกคนที่ทุกคนช่วยดูแลหนูเป็นอย่างดี ขอบพระคุณนะคะคุณป้า” พระจันทร์ก้มลงกราบนางสมใจ
“เอ่อแน่ะ นี่ใครสอนมันหัดกราบหัดไหว้เนี่ย เอ็งรึพุดจีบ” ผู้สูงวัยเอ่ยอย่างประหลาดใจ แต่ก็ดูพึงพอใจไม่น้อย
“เคยสอนทีนึงค่ะคุณป้า แต่ก็นานมากแล้ว ไม่คิดว่ายังจำได้” พุดจีบว่า เธอเองก็แปลกใจไม่น้อยเหมือนกันกับท่าทีนอบน้อมของแจ่มจันทร์
ก่อนที่จะจมน้ำเด็กหญิงมีนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจ ใครพูดอะไรแทบไม่ยอมฟัง ขนาดพุดจีบที่ว่ารักน้องเป็นหนักหนาก็ยังอดระอาใจไม่ได้
“หนูมีความจริงจะบอกกับทุกคนค่ะ คือ...จริงๆ แล้วหนูไม่ใช่แจ่มจันทร์”
พูดแล้วพระจันทร์ก็ลอบสังเกตปฏิกิริยาของทุกคน พุดจีบกับว่านมีสีหน้าไม่เข้าใจ ผิดกับป้าสมใจที่ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา
“ถ้าไม่ใช่แจ่มจันทร์ แล้วเอ็งเป็นใคร”
“หนูชื่อพระจันทร์ค่ะ ไม่ใช่แจ่มจันทร์ แล้วก็ไม่ใช่หลานป้า หนูเป็น…”
อธิบายได้เท่านี้ว่านก็ร้องลั่น
“แจ่มจันทร์โดนผีเข้า” หญิงสาวกระโดดมาเกาะแขนนางสมใจ
“ใช่ที่ไหนกัน แจ่มจันทร์มันพูดเพ้อเจ้อมากกว่า” นางสมใจเอ็ดว่าน แล้วหันมาตำหนิหลานสาว “อย่าพูดเล่นไร้สาระ”
“หนูไม่ได้พูดเล่นนะคะ หนูพูดความจริงทุกอย่าง ตอนนี้หนูกับแจ่มจันทร์สลับร่างกัน หนูก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ว่าหนูไม่ใช่แจ่มจันทร์จริงๆ หนูชื่อพระจันทร์ค่ะ ได้โปรดเชื่อหนูเถอะนะคะ”
พระจันทร์สบตาผู้สูงวัยอย่างแน่วแน่ เธออยากแสดงความจริงใจแต่เรื่องกลับเป็นอาการไม่น่าไว้ใจในสายตาว่าน
“ผีเข้าแน่ๆ ค่ะ คุณป้า จ้องตาขวางแบบนั้น รีบทำอะไรสักอย่างเถอะค่ะคุณป้า” หญิงสาวกระตุกชายเสื้อนางสมใจเป็นการใหญ่
นางสมใจไม่พูดโต้ตอบกับพระจันทร์ แต่หันไปสั่งให้พุดจีบกับว่านเฝ้าน้องไว้ให้ดี แล้วเปิดประตูเดินลงเรือนไปอย่างรวดเร็ว
“อย่าทิ้งกันอย่างนี้สิคะคุณป้า ขออิฉันไปด้วย”
ว่านทิ้งผ้าที่ปักอยู่แล้วตามออกไปเร็วจี๋ ในห้องจึงเหลือพุดจีบนั่งทำหน้าเลิ่กลั่กเพียงลำพัง พอสบตากับพระจันทร์เธอก็หน้าเสีย ใจอยากตามไปด้วยแต่เพราะคุณป้าสั่งเอาไว้จึงไม่กล้าขัด
“คุณป้าเขาไปไหนเหรอ” พระจันทร์เห็นว่าอายุจริงของเธอรุ่นราวคราวเดียวกันกับพุดจีบเลยไม่เรียกเธอว่าพี่
เด็กสาวไม่ตอบแต่มองกลับมาอย่างหวาดๆ พระจันทร์เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดีจึงพยายามยิ้มให้ หากเป็นเธอก็คงไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ถ้ามีน้องในสถานสงเคราะห์คนใดคนหนึ่งลุกขึ้นมาบอกว่าตัวเองสลับร่างกับคนอื่น
“เราไม่ทำอะไรเธอหรอก วางใจได้ เรามาแค่วิญญาณไม่มีอิทธิฤทธิ์อะไรสักหน่อย ก็คนเดินดินธรรมดานี่เอง”
พระจันทร์พยายามพูดให้พุดจีบสบายใจ ทว่ายิ่งพูดเด็กสาวกลับยิ่งถอยห่างไปไกล เธอเลยต้องนั่งคิดหาวิธีทำให้คู่สนทนาสบายใจ ยังไม่ทันคิดออกนางสมใจก็กลับมา คราวนี้พาใครก็ไม่รู้มาด้วยเยอะแยะ
“ใครไม่มีพระไม่มีสายสิญจน์ถอยออกมาให้ห่าง” ชายชราที่เดินนำขบวนมาเอ่ยด้วยเสียงอันดัง
ชายคนนี้ผิวคล้ำ ร่างผอมแกร็น ศีรษะมีผมขาวแซมเกินครึ่ง แต่งกายอย่างชาวบ้านทั่วไปที่ค่อนไปในทางมอซอ ก่อนจะทันได้รู้ว่าเขาเป็นใครชายชราก็ชี้หน้าพระจันทร์แล้วตวาดเสียงดัง
“ออกไปนะอีผีร้าย อย่ามาฉวยโอกาสใช้ร่างเด็ก ไม่อย่างนั้นเอ็งจะเจอดี”
พระจันทร์อ้าปากค้างไปเลยเพราะไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต เห็นนางสมใจเดินออกไปหน้านิ่งๆ ใครจะนึกว่าแกจะไปตามหมอผีมา
จริงๆ แล้วชายชราคนนี้ไม่ใช่หมอผีอย่างที่เข้าใจ ตาบุญแกเป็นแค่คนสวนที่บังเอิญบวชเรียนมานาน พอจะมีวิชาติดตัวมาบ้าง นางสมใจเห็นว่าน่าจะพึ่งพาได้ก็เลยตามตัวมาช่วยดูอาการก่อน
“ไม่ใช่นะคะ หนูไม่ใช่ผี”
“เอ็งไม่ใช่ผีแล้วเอ็งเป็นใคร”
“หนูเป็นคนธรรมดานี่แหละค่ะ แค่สลับร่างกับเด็กคนนี้”
ทุกคนมองพระจันทร์ด้วยสีหน้าแบบเดียวกันหมดนั่นคือไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูด เว้นเสียแต่ตาบุญที่มีสีหน้าว่าเข้าใจแจ่มแจ้ง แต่เป็นการเข้าใจไปคนละทิศละทางกับที่พระจันทร์ต้องการสื่อ
“อีผีนี่มันลักวิญญาณเด็กไปซ่อน ต้องไล่มันออกจากร่างแล้วเรียกวิญญาณเด็กกลับมา”
หมอผีจำเป็นไม่เพียงแต่ตีความหมายผิด ยังแต่งเรื่องเพิ่มให้เบ็ดเสร็จ
“ไม่ใช่นะคะลุง โธ่...ฟังกันบ้างได้ไหม”
ตาบุญไม่ฟังอีร้าค่าอีรมใดๆ ทั้งสิ้นแกชี้หน้าพระจันทร์อีกครั้งแล้วถามว่าจะออกหรือไม่ออก
“ออกสิคะ อยากกลับร่างจะแย่แล้วแต่มันออกไปไม่ได้” พระจันทร์เอ่ยอย่างหงุดหงิด
“อีผีร้ายนี่มันดื้อด้านจะยึดร่างให้ได้ เห็นทีต้องใช้ไม้แข็ง”
ตาบุญล้วงมือลงไปในย่ามแล้วหยิบของบางอย่างมาปาใส่พระจันทร์สุดแรง
“โอ๊ย!” เด็กสาวร้องลั่นออกเมื่อถูกข้าวสารเสกสาดใส่เต็มหน้า
คนในที่นั้นต่างพากันครางฮือในทำนองว่าแจ่มจันทร์ถูกผีสิงจริงๆ แล้วพากันถอยหนีด้วยความหวาดผวา พระจันทร์อยากตะโกนบอกทุกคนเสียเหลือเกินว่าเธอไม่ได้ถูกผีสิงสักหน่อย เป็นใครถูกข้าวสารปาใส่หน้าจังๆ ก็ต้องเจ็บด้วยกันทั้งนั้น
“จะออกหรือไม่ออก”
พระจันทร์ไม่รู้จะตอบอย่างไรก็เลยเงียบ ในสายตาตาบุญการเงียบไม่ต่างจากการดื้อแพ่ง แกเลยล้วงข้าวสารในย่ามออกมาปาใส่ไม่ยั้ง
“หยุดปาได้แล้ว หนูบอกแล้วไงว่าหนูไม่ใช่ผี”
“ข้าไม่เชื่อเอ็งหรอก ออกไปเดี๋ยวนี้อีผีร้าย”
ผีกำมะลอกับหมอผีจำเป็นโต้ตอบกันในทำนองนี้พักใหญ่ พระจันทร์ทั้งเจ็บทั้งโมโหก็เลยก้มลงกอบข้าวสารที่ตกอยู่เกลื่อนพื้นมาปาใส่ตาบุญบ้าง
‘ให้มันรู้กันไปพระจันทร์ก็สู้คนเป็น’
“เห็นไหมว่ามันเจ็บ หยุดปาเสียที”
การโต้ตอบของพระจันทร์ทำให้ทุกคนแตกฮือ ใครก็ไม่รู้ตะโกนขึ้นมาดังลั่นว่า
“อีผีนี่ร้ายมาก ใครขวัญอ่อนรีบหนีไปเร็ว เดี๋ยวมันย้ายมาสิงร่าง”
ไม่ต้องเตือนซ้ำสองทุกคนก็พากันวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง เหลือไว้ก็แต่นางสมใจ พุดจีบและตาบุญซึ่งขณะนี้ยืนหน้าเสีย ท่าทางกริ่งเกรงพระจันทร์ไม่น้อย แต่เมื่อเหลียวไปเห็นว่ายังเหลือคนอยู่ แกก็กลั้นใจข่มความกลัวแล้วงัดไม้ตายออกมา
“ถ้าแกยังไม่ออกมาอีก ข้าจะใช้หวายอาคม”
ตาบุญหยิบหวายอาคมออกมาจากย่าม แกสะบัดหวายกับอากาศเป็นเสียงหวืดชวนสยอง
“เฮ้ย! อย่านะลุงมันเจ็บ” พระจันทร์ร้องลั่น
ตั้งแต่เล็กจนโตพระจันทร์ไม่เคยโดนตีแบบจริงจังมาก่อน อย่างมากก็แค่โดนไม้บรรทัดฟาดมือสักทีสองทีเท่านั้น หวายอาคมอันนี้ขนาดใหญ่กว่าไม้เรียวแบบมาตรฐานตั้งเยอะ ขืนโดนตีมีหวังได้ตายคามือแน่
พระจันทร์เพิ่งจะมาสำนึกในตอนนี้ว่าเธอทำพลาดอย่างมหันต์ที่พยายามบอกความจริงกับคนอื่น ถ้าเป็นยุคปัจจุบันคนรอบตัวคงมองว่าเธอบ้า ส่วนในยุคนี้คนทั่วไปกลับมองว่าผีเข้า หากยังดื้อดึงอธิบายต่อไป เห็นทีจะไม่รอดชีวิต
ในวินาทีที่ภัยกำลังจะมาถึงตัว เด็กสาวก็ตัดสินใจเอาตัวรอดด้วยการยกมือขึ้นพนมไหว้หมอผี
“ออกแล้วจ้า ยอมแล้ว ฉันจะคืนร่างให้เด็ก อย่าทำฉันเลย”
พระจันทร์ไม่รอฟังคำพูดของตาบุญ เธอแสร้างทำเป็นกรีดร้อง แล้วชักกระตุกแต่พองามจากนั้นก็แน่นิ่งไป เด็กสาวหลับตาอยู่ระยะหนึ่งคอยเงี่ยหูฟังว่าผู้คนรอบตัวจะคิดอย่างไร
นางสมใจเป็นคนแรกที่เข้ามาประคองตัวเธอ แล้วถอดพระที่ห้อยคออยู่มาสวมให้ พระจันทร์ได้ยินเสียงพุดจีบดังมาแว่วๆ ว่าน้องผีออกแล้วใช่ไหม มั่นใจนะว่าจะหาย เด็กสาวจึงรีบคิดอย่างเร็วจี๋ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
ทีแรกพระจันทร์คิดว่าจะกลั้นใจลุกขึ้นมาเค้นน้ำตา โผเข้ากอดนางสมใจด้วยอาการหวาดผวา ตีโพยดีพายว่าถูกผีลักซ่อน แต่มาคิดดูแล้วเด็กเล็กอย่างนี้อาจจะยังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ สู่รู้มากไปเกรงว่าจะเป็นพิรุธ เธอเลยทำเป็นฟื้นขึ้นมาแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวแทน
“คุณป้า พี่พุดจีบ” พระจันทร์เรียกชื่อคนทั้งสอง ทำเนียนเอาไว้ก่อนว่ารู้จักกันไม่ใช่คนอื่น
“หนูจันทร์ใช่ไหม” พุดจีบถามด้วยท่าทีระแวง
“ค่ะหนูจันทร์เอง” ตอบพลางปั้นหน้าใสซื่อเป็นเด็กเล็กอย่างสุดความสามารถ
ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างพากันเงียบกริบ คงกำลังพิจารณากันอยู่ว่านี่ใช่แจ่มจันทร์จริงๆ หรือไม่ พระจันทร์ไม่ปริปากพูดสิ่งใด นอกจากพึมพำว่าเหนื่อย แล้วแสร้งทำเป็นงอแงตามประสาเด็ก
ตาบุญเห็นดังนั้นก็มั่นใจว่าผีร้ายได้ออกไปจากร่างแล้ว จึงหันมาพูดกับนางสมใจ
“ผีออกเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้พาไปรดน้ำมนต์ต่อชะตากับหลวงพ่อที่วัดอีกทีนะคุณสมใจ จะได้หายขาด”
“จ้ะ ขอบคุณนายบุญมากนะ”
ในขณะที่ผู้ใหญ่คุยกันพุดจีบปรี่เข้ามาสวมกอดน้อง พระจันทร์ซบหน้าลงกับตัวเด็กสาวแล้วลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เหตุการณ์ครั้งนี้คือบทเรียนชั้นเลิศที่ย้ำเตือนให้รู้ว่าต่อไปอย่าริอ่านได้พูดเรื่องสลับร่างกับใครอีกเป็นอันขาด
++++++++++++++++++++++++++++++++++
เอามาลงอย่างรีบๆ ค่ะวัน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า เลยนอนดึกไม่ได้ ไม่เมาท์มากนะคะ ไปที่เกร็ดความรู้กันเลย
เกร็ดความรู้ประจำตอน
ว่าด้วยเรื่องข้าวสารเสก ทราบหรือไม่ว่าข้าวสารเสกเป็นเครื่องประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์แบบไทยโบราณ สามารถใช้ได้หลายอย่างแล้วแต่วัตถุประสงค์ค่ะ อย่างในเรื่องขุนช้างขุนแผน ขุนแผนได้ใช้ข้าวสารที่ย้อมว่านยาเป็นตัวสะกดให้คนในบ้านหลับก่อนขึ้นเรือนขุนช้าง
ส่วนที่ใช้ไล่ผีเรียกกันว่าข้าวพิรอดค่ะ ลักษณะคือข้าวเปลือกที่รอดผ่านพ้นกรรมวิธีการตำ ร่อน สีข้าว และการหุงจนมาปรากฏในจานข้าวได้ ว่ากันว่าเมื่อซัดถูกภูตพรายจะต้องรีบหนี มิฉะนั้นจะต้องแหลกเป็นจุณ
นอกจากนี้ข้าวสารเสกยังเอามาทำเสน่ห์ได้อีกด้วยนะคะ โดยใช้ข้าวสารตกก้นครก เอามาแช่น้ำมันหอมปลุกเสกแล้วเอาไว้ดีดใส่ผู้ชายที่หมายปอง เชื่อว่าจะทำให้หลงใหลในตัวคนดีดใส่
เลิศไหมล่ะข้าวไทย กินได้เล่นของได้ สารพัดประโยชน์จริงๆ เลยให้ตาย ^O^
นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 พ.ค. 2556, 00:01:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 พ.ค. 2556, 00:01:29 น.
จำนวนการเข้าชม : 1991
<< บทที่ 4 ชีวิตที่เลือกไม่ได้ | บทที่ 6 หนูชื่อพระจันทร์ >> |
คิมหันตุ์ 26 พ.ค. 2556, 00:32:42 น.
ซวยเลยพระจันทร์ ต้องตามน้ำไปซะงั้น
ซวยเลยพระจันทร์ ต้องตามน้ำไปซะงั้น
Zephyr 26 พ.ค. 2556, 07:48:27 น.
นั่นไง จะมีใครเขาเข้าใจนะ ได้หาว่าผีเข้ากันหมด
เอาเหอะได้ลดอายุ ย้อนเวลาไปเจอเนื้อคู่ไงพระจันทร์ อิอิ
นั่นไง จะมีใครเขาเข้าใจนะ ได้หาว่าผีเข้ากันหมด
เอาเหอะได้ลดอายุ ย้อนเวลาไปเจอเนื้อคู่ไงพระจันทร์ อิอิ
goldensun 26 พ.ค. 2556, 10:39:16 น.
เป็นเรื่องเลย ดีที่กลับตัวทัน ไม่งั้นโดนหวาย เจ็บกว่าโดนข้าวสารแน่
พระจันทร์ปรับตัวแย่เลย จากบ้าน จากยุคที่คุ้นเคย แต่ข้อดีคือไม่น่าจะขี้โรคแล้ว
เป็นเรื่องเลย ดีที่กลับตัวทัน ไม่งั้นโดนหวาย เจ็บกว่าโดนข้าวสารแน่
พระจันทร์ปรับตัวแย่เลย จากบ้าน จากยุคที่คุ้นเคย แต่ข้อดีคือไม่น่าจะขี้โรคแล้ว