The Recapture ร้ายทวงรัก(สำนักพิมพ์ sugar beat)
ฉันจะทำให้คุณสยบแทบเท้า เพราะรักฉัน!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 8

ตอนที่ 8

นางปราณีแยกตัวไปดูแลงานครัว เพื่อเตรียมอาหารมื้อเย็นอย่างที่เคยปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน โดยมีป้าสุดใจกับหลานเป็นผู้ช่วย เมื่อถึงเวลา บนโต๊ะจึงพร้อมสรรพไปด้วยอาหารหลากเมนู แต่ละอย่างมีสีสัน รสชาติในการปรุงแต่งไม่แพ้อาหารในภัตตาคารหรูบนเกาะ

ปีวราเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนัง เห็นว่าเกินเวลามื้อเย็นไปสิบนาที แต่เธอก็จงใจนั่งอ่านนิตยสารในห้อง ไม่รู้ร้อนรู้หนาว หวังในผลลัพธ์ที่ว่า ยั่วประสาทคุณนายใหญ่ของบ้าน ด้วยเหตุที่ท่านชอบวางอำนาจข่มผู้อื่น จู้จี้ขี้บ่น จนหลายครั้งถึงกับหลุดภาษาด่าทอแบบ ‘ปากตลาด’

เธอเองถูกคุณนายใหญ่แขวะบ่อยครั้ง เคยทำหูทวนลมตามคำแม่ แต่เมื่ออดรนทนไม่ไหว เธอก็ตอบโต้บ้าง ด้วยวาจาที่ ‘กรีดเนื้อเถือหนัง’ นิ่มๆ แต่บาดคม

‘แกมันเลี้ยงไม่เชื่อง อุตส่าห์ยกฐานะให้อยู่ในระดับลูกหลาน ตามคำขอของผัวฉัน ทั้งที่ความจริง น่าจะตกที่นั่งเป็นคนใช้กับลูกคนใช้มากกว่าด้วยซ้ำไป’

ครั้งนั้น เธอจำได้ว่าตอบโต้จนท่านหน้าหงาย เงื้อมือขึ้นสูงหมายจะฟาดหน้า ‘หนูสำนึกเสมอมาค่ะ ว่าคุณลุงมีน้ำใจช่วยอุปถัมภ์เราสองคนแม่ลูก ให้อยู่ดีกินดี ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ อย่างที่คุณนายใหญ่พยายามจะค่อนแคะให้หนูเป็น แต่เท่าที่จำได้ ตั้งแต่มาอยู่ที่เกาะมุกแก้ว หนูไม่เคยวางตัวว่าเป็นลูกท่านหลานเธอ ยกตนเสมอใคร แล้วก็ไม่เคยทำตัวตกต่ำไร่เรี่ยเป็นเหมือนพวกคนรับใช้ อย่างที่คุณนายใหญ่กำลังกล่าวหา’

สุดท้ายเมื่อท่านจนมุม ด่าไม่ออก ท่านก็ส่งเสียงกรีดร้องอย่างถูกขัดใจ แล้วเธอก็มักจะถอยห่างออกมาตั้งหลักให้ไกลที่สุด มิเช่นนั้น อาจได้ยินสรรพสัตว์ต่างชาติพันธุ์ หลุดมาจากปากของผู้ที่ยกตัวว่าเป็น

‘คุณนาย’ ของบ้าน

แล้วเย็นนี้ ก็ดูเหมือนจะได้ผล เมื่อเสียงเอะอะดังออกมาจากห้องรับประทานอาหาร สักพักเสียงเคาะประตูห้องก็ตามมาติดๆ เมื่อเธอเปิดประตู จึงพบหน้าของน้ำนวล เด็กสาววัยสิบห้า ตีหน้าเหรอหราอย่างตื่นกลัว เห็นแค่นั้น เธอก็รู้แล้วว่า เด็กสาวคงจะถูกคุณนายใหญ่ด่าทอเป็นชุด แล้วใช้ให้มาตามเธอไปร่วมวงรับประทานอาหาร

เมื่อเธอเดินลงบันไดไปไม่กี่อึดใจข้างหน้า จึงพบว่าคุณนายใหญ่กำลังนั่งหน้าถมึงทึง ดวงตาไร้แววเป็นมิตร ท่านไม่รอให้หญิงสาวลงนั่งที่เก้าอี้ด้วยซ้ำ ก็โพล่งขึ้นเหมือนมีคนดึงผ้าอุดปากออก

“กว่าจะยุรยาตร ออกมาจากห้องนอนได้ ต้องให้คนขึ้นไปตาม เมื่อวานก็เพิ่งจะพูดหยกๆ เรื่องให้รู้จักเวล่ำเวลา ยังไม่ทันไร วันนี้ก็แผลงฤทธิ์อีกแล้วนะยะ”

ปีวราหาได้สะทกสะท้านต่อคำพูดเหล่านั้น เธอคิดสะระตะมาหลายตลบแล้ว วิธีการเอาคืนคุณนายใหญ่ของบ้าน ในลำดับแรกที่ควรแสดงโต้ตอบ คือการเงียบและนิ่งให้มากที่สุด เพราะรู้ว่าคนประเภทนี้ มักจะยิ่งเดือดดาล โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถ้าคู่กรณีไม่เถียง แต่เธอก็บอกกับตนเองว่า จะยอมสงบอย่างเจียมตัวให้อีกฝ่ายได้ใจ ก็ย่อมมีขอบเขตในวงจำกัด มิใช่ปล่อยให้โขกสับได้ตามใจชอบ ถ้าออกฤทธิ์อาละวาดล้ำเข้ามายังเส้นที่กำหนดไว้ เธอก็จะฉะไม่ยั้ง

ซึ่งเธอก็บอกไม่ได้หรอก ว่าเส้นที่เธอตั้งเกณฑ์ มันกำลังตึงหรือหย่อน และมันจะขาดผึงลงเมื่อใด

แต่อารมณ์ตอนนี้ปกติ เมื่อสบตากลับไปยังผู้ต่อว่า เธอจึงยิ้มหวานชนิดที่คุณนายใหญ่สะอึก วาจาเหน็บแนมถูกตัดฉับ ราวกับน้ำในขวดไหลจนเกลี้ยง และรอยยิ้มของเธอ ยังเผื่อแผ่ไปที่ชายหนุ่มซึ่งนั่งตรงข้าม

มิวายท่านก็หลุดคำเปรียบกระทบ “ผีเข้ารึไงยะ”

นางปราณีเกรงว่าจะต่อความยาว จนอาหารบนโต๊ะจะกร่อย ตนเองจึงขัดกลางปล้องขึ้นว่า “จะทานกันเลยไหมคะ คุณนายใหญ่ จะได้ให้พี่ใจตักข้าว”

ความหวังดีของนางปราณีจึงเหมือนเป็นกระโถนรองรับอารมณ์คุณนายของบ้านในทันควัน “ผัวฉันยังไม่ลงมา เธอก็เห็นอยู่ แล้วนี่มีใครไปตามมาหรือยัง...นวล เธอขึ้นไปตามนายหัวที่ห้องทำงานซิ”

ท้ายประโยค คุณนายใหญ่สั่งเด็กสาว ทว่าสูรย์กลับร้องท้วงขึ้น “นวลไม่ต้องไปหรอก คุณพ่อไม่อยู่”

“พ่อแกไปไหน!”

“ผมไม่ทราบครับ แต่พ่ออาจจะดูงานอยู่ที่โรงงานเหมือนทุกครั้งก็ได้ครับ”

สูรย์คาดคะเนไปตามความคิดตน ที่จดจำได้ตั้งแต่หลายปีก่อน ว่าบิดาคงกรำงานหนักเหมือนเดิม โดยไม่มีเวลาให้กับครอบครัวมากนัก อาหารเย็นในแต่ละวัน ก่อนที่นางปราณีกับลูกจะย้ายมาอยู่ที่นี่ รอบโต๊ะอาหาร จึงมีเพียงเขากับแม่ สองคนเท่านั้น

หารู้ไม่ว่า บัดนี้เสี่ยสวัสดิ์ มิได้กำลังง่วนอยู่กับธุรกิจ แต่ท่านกำลังหมกมุ่นอยู่กับผู้หญิงอีกรายหนึ่งต่างหาก ซึ่งท่านผูกสมัครรักใคร่ร่วมกันมาเป็นครึ่งปี

“รู้สึกช่วงนี้พ่อแกจะอยู่ไม่ติดบ้าน กินข้าวเย็นเลยสักครั้ง...นี่ถ้าเมื่อวานแกไม่ได้กลับมาจากนอก ก็คงไม่เห็นหน้าค่าตาเหมือนทุกวัน เอะอะก็อ้างแต่เรื่องงาน ไม่รู้ว่า...”

คุณนายใหญ่คิดอะไรในใจ ไม่มีใครรู้ เมื่อท่านยั้งคำสุดท้ายเอาไว้ แต่คำค้างๆคาๆนั้น กลับอยู่ในความสนใจของปีวรา

หญิงสาวหรี่ตามองอย่างครุ่นคิด เป็นขณะเดียวกับที่แม่บอกให้ป้าสุดใจคดข้าวจากโถกระเบื้อง เมื่อทุกคนพร้อมทานอาหาร หัวสมองของเธอที่กำลังโลดแล่น กลับคิดอะไรแผลงๆขึ้นมา

เธอไม่รอช้า เอื้อมช้อนไปตักปลาหมึกผัดไข่เค็มใส่จานของสูรย์!

การกระทำของเธออยู่ท่ามกลางความขุ่นมัวของคุณนายใหญ่...ความหวั่นกลัวในจิตใจของมารดา และอยู่ในความไม่เข้าใจ เจ้าของข้าวจานนั้น

............................................................

การท้าทายเรื่องทำงานเริ่มต้นในวันรุ่งขึ้น

แสงตะวันเหมือนจงใจจะกลั่นแกล้งสำหรับ ‘น้องใหม่’ ทั้งคู่ เมื่อต้องนั่งเรือเร็วมายังฟาร์มเลี้ยงมุก สำหรับสูรย์ แม้จะติดความสำรวยจากการใช้ชีวิตที่เมืองนอกอยู่บ้าง แต่เมื่อต้องตากแดดเปรี้ยงด้วยการสวมเสื้อกล้ามเพียงตัวเดียว กับกางเกงขาก๊วย ยาวครึ่งขา แบบหนุ่มชาวเกาะ เขาก็ไม่ปริปากบ่น แต่กระนั้นก็ยังสวมแว่นกันแดดสีดำ และหมวกผ้าสีเข้มมีปีกล้อมบรรเทาอากาศจัดจ้า

ต่างจากหญิงสาว แม้เธอจะไม่ได้นุ่งผ้าถุง สวมเสื้อคอกระเช้าแบบที่เขาสัพยอกไว้เมื่อวาน กลับคำไปสวมเพียงเสื้อยืดพอดีตัวและกางเกงขาสั้นเผยช่วงขาเรียวสมส่วน ดังนั้นเมื่อต้องลมต้องแดดโลมเลียผิว หมวกสานปีกกว้าง แว่นตาสวมติดหน้า หรือแม้แต่การประโคมครีมกันแดดเอสพีเอฟ 100 ก็ยังรู้สึกแสบๆร้อนๆเป็นระยะ

เมื่อมาถึงฟาร์มเลี้ยงมุกด้วยเวลาสิบกว่านาที ปีวราจึงเผลอตัวบ่นอุบ “ทำไมมันร้อนอย่างนี้ล่ะนายเกลี้ยง ดูซิ...ผิวฉันเกือบจะไหม้อยู่แล้ว”

นายเกลี้ยงผู้เป็นสารถีประจำเรือ ยิงฟันขาวจนตาแทบปิด “มันก็ร้อนอย่างนี้ทุกวันล่ะครับนายหญิง ช่วงนี้ดินฟ้าอากาศมันแปรปรวน ไม่รู้ว่าหน้าหนาวมันจะยังมีลมหนาวแบบแต่ก่อนให้เห็นหรือปล่า จนตอนนี้ เห็นจะเหลือแต่หน้าฝนกับหน้าร้อนเท่านั้นล่ะ”

เด็กหนุ่มแสดงความเห็นเรื่องดินฟ้าอากาศตามวิถีชีวิตอันเป็นไปทุกวัน แต่คำเรียกขานปีวรานั่นปะไร ที่ทำให้ผู้ร่วมเดินทางอีกหนึ่งหนุ่ม ถึงกับหันขวับมาจ้องตา และถามย้ำเสียงดัง

“นี่นายเกลี้ยง...นายเรียกคุณปี ว่าอะไรนะ”

“เรียกนายหญิงครับ” เขาขมวดคิ้วงงๆ

แต่เสียงหัวเราะร่าของสูรย์ พร้อมกับคำล้อเลียน ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ไปตามกัน “นี่นายเรียกคุณปีว่า ‘นายหญิง’ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ฟังแล้วมันจั้กจี้บอกไม่ถูก เหมือนกับละครเรื่องอะไรสมัยที่เป็นเด็กๆ แล้วนางเอกเป็นพวกเชื้อเจ้า มียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง แล้วก็ชอบทำตัวหยิ่ง จองหอง”

ผู้ถูกพาดพิงทำหน้างออยู่นาน จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ เพียงแต่คิดว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับตนเอง ที่ถูกเรียกคำนำหน้าเสียหรูหรา โดยที่เธอเองก็ไม่ได้ปลาบปลื้มกับคำๆนั้นแม้แต่นิด

“ฉันก็ไม่ได้ไปบังคับให้ใครเขามาเรียกว่านายหญิงซะเมื่อไหร่ แล้วอีกอย่างมันก็ไม่เห็นจะตลกตรงไหน”

เธอว่าพลางค้อนควัก ขณะที่นายเกลี้ยงก็เออออห่อหมกไปด้วย “ใช่ครับ...ผมว่าคำนี้เหมาะกับนายหญิงที่สุด นายหัวน้อยไม่เห็นด้วยหรือครับ”

แล้วคำเรียกขานสูรย์ ‘นายหัวน้อย’ ที่ใครๆบนเกาะต่างเรียกแทนตัวเขาตั้งแต่วันที่มาถึง ก็กระทบเข้าหูปีวราอย่างจัง

“ฉันว่า ‘นายหัวน้อย’ ยังฟังตลกกว่าร้อยเท่าพันเท่า มีอย่างที่ไหนกัน เรียกนายหัวสั้นๆยังไม่ชอบ ต้องให้ต่อท้ายคำว่าน้อยตามหลัง...เอ ฟังแล้วมันคล้ายกับคำว่าอะไรน้า” เธอเดาะนิ้วที่คางอย่างใช้ความคิด ก่อนจะต่อประโยคให้ โดยขยับรูปปากแบบไร้เสียง พร้อมกับย่นจมูกใส่ว่า

‘นาย...อ๋ำ...น้อย’

กำลังจะพูดย้ำๆเป็นเชิงล้อให้สาแก่ใจ สูรย์ซึ่งยืนเยื้องไปด้านข้างกระโจนตัวมาถึงตัว มือข้างหนึ่งยกขึ้นปิดปากเธอเอาไว้ “พูดทะลึ่ง”

แต่เธอก็ดิ้นรนขัดขืน สะบัดจนหลุด แล้วพลางล้อเลียนคำนั้นไปจนสุดทางที่เป็นเม็ดทรายละเอียด ยาวไปจนจรดทางขึ้นเรือนรับรองด้านหน้าสุด เมื่อขึ้นไปยืนเหนือบันไดขั้นบนสุด ก็ไหวไหล่ ยักคิ้วเป็นเชิงยั่วเย้าอย่างเป็นต่อ

เมื่อหมุนตัวกลับ ปรากฏร่างของดำเกิงมาหยุดยืนทางด้านหลัง

“ผมก็นึกว่านายหญิงจะไม่มาซะแล้ว”

เธอไม่ทันตอบ ดูเหมือนสูรย์จะคันปาก เป็นฝ่ายสวมรอยตอบแทนว่า “จริงๆนายหญิงของทุกคนก็เตรียมตัวจะหนีกลับแล้วล่ะ นี่ขนาดแค่นั่งเรือตากแดดมา ยังบ่นตลอดทาง...ขี้คร้านอยู่ไม่ถึงครึ่งวัน อาจจะแอบหนีกลับไปตอนที่ทุกคนกำลังเผลอ ก็เป็นได้”

งานยังไม่ทันเริ่มจริงจัง ดูเหมือนหนุ่มสาวจะประกาศศึกกันอีกแล้ว!

....................................................

การเรียนรู้งานในวันแรก ดำเกิงซึ่งเป็นคนควบคุมงานทั้งหมดบนฟาร์มเลี้ยงมุก เป็นผู้ถ่ายทอดเนื้อหาทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เขาเล่าคร่าวๆว่า “หลังจากที่ชาวประมงออกทะเล พวกเขาเหล่านั้นก็จะนำหอยมุกมาขายให้กับทางเรา แล้วเราก็จะนำมันมาเลี้ยงพักฟื้นไว้ในกระชัง โดยใช้เวลาประมาณ 15 วัน เพื่อคัดแยกพันธุ์หอยที่อ่อนแอ”

ระหว่างนั้น เขาก็ลงนั่งรวมกลุ่มกับลูกจ้าง ซึ่งกำลังนำหอยหลายตัวต่างขนาด นำออกจากถังสีน้ำเงินขนาดกลาง วางลงกับพื้นไม้กระดาน โดยที่ดำเกิงพลิกตัวหอยตรงหน้าแล้วบรรยายเพิ่มเติมว่า “ขั้นแรกคุณสองคนต้องคัดเลือกหอยให้เป็น เพื่อจะได้เรียนรู้ว่าหอยที่สมบูรณ์กับหอยที่ไม่ได้ขนาดแตกต่างกันยังไง”

ปีวรานั่งลงยองๆข้างดำเกิง มือเอื้อมไปจับหอยซึ่งมีเปลือกหนาแข็งตรงหน้า แล้วถามขึ้น “แล้วจะดูยังไงล่ะ นายดำ”

“เราก็ดูขนาดของมันแบบนี้ไงครับ”

ดำเกิงแยกขนาดของหอยที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน จนหญิงสาวพยักหน้ารับ จากนั้นเขาจึงอธิบายต่อว่า “เมื่อเราได้หอยที่มีสภาพแข็งแรงมาแล้ว จะนำมาคัดแยกเป็น 3 กลุ่ม...คือกลุ่มแรก เราจะเก็บไว้เพาะเลี้ยงเพื่อนำมาพัฒนาเป็นพ่อแม่พันธุ์ต่อไป”

หญิงสาวลุกขึ้นไปดูในถังบรรจุน้ำเกือบเต็ม มีหอยตัวเป็นๆซึ่งถูกคัดแยกให้อยู่ในกลุ่มแรกไว้แล้ว จากนั้นดำเกิงก็พูดถึงอีกสองกลุ่มที่เหลือ “กลุ่มที่สองจะมีลักษณะโครงสร้างที่สมบูรณ์ พร้อมนำมาฝังเม็ดนิวเคลียสทั้งสองฝา ส่วนกลุ่มที่สาม คือลักษณะโครงสร้างสมบูรณ์ แต่เปลือกไม่แข็งแรงพอ ก็ใช้ฝังนิวเคลียสแค่ฝาเดียว”

ปีวราเริ่มหน้าซีด เมื่อดำเกิงอธิบายว่าการฝังนิวเคลียสคืออะไร แต่พอเธอเหลียวไปดูชายหนุ่มซึ่งยืนฟังอย่างตั้งใจ เธอก็ต้องหันกลับมาฟังคำบรรยายนั้นตามเดิม

“เราจะพักฟื้นหอยมุกหลังการฝังนิวเคลียสในทะเล แล้วจะตรวจเช็คอย่างละเอียดโดยใช้เวลาประมาณ 30 วัน ในการเฝ้าดูแลอย่างเป็นพิเศษ เมื่อตรวจเช็คหอยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นจะนำหอยที่มีสภาพแข็งแรงไปแขวนเพาะเลี้ยง โดยระหว่างการเลี้ยงนี้ ก็มีการทำความสะอาดอย่างต่อเนื่องทุกๆเดือน เพื่อกำจัดศัตรูของหอย”

“นี่แสดงว่ากว่าจะผ่านขั้นตอนการเลี้ยง ก็ต้องใช้เวลาตั้งหลายเดือนอย่างนั้นเหรอนายดำ ฉันเคยอยู่ที่นี่มาตั้งหลายปี ไม่เคยเข้ามาป้วนเปี้ยนที่ฟาร์มเลี้ยงนี้อย่างจริงจังสักครั้ง ไม่นึกเลยจริงๆว่ากว่าจะได้ผลผลิตเป็นไข่มุกแต่ละเม็ดที่มีราคา มันกินเวลาไม่ใช่น้อย”

“ยิ่งถ้าบางฤดูกาล สภาพอากาศแปรปรวนมาก บางครั้งผลผลิตก็ไม่ตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็มีครับ”

คราวนี้ดำเกิงเดินมาหยุดที่ระเบียงไม้ซึ่งกั้นไว้ตรงสุดทางเดิน เพื่อเชื่อมต่อไปยังราวสะพาน ซึ่งมีแนวไม้ไผ่พาดไว้ สำหรับเป็นที่เพาะเลี้ยงหอยมุก

“เดี๋ยววันนี้เรามาดูวิธีการเลี้ยงกันก่อนนะครับ แล้ววันหลังผมจะอธิบายให้ฟังว่า มีมุกประเภทไหนบ้าง”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอถามเกี่ยวกับหอยมุกอีกสักนิดสิ แล้วเราจะคัดแยกคุณภาพของหอยมุกยังไงเหรอ ฉันเคยเห็นในห้องของแม่ ท่านจะชอบใส่ประจำอยู่เส้นนึงเวลาออกงาน เผื่อจะได้รู้เอาไว้”

ดำเกิงตอบคำถามอย่างชัดเจนว่า “เมื่อตอนที่หอยอายุครบ 12-20 เดือน จึงสามารถทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ครับ แล้วเราก็จะนำส่งเข้าไปที่โรงงานบนฝั่ง เพื่อคัดแยกคุณภาพของมุก การคัดแยกคุณภาพนี้ ทางเราจะยึดถือคุณภาพอยู่ห้าประการ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากลทั่วไป แล้วก็เป็นมาตรฐานของประเทศสหรัฐอเมริกา...นายหญิงเป็นผู้หญิง ลองมาเดาเล่นๆดูไหมครับ ว่ามีอะไรบ้าง”

ปีวรากอดอกใช้ความคิด ลอบชำเลืองมองไปที่สูรย์ เห็นหน้าเขาแสดงความเยาะเย้ยออกมา เดาความคิดเขาจากสายตาว่า เธอคงตอบผิดๆถูกๆ

“ถ้าเป็นฉันจะเลือกดูมุกสักเม็ด ฉันเดาว่าจะต้องสวย มีขนาดใหญ่ เวลากระทบแสงจะเป็นประกายระยับ แล้วก็...” เธอนึกไม่ออกจนได้

สูรย์จึงถือโอกาสตัดหน้า เป็นฝ่ายตอบเสียเอง “ถึงผมจะไม่ได้เป็นผู้หญิง แต่ถ้าให้ผมตอบ ความสำคัญในการคัดเลือกมุกทั้ง 5 ข้อ จะต้องคำนึงถึงขนาด รูปทรง สีสัน ประกายความเงางาม และอีกสิ่งก็คือ ผิวสัมผัสด้านนอก หรือพวกตำหนิ อะไรทำนองนั้น”

เชอะ! ทำเป็นอวดภูมิแข่งกับฉัน แน่ใจหรือไงว่าจะถูกครบถ้วน

“นายหัวน้อยพูดถูกครับ...นั่นล่ะ คือ 5 สิ่งสำคัญที่เป็นมาตรฐาน”

หญิงสาวแอบเบ้ปากใส่ เมื่อเหลือบไปเห็นแววตากรุ้มกริ่มของสูรย์ แสดงชัยชนะ ทั้งที่เป็นเรื่องขี้ผงในสายตาของเธอ เพราะสิ่งที่ดำเกิงเล่าให้ฟัง ล้วนเป็นทฤษฎีทั้งนั้น ขี้คร้านเวลาลงมือปฏิบัติ เลือกมุกที่ได้มาตรฐาน เอาเข้าจริงๆ จะไปได้สักกี่น้ำ

แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจ ทำตัวเป็นคนเก่ง...เธอจึงได้แต่แอบหมั่นไส้

“นายหญิงจะลองเดินออกไปดูหอยมุกที่เราเพาะเลี้ยงไว้ใต้ทะเลใกล้ๆไหมครับ”

ปีวราหันไปสบตาคนพูด นี่ดำเกิงคิดจะชวนเธอเดินบนกระดานไม้บางๆซึ่งพาดอยู่บนเสาหลักอะไรกัน ไม่รู้จะแข็งแรงหรือเปล่าอย่างนั้นหรือ ทว่ายังไม่ทันได้ปฏิเสธ เสียงคนกวนประสาทก็ลอยผ่านมาตามลม

“นายดำแน่ใจรึเปล่า ที่จะให้ปีเดินบนกระดานไม้ แดดออกจะเปรี้ยงขนาดนี้ เกิดเป็นลมเป็นแล้งไปกลางทาง เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่นะ”

หญิงสาวรู้ว่าเขาจงใจพูดเหน็บ เธอจึงกระแทกกระทั้นกลับ “ใครบอกคุณล่ะ ว่าฉันไม่กล้า ตัวฉันหนักไม่ถึงห้าสิบกิโล รับรองว่าต่อให้เดินลงส้นเท้า ก็ไม่มีทางร่วงตกน้ำแน่ คุณต่างหาก ตัวโตยังกับยักษ์ปักหลั่น น้ำหนักตัวก็คงไม่น้อยกว่าหมี...”

เธอยั้งคำว่า ‘ควาย’ ไว้ทัน แต่ก็เหน็บกลับแบบแสบๆพอกัน “แต่ไม่แน่หรอกนะ คุณอาจเป็นพวกตัวใหญ่ แต่ใจปลาซิวก็เป็นได้”

เขม่นกันไปมา จนกระทั่งดำเกิงต้องห้ามทัพ ทั้งที่ยังอมยิ้มแก้มตุ่ย “อย่าทะเลาะกันเลยครับ ไม้กระดานสร้างไว้อย่างแข็งแรง ไม่มีทางร่วงแน่ครับ ถ้าไม่ประมาท”

สูรย์จึงขยับ แล้วทรงตัวออกเดินนำไปบนไม้กระดานก่อนช่วงตัว แล้วหันกลับมา ถอดแว่นกันแดดออก จงใจจ้องอีกฝ่าย แลยักคิ้วเป็นเชิงท้าทาย

มีหรือถูกท้า แล้วปีวราจะไม่ตอบสนอง!

เธอขยับปีกหมวกให้ลดต่ำเพื่อบังแสงที่กระทบลงบนผิวหน้า แล้วค่อยๆก้าวย่างอย่างระมัดระวังตัว ตามไปหยุดยืนอยู่ตรงกลางแนวขนานของไม้ที่พาดทับกันเป็นตาราง

สิ่งที่เห็นเบื้องหน้า คือท้องทะเลกว้างจรดขอบฟ้า สีเขียวอมฟ้าของทะเลแทบจะกลืนไปกับสีขาวขยุกขยุยซึ่งลอยตัวอยู่ฉากหลังสีฟ้าสว่าง เธอไม่เคยมายืนอยู่ในมุมนี้สักครั้ง จึงไม่รู้เลยว่า บริเวณที่เป็นฟาร์มเพาะเลี้ยง ก็มีจุดที่มองเห็นทะเลได้สวยงามไม่แพ้เนินทรายด้านล่างสักนิด

แต่ก็มีข้อเสีย คือกระดานไม้ที่ยืนมันติดจะโคลงเคลงไปสักหน่อย!

เธอเริ่มรู้สึกได้ในนาทีต่อมา เหมือนกับว่าแผ่นไม้กระดานมันดังเอี๊ยดอ๊าด และเริ่มบิดตัวไปมา เอนซ้ายขวาขึ้นลง และตอนนี้ เธอกำลังเสียการทรงตัว ซึ่งแท้จริงไม่มีอะไร เป็นเพราะเธอมัวแต่ใจลอย เคลิ้มไปกับความงามของผืนทะเล ทั้งที่แดดยังร้อนเปรี้ยง

เธอกำลังจะหน้ามืด! ขาอ่อนยวบลงทันใด

.............................................................

“ฉันเป็นอะไรไป”

ปีวราถามลอยๆไม่เต็มเสียงนัก ขณะดวงตาปรือขึ้น เธอเห็นดำเกิงใกล้ตาที่สุด โดยมีลูกจ้างหลายคนยืนมุงอยู่นอกประตูห้องรับรอง ผู้คนตรงหน้าเท่าที่เห็น ดูเหมือนจอภาพที่มีละอองฝนเกาะพราว จึงค่อนข้างเลือน ก่อนจะกะพริบตาไล่ความมัวมนตรงหน้า จนสามารถปรับสายตาเป็นปกติ

“นายหญิงเป็นลมครับ”

เสียงนายเกลี้ยงดังขึ้นแทรกกลางวงล้อม เจ้าตัวโผล่มาทางด้านหลังกลุ่มคน เดินผ่านช่องประตูเข้ามา ในมือถือแก้วใสบรรจุน้ำดื่มเต็ม

“ฉันเป็นลมอย่างนั้นเหรอ”

เธอทวนคำ คล้ายไม่เชื่อหู พลันนึกถึงคำท้าทายกับสูรย์เมื่อวานทันใด โดยที่ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่า ขณะนี้ศีรษะของตนนั้นกำลังอิงอยู่กับบ่ากว้างของใครบางคน ดังนั้นเมื่อความคิดนั้นแวบเข้ามา สายตาที่พุ่งไปยังจุดโฟกัสด้านหน้า จึงปรับทิศเป็นเงยขึ้นข้างบน

นี่เธอกำลังนอนหนุนตักเขา!

แถมใบหน้าของสูรย์มีร่องรอยกังวลแกมอ่อนโยนแฝงอยู่....

เธอจึงขืนตัว ลุกพรวด เมื่อคิดว่าตนเองตกไปอยู่ภายใต้วงแขนแข็งแรงของเขา แต่ดูเหมือนศีรษะเธอจะหนักขึ้นมาเสียดื้อๆ เมื่อเคลื่อนตัวเร็ว จึงเกิดอาการวิงเวียน จนต้องยกมือกุมขมับ คล้ายจะอ่อนแรงอีกครั้ง
เสียงทุกคนเรียกชื่อเธอเซ็งแซ่ พ้องกับวงแขนอบอุ่นนั้นกำลังจะโถมมารองรับตัวเธออีกครั้ง แต่เธอก็ใช้มือข้างหนึ่งยันเบาะที่นั่ง อีกข้างยกมือขึ้นห้าม

“ฉันไม่เป็นอะไร แค่มึนๆนิดหน่อย”

ดำเกิงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะแจงว่าเธอเกิดอาการเช่นไร “นายหญิงเป็นลมแดดครับ ผมว่าทานน้ำเย็นให้ชื่นใจสักแก้ว เผื่อร่างกายจะได้สดชื่นขึ้น”

เธอจึงหันไปรับแก้วน้ำจากมือนายเกลี้ยง แล้วยกขึ้นดื่มจนหมด...รู้สึกได้เลยว่าเพียงแค่ดื่มน้ำเปล่า เหมือนกับร่างกายที่ขาดน้ำนั้น ได้รับความชุ่มฉ่ำเข้าไปจนเต็มปอด อาการหมุนติ้วเป็นลูกข่างดูจะคลายลง

เมื่อปีวราไม่เป็นอะไรมากแล้ว ดำเกิงจึงออกปากให้ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานตามเดิม แล้วนายเกลี้ยงซึ่งเป็นห่วงเจ้านายก็พูดแทรกขึ้นอีกครั้ง

“ไปหาหมอบนฝั่งไหมครับนายหญิง”

“ฉันไม่ได้เป็นอะไร...ก็แค่เป็นลม ขอบใจนายเกลี้ยงมากนะ ที่เป็นห่วง”

ปีวราพูดขอบอกขอบใจเด็กหนุ่ม แต่สายตาเลยผ่านไปยังสูรย์ ซึ่งตอนนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกัน แต่คนละฝั่ง แล้วเธอก็ทำเมิน หันไปคุยกับดำเกิง “ขอบใจนายดำเหมือนกันนะ ฉันไม่นึกเลยว่าแค่ออกแดดประเดี๋ยวเดียว ถึงกับเป็นลม”

“ไม่เป็นไรครับนายหญิง จริงๆแล้วคนที่นายหญิงควรจะขอบคุณมากกว่าใครเพื่อน น่าจะเป็นนายหัวน้อยนะครับ เพราะว่าตอนที่นายหญิงทรุดลงกับพื้น ผมกำลังให้คนงานดึงเชือกที่แขวนหอยมุกขึ้นมาจากใต้ทะเล ดีที่นายหัวน้อยตาไว หันไปพอดี เลยลุกพรวดไปรับตัวนายหญิงไว้ทัน ไม่อย่างนั้น ป่านนี้อาจจะ...”

ดำเกิงละคำเอาไว้แค่นั้น แต่เธอก็เข้าใจอยู่หรอก ว่าคงจะตีความได้ว่า อาจตกลงไปใต้ทะเล ติดตาข่ายด้านล่างจนพันอีรุงตุงนัง หรือไม่ก็ล้มพาดกับไม้กระดานได้รับบาดเจ็บ

เธอจึงไม่อาจเลี่ยง หันไปบ่นพึมพำใส่เขา “ขอบ...คุณนะคะ”

“ว่ายังไงนะครับ พี่ไม่ค่อยได้ยินเลย”

เธอรู้ว่าเขาจงใจยียวน จึงแกล้งพูดตะคอกกลับ “ฉันบอกว่าขอบคุณ ทีนี้ได้ยินชัดรึยัง แล้ววันหลังคุณก็หัดแคะขี้หูซะบ้างนะ จะได้ไม่หูตึง”

หญิงสาวหน้าง้ำลงเล็กน้อย เมื่อตนเองเป็นฝ่าย ‘แพ้’ ตั้งแต่วันแรก ทั้งที่ยังไม่ทันต่อกร แต่เธอก็ทำเป็นเมินไม่พูดถึง ยกข้อมือดูนาฬิกา เห็นว่าบ่ายคล้อย จึงแสร้งหันหน้าไปทางนายเกลี้ยงแล้วออกปากว่า

“ตอนนี้นายเกลี้ยงว่างหรือเปล่า ฉันอยากให้ขับเรือไปส่งฉันที่ฝั่งหน่อย ฉันมีธุระในเมือง...เดี๋ยววันนี้ฉันขอตัวนะ นายดำคงไม่ว่าอะไร”

ท้ายประโยคหันไปบอกดำเกิง เห็นเขาพยักหน้ารับ เธอก็หันไปทางนายเกลี้ยง รายนั้นยิ้มเผล่อย่างเคยทำ เธอจึงตั้งท่าจะลุกขึ้น แล้วออกไปจากห้อง

ทว่าเสียงกระแอมไอของชายหนุ่มอีกคน ที่เธอทำเป็นไม่สนใจดังขึ้น เมื่อเผลอหันไปมอง เขาก็พูด ‘ทวง’ ข้อตกลงทันที

“จะรีบไปไหนล่ะครับ ปีลืมสัญญาของเราเมื่อวานแล้วหรือเปล่า”

“ฉันทำผิดสัญญาตรงไหนไม่ทราบ” เธอย้อนหน้าตาเฉย

สูรย์จึงเบี่ยงหน้าไปหาพยานรู้เห็นอย่างดำเกิง “ว่าไงล่ะนายดำ การที่ปีเป็นลมไป ถือว่าปรับแพ้ไหม ถ้าใช่...นายก็ช่วยเป็นกรรมการยืนยันความพ่ายแพ้นั้นให้ทีสิ”

“ก็แค่เป็นลม”

ปีวราไม่รอฟังคำตัดสินใดๆ ก้าวพรวดพราด ดึงแขนเสื้อนายเกลี้ยงเบาๆให้เดินตามกันออกไปทันที จะหาว่าขี้โกงหรือไม่ก็แล้วแต่ เรื่องแค่ขี้ปะติ๋ว อย่างเป็นลมแดด ไม่ถือว่าพ่ายแพ้ซะหน่อย

..................................................



พู่ไหมบุรามฉัตร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 พ.ค. 2556, 16:17:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 พ.ค. 2556, 16:17:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 1137





<< ตอนที่ 7...100%   
Sukhumvit66 27 พ.ค. 2556, 01:52:59 น.
มาลงชื่อติดตามค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account