ความรักของเปลือกไข่
เธอ...หลงรักคนๆ หนึ่งอยู่หลายปี ถูกกำหนดให้เป็นเพียงแค่เปลือกไข่ที่คอยปกป้องสิ่งที่อยู่ข้างในโดยไม่เต็มใจ

เขา...หลงรักเปลือกใข่ที่ภายนอกดูแข็งแรง แต่พร้อมที่จะแตกสลายได้ตลอดเวลา
Tags: ความรัก สามคน โปรแกรมเมอร์

ตอน: ตอนที่ 11

“ขิง” เสียงเรียกของรุ่นพี่หนุ่มทำเอาหญิงสาวละสายตาจากหน้าคอมพิวเตอร์ เพื่อเงยหน้าขึ้นมองคนเรียกที่ตอนนี้ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เธออย่างเงียบเชียบ “พี่มีเรื่องจะถาม”

แค่ภพเปิดหัวเรื่องมาเช่นนี้ ก็ทำให้รุ่นน้องสาวคนสนิทชักทำหน้าไม่ค่อยถูก ลางสังหรณ์ที่ยังพอมีอยู่เริ่มทำงาน โปรแกรมเมอร์สาวถอยเก้าอี้ไปข้างหลังเล็กน้อยเพื่อเตรียมรับมือกับคำถามที่กำลังจะออกจากปากรุ่นพี่หนุ่ม

“พี่ภพมีอะไรจะถามขิงเหรอ”

“ก็นิดหน่อย...” ภพเว้นช่วงหายใจไว้เล็กน้อยแล้วพูดต่อ “พี่แค่อยากรู้ว่าขิงกับบอสเป็นอะไรกันรึเปล่า ช่วงนี้เห็นคุยกันบ่อย ไปไหนมาไหนด้วยกันก็บ่อย”

“เอ่อ” คนถูกถามได้แต่อึกอัก ยิ่งสายตาที่จ้องอยู่แทบไม่กระพริบ ยิ่งทำให้เธอพูดไม่ออก “ก็... เอ่อ...”

จังหวะที่ขิงยังคงอ้ำอึ้งอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีอัศวินม้าขาวเดินเข้ามาช่วย กฤษณ์เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานของเธอ ใช้สายตาจ้องไปที่ภพเขม็ง

“งานที่ผมให้ไปเมื่อเช้ามันน้อยไปเหรอภพ ถึงมีเวลามาเดินเล่นถามเรื่องคนอื่นน่ะ” เจ้าของชื่อถึงกับสะดุ้งเฮือก รับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวของเจ้านาย ถึงอย่างนั้นคนโดนทักก็ยังคงนั่งนิ่งไม่ยอมไปไหน พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวที่พอเห็นมาบ้างให้เป็นเรื่องเดียวกัน แล้วหันไปมองหน้ารุ่นน้องสาวที่นั่งยิ้มแหยอยู่ข้างๆ

“ถ้ายังไม่กลับไปที่โต๊ะ ผมจะเพิ่มงานให้อีกสองเท่านะ ดีมั้ย?”

คำขู่ที่ดูเหมือนไม่น่ากลัวนั้น ภพรู้ดีว่าน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แค่เมื่อเช้าจู่ๆ เจ้านายที่เรียกเขาเข้าไปพบที่ห้องก็โยนงานหินมาให้เขาอย่างไม่ทันตั้งตัว แถมยังบอกเดดไลน์ส่งงานภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งเขานับดูยังไงมันก็ไม่เต็มสามอาทิตย์ด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อเจ้านายสั่งด้วยบรรยากาศตึงเครียด การต่อรองที่ควรจะเกิดขึ้นจึงไม่เกิดทันได้เกิด เพราะบอสหนุ่มไล่เขาให้ออกจากห้องมาเสียก่อน และนั่นเป็นสาเหตุที่ช่วงเช้าทั้งหมดของเขาต้องอุทิศให้กับเนื้อหางาน ไม่มีเวลาแวะมาคุยกับรุ่นน้องสาวเช่นทุกวัน

“พี่ว่าพี่ไปดีกว่าว่ะขิง ยังไม่อยากได้งานเพิ่มตอนนี้ อย่าเพิ่งเพิ่มงานให้ผมเลยนะครับบอส กลับไปทำเดี๋ยวนี้แหละครับ”

บอกรุ่นน้องสาวเสร็จก็หันไปบอกเจ้านายที่ตีหน้ายักษ์ยืนนิ่งอยู่ไม่ขยับเขยื้อน ภพรีบเผ่นออกจากบริเวณนั้นก่อนจะมีภาระเพิ่มจากที่เป็นอยู่ ตอนนี้เขาพอรู้บ้างแล้วว่าเรื่องระหว่างขิงกับบอสหนุ่มคงมีอะไรไม่ธรรมดากันอยู่อย่างแน่นอน แต่ที่ไม่แน่ใจคือเรื่องราวระหว่างรุ่นน้องของเขาสองคนต่างหาก เขามั่นใจมากพอสมควรว่าความผูกพันระหว่างขิงกับแอมป์ยังคงหลงเหลืออยู่ไม่น้อย และหากเรื่องที่คิดไว้เป็นเรื่องจริง เขานึกไม่ออกเลยว่าบอสของเขาจะสามารถทะลุความผูกพันนั้นเข้าไปในใจของรุ่นน้องสาวได้อย่างไร

“งานถึงไหนแล้ว” กฤษณ์ถามด้วยน้ำเสียงหวานอย่างเกินความจำเป็น เมื่อเห็นว่าลูกน้องหนุ่มเดินจากไปได้ซักระยะ สายตาหวานที่ช่วงนี้ขยันส่งไปหาหญิงสาวก็ยังคงทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี จนคนได้รับสายตาต้องก้มหน้าหลบมองคอมพิวเตอร์แทนหน้าคนถาม

“ก็ใกล้เสร็จแล้วค่ะ อีกวันสองวันน่าจะเรียบร้อย” เขาพยักหน้ารับแล้วเดินจากไป ปล่อยให้ลูกน้องสาวมองตามด้วยสายตางุนงงจนลับตา


ช่วงเย็นที่พนักงานทุกคนต่างเฝ้ารอเวลาการกลับบ้าน ขิงมองไปรอบๆ ตัวเห็นพนักงานในบริษัทเริ่มเก็บกระเป๋า บ้างก็จับกลุ่มกันเดินออกจากบริษัทกันแล้ว แต่สำหรับเธอ... หญิงสาวหันไปมองประตูห้องของผู้บริหารที่ยังคงปิดสนิทอยู่ และไม่มีทีท่าว่าจะเปิดเร็วๆ นี้แล้วต้องถอนหายใจ ป่านนี้รถบนท้องถนนคงติดน่าดู แล้ววันนี้เธอจะถึงบ้านกี่โมงกันล่ะ

นี่ถ้ากฤษณ์ไม่บอกไว้ก่อนว่าจะไปส่งที่บ้าน เธอคงไม่ต้องรอให้ถึงเวลาเลิกงานขนาดนี้ คิดแล้วก็หันมาสนใจงานตรงหน้าต่อ หลังจากเกิดเรื่องที่ภพมาถามเธอเมื่อกลางวัน งานของเธอก็ไม่เดินหน้าอีกเลย เพราะในสมองมัวแต่คิดเรื่องของเจ้านายหนุ่มที่ช่วงนี้รุกเธอหนักเหลือเกินจนแทบไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น

หญิงสาวถอนหายใจกับงานตรงหน้าอีกครั้งเมื่อเห็นว่าทำอะไรต่อไม่ได้เลยตัดสินใจเก็บของรอคนข้างในห้องเดินออกมา แต่กลับไม่ต้องรอนานเมื่อประตูบานใหญ่เปิดออกพร้อมร่างสูงยืนยิ้มและพยักหน้าชวนเธอกลับบ้าน... วันนี้ขอนั่งสบายๆ ให้เจ้านายบริการอีกซักวันเถอะนะ

รถยนต์คันใหญ่แล่นช้าๆ มาจอดที่หน้าบ้านหญิงสาวอย่างคุ้นเคย ขิงลงจากรถพร้อมคำขอบคุณก่อนเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มดับเครื่องยนต์แล้วเดินลงจากรถมาหาเธอ

“วันนี้ผมทานข้าวเย็นด้วยคนสิ” เสียงทุ้มเจือหวานออดอ้อนดังขึ้นทำเอาหญิงสาวที่ยืนอยู่ทำตัวไม่ถูก เดินหนีเข้าบ้านมาก่อน แล้วปล่อยให้ชายหนุ่มเดินเข้ามาในบ้านอย่างง่ายดาย

“ถ้าบอสจะทาน วันนี้บอสก็ต้องทำอาหารเย็นอีกนะคะ ขิงทำไม่เป็น”

“ครับ เรื่องนั้นผมรู้ดี” เขาพูดกลั้วหัวเราะ แล้วเดินเข้าไปในห้องครัวเหมือนเป็นเรื่องปกติ ไม่สนใจสายตาค้อนสะบัดของร่างเล็กที่ยืนมองอยู่สักนิด

“คิดเมนูหน่อยมั้ยครับ อยากทานอะไร” กฤษณ์ตะโกนเสียงดังมาจากในครัว แต่คนเป็นเจ้าของบ้านหาได้สนใจไม่ ขิงยังคงนั่งดูโทรทัศน์อย่างตั้งใจ แล้วตะโกนตอบไปอย่างง่ายๆ

“บอสทำอะไรมาขิงก็ทานหมดแหละค่ะ ตามสบายเลยนะคะบอส” เสียงหวานที่ดังลอดมาทำเอาคนที่อยู่ในครัวอดยิ้มกับตู้เย็นไม่ได้ กฤษณ์เปิดตู้เย็นหยิบของสดที่เหลืออยู่หลังจากทำไปแล้วส่วนหนึ่งเมื่อวานออกมาจัดแจงไว้เพื่อทำอาหารวันนี้

ความสุขที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ใช่จะหากันได้ง่ายๆ ไม่บ่อยนักที่เขาจะมีความสุขขนาดนี้ ขนาดที่พวกเด็กวัยรุ่นมักเรียกกันว่าอาการหัวใจพองโต ยิ่งถ้าหากเขาไม่อยู่ในสถานะเจ้านายของขิงอย่างเช่นตอนนี้คงดีขึ้นอีกไม่น้อย แต่เหตุการณ์ต่างๆ ยังไม่ลงตัว... คิดมาถึงตรงนี้ใบหน้าที่มีรอยยิ้มอยู่เริ่มหุบลงจนกลายเป็นนิ่งสนิท

เขายังจำประโยคที่ขิงพูดกับเขาเมื่อวานได้อย่างชัดเจน ประโยคที่แปลออกมาได้ว่าในใจของหญิงสาวยังคงมีแอมป์อยู่เต็มหัวใจ ประโยคที่ทำให้เขายืนเซเล็กน้อย การเฝ้าดูหญิงสาวตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงานทำให้เขาค่อยๆ ซึมซับความน่ารักที่มีอยู่ของขิงได้ไม่ยาก หญิงสาวเป็นคนน่ารัก... ถึงแม้การแสดงบางอย่างจะนิ่งไปนิดหรือไม่สนใจอะไรไปบ้าง แต่จากที่เขาสังเกตแล้ว ผู้หญิงคนนี้เป็นคนอ่อนโยนไม่แพ้ผู้หญิงคนอื่นหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ

“อ้าว บอสยังไม่เริ่มทำเลยเหรอคะ” เสียงเล็กปลุกชายหนุ่มออกจากภวังค์ กฤษณ์มองหน้าคนถามก่อนจะรู้สึกตัวว่าอาหารสดทั้งหมดที่วางอยู่บนโต๊ะยังไม่มีแม้แต่การสับหรือหั่นใดๆ เกิดขึ้น

“เอ่อ... ผมคิดอะไรเพลินๆ อยู่น่ะ ขิงหิวแล้วเหรอ”

“ก็นิดหน่อยค่ะ” หญิงสาวตอบยิ้มแหยๆ เกรงใจคนที่เป็นเจ้านายและตอนนี้กำลังจะกลายเป็นพ่อครัวจำเป็นอีกด้วย “บอสทำข้าวผัดธรรมดาก็ได้นะคะ ทำแค่สองจานจะได้ไม่ต้องยุ่งยาก”

คนบอกเล่านั้นทำเอากฤษณ์ถึงกับยิ้มขำ ส่งสายตารู้ทันไปยังคนเสนอความคิดที่ทีแรกบอกว่าทำอะไรมาก็ทานหมด

“ไหนทีแรกบอกทำอะไรก็กินได้ไงครับ ตอนนี้รอไม่ได้แล้วเหรอ”

“ก็น้ำย่อยมันชักเยอะแล้วนี่คะ” ตอบออกไปอย่างนั้นแล้ว ขิงแทบเอาหน้ามุดใต้โต๊ะเพราะกฤษณ์ยังคงยิ้มขำกับท่าทางของเธอ “บอสรีบทำข้าวผัดเถอะค่ะ ขิงหิวแล้ว นะคะน้า”

เจอลูกอ้อนแบบนี้เข้าไปใครจะทนไหว ชายหนุ่มยกมือขึ้นยีผมคนร่างเล็กตรงหน้าก่อนจะรีบจัดการทำข้าวผัดตามคำสั่งคนหิวข้าวอย่างคล่องแคล่ว เพียงไม่กี่นาทีก็ได้ข้าวผัดกุ้งสองจานวางลงบนโต๊ะพร้อมกับกลิ่นหอมเรียกให้กระเพาะน้อยๆ ของขิงส่งเสียงประท้วงเบาๆ

“อร่อยมั้ยครับ” พ่อครัวจำเป็นเอ่ยถาม ท่านกลางความเงียบที่ทั้งคู่ทานอาหารกันมาได้ซักพัก

“อร่อยค่ะ” ขิงตอบทั้งที่ข้าวยังคงเต็มปาก หญิงสาวเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างไม่รักษาภาพมากนักกับผู้ชายตรงหน้า เธอชักเริ่มสงสัยขึ้นมาบ้างกันท่าทีของเธอที่ปฏิบัติต่อเจ้านายที่ไม่อยากเป็นแค่เจ้านายสำหรับเธอ “บอสทำกับข้าวอร่อยจริงๆ นะคะ เปิดร้านอาหารเถอะ เดี๋ยวขิงไปอุดหนุนทุกวันเลย”

ข้อเสนอทั้งหมดกฤษณ์รู้สึกว่าน่าสนใจเพียงแค่ประโยคที่ว่าเธอจะไปอุดหนุนทุกวันนี่แหละ “ถ้าจะอุดหนุนทุกวัน ผมว่าให้ผมมาทำให้ทานที่บ้านทุกวันดีกว่ามั้ยครับ”

ประโยคนี้เล่นเอาคนฟังถึงกับสำลักข้าวผัดกุ้งจานใหญ่ ขิงไอค่อกแค่กรีบวิ่งไปเปิดตู้เย็นรินน้ำให้ตนเอง ทำท่าทางตบอกเบาๆ ราวกับจะทำให้สิ่งที่อยู่ในปากไหลลงกระเพาะไปให้หมดเนื่องจากเกรงว่าสิ่งนั้นจะวิ่งออกทางจมูกแทน จากนั้นถึงสูดลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะช้าๆ เพื่อตั้งสติหลังจากตกใจเมื่อครู่ หญิงเดินกลับมาที่โต๊ะอาหารพร้อมกับเสียงถอนหายใจเสียงดังราวกับจะให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงการกลับมาของเธอ

“บอสอย่าพูดอะไรให้ขิงตกใจแบบนี้บ่อยๆ ได้มั้ยคะ ขิงกลัวว่าซักวันข้าวจะติดคอขิงตาย”

“แหม ผมก็แค่พูดความจริง ผมผิดมากเหรอครับ”

“ไม่ผิดค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงสะบัด ก่อนจะเห็นว่าข้าวในจานของเจ้านายเกลี้ยงไปแล้ว ผิดกับเธอที่ยังเหลืออยู่เล็กน้อยนี่ถ้าไม่ติดว่าสำลักเมื่อครู่คงทานหมดไปแล้วเช่นกัน “บอสอิ่มแล้วใช่มั้ยคะ ขิงจะได้เอาไปล้าง เชิญคุณเจ้านายนั่งดูโทรทัศน์รอที่โซฟาเลยนะเจ้าคะ เสร็จแล้วขิงจะตามไปนั่งคุยด้วยค่ะ”

ว่าแล้วเจ้าของบ้านที่ทำอาหารไม่เป็นก็รีบเก็บจานบนโต๊ะสองใบไปวางไว้ที่อ่างล้างจานเพื่อเริ่มทำความสะอาด ปล่อยให้เจ้านายหนุ่มลุกเดินออกไปจากห้องครัวเอง

ดูเหมือนครอบครัวเข้าไปทุกที... จู่ๆ ความคิดแปลกๆ ของกฤษณ์ก็ดังขึ้นในหัว ชายหนุ่มชะงักการเดินเล็กน้อย แล้วหันหลังไปดูคนที่ยืนล้างจานอยู่เงียบๆ รอยยิ้มมุมปากถูกนำมาประดับบนในหน้าอีกครั้ง เขาถูกใจกับความคิดตัวเองไม่น้อย ฉะนั้นไม่ว่ายังไง เขาจะเอาขิงมาอยู่ข้างๆ เขาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหนก็ตาม!


“บอสดูอะไรอยู่คะ” คำถามของขิงเรียกเขาให้หันไปมองคนตัวเล็กที่กำลังจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เขา ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวขมวดคิ้วจ้องไปที่โทรทัศน์ที่เขาเปิดค้างไว้ รายการที่มีเพียงคนรายงานสถานการณ์ความเป็นไปของเศรษฐกิจในแต่ละวันนั่งพูดอยู่กับกล้องอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แล้วไหนจะตัวเลขหลากสีที่วิ่งอยู่ด้านล่างนั่นอีก ขิงพยายามฟังและมองตามตัวเลขที่กำลังโชว์อยู่ แล้วต้องหันมาเบ้หน้ากับชายหนุ่ม “เค้าพูดอะไรคะ ฟังไม่รู้เรื่องซักอย่าง”

กฤษณ์หัวเราะก่อนกดเปลี่ยนช่องให้คนข้างๆ กลายเป็นช่องฟรีเคเบิลที่ฉายภาพยนตร์สร้างความบันเทิงมากกว่าจะสร้างสาระ “ดูไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องไปพยายามเข้าใจมันหรอก ผมก็ดูแค่เบื่อไปอย่างนั้นเอง”

“ดูแก้เบื่อ” หญิงสาวโพล่งเสียงดัง หันหน้ามองคนดูรายงานเศรษฐกิจแก้เบื่ออย่างเต็มตาราวกับเห็นตัวประหลาด “นี่บอสดูข่าวเศรษฐกิจแก้เบื่อเหรอคะ”

“อ้าว เป็นผู้บริหารก็ต้องรู้เรื่องไว้บ้างสิ ไม่งั้นเกิดมีเรื่องอะไรขึ้นมาแล้วเราไม่รู้บริษัทผมก็พังหมดสิครับ” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ถึงเหตุผล แม้ว่าบริษัทที่เธอทำงานอยู่จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรแต่เธอพอจะรู้อยู่บ้างว่าบริษัทนี้ค่อยๆ เติบโตทีละน้อย

บรรยากาศระหว่างทั้งคู่เงียบลงเมื่อเห็นภาพที่วิ่งอยู่ในจอโทรทัศน์ ภาพยนตร์สยองขวัญชื่อดังที่เคยทำเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อปีก่อนถูกนำกลับมาฉายอีกครั้งบนจอภาพยนตร์อีกครั้ง ขิงดูสิ่งที่ฉายบนโทรทัศน์อย่างตั้งใจ สมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นทำให้ไม่ทันรู้ตัวว่าตัวเองค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้คนตัวโตกว่าทีละนิดจนไม่เหลือที่ว่างระหว่างเธอกับกฤษณ์

“กลัวผีเหรอครับ” เพียงเขาพูดเบาๆ คนนั่งอยู่ข้างกายก็สะดุ้งเสียสุดตัว ขิงหันมองเจ้าของเสียงก่อนจะรู้สึกตัวได้ว่าอยู่ใกล้เขามากขนาดไหน

“อ้าว ทำไมบอสขยับเข้ามาใกล้ขิงจังคะ” คนถูกถามหัวเราะ

“ดูดีๆ สิครับว่าใครขยับใกล้ใคร” ขิงขมวดคิ้ว ก่อนจะพิจารณาบริเวณรอบๆ แล้วนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ถึงได้รู้ว่าเป็นเธอเองที่ขยับเข้าไปใกล้เขา

“แล้วไม่บอกล่ะคะว่าขิงนั่งเบียดบอสอยู่” เขายักไหล่ไม่พูดอะไร มองคนตัวเล็กขยับห่างออกไปเล้กน้อยแล้วหันไปจ้องภาพเคลื่อนไหวที่อยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมต่อ

เรื่องราวดำเนินมาได้เกือบครึ่งเรื่องโดยที่ไม่มีคำพูดใดๆ ระหว่างกัน กฤษณ์จ้องคนที่ยังคงมีสมาธิกับหนังอย่างตั้งใจ ขาเล็กถูกยกขึ้นมาบนโซฟาสองข้างกลายเป็นนั่งขดอยู่บนโซฟาพร้อมกับพิงมาทางเขาเล็กน้อย คนที่ชายหนุ่มคิดว่ากลัวผียังคงจ้องหน้าจอคล้ายกับไม่หวั่นเกรง แต่หากดูจริงๆ แล้ว คนข้างกายเขาทั้งสะดุ้งทั้งหลับตาเลยด้วยซ้ำ และก่อนจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงที่เป็นแบคกราวน์ของหนังก็ดังขึ้นกระหึ่มพร้อมกับตัวอะไรสักอย่างรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวโผล่มาใกล้ๆ จอ เล่นเอาคนกลัวผีข้างๆ ร้องว้ายดังลั่นแล้วโผเข้ากอดสิ่งที่อยู่ข้างๆ คล้ายกับเป็นที่ยึดเหนี่ยว และขิงยังคงนั่งกอดอยู่อย่างนั้นจนคนโดนกอดต้องหัวเราะออกมากับท่าทางกลัวจนเกินเหตุนั้น

“อุ๊ย ขอโทษค่ะบอส” คนกลัวผีเอ่ยอย่างตกใจ รีบผละตัวเองออกจาร่างใหญ่ข้างๆ แต่ก็ไม่สามารถขยับออกห่างได้มากนัก เพราะมือใหญ่ของอีกฝ่ายยังคงดึงไว้

“กลัวขนาดนี้แล้วดูทำไมครับ” เขาว่าทั้งที่ยังหยุดหัวเราะไม่ได้

“ก็มันสนุกนี่คะ” เธอแย้งเบาๆ ก่อนจะตกใจอีกครั้งกับเสียงเอฟเฟคที่ผู้ผลิตหนังตั้งใจใส่ไว้เพื่อให้คนตกใจ ขิงร้องกรี๊ดกระโดดเข้าไปใกล้กฤษณ์ทันควันเหมือนร่างกายขยับไปเองอัตโนมัติ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเสียแล้ว

“เอ่อ... บอสคะ” ขิงเรียกชายหนุ่มอย่างคนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก

“ครับ”

“ปละ ปล่อยขิงก่อนได้มั้ยคะ” หญิงสาวพูดตะกุกตะกัก ยิ่งได้ยินเสียงหัวใจเต้นของอีกฝ่ายชัดเจนยิ่งทำให้ทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ เธอพยายามดันตัวออกจากอ้อมกอดอุ่นนั้น แต่ตัวที่เล็กกว่าทำให้แรงมีไม่ขืนตัวออกในเมื่อเจ้าของอ้อมกอดเริ่มกระชับแน่นขึ้น

“ขิงกระโดดมาหาผมเองนะครับ” คำพูดที่ดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยเธอง่ายๆ นั้น ทำเอาคนหน้าแดงอยู่ในอ้อมกอดชักทนไม่ไหว เริ่มขยับตัวยุกยิกไม่อยู่นิ่ง จนเจ้าของอ้อมก่อนต้องปรามเสียงเข้มให้เธอหยุด “นี่อยู่เฉยๆ สิครับ ขยับไปมาแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นอย่าหาว่าผมไม่เตือนนะครับ”

นับว่าเป็นเรื่องผิดพลาดอีกเรื่องหนึ่งในชีวิตของขิง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของอ้อมกอดด้วยสายตาเอาเรื่อง ก่อนจะรู้ตัวว่าทำผิดมหันต์ เมื่อเงยขึ้นมาเห็นใบหน้าชายหนุ่มอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก

เสียงภาพยนตร์หายไปจากตรงนั้นชั่วคราว เมื่อตาสองคู่สบประสานกัน อีกทั้งสถานการณ์ที่ล่อแหลมนั้นทำเอาขิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใดการอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ถึงทำให้เธอใจหวิวได้ถึงขนาดที่ทำตัวไม่ถูก ใบหน้าที่ห่างกันแค่ปลายจมูกเธอกับคางของเจ้านายหนุ่ม ตอนนี้ดูเหมือนระยะห่างนั้นถูกร่นเข้ามาใกล้กว่าเดิมอย่างที่หญิงสาวไม่ทันรู้สึกตัว ตาพราวระยับของกฤษณ์สามารถตรึงเธอไว้นิ่งนาน ทั้งยังทำเอาใจของหญิงสาวละลายจนเกือบกลายเป็นน้ำ ใบหน้าของกฤษณ์ก้มลงมาช้าๆ จนทั้งคู่รู้สึกถึงลมหายใจของอีกฝ่าย แต่ก่อนจะมีอะไรเกิดขึ้น กฤษณ์รู้สึกแรงกระชากจากข้างหลังเสียก่อน

“มึงทำอะไรเพื่อนกูวะ”

เสียงที่ขิงคุ้นเคยมานานตะโกนลั่นในที่นั้น พร้อมกับหมัดที่ปล่อยเข้ามุมปากของกฤษณ์จนลงไปกองกับพื้น ขิงหวีดร้องอย่างตกใจก่อนจะรีบเข้าไปห้ามแอมป์ที่กำลังจะเดินเข้าไปซ้ำอีกหมัดที่ใบหน้าของกฤษณ์ แต่ไม่ทันเมื่อแอมป์กระโจนถึงตัวกฤษณ์อย่างรวดเร็ว ทั้งคู่สวนหมัดใส่กันอยู่พักใหญ่ ไม่สนใจร่างเล็กที่คอยกระชากคนตัวใหญ่สองคนให้ออกจากกัน เหตุการณ์นี้ทำเอาหญิงสาวนึกอะไรไม่ออกจนต้องกรี๊ดออกมาเสียงดังเพื่อดึงความสนใจทั้งคู่ให้หยุดต่อสู้กันเสียที

“หยุดบ้ากันได้รึยัง” กฤษณ์ที่ไม่เคยเห็นขิงในอารมณ์โมโหร้ายแบบนี้ชักเริ่มตกใจและกลับมาเป็นคนใจเย็นอย่างรวดเร็ว ยกมือขึ้นแตะมุมปากตนเองก่อนจะนิ่วหน้าด้วยความเจ็บเล็กน้อย หันมองชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลด้วยสายตาเอาเรื่อง ใบหน้าของแอมป์มีสีสันไม่แพ้กัน เลือดไหลซิบตรงหางคิ้วของลูกน้องหนุ่มบอกความสำเร็จของเขาได้เป็นอย่างดี

“เมื่อกี้บอสทำอะไรขิง”

“ทำอะไรขิงแล้วคุณมายุ่งอะไรด้วย” กฤษณ์เอ่ยเสียงเรียบ แต่ยังไงคนฟังก็ยังรู้สึกว่ามันกวนประสาทไม่น้อย

“ก็ขิงเป็นเพื่อนผม ผมเป็นห่วงแล้วผิดรึไง” ขิงใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่คนอายุมากที่สุดในนั้นกลับทำเสียงแค่นหัวเราะกับเหตุผลที่แอมป์อ้าง

“ขิงไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้คุณมานั่งเป็นห่วงหรอกนะแอมป์ แล้วตอนนี้ขิงก็มีคนดูแลแล้วด้วย” ประโยคสุดท้ายที่ได้ยิน ทำให้คนเป็นห่วงเพื่อนหันขวับไปมองเพื่อนสาวที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่เช่นกัน

“ที่บอสพูดหมายความว่ายังไงขิง”

“เอ่อ... คือ... ไม่มีอะไรหรอก แอมป์อย่าไปสนใจที่บอสพูดเลย” หญิงสาวพูดทำเอากฤษณ์ที่นั่งฟังอยู่เกิดอาการฮึดฮัดไม่พอใจอยู่เงียบๆ บรรยากาศรอบๆ กายเริ่มน่าอึดอัดขึ้นทุกที จนคนที่เป็นผู้ใหญ่ตัดสินใจถอยก่อน บอสหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูง หันบอกเจ้าของบ้านด้วยเสียงไม่ปกตินัก

“ผมกลับก่อนแล้วกันนะขิง ดึกมากแล้วขิงจะได้พักผ่อน”

“เดี๋ยวสิคะบอส” เสียงที่เรียกไว้ ทำให้ร่างสูงต้องชะงัก “หน้าบอสมีแผล ขิงว่าทำแผลก่อนมั้ยคะแล้วค่อยกลับบ้าน”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก” เขาเอ่ยพร้อมกับตวัดสายตามองชายหนุ่มอายุน้อยกว่าที่ยังคงทำหน้าตากวนประสาทไม่เลิก เห็นแบบนั้นแล้วเขาไม่อยากจะอยู่ต่อเกรงว่าจะเกิดเรื่องให้ต้องทำลายข้าวของเจ้าของบ้านให้วุ่นวาย

“แต่แผลสกปรกต้องทำความสะอาดนะคะ นะคะบอสทำแผลก่อนเถอะนะ”

คนเป็นบอสถอนหายใจ รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้นอกจากทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่มอีกครั้งเพื่อรอเจ้าของบ้านที่วิ่งไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้ ปล่อยให้แอมป์นั่งมองความเป็นไปอย่างเงียบๆ

“เจ็บมั้ยคะบอส” มือขาวกดสำลีที่ชุ่มไปด้วยแอลกอฮอล์รอบๆ บริเวณแผลที่มุมปากอย่างเบามือ แถมเบ้หน้าไปด้วยเมื่อเห็นกฤษณ์ซี๊ดปากขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด “ขอโทษค่ะบอส เจ็บมากเลยเหรอคะ”

“เอ่อ... มันแสบครับ”

“แสบก็ดีค่ะ วันหลังจะได้ไม่ไปมีเรื่องอีก”

“เดี๋ยวครับ” คนโดนหาว่าเป็นคนก่อเรื่องแย้งทันควันแล้วก็ต้องมาเบ้หน้าเพราะอ้าปากมากเกินไปทำให้ผิวหนังตรงแผลตึงอีก “ผมไม่ได้เป็นคนก่อเรื่องนะ ขิงก็เห็นว่าอยู่ๆ เพื่อนขิงเข้ามาชกผมก่อน ไม่ถามอะไรซักคำ”

“อ้าวบอส ก็บอสมาทำอนาจารเพื่อนผม ก็ต้องเจอแบบนี้แหละ” กฤษณ์นิ่วหน้ากับคำกล่าวหานั้น เมื่อกี้ยังเป็นเจ้านายมันอยู่ดีๆ แต่แป๊บเดียวจะให้เปลี่ยนให้เขากลายเป็นโจรโรคจิตเสียอย่างนั้น

“แอมป์” ขิงเรียกชื่อเพื่อนเป็นการปรามเขากลายๆ ไม่ให้พูดอะไรที่ทำให้ดูแย่ลงไปกว่าเดิม ก่อนจะหันไปพูดกับคนที่ถูกเรียกคล้ายๆ โจรโรคจิต “บอสคะ วันนี้บอสกลับบ้านไปก่อนเถอะนะคะ แอมป์มาคงมีธุระ”

“ไม่ครับ ผมจะปล่อยให้คุณอยู่กับแอมป์แค่สองคนได้ยังไง”

“ได้สิคะ ปกติ...” หญิงสาว ‘เกือบ’ พูดออกไปแล้วว่าปกติแอมป์ก็มาอยู่เป็นเพื่อนบ้างเวลาแม่ไม่อยู่บ้าน แต่เสียงพูดกลับต้องกลายเป็นเสียงกระแอมไป ก่อนจะเปลี่ยนคำพูดใหม่ “อ่า... แอมป์ไม่ทำอะไรขิงหรอกค่ะ ไว้ใจได้”

พอเห็นสายตาออดอ้อนของหญิงสาวเข้าหน่อย ทำเอาบอสหนุ่มถึงกับต้องยอมจำนน เขาถอนใจอย่างยอมแพ้แล้วเหลือบมองคนร่างสูงอีกคนที่ยืนอยู่

“ผมกลับก่อนก็ได้ เอาไว้พรุ่งนี้ผมจะมารับไปทำงานเหมือนเดิมนะ เจอกันพรุ่งนี้ครับ”

รถของเจ้านายหนุ่มเคลื่อนตัวออกจากบ้านเธอไปแล้ว ขิงจึงหันกลับมามองเพื่อนสนิทหนุ่มที่ยังคงยืนคิ้วแตกอยู่ตรงหน้า เลือดที่ไหลออกจากแผลแห้งไปแล้ว หญิงสาวกวักมือเรียกเพื่อนให้มานั่งที่โซฟาเพื่อทำแผลให้ มือบางสาละวนอยู่กับแผลที่หางคิ้วของเพื่อน ส่วนปากก็ถามถึงความเป็นไปในช่วงที่ไม่ได้เจอกัน

“เป็นยังไงบ้าง เห็นเงียบหายไปเลย นี่ถ้าแอมป์ไม่โทรฯ มาเมื่อเช้า ขิงคงนึกว่าแอมป์ตายไปแล้วนะ” พูดไปด้วยเสียงกลั้วหัวเราะอย่างที่ชายหนุ่มตรงหน้ารู้ดีว่าเพื่อนแค่เอ่ยหยอกเล่นมากกว่าจะคิดจริงจังอะไร แอมป์ฟังคำถามแล้วเงียบไปหลุบตาลงมองพื้นเล็กน้อย

“ขิง...” เขาเรียกชื่อเธอก่อนจะใช้มือจับแขนเล็กไว้นิ่ง ให้เธอได้ตั้งใจฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูด “เราเลิกกับศศิแล้วนะ”

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อ่าาาาาาาาาา หายไปหลายวัน คิดถึงอิชั้นมั้ยคะ

วันนี้มาลงให้แล้วก็จะมาบอกด้วยว่า... มิณทิมาขอลาึจนถึงอาทิตย์หน้าเลยนะคะ ขออนุญาตไปตะลอนเกาหลีนิดนุง (เก๊าจะไปตามหา ยงฮวา CN Blue ล่ะ คิๆๆๆ)
เอิ่ม... ความจริงคือ อิชั้นไปดูงานเจ้าค่ะ ช่วงนี้อย่าลืมคิดถึงอิชั้นมากๆ นะเจ้าคะ ไว้จะหิ้วหนุ่มๆ กลับมาฝาก เอิ๊กๆๆๆ

ว่าแล้วเราก็มาเข้าเรื่องกันดีกว่า นายแอมป์กลับมาแล้วนะเจ้าคะ กลับมาแบบไม่มีพันธะซะด้วยซี่ ยัยขิงตายแน่ๆ เลย เพราะเธอดันสวยเยี่ยงนางฟ้า 5555 (อันนี้พูดเอาฮานะคะ อย่าได้ถือสา มิณทิมาเป็นคนบ้าค่ะ บอกตรงๆ) ไม่รู้นางเอกจะทำยังไงต่อน้าาาา ฮี่ๆๆๆๆ ไว้จะมาต่อให้นะคะ เผื่อได้ไอเดียอะไรจากพี่เกาหลีกลับมาด้วย

รักคนอ่านทุกท่านนะคะ จุ๊บๆ (กอดๆ)

====================================

คุณ mhengjhy : คิๆๆ ดีใจนะเจ้าคะ นี่ถูกใจ <3 <3 <3

คุณ คิมหันตุ์ : บอสฝากมาจุ๊บทีนึงค่ะ สำหรับกำลังใจที่ได้รับ อิอิอิ

คุณ pseudolife : คุณบอสก็ฝากจุ๊บมาเหมือนกันนะคะ บอสน่ารักจริงๆ นั่นแหละค่ะ ฮาาาาาา

คุณ pattisa : ใช่มั้ยคะๆ น่ารักเน้ออออ ( >3<)

------------------------------------------------------------------



มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มิ.ย. 2556, 20:37:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มิ.ย. 2556, 20:41:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1357





<< ตอนที่ 10   ตอนที่ 12 >>
pattisa 4 มิ.ย. 2556, 21:38:32 น.
ฝากบอกขิงว่าเล่นตัวมากเราเเย่งบอสนะคะ


คิมหันตุ์ 4 มิ.ย. 2556, 23:43:27 น.
นายแอมป์ กล้าชกบอสอ่ะ.......ไม่กลัวตกงานหรอ

ขิงดูแลบอสดีๆนะคะ...เจ็บตัวเพราะเพื่อนสุดที่รักของเทอเลยนะ..ชิส์

ปล. จุ๊บกลับบอสให้ด้วยนะคะ อิอิ


ปลายสี 5 มิ.ย. 2556, 00:45:27 น.
ขอเชียร์บอสด้วยคนนนน ขิงเปลี่ยนใจมาชอบบอสเหอะ


mhengjhy 5 มิ.ย. 2556, 18:03:10 น.
โอ้ยยย กลับมาทำไม ขิง เลือกบอสเถอะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account